DAY 96 ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเมือง ≪Trient≫
ประมาณเวลาช่วงบ่าย พวกเรามาถึงเมืองป้อมปราการ ≪Trient≫ มันเป็นเมืองขนาดใหญ่ล้อมด้วยกำแพงแข็งแรงสีขาวที่ใหญ่โต และมี siege weapon อยู่ในกำแพงเมือง การจะทำลายป้อมปราการแห่งนี้ลงนั้นเป็นไปได้ยากมาก
ขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น ดูเหมือนจะมีความปั่นป่วนจากผู้คนจำนวนมากรอบรอบพวกเรา มันอาจจะเป็นเพราะผมก็ได้ ตัวผมเองที่เป็นยักข์ดำ Black Ogre แถมยังมี คุมะจิโร่ ที่เป็นหมีปีศาจ และ คุโรซาบุโร่ หมาดำสามหัวอยู่อีก
ซึ่งดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีทางที่ผมจะเหยียบเข้าไปในเมืองได้เลย สามารถพูดได้ว่าสถานการในตอนนี้อาจจะกลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับผมก็ได้.... ในอีกครู่หนึ่ง รองผู้จัดการสาขาได้เดินทางมาถึงและสั่งให้ยามรักษาการณ์อณุญาติให้พวกผมเข้าไปยังเมืองได้ เห็นได้เลยว่ารองผู้จัดการคนนี้ค่อนข้างมีอิทธิพลในเมืองนี้ทีเดียว
เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ผมเสนอขายกระดองงูเต่าบางส่วนให้แก่เขาในราคาถูกเป็นพิเศษ และผมตัดสินใจปิดบังร่างกายใว้ใต้เสื้อคลุม ถึงแม้มันจะไม่สามารถเขาของผม แต่ก็ช่วยปกปิดได้มากล่ะนะ
ภายในเมืองป้อมปราการแห่งนี้จำนวนประชาการหลักนั้นเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพอเห็นเผ่าสัตว์ต่างๆและเผ่ากึ่งมนุษย์อยู่บ้าง โดยพอจะเปรียบสัดส่วนเผ่ามนุษย์ต่อเผ่าอื่นๆได้ในในอัตรา 6:1
ตัวเมืองนั้นเต็มไปด้วยผู้คนและมีชีวิตชีวาอย่างมาก ร้านค้าเรียงรายไปตามถนนหลัก เสียงร่าเริงของผู้คนและเสียงหัวเราะของเด็กๆสามารถได้ยินในตลอดเส้นทาง แสงไฟจากอาคารต่างๆและบรรยากาศทั้งหมดก็ช่างยอดเยี่ยม
แม้จะมีมุมมืดของเมืองอยู่บ้าง แต่โดยส่วนมากของเมืองมันก็เป็นเมืองที่คุณสามารถอยู่อาศัยได้อย่างมีความสุข
หลังจากเข้ามาในเมืองผมได้เข้าไปยังร้านค้าหลายร้าน และในตอนเย็น ผมก็ไปหาโรงแรมเพื่อค้างคืน วันนี้เป็นวันที่ยุ่งจริงๆ
ผมวางแผนว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองนี้ราวๆ 4 ถึง 5 วัน
และผมยังบอกกับเหล่าสาวๆของผมด้วยว่าพวกเธอสามารถที่จะเลือกอยู่อาศัยในเมืองนี้หลังจากที่ผมออกเดินทางก็ได้ หรือจะไปกับผมก็ได้ อย่างไรก็ตามผมก็ยินดีจะยอมรับการตัดสินใจของพวกเธอ
DAY 97 ออเก้อบ้านนอกตะลุยเมือง ≪Trient≫
วันนี้ สาวน้อยผมแดงเป็นไกด์พาผมไปเที่ยวรอบรอบเมืองล่ะ พวกเราไปยังอาคารขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนที่เธอเรียกว่า <<Central Guild Government Building>> อาคารศูนย์กลางการบริหารกิล ซึ่งคนที่มากับผมก็มี แดมมิจัง กับ สาวน้อยผมแดง ส่วนแบล็คสมิธซังก็เดินเที่ยวเมืองเหมือนกัน แต่เธอแยกไปเดินเที่ยวลำพังโดยมี เดมอน และลูกน้องคนอื่นๆอีกสามคนเป็นผู้ติดตาม เธอบอกว่าเธอแพลนที่จะขายไอเท็มคุณภาพต่ำทั่วๆไปเพื่อเตรียมเงินใว้สำหรับช๊อปปิ้งวันพรุ้งนี้
ผมขอพูดอีกครั้งว่า อาคารศูนย์กลางการบริหารกิล นั้นมีขนาดใหญ่มากจนแน่ใจได้เลยว่าข้างในจะต้องเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ภายนอกมันเป็นอาคารสามชั้น ในชั้นแรกพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยโรงแรมและร้านเหล้าหลายร้านตลอดทั้งชั้น ผมต้องบอกว่าถ้าไม่ใช่สาวน้อยผมแดงสะกิดแขนผมใว้ล่ะก็ ผมคงขอแยกตัวอยู่ที่นี่แหละครับ ผมชื่นชอบแอลกอฮอร์มากขนาดที่สามารถนั่งดื่มอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งวันเลยล่ะ ผมอาจไม่ได้ระวังตัวนัก ในตอนที่ผมเอาฮู้ดคลุมหัวออก มีหลายคนที่จับดาบของตัวเองขึ้นมาและผมเองก็ต้องคอยปราบสัญชาติญาณการป้องกันตัวของผมลง สำหรับพวกเขาการที่ชักดาบออกมาก็อาจจะเป็นวิธีที่เหมาะสมสำที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาหาเรื่องผม ถึงแม้ผมจะถูกลงมือก่อนแต่การฆ่าคนในเมืองก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ผมพยายามปัดป้องอย่างเบาที่สุดเท่าที่ผมจะเบาได้ แต่ดูจากรูปร่างแขนของเขาตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่ามันจะหักไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดมากเพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้ดาบมันแทงเข้าที่ตาผมล่ะ ท่ามกลางผู้คนที่ยืนขึ้นมารอบๆ ดูเหมือนพนักงานต้อนรับที่เคาเตอร์จะดูสงบกว่าคนอื่นๆ ผมมองดูไปยังรายการเควสต่างๆ ส่วนมากเป็นเควสล่าสัตว์บริเวณรอบๆเมืองเต็มไปหมด
เควสที่นี่นั้นเป็นเควสธรรมดาสุดสุด อย่างเช่นล่าและรวบรวมชิ้นส่วนจากเจ้าวัว Boruforu ผมดึงเอาชิ้นส่วนที่จำเป็นออกจากไอเท็มบ๊อกและส่งมันให้กับพนักงานเคาเตอร์ ผมบอกให้สาวน้อยผมแดงลงทะเบียนเป็นสมาชิกกิลของเมืองนี้ ในเมื่อสาวน้อยผมแดงนั้นเป็นสมาชิกกิลแล้วผมก็เอาชิ้นส่วนมอนเสตอร์ไปขึ้นรับรางวัลจากหลายๆเควสที่ผมล่าพวกมันไปเรียบร้อยแล้ว ผมยังต้องการข้อมูลและเงินจากการขายของอื่นๆอยู่อีกมาก ถึงแม้ว่ารางวัลที่ได้จากเควสจะดูไม่มีค่าสำหรับผม แต่สำหรับนักผจญภัยระดับกลางทั่วๆไปอย่างสาวน้อยผมแดงก็ยังนับว่าพอใช้ได้ล่ะนะ สุดท้ายผมก็ได้เจอกับตาแก่คนนึงที่ค่อนข้างมีความรู้เป็นอย่างดี ซึ่งเขาก็เป็นผู้ประสานงานกิลนั่นเอง
ในขณะที่ผมยืนคุยกับตาแก่อยู่ สาวน้อยผมแดงก็เดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางดีใจ เธอบอกว่าระดับของเธอในกิลของเมืองนี้สูงกว่าสมัยเธออยู่ที่กิลก่อนหน้านี้อีก สำหรับทักษะของเธอในตอนนี้ก็ถือว่าเหมาะสมกับเธอดีล่ะนะ
ในตอนนี้ผมชักสงสัยว่าแบล็คสมิธซังเป็นยังไงบ้าง ต่คิดไปผมก็ทำอะไรไม่ได้มากอยู่ดี พวกเราเดินเที่ยวในตัวเมืองต่อไปอีกสักพัก ก็มาเจอกับกลุ่มของอัลเคมิซซัง ผมตัดสินใจออกเดทเล็กๆกับพวกเธอในขณะเดินช๊อปปิ้ง แต่ผมก้็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ทำไมการช๊อปปิ้งถึงได้สำคัญกับพวกผู้หญิงมากนัก หรือทำไมพวกเธอถึงช๊อปปิ้งกันนานนัก คงคิดได้แค่ว่ามันคงเป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้นกับทั้งสองโลก หลายชั่วโมงผ่านไปผมชักจะเหนื่อยกับการเดินช๊อปปิ้ง ซึ่งมันคงจะลงเอยด้วยการที่ผมถือทุกสิ่งที่พวกเธอช๊อปปิ้งถ้าผมไม่มีไอเท็มบ๊อกอยู่
อย่างไรก็ดีมีคนแอบสะกดรอยตามผมมา ผมปล่อยให้พวกผู้หญิงเดินล่วงหน้าไปก่อนส่วนผมเดินแยกลงมาตามตรอก ที่นั่นผู้ชายที่แอบสะกดรอยตามผมก็ทำการโจมตี ผมจัดการให้เจ้านั่นลงไปนอนกองสลบบนพื้นด้วยการเหวี่ยงเพียงครั้งเดียว และจับมันแก้ผ้าออกล่อนจ้อนทิ้งใว้ที่นั่น นับเป็นการลงโทษที่เหมาะสมแล้วซึ่งปรกติผมคงจะฆ่ามันทิ้ง
ผมพยายามจะไม่ให้เป็นที่สนใจจากคนอื่นๆน่ะ
หลังจากที่พวกเรากลับมาถึงที่พักผมฝึกซ้อมเบาๆกับแดมดิจัง และสาวน้อยผมแดงนิดหน่อยก่อนจะไปนอน
DAY 98
เช้าวันนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมเบาๆกับสาวๆบริเวณที่ว่างใกล้ๆโรงแรม ผมตัดสินใจว่าวันนี้จะออกไปเดินเล่นตามทางเพียงลำพัง
แดมมิจัง บอกผมว่าเธอจะไปช๊อปปิ้งเสื้อผ้ากับแบล็คสมิธซัง ผมเลยให้ เดมอน สามตน ที่เป็น ไฟร์เดมอนคุง เดมอนภาพมายาคุง โดยทั้งสองตนติดตามไปเป็นเบ้ยกของให้พวกเธอ และเนื่องจากเดมอนอีกตนหนึ่ง วินด์เดมอนจัง เป็นผู้หญิง ดังนั้นเธอน่าจะเพลิดเพลินกับการช๊อปปิ้งไปกับสาวคนอื่นๆ
ก่อนที่ผมจะออกไป ผมรีบดึงตัวเดมอนทั้งสามมาและขอบคุณที่พวกเขากลายมาเป็นแพะ คอยเดินถือของให้สาวๆแทนผม
เพื่อที่ผมจะสามารถเดินเล่นอย่างสบายใจ แค่ฮู้ดและผ้าคลุมไม่สามารถปกปิดร่างกายออเก้อของผมได้ ผมใช้สกิล [Metamorphosis] และ [Makeover Shape Shifting] เปลี่ยนร่างกายตัวเองให้อยู่ในรูปร่างเหมือนสมัยผมเป็นมนุษย์
ผมต้องระมัดระวังตัวให้ดี มันจะดีกว่าที่ทำตัวไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยจนเป็นเรื่องขึ้นที่เมืองนี้
ผมออกเดินรวบรวมข่าวสารต่างๆภายในเมือง , ผมอยากจะบอกว่าที่เมืองนี้ข่าวลือนั้นแพร่กระจายเร็วจริงๆ
โดยปรกติแล้วโอเกอร์เป็นที่รู้จักในนามของ มอนเสตอร์ ที่มักจะเป็นฝ่ายรุกรานเผ่าพันธ์อื่นๆ แม้ว่าโอเกอร์เมจจะไม่ถูกเหมารวมเข้าไปด้วย เพราะว่าเป็นพวกที่ไม่ค่อยจะเข้ารุกรานพวกมนุษย์ แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายอย่างมาก พวกมนุษย์จึงคอยระมัดระวังพวกนี้เป็นอย่างมาก สถาณการณ์ของผมตอนอยู่ที่ประตูเข้าเมืองน่าจะพิสูจได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ประตูเมือง พวกยามเหล่านั้นมีตาหามีแววไม่ พวกเขามองไม่ออกว่าผมนั้นแตกต่างจากพวกโอเกอร์ทั่วๆไป
การใช้อคติตัดสินโดยปราศจากเหตุผล... ธรรมชาติของพวกมนุษย์สินะ...
ผมเดินไปตามถนนหลักภายในเมืองประมาณสามชั่วโมง หลังจากนั้นก็แวะทานอาหารที่ภัตตาคารและใช้เวลานิดหน่อยไปในการรวบรวมข้อมูล หลังจากนั้นผมก็จากไปเพื่อออกสำรวจเมืองต่อ
เนื่องจากอุปกรณ์ที่ผมสวมใส่อยู่นั้นค่อยข้างดูดี ซึ่งอาจจะทำให้ตกเป็นเป้าหมายอันโอชะของพวกอันธพาลได้
ไม่ทันขาดคำ ผมพบว่ามีพวกอันธพาลสะกดรอยตามผมมา ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีทั้งหมดหกคน พวกมันพกอาวุธเป็นมีดและขวานเล็ก และเรื่องน่าตลกที่สุดคือลักษณะเสียงหัวเราะของเจ้าพวกโง่เหลานี้ส่งเสียงดัง เฮี๊ยะ ฮี่ ฮี่ ผมคิดว่าราวกับมันจะเป็นมาตรฐานเสียงหัวเราะของพวกตัวร้ายล่ะ
ผมเดินลงไปตามตรอกเพื่อจะหลอกให้เจ้าพวกงั่งนี่ให้เข้าโจมตีผม เมื่อมาถึงบริเวณที่ไม่มีผู้คน ปราศจากการพูดข่มขู่พวกอันธพาลก็เข้าโจมตีผมทันที เนื่องจากผมลืมไปว่ากำลังอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ ร่างกายผมก็เล็กกว่าปกติ เซ้นซ์เรื่องการกะระยะเลยคลาดเคลื่อน การโจมตีด้วยมีดในครั้งแรกจึงสามารถพุ่งตรงปักเข้าไปยังหัวใจผม
แต่นับเป็นโชคร้ายของพวกอันธพาล แม้ผมจะอยู่ในรูปร่างของมนุษย์แต่ผมก็ยังเป็นโอเก้ออยู่ดี บาดแผลแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรผมได้ พวกอันธพาลที่เห็นว่าผมยังไม่ตายไม่แม้แต่จะรู้สึกเจ็บ เจ้าคนที่แทงผมชักมีดกลับด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นผมก็เล่นกับพวกมันอยู่สักพัก สั่งสอนให้พวกมันลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างร้ายกาจจนกว่าพวกมันจะร้องขอความตาย ความเจ็บปวดบังคับให้พวกมันร้องขอความตายอีกเป็นครั้งที่สอง อันที่จริงผมก็ไม่ใช่คนโหดร้ายอะไร ผมจึงจบชีวิตพวกมันลงอย่างรวดเร็วด้วยการหักคอ ผมตัดสินใจสวาปามเพื่อกำจัดศพที่ด้านหลังของตรอก ถึงแม้ว่าจากสกิลตรวจจับของผม [Presence Sensor] จะบอกว่าไม่มีีคนอยู่ แต่ผมก็รีบเขมือบพวกมันให้เร็วที่สุด
Ability unlocked [Job-Thief] อาชีพโจร
Ability unlocked [Silent Stab] การแทงอย่างเงียบเชียบ
Ability unlocked [Smoke Bomb] ระเบิดควัน
พวกมันทั้งหกคงจะเป็นพวกโจร และเนื่องจากที่พวกมันทุกคนสวมแหวนที่มีลักษณะเหมือนกัน ดูเหมือนพวกมันจะอยู่ในกลุ่มโจรเดียวกัน และอาจเป็นไปได้กว่ามันอาจจะเป็นองกรค์ที่มีสมาชิกจำนวนมากด้วยน่ะสิ
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผม สำหรับตอนนี้ผมจึงตัดสินใจทิ้งเรื่องราวเหล่านี้เอาใว้
อุปกรณ์ของพวกมันไม่ถูกเก็บมาด้วย เนื่องจากมันไม่มีค่าอะไรสักชิ้น ผมตัดสินใจแก้ปัญหาละลายพวกมันด้วยทักษะกรดกรัดกร่อนจากร่างกายผม ลบร่องรอบการตายของพวกมันทั้งหกอย่างหมดจด
ผมเดินไปตามถนนด้านหลังไปอีกสักพัก หวังจะให้มีพวกอันธพาลกระโดดเข้าใส่ผมอีก แต่ผมกลับเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งท่าทางกำลังจะโดนผู้ชายห้าคนรุมทำร้าย
พวกผู้ชายทั้งห้านั้นมีออร่าที่เข้มแข็งแผ่ออกมา พวกนั้นทั้งหมดน่าจะอายุราวๆยีสิบปลายๆ พกมีดอยู่ที่หน้าอก ผมคิดว่าการนองเลือดคงเป็นเรื่องปรกติสำหรับคนพวกนี้
ในขณะเดียวกัน เด็กผู้ชายนั้นมีอายุราวๆ สิบสาม สิบสี่ปี
ผมสีบลอนของเขาเป็นประกายสะท้อนกับแสงสลัวๆในตรอก ประกอบกับหน้าตาน่ารักดูดียิ่งทำให้เป็นประกายมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโตขึ้นต้องกลายเป็นหนุ่มรูปงามแน่นอน เขาสวมใส่เกราะเบาสีเงิน-ขาว ผ้าคลุมสีแดง เขาอาจจะเป็นอัศวินฝึกหัด ตัดสินจากดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวและรูปร่างของเขา ผมเดาว่าเขาต้องเป็นคนที่มาจากบ้านที่มีฐานะดี เป็นสมาชิกของครอบคัวของชนชั้นสูงที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี
ในขณะที่ผมซ่อนตัวเองอยู่ ผมติดสินใจแอบฟังและดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้เหมือนจะเป็นอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการลักพาตัว
อัศวินหนุ่มน้อยดูเหมือนจะพยายามจะเอาข้อมูลอะไรบางอย่างจากพวกอันธพาล ในขณะที่เหตุการณ์ดำเนินไป เขาค่อยๆเตรียมตัวพร้อมที่จะชักดาบออกมา ผมไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรอยู่แล้ว จริงๆแล้วผมกำลังจะเดินจากไปอยู่แล้วเชียว แต่ผมไปสังเกตุเห็นว่าพวกอันธพาลเหล่านั้นใส่แหวนเหมือนกับพวกที่ผมเพิ่งกินมาสักครู่
ในขณะที่ผมคิดว่าผมไม่ควรจะอยู่ดูต่อไปอีกเพื่อไม่ให้เรื่องมันมายุ่งเกี่ยวกับผม และก็เป็นไปตามคาดการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น
ถึงแม้ว่าพวกอันธพาลจะมีจำนวนมากกว่า แต่เด็กหนุ่มก็สวมใส่อุปกรณ์ที่ดีกว่ามาก แม้จะมีจำนวนมากกว่าแต่ก็ไม่สามารถจัดการกับเด็กหนุ่มได้โดยง่าย แต่ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็พ่ายแพ้สลบไปและถูกจับจนได้
พวกอันธพาลจับกดเด็กหนุ่มลงกับพื้นและอันธพาลอีกคนหนึ่งก็กำลังจะเอามีดแทงลงไปที่อกของเขา ชายคนนั้นง้างมีดและเหวี่ยงมันลงมาเต็มแรงหมายที่จะปักไปยังอกหนุ่มน้อยที่ปราศจากการป้องกัน ในจังหวะนั้นเองผมกระโดดเข้าไปจัดการอันธพาลทั้งห้าให้สลบ สำหรับตอนนี้ผมตัดสินใจไม่เอาชีวิตพวกมัน และใช้สกิล [Parasite] ปรสิต กับพวกมัน เพื่อที่จะสืบถึงที่ซ่อนตัวของพวกอันธพาล
ผมแบกเด็กหนุ่มที่หมดสติขึ้นและออกจากที่เกิดเหตุ แม้มันจะดูวุ่นวายไปหน่อย เพื่อไม่ให้พวกอันธพาลถูกจับไปในขณะที่กำลังหมดสติอยู่ ผมเอาพวกมันไปซ่อนแถวนั้นก่อนเดินออกมา
เมื่อเราเดินออกมายังสถานที่ห่างไกลสักหน่อยแล้ว ผมทำการรักษาบาดแผลของเด็กหนุ่ม แน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายน่ะ เด็กหนุ่มทำหน้าซีดใส่ผมอีกแหนะ สำหรับพวกโจรผมบอกเด็กหนุ่มไปว่า ผมฆ่าพวกมันไปหมดแล้วและคนช่วยชีวิตหนุ่มน้อยก็คือผม มันเป็นแค่การโกหกบางส่วนน่ะ สำหรับพวกโจรยังไงซะก็อาจจะจบด้วยการที่โดนผมฆ่าทิ้งหลังจากที่ผมรู้รังลับจากพวกมันแล้วล่ะนะ เด็กหนุ่มถามผมว่าผมเป็นใคร ผมไม่บอกว่าจริงๆแล้วผมเป็นใคร แต่ตอบเขาไปอย่างครุมเครือว่า ผมเป็นเพียงทหารรับจ้างทั่วๆไปคนหนึ่ง
DAY 99
เวลาตีสามเช้านี้ ในเวลาที่เมืองทั้งเมืองยังถูกปกคลุมอยู่ในความมืด ผมตัดสินใจอยู่ในร่างโอเกอร์เพราะมันจะเคลื่อนไหวถนัดกว่าตอนอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ คนที่อยู่กับผมมีแดมมิจัง เดมอนภาพมายาคุง และอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเรา อัศวินหนุ่มน้อยที่ผมช่วยเอาใว้เมื่อวานนั่นเอง เรื่องราวตอนนี้มันเกิดมาจากเมื่อวานหลังจากผมพาหนุ่มน้อยเข้ามาในโรงแรม และได้รับการติดต่อจากบุคคุลกลุ่มหนึ่ง
เด็กหนุ่มได้หายออกไปกับคนพวกนั้นเป็นชั่วโมง แต่ก่อนนั้นเขาได้ขอให้ผมรออยู่ที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือในภารกิจบางอย่างที่สำคัญมากๆ ผมเริ่มรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และผมก็เห็นว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฎิเสธ ณจุดนั้นเอง อัศวินหนุ่มน้อยได้ยื่นคำร้องขอต่อผม ว่าจะให้ผมช่วยเป็นทหารรับจ้างให้กับเขาได้หรือไม่ สิ่งที่เขาต้องการคือกองกำลังสำหรับภารกิจสำคัญเพื่อผู้สูงศักดิ์ที่เป็นเจ้านายของเขา หลังจากที่ผมตอบตกลงคำร้องขอในขั้นต้นกับเขา เขาก็เปิดเผยถึงภารกิจที่เขากำลังทำอยู่นั่นคือการไปชิงตัว องหญิงจอมแก่น ที่เขาเป็นข้ารับใช้กลับมา
ดูเหมือนว่าองหญิงคนนั้นจะเดินทางมายังเมือง ≪Trient≫ อย่างไม่เป็นทางการและไม่เปิดเผย โดยเธอได้หายตัวไปในระหว่างที่อยู่อาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งดูเหมือนว่าการลักพาตัวองหญิงจะถูกบงการโดยหัวหน้าขององกรค์เรียกค่าไถ่องกรค์หนึ่ง และได้ส่งจดหมายเรียกค่าไถ่มา อัศวินหนุ่มจึงเร่งรีบเอาเงินค่าไถ่ออกไปยื่นให้ด้วยตัวเอง ซึ่งในเหตุการนั้นผมก็บังเอิญอยู่เป็นสักขีพยานขณะทำการแลกเปลี่ยนวันเมื่อวานพอดี
ซึ่งเหตุผลที่พวกเขากำลังมีปัญหากับพวกโจรเมื่อวานนี้ เหตุก็เพราะว่าพวกมันต้องการเรียกเงินเรียกค่าไถ่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่เรียกไปก่อนหน้า แต่ผลสุดท้ายก็ดูเหมือนผลลัพท์จะออกมาไม่ได้แย่นักเพราะหลังจากที่ผมอัดพวกมันจนสลบผมใช้สกิลปรสิตใส่ไปกับพวกโจร ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ผมจะสามารถตามสะกดรอยเพื่อไปยังฐานของเจ้าพวกนั้นได้น่ะซิ
โอ้ใช่แล้ว สำหรับอัศวินหนุ่มน้อย ชื่อของเขาคือ Nomeshi โนเมชิ ผมต้องพยายามที่จะไม่สนใจการกระทำที่น่ารำคาญของเขา เพราะหากเพียงผมตบเขาเบาๆ เขาอาจจะตายก็ได้
พวกเราทุกคนออกตามรอยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง อาคารของอดีตขุนนางชนชั้นสูงที่หมดอำนาจไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็นที่นี่ล่ะที่เป็นที่ซ่อนของพวกโจร นี่มันน่าจะมีเรื่องราวอะไรบางอย่างมาเกี่ยวข้องมากกว่าเป็นแค่การลักพาตัวองหญิงธรรมดาๆแล้วสิ หึหึหึหึ
พวกเราสะกดรอยตามพวกโจรมาโดยมีเหล่าทหารตามอัศวินหนุ่มมาด้วย แม้ว่ามันจะทำให้ผมไม่ค่อยพอใจ เพราะการลบร่องรอยและการทำตัวให้ไม่เป็นที่สังเกตุน่าจะเป็นเรื่องสำคัญในการแอบสะกดรอยตาม มันควรจะมีแค่หน่วยแกะรอยหลักๆเท่านั้นที่จะไปช่วยองหญิง อย่างไรก็ตามในเมื่ออัศวินหนุ่มอยู่ในฐานะผู้ว่าจ้าง ผมจะยอมทำตามก็ได้
ในช่วงเวลานั้นเองสาวน้อยผมแดงและสาวๆคนอื่นๆยังคงหลับอยู่ โดยมีเดมอนอีกสองตนเป็นผู้คุ้มกัน ดังนั้นผมคงไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา และแค่พวกเราสามคนก็น่าจะเพียงพอแล้ว แน่นอนว่าไม่นับรวมอัศวินหนุ่ม เพราะเขาแทบจะไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ เมื่อเทียบกับพวกเราความสามารถในการรบของอัศวินหนุ่มนั้นแทบจะเป็นศูนย์
เมื่อเราสะกดรอยมาถึงบริเวณรังลับของพวกโจร ผมซัมม่อน แบล็คสเกลตันแอซซาซินออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อไ่มให้พวกมันรู้ตัวและส่งสัญญาณเตือนภัยได้ ผมส่งสเกลตันแอซซาซินไปสังหารใครก็ตามที่คอยทำหน้าที่เฝ้าระวังในบริเวณรอบๆ หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีผู้ชายสิบกว่าคนในบริเวณนั้นก็กลายเป็นศพ
หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกที่อยู่ข้างนอกตายหมด ผมก็บุกเข้าไปยังสถานรังลับของศัตรูด้วยตัวเอง พูดจริงๆนะ ผลลัพท์ก็คือองค์กรทั้งองค์กรถูกทำลายลงอย่างไม่ยากลำบากเลยสักนิด ทั้งหมดมันจบก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นซะอีก ตัวหัวหน้าของพวกโจรนั้นอยู่ในสภาพเมาจนไม่ได้สติคงเพราะดื่มมากเกินไป และผมก็แค่ฆ่ามันตายไปง่ายๆอย่างนั้นเลย ส่วนพวกคนอื่นๆก็ถูกฆ่าตายหมดไม่เหลือสักคน ฆ่าคนทั้งองค์กรซะเรียบ.... อย่างไรซะผมก็ทำตามสัญญาจ้างก็ช่วยไม่ได้อะนะ อุฮิ
พวกเราช่วยเหลือองหญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย... ตรงข้ามจากสิ่งที่ผมคาดใว้จากชื่อเรียก องหญิงทอมบอยของเธอ รูปร่างเธอนั้นช่างงดงาม เปราะบางจนหากเพียงผมสัมผัสเธอเบาเบาก็อาจจะแตกหักได้ ดูเหมือนเธอจะอายุประมาณสิบถึงสิบสองปี สีผมของเธอเป็นสีเงินแพลททินั่ม ความสวยของเธอนั้นเป็นที่สุด แม้ตอนนี้เธอจะอายุน้อยอยู่ แต่ไม่นานเธอจะเติบโตเป็นสาวงามเป็นดั่งอัญมณีแห่งอาณาจักรอย่างแน่นอน
เธอถูกพันธนาการด้วยตรวนเหล็กและถูกปิดปากใว้ นับว่าโชคดีที่ตลอดระยะเวลาที่เธอถูกจับเป็นตัวประกัน เธอถูกพวกโจรให้กินยาจำนวนมากซึ่งทำให้เธออยู่ในสภาพหลับตลอดเวลา โดยส่วนที่ได้รับความเสียหายจึงมีเพียงเสื้อผ้าเล็กน้อยเท่านั้นที่ขาดวิ่น
หลังจากที่องค์หญิงปลอดภัยแล้ว ผมลองถามอัศวินหนุ่มว่าจะเป็นอะไรมั้ยถ้าผมจะเก็บเอาสิ่งของต่างๆที่อยู่ในรังโจรแห่งนี้ ซึ่งแม้ว่ายังไงผมก็กะจะเอาทุกอย่างที่ผมต้องการไปอยู่ดี แต่ผมคิดว่าขออณุญาติสักหน่อยก็น่าจะโอเค ผมได้รับอณุญาติผมจึงรวบรวมไอเท็มได้ไปหลายอย่าง ถึงแม้ว่าของส่วนใหญ่จะไม่มีประโยชน์ต่อผมก็ตาม อัศวินหนุ่มน้อยค้นพบเอกสารน่าสงสัยหลายอย่างในโต๊ะส่วนตัวของหัวหน้าโจร จากเอกสารดูเหมือนว่าการลักพาตัวองหญิงจะถูกวางแผนล่วงหน้ามาแล้ว มันมีข้อมูลเส้นทางการเดินทาง สถานที่พัก แม้กระทั่งรายละเอียดของผู้คุ้มกันของเธออย่างละเอียด สถานการณ์มันเริ่มน่าสนใจมากขึ้นแล้วสิ
แต่ว่า... เด็กหนุ่มห้ามไม่ให้ผมเขมือบเจ้าพวกที่ตายแล้ว และยืนยันให้จัดการศพเหล่านั้นตามพิธีน่ะ ... หึ่ยยย น่ารำคาญอะ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันที่จริงแล้ว เรื่องที่องหญิงถูกลักพาตัวได้ถูกวางแผนเอาใว้ และหนุ่มน้อยก็ได้ร่วมมือกับกลุ่มคนแปลกหน้าเพื่อมาช่วยองหญิง เบื้องหลังการลักพาตัวที่ถูกค้นพบควรจะต้องถูกรายงานไปยังเบื้องบน แต่ทั้งหมดนี้มันกำลังสูญเปล่า
เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการจะปกปิดเรื่องที่องหญิงถูกลักพาตัว
แทนที่จะตรวจสอบ ทำการสอบสวนและหาผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างสาสม กลายเป็นทำเหมือนกับว่าเหตุการลักพาตัวนั้นไม่เคยเกิดขึ้นและการหายตัวไปเป็นเพียงการเล่นซนขององหญิง
หลังจากนั้น ผมก็ทำอะไรบางอย่างจริงๆก็ไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไหร่ ผมให้เดมอนแห่งภาพลวงตา ทำการสะกดจิตใส่ทั้งอัศวินหนุ่มและองหญิง เนื่องจากผมสนใจที่จะพบปะกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ในวัง โดยให้อัศวินหนุ่มน้อยเขียนเป็นบันทึกเข้าไปในรายงาน ด้วยวิธีการนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อจะให้ผมได้สิทธิพิเศษนั้น แต่กระนั้นผลการสะกดจิตก็ออกจะดีมากเกินไปหน่อย จนผมรู้สึกตะหงิดๆ
หลังจากถูกสะกดจิต อัศวินหนุ่มได้ภักดีต่อผมเหมือนเช่นที่ปฏิบัติกับองหญิง ในขณะที่องหญิงเองก็รู้สึกกับผมเป็นเพื่อนที่พิเศษที่สุดคนหนึ่ง
จากนั้นผมทำให้สติของพวกเขาเบลอลงไปชั่วขณะ แล้วก็ทำการเก็บกวาดกินพวกศพโจรทั้งหมดในองกรค์นั่นซะ
Ability unlocked [Spider Yarn Web] เส้นดายใยแมงมุม
Ability unlocked [Poison Smoke Bomb] ระเบิดควันพิษ
Ability unlocked [Wiretapping] ดักฟัง
Ability unlocked [Kidnap] ลักพาตัว
หุ หุ ดูเหมือนว่าผมจะเก็บเกี่ยวจากภารกิจนี้ได้มากกว่าที่คิด ก่อนที่พระอาทิตย์จะทอแสงขึ้นในยามเช้า พวกเราก็ถอนกำลังกลับจากรังลับแห่งนั้น
หลังจากนั้นผมก็หลับไปจนถึงเที่ยง ในตอนนั้นเองอัศวินหนุ่มน้อยก็มอบรางวันพิเศษให้แก่การทำงานของผม มันเป็นจดหมายจากสภาหอการค้า และการพบกับรองผู้จัดการ
วันรุ่งขึ้น ผมวางแผนว่าจะเดินทางออกจากเมือง
เนื่องจากเด็กๆรุ่นต่อไปก็ลังจะเกิดในเร็วๆนี้ ดังนั้นแม้การเดินทางกลับไปจะเป็นเพียงระยะเวลาชั่วครู่แต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็น
โอ้ ส่วนที่เหลือในวันนี้ทั้งวัน แบล็คสมิธซังลากผมไปช๊อบปิ้ง....
DAY 100
แบล็คสมิธซังพาผมออกมาเดินช๊อปปิ้งเล่นในยาวเช้าพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามของเธอเพื่อซื้ออะไรเล็กๆน้อยๆก่อนที่พวกเราจะเริ่มออกเดินทางกลับบ้านกัน ผมไม่ได้รู้สึกไม่อยากมาหรอกกลับกันผมกลับรู้สึกยินดีมากกว่าเสียอีก
ในช่วงสายของเช้าวันนั้น เป็นเวลาก่อนที่พวกเราจะเตรียมพร้อมเพื่อออกเดินทางออกจากเมืองกันตามแผน
ในขณะที่ผมกำลังออกจากโรงแรมเพื่อไปขึ้นรถม้า อัศวินหนุ่มที่มาพร้อมกับองค์หญิงได้เข้ามาหยุดผมเอาใว้พร้อมกับยื่นข้อเสนอสัญญาจ้างงานอะไรบางอย่างอีกอัน
ในช่วงแรงของการสนทนานั้นค่อนข้างฝืดและผมไม่อยากจะพูดถึง เพราะผมเองก็ไม่ค่อยถนัดกับประโยคเวิ่นเว้อของพวกชนชั้นสูง โดยสรุปประเด็นที่พูดถึงคือองค์หญิงนั้นรู้สึกขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือเธอใว้เมื่อวาน
ผมซึ่งเป็นโอเก้อกำลังนั่งสนทนาอยู่ข้างๆองค์หญิงมันช่าง%!@# ในตอนนี้ผมต้องใช้ความอดทนขั้นสูงสุดเลยทีเดียว
ผมมองไปยังกระเป๋าที่อัศวินหนุ่มหิ้วมา ในแขนของเขาเป็นกระเป๋าขนาดใหญ่ขนาดครึ่งตัวของเขาส่งเสียงกระทบกันซึ่งดูเหมือนมันจะต้องเป็นเหรียญทอง ในตอนนั้นเองผมก็คิดแล้วว่ามันเป็นงานประเภทไหนกันที่ถึงกับจะต้องจ่ายเป็นเงินมากขนาดนี้ พูดเลยผมเริ่มอยากจะรู้แล้วสิว่าภารกิจอะไรที่พวกเขานำมาให้ผมและกลุ่มของผม
ในที่สุดองค์หญิงก็เผยถึงสิ่งที่เธอต้องการ เธอรู้สึกกังวลในความปลอดภัยของเธอ ซึ่งก่อนหน้านี้เหล่าทหารติดตามก็ล้มเหลวและไม่สามารถปกป้องเธอได้ องค์หญิงต้องการให้พวกเราคอยคุ้มกันเธอกลับไปยังเมืองหลวง
สถาณการในตอนนี้ค่อนข้างทำให้ผมรู้สึกลำบากใจ เนื่องจากจำนวนเหรียญทองนั่นก็มากโข แต่ลูกของผมก็กำลังจะเกิดเร็วๆนี้แล้วด้วยสิ
ผมตัดใจจะเดินทางกลับแต่เมื่อพวกเขาบอกผมว่าถุงทองนี้เป็นเพียงเงินมัดจำและค่าตอบแทนในภารกิจนี้คือเครื่องทองคำ ซึ่งมูลค่าของมันนั้นมากกว่าหนึ่งล้านเหรียญทอง ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ใจผมนี่ตกลงรับภารกิจช่วยเหลือองค์หญิงในทันที
สาวน้อยผมแดงเคยเล่าว่า คุณสามารถได้รับเครื่องเงินเป็นค่าตอบแทนจากภารกิจที่ได้รับ ซึ่งสามารถนำไปแลกได้ถึงหนึ่งหมื่นเหรียญทองที่เมืองหลวง
เพื่อจะให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น หนึ่งเหรียญทองมีค่าประมาณ สิบเยน และเครื่องเงินนั้นมีค่าประมาณ หนึ่งแสนเยน และภารกิจคุ้มกันองค์หญิงนี้ก็มีรางวัลถึงมูลค่ากว่า สิบล้านเยน (จานทองหลายใบ) ผมนี่ไม่กังวลแม้แต่น้อยที่จะเอาเงินจากเชื้อพระวงศ์พวกนี้ แม้เงินนั้นมันจะมาจากเหล่าผู้คนที่จ่ายภาษี ถึงอย่างไรพวกชนชั้นสูงเหล่านี้ก็ใช้จ่ายตามอำเภอใจอยู่แล้ว
หากเปรียบเทียบความเสี่ยงของภารกิิจกับเงินรางวัลแล้วสามารถพูดได้ว่ามันมีมูลค่ามหาศาล ถึงแม้จะเอาเรื่องขององค์หญิงมาประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว การเดินทางไปยังเมืองหลวงก็ยังไม่ใช่เรื่องแย่อะไรอยู่ดี
ตราบใดที่ผมสามารถดูแลเด็กๆที่เกิดขึ้นมาได้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ในเมื่อเป้าหมายในการเดินทางของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว ผมลองคิดหาทางที่จะโน้มน้าวองค์หญิงให้อณุญาติให้พวกเราส่งพวกผู้หญิงที่ไม่ใช่กำลังรบกลับฐานทัพของพวกเรา
พวกเรารอองค์หญิงอยู่ที่ประตูเมือง Demuki Gate ตามที่ตกลงกันใว้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงมีเพียงอัศวินหนุ่มน้อยและองค์หญิงและรถขนสัมภาระที่เต็มไปด้วยสิ่งของอำนวยความสะดวกที่องค์หญิงใช้ยามออกเดินทางหลายอย่าง
เมื่อผมถามถึงพวกบอดี้การ์ดของเธอหายไปไหน ผมได้คำตอบว่า เขาสงสัยว่าอาจมีบอดี้การ์ดที่คอยให้ความช่วยเหลือในการก่อเหตุลักพาตัว ดังนั้นจึงไล่พวกนั้นไปหลังจากที่พวกเราตกลงทำสัญญาด้วย
เมื่อผมฟังคำอธิบายนี่ถึงกับเหงื่อตก พวกเขาทั้งสองทิ้งคณะติดตามทั้งหมดและจะเดินทางไปกับพวกเรา
ให้ตายสิ วิธีคิดของสองคนนี้ทำเอาผมปวดหัวใช้ได้เลย แต่ยังไงซะก็รับทำภารกิจมาแล้วคงบ่นอะไรไม่ได้ จากนี้ไปก็คงต้องเดินทางกันระมัดระวังหน่อยละ
เฮ้อ... ภารกิจนี้มันชักจะไม่มีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆสะแล้ว
หลังจากรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ผมตัดใจว่าจำเป็นที่จะต้องรีบเดินทางไปยังเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ในขณะที่ผมกำลังต่อสู้กับความขัดแย้งในใจตัวเอง พวกเราจึงรีบออกเดินทางไป สำหรับภารกิจในครั้งนี้ผมเปิดใช้สกิล [Luck] และ [Golden Rule] เพิ่มความโชคดี หวังว่ามันจะช่วยทำให้การเดินทางในครั้งนี้ปลอดจากอุปสรรคมาขัดขวางนะ
ในขณะที่พวกเรากำลังออกเดินทาง ผมสังเกตุเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเหมือนกำลังไล่ตามพวกเรามา ผมเลยถามทั้งสองคนอีกครั้งพวกเขาบอกว่า บางคนในกลุ่มที่กำลังไล่ตามเรามาเป็นคนในทีมคุ้มกันและดูเหมือนครั้งนี้พวกมันจะมากับโจรเป็นฝูงอย่างเปิดเผยเลย
เมื่อพวกกลุ่มโจรไล่ตามเราทัน องค์หญิงก็สั่งให้ผมคุ้มครองเธอ
เหตุการจบลงด้วยการที่ผมฆ่าพวกที่ไล่ตามมาทิ้งทั้งหมด แย่ที่สุด... ถ้าถึงเวลาที่ผมต้องแนะนำตัวเองในเมืองหลวง การเชือดเจ้าพวกคณะติดตามทั้งหมดนี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของผมดูไม่ดี ถึงแม้จะสามารถโยนความรับผิดชอบการตายว่าเป็นการทำเพื่อปกป้ององค์หญิงก็ตาม
และเนื่องจากเราต้องการให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น ผมเก็บสัมภาระขององหญิงทั้งหมดลงในไอเท็มบ๊อกของผมและทิ้งรถม้าขององหญิงเอาใว้ และย้ายให้องค์หญิงมานั่งที่รถม้าของผม เพราะว่ามันจะปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ ถึงยังงั้นก็เถอะ องค์หญิงดูเหมือนจะชอบนั่งอยู่บนไหล่ของผมมากกว่า เหมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้เธอนั่งอยู่บนหัวไหล่ผมเกือบตลอดเวลา
ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก เพียงแต่ต้องทำให้แน่ใจว่าเธอจะถึงที่หมายโดยไม่ได้รับบาดเจ็บน่ะนะ
อืมมมมม เด็กผู้หญิงนั่งอยู่บนไหล่ของนักรบคลั่ง.... ผมคิดว่าผมเคยเห็นภาพแบบนี้จากที่ไหนสักแห่งมาก่อนน่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น