หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.1 Chapter 4


Part 1

บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นอยู่ใกล้กับลานของหมู่บ้าน ภายในบ้านเมื่อมองไปทางขวามือจะพบพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ที่ติดกับห้องครัว บริเวณห้องรับแขกที่โล่งเตียนมีโต๊ะโกโรโกโสตั้งอยู่โดยมีเก้าอี้หลายตัวล้อมรอบ
ไอร์ซนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งพร้อมสำรวจภายใน
แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่างทรงตารางให้ความสว่างทั่วทุกพื้นที่ในบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ [ไนท์วิชั่น] ก็ยังอาจสามารถมองเห็นโดยรอบได้อย่างชัดเจน


ไอร์ซมองไปยังหญิงที่อยู่ตรงมุมของห้องครัวที่ตอนนี้มีข้าวของต่างๆกระจายระเกะระกะทั่วบ้านไปหมด
เมื่อดูแล้วก็พบว่าไม่มีวี่แววของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เห็นเลย

ในตอนที้ไอร์ซคิดว่าในโลกนี้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีดูจะมีการพัฒนาไปน้อยมาก เขาก็ตระหนักขึ้นมาทันทีว่าเขาดูจะคิดง่ายเงินไป เนื่องจากเวทย์มนตร์ทำผู้คนไม่มีความจำเป็นในการเร่งพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์

ไอร์ซค่อยๆขยับมือไปวางบนโต๊ะที่ถูกใช้งานอย่างโชกโชนเพื่อหลบแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามา ทันทีที่เขาวางมือโต๊ะก็โคลงเคลงไปมามาแม้ถึงมือโลหะของเขาจะไม่ได้มีน้ำหนักมากมายนัก อีกทั้งเก้าอี้ก็ยังส่งเสียงอี๊ดอ๊าดดังลั่นจนไอร์ซไม่กว่าลงน้ำหนักลงไปจนหมด

ซึ่งหากให้อธิบายคงบอกได้ว่าที่นี่มันน่าโทรมสุดๆ

เพื่อที่จะหลบภาพที่ไม่โสภาตรงหน้า ไอร์ซหยิบไม้เท้ามาพิงกับโต๊ะ โดยวางให้กระทบกับแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดแสงสะท้อนไปทั่ว นั่นทำให้ตอนนี้แม้เขาจะอยู่ในบ้านที่ใกล้จะพัง เขาก็ยังรู้สึกเหมือนรายล้อมด้วยภาพมายาของโลกอันพิศวง จากนั้นไอร์ซก็สังเกตถึงสายตางชาวบ้านที่ตกตะลึงกับความงามเบื้องหน้า
ภาพชาวบ้านที่ตกอยู่ภายใต้ความน่าเกรงขาม ทำให้ไอร์ซที่ถือครองไม้เท้าระดับสูงที่ตัวเขา และผองเพื่อนร่วมกันสร้างขึ้นมาเกิดความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แต่ทว่าความรู้สึกนี้ก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงความยินดีธรรมดาเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ไอร์ซขมวดคิ้วที่ไม่มีคิ้วนั้นขึ้นมา
เขาไม่ชอบใจกับการถูกบังคับให้สงบใจแบบนี้เลย แต่การที่เขาจะมาหมกมุ่นสับสนกับเรื่องนี้ดูจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตได้ เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ไอร์ซจึงเตรียมตัวสำหรับการท้าทายที่เบื้องหน้า

เขายังต้องเจรจาต่อรองกับหัวหน้าหมู่บ้านในเรื่องรางวัลจากการช่วยเหลือหมู่บ้านนี้
เป้าหมายที่แท้จริงของไอร์ซคือการรวบรวมข้อมูลข่าวสารมากกว่าที่หาทองคำ แต่การเอ่ยขอข่าวสารตรงๆดูจะน่าสงสัยมากเกินไป

แม้ว่าสำหรับหมู่บ้านเล็กๆนี้จะไม่สร้างปัญหาอะไรมากมาย แต่ไอร์ซก็กังวลเกี่ยวกับผู้ที่ดูแลดินแดนแถบนี้ หากว่าพวกเขาเหล่านั้นรู้เรื่องที่ไอร์ซมักเข้ามาตีสนิทกับชาวบ้านเพื่อหาข่าวสารเกี่ยวกับโลกนี้ละก็ พวกต้องมีมาตรการจัดการกับเขาอย่างแน่นอน

นี่ผมจะระวังตัวมากไปรึเปล่า?

ไอร์ซรู้สึกว่าตอนนี้เหมือนกับการวิ่งข้ามถนน ที่อาจมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ทุกเมื่อ ซึ่งหมายถึงว่าเขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ก็เป็นได้

ความแข็งแกร่งนั้นจำเป็นต้องถูกตรวจสอบ
ไอร์ซอาจจะแข็งแกร่งกว่าผู้ที่เขาพบในหมู่บ้านนี้มาก แต่ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าทุกคนบนโลกนี้ อีกอย่างตอนนี้ไอร์ซเป็นอันเดด และเมื่อดูจากท่าทีที่เด็กสาวได้แสดงออกมาก่อนหน้า สถานภาพของอันเดดนั้นไม่เป็นที่ยอมรับอย่างเห็นได้ชัดเจน เขาจำเป็นต้องหาความรู้สำหรับสถานภาพของเขา และยังต้องระวังตัวทุกเมื่อว่าจะถูกจู่โจมโดยมนุษย์ที่รังเกียจเขา

“ขอโทษที่ให้รอนาน”

หัวหน้าหมู่บ้านลงตรงที่นั่งตรงข้ามกับไอร์ซ โดยมีภรรยาของเขายืนอยู่ด้านหลัง
ตรงหน้าเขาคือหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งมีกล้ามเนื้อแข็งแรงสีคล้ำ และใบหน้าที่เปี่ยมด้วยริ้วรอย
จากที่เห็นร่างที่กำยำของเขานั้นได้มาจากการทำงานอย่างยากลำบาก เห็นได้จากผมครึ่งหนึ่งที่กลายเป็นสีขาวไปแล้ว
และแม้ว่าเสื้อผ้าฝ้ายของเขาจะเปราะเปื้อนไปหมด แต่มันก็ไม่ได้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมา
แม้อายุจริงๆของเขานั้นก็ยากที่จะคาดเดาได้ แต่จากใบหน้าที่อิดโรย ทำให้ผู้คนอาจคาดเดาว่าเขามีอายุมากกว่าสี่สิบปี
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ดูจะทำให้เขาอายุมากขึ้นอีกหลายปี สำหรับตัวภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านก็ดูจะมีอายุไล่เลี่ยกับตัวสามี
ถึงแม้ว่าเธอจะมีเสน่ห์จากรูปร่างที่สมส่วน และงามชดช้อย แต่ทว่าการทำงานในไร่มาหลายปีได้ทำให้สิ่งเหล่านี้หายไปหมดสิ้น ใบหน้าของเธอที่เห็นเต็มไปด้วยฝ้าจำนวนมาก ตอนนี้เธอเป็นเพียงป้าสูงวัยที่ผอมแห้ง ซึ่งมีผมยาวประบ่าสีดำที่กระเซิงไม่เรียบร้อย หากมองใต้แสงอาทิตย์ก็ยังบอกได้เลยว่าสีผมนั้นมันซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ค่ะ”
หญิงสูงวัยวางถ้วยเก่าๆลงบนโต๊ะ ซึ่งไม่มีส่วนของอัลเบโดเพราะตอนนี้เธอกำลังเดินตรวจตรารอบหมู่บ้านอยู่

ไอร์ซยกมือขึ้นเพื่อปฎิเสธถ้วยใส่น้ำร้อนที่มีควันลอยออกมา
เขาไม่ได้รู้สึกกระหายน้ำแต่อย่างใด และเขาก็ไม่สามารถถอดหน้ากากได้ด้วย แต่จากที่เขาได้เห็นความพยายามในการจัดเตรียมน้ำให้แก่เขา ที่จริงเขาควรรีบปฎิเสธเสียแต่เนิ่นๆ
ถึงแม้ความพยายามนั้นจะหมายถึงขั้นตอนการต้มน้ำก็เถอะ

เริ่มจากที่หญิงสูงวัยเตรียมหินจุดไฟ จากนั้นก็เกิดประกายไฟอันน้อยนิดนี้บนเศษไม้ แล้วเธอก็ทำให้ประกายไฟลุกโชนขึ้น นั่นใช้เวลาสักพักก่อนที่จะสามารถใช้เตาไฟได้ จากนั้นจึงเป็นการรอน้ำที่เตรียมไว้เดือดได้ที่
ทั้งหมดนี้เธอไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเลย นอกจากไฟที่เธอจุดด้วยมือสำหรับต้มน้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่ไอร์ซได้เห็นอะไรแบบนี้ และนั่นทำให้เขาสนใจขั้นตอนเหล่านี้ขึ้นมา จะว่าไปในโลกเดิมของไอร์ซ ทุกคนต่างใช้ก๊าซในการประกอบอาหาร นั่นทำให้สิ่งที่เธอทำดูจะยากลำบากพอสมควร

จากเทคโนลยีที่ได้เห็น ยิ่งทำให้ไอร์ซต้องการใช้โอกาสอันดีนี้เก็บเกี่ยวข้อมูลข่าวสาร เมื่อคิดได้แล้ว ไอร์ซก็กลับมามองหน้าหัวหน้าหมู่บ้านอีกครั้ง
“ต้องขอโทษจริงๆ ทั้งๆที่คุณตั้งใจต้มน้ำมาให้”

“ท่านช่างมีน้ำใจจริงๆ เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก”
สำหรับไอร์ซที่ก้มหัวขอโทษอย่างจริงใจ ทำให้คู่สามีภรรยารู้สึกไม่สบายใจนัก พวกเขานึกไม่ถึงว่าผู้ที่สั่ง “เดธไนท์” ก่อนหน้า จะก้มหัวขอโทษเยี่ยงนี้

แต่สำหรับไอร์ซแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร การแสดงความเป็นมิตรก่อนเริ่มเจรจาเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าเขาสามารถใช้วิธีเดียวกับที่ทำกับสองสาวพี่น้องได้ โดยการใช้ [คอนฟิวส์ ฮิวเมนอยด์] หรือใช้เวทย์บทอื่นเพื่อล้วงข้อมูล แล้วค่อยใช้เวทย์ระดับสูงในการปรับเปลี่ยนความทรงจำอีกที แต่การทำเช่นนี้เป็นวิธีการสุดท้ายที่เขาจะใช้ เพราะวิธีเช่นนี้ต้องใช้ MP จำนวนมากในการที่จะดำเนินการ
เมื่อหวนนึกถึงความรู้สึกตอนที่เขาใช้ MP ไปจนหมด ร่างกายที่เหนื่อยล้าอย่างรุนแรง และเหมือนกับว่าเขาสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปจากตัว

นั่นคือตอนหลังจากเขาสวมหน้ากาก และถุงมือ ซึ่งต้องใช้ MPจำนวนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนความทรงจำในช่วงสิบวินาที่นั้น
“…ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าเรื่องกันเถอะ เกี่ยวกับรางวัลของข้า”
“เข้าใจแล้ว แต่ก่อนจะเริ่ม…พวกเราต้องขอบคุณท่านอย่างมาก!”
หัวหน้าหมู่บ้านก้มหัวแสดงความขอบคุณ ศีรษะของเขาก้มจนแทบจะฟาดกับโต๊ะ ตัวของภรรยาก็ก้มหัวเคารพเช่นเดียวกัน:
“หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ละก็ ชาวบ้านทั้งหมดคงไม่รอดแน่ พวกเราทุกคนต่างซาบซึ่งในบุญคุณนี้เป็นอย่างมาก!”
ไอร์ซต้องประหลาดใจกับการสำนึกบุญคุณอย่างจริงใจที่ได้เห็น
เมื่อนึกถึงชีวิตก่อนหน้า ตอนที่เขายังเป็น ซูสุกิ ซาโทรุ เขาไม่เคยได้รับการขอบคุณเช่นนี้มาก่อน…อันที่จริงเด็กสาวสองคนก่อนหน้าก็ขอบคุณเขาแบบนี้เหมือนกัน นั่นก็เพราะเขาไม่เคยช่วยเหลือใครมาก่อน และตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เขาไม่ได้รังเกียจการขอบคุณอย่างซาบซึ้งเช่นนี้ แม้ตอนที่เขายังเป็นมนุษย์อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ดี บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่หลงเหลือในฐานะมนุษย์ของเขา

“เงยหน้าขึ้นมาเถอะ อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้า ที่ข้าทำไปนี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาใส่ใจหรอก เพราะข้าไม่ได้ช่วยเหลือเปล่าๆเสียหน่อย”

“พวกเราทราบดี แต่โปรดรับความรับขอบคุณของพวกเราเถอะ เพราะความช่วยเหลือของท่าน ทำให้ชาวบ้านหลายคนรอดชีวิตมาได้”
“…ก็คนยิ่งมากก็ยิ่งจ่ายเยอะละนะ เอาละอย่างแรก เรามาคุยกันเรื่องรางวัลกันก่อน ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน เจ้าน่าจะยุ่งไม่น้อยเลยสินะ”
“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการอยู่กับท่านผู้มีพระคุณหรอก นี่เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดที่พวกเราควรทำแล้ว”

ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านค่อยๆเงยหน้าขึ้น ไอร์ซก็เร่งใช้สมองที่ไม่อยู่แล้วอย่างรวดเร็ว
การที่ไม่สามารถพึ่งพาเวทย์มนตร์ได้ แต่ต้องใช้การสนทนาเพื่อหาข้อมูล
นี่มันยุ่งยากจริงๆ
ประสบการณ์ซื้อขายสมัยก่อนไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนในสถานการณ์เช่นนี้? ไอร์ซหวังว่าเขาจะใช้ความสามารถได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของทักษะที่ติดตัวมา เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว เขาก็เริ่มกล่าวขึ้น:
“…ถ้าอย่างนั้นเข้าประเด็นเลยแล้วกัน พวกเจ้าจะจ่ายให้ข้าได้เท่าไหร่กัน?”

“พวกเราไม่อาจตระหนี่กับท่านผู้มีพระคุณได้หรอก สำหรับเหรียญทองแดง กับ เหรียญเงิน ถ้ายังรวบรวมจากทุกคนได้ไม่ครบ ทางเราก็ยังบอกไม่ได้ว่ามีมากเท่าไหร่ แต่ในส่วนของเหรียญทองแดง น่าจะได้ประมาณ 3000 ในตอนนี้”

ไอร์ซนั้นไม่ทราบว่าจำนวนเงินที่ว่ามามีค่ามากสักเพียงใด นั่นทำให้เขาแอบเยาะเย้ยตัวเองอยู่ในใจคนเดียว
การถามตอนนี้นับเป็นความผิดอย่างมหันต์ เขาต้องใช้วิธีอื่น แล้วค่อยชักจูงเข้าสู่หัวข้อที่ต้องการ
เอาเถอะ ถึงยังไงผมมันก็เซลล์แมนที่ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว ยิ่งทักษะด้านธุรกิจก็แย่มากเสียด้วยสิ

แม้จำนวนจะดูมาก แต่เขาที่ไม่รู้มูลค่าของเงิน และไม่อาจคำนวนว่าจำนวนเงินตอนนี้เหมาะสมหรือไม่ เขาต้องหลีกเลี่ยงที่จะรับเงินที่น้อยเกินไป หรือเพิ่มจำนวนเงินมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะทำให้รู้ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลย

อันที่จริงการที่พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะให้วัวขนาดใหญ่สี่ตัว นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกได้แล้ว
ก่อนที่จะดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความหดหู่ สติของเขาก็กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว ไอร์ซเรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง ตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณร่างอันเดดของเขา พร้อมกันนั้นเขาก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเวลาเดียวกัน
นั่นก็คือ เหรียญทองแดง และเงิน นั้นเป็นค่าเงินหลักในหมู่บ้านนี้ ขณะเดียวกันเขาก็อยากรู้ว่าเจ้าค่าเงินทั้งสองนี้เปรียบเทียบกันได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าควรถามดีหรือไม่

อย่างแรกเขาต้องรู้มูลค่าของเหรียญทองแดงเสียก่อน การไม่รู้เรื่องพื้นฐานอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ แต่การที่มีคนซึ่งไม่ร่าเงินนี่มันก็น่าสงสัยอย่างถึงที่สุดเสียด้วยสิ
ก่อนความต้องการรับรู้เกี่ยวกับโลกนี้เพิ่มเติม เขาต้องเก็บงำความไม่รู้เอาไว้
นั่นทำให้เขาต้องนึกหาวิธีอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้อกันความผิดพลาดร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น

“มันออกจะลำบากสักหน่อยที่ต้องพกเหรียญเล็กๆไปด้วย ข้าหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญที่มีมูลค่าสูงกว่าได้”
“ต้องขอโทษด้วย คงเป็นการดีกว่าถ้าพวกเราจะใช้เป็นเหรียญทอง แต่…หมู่บ้านของพวกเราไม่มีเหรียญทองเลย…”

ไอร์ซพยายามเก็บอาการโล่งอกออกมาให้เห็น
คำตอบของหัวหน้าหมู่บ้านนำไปสู่ทิศทางการสนทนาที่ไอร์ซหวังไว้ ดังนั้นแล้วไอร์ซจึงคิดอย่างหนัก สำหรับคำถามต่อไป:
“อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นข้าอยากใช้เงินที่มีซื้อของจากหมู่บ้าน แล้วหวังว่าพวกเจ้าจะทำการแลกเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม”

ไอร์ซลอบเปิดกล่องไอเทมภายใต้ผ้าคลุม และเอาเหรียญทองของอิกดราซิลออกมาสองเหรียญ เหรียญหนึ่งเป็นใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว ขณะที่อีกเหรียญเป็นใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม เหรียญอันแรกนั้นถูกใช้หลังจากเหตุการณ์ [การล่มสลายของวัลคิวรี่] ซึ่งเป็นเหรียญใช้จนถึงปัจจุบัน ขณะที่เหรียญอันหลังนั้นเป็นค่าเงินที่ถูกใช้มาก่อน
แม้เหรียญทั้งสองจะมีมูลค่าเท่ากัน แต่สหรับไอร์ซมันมีความหมายที่ต่างกัน
เหรียญเก่านั้นได้ร่วมเดินทางกับไอร์ซ นับแต่เขาก้าวเข้าสู่อิกดราซิล จนถึงวันที่ก่อตั้ง ไอร์ซ โออ์ล โกว์น ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จสูงสุดก่อนที่ทางเกมได้นำเหรียญใหม่เข้ามาใช้ แต่เนื่องจากที่พวกเขามีอุปกรณ์สวมใส่ครบครันแล้ว เหรียญใหม่นี้จึงถูกเก็บไว้ในกล่องไอเทมจนถึงตอนนนี้

หลังจากเป็นจอมเวทย์สเกเลตัล เขาที่ร่ายเวทย์กำจัดมอนสเตอร์บนแผนที่ ได้รับเหรียญทองที่ลอยในอากาศ บุกไปยังเขาวงกตด้วยตัวคนเดียว และพิชิตมอนสเตอร์ที่ดุร้ายตามลำพัง และรวบรวมเหรียญทองที่รวมกันได้สูงราวขุนเขาด้วยความยากลำบาก หลังจากที่สมาชิกกิลล์พิชิตวงกตได้ ก็ทำการขายคริสตัลข้อมูลทั้งหมด และได้รับเหรียญทองนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติอันรุ่งโรจน์
แต่ทว่าไอร์ซได้ขจัดความคิดคำนึงถึงช่วงเวลานั้นไปเสีย
เขาเก็บเหรียญเก่ากลับไป และหยิบเหรียญใหม่ออกมา

เมื่อเขาวางเหรียญทองลงบนโต๊ะ หัวหน้าหมู่บ้าน และภรรยาต่างเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“นะ-นี่มัน!”
“นี่เป็นเงินของอาณาจักรที่อยู่ห่างไกลออกไป มันใช้ได้ไหมละ?”
“น่าจะได้…โปรดรอสักครู่นะท่าน”
ไอร์ซมีท่าทางโล่งอก หลังได้ยินประโยคดังกล่าว หัวหน้าหมู่บ้านที่ลุกออกไปยังอีกห้อง ได้กลับมาพร้อมเอาของที่เห็นได้แค่ในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น

สิ่งที่ปรากฏคือตราชั่งโบราณนั่นเอง

ต่อมาตัวภรรยาได้หยิบเหรียญทองมาเทียบขนาดกับวัตถุทรงกลม หลังจากทำจนพอใจแล้ว เธอก็นำเหรียญไปวางด้านหนึ่งของตาชั่ง และวางตัวชั่งน้ำหนักไว้อีกด้านหนึ่ง
นี่ดูเหมือนกับกระบวนการที่เรียกว่า ‘การชั่งน้ำหนักของค่าเงิน’ ('weighing currency)
ไอร์ซพยายามขุดเอาความทรงจำเก่าก่อนออกมา โดยพยายามหาว่าที่ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านทำอยู่นั้นเพื่ออะไร หากว่าขั้นแรก คือการเทียบขนาดตัวเงินของประเทศนี้กับของที่อื่น แล้วขั้นต่อไปก็ควรเป็นการยืนยันปริมาณทองของเหรียญสินะ
ดูเหมือนว่าเหรียญทองจะหนักกว่าตัวชั่งน้ำหนัก ทำให้อีกฟากของเหรียญลอยสูงขึ้น ตัวของภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านจึงได้วางตัวชั่งหนักเพิ่มเข้าไปอีกเพื่อให้ทั้งสองข้างนั้นสมดุล
“ดูเหมือนนี่จะหนักเทียบได้กับสองเหรียญทอง…จะเป็นไปได้ไหมที่จะขอขูดผิวมันสักหน่อย…”
“มะ-เมียจ๋า เธอหยาบคายไปแล้วนะ! ต้องขอโทษที่เมียของผมพูดอะไรที่ก้าวร้าวออกไป…”

ดูเหมือนเธอจะคิดว่าเหรียญนี้แค่เคลือบเอาไว้ที่ผิว ถึงอย่างนั้นไอร์ซก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจ หรือโกรธอะไรเลย
“ตามสบาย…แต่ถ้ามันทำจากทองบริสุทธิ์ละก็ ทางทีนี้พวกเจ้าต้องหาของมาชดเขยให้เต็มราคา ตกลงไหม?”

“มะ-ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ”
ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวขอโทษ พร้อมส่งเหรียญกลับคืน

“ไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้ข้าอยากรู้อะไรหน่อย พวกเจ้าคิดยังไงกับเหรียญนี้? มันเหมือนกับรูปแกะสลักเลยว่าไหม?”
“ถูกแล้วท่าน มันสวยงามมาก ไม่ทราบว่าเงินนี้มาจากประเทศไหนกัน?”
“ตอนนี้-----ประเทศที่ว่าไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
“โอ อย่างนั้นเอง…”
“…ถึงมันจะมีน้ำหนักเท่าเหรียญทองสองเรียญ แต่ถ้ารวมกับงานศิลป์ของมันแล้ว ราคาน่าจะสูงอยู่มาก ว่าอย่างนั้นไหมละ?”

“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น…แต่ผมก็ไม่ใช่พ่อค้า และไม่รู้เรื่องการประเมินงานศิลปะซะด้วยสิ…”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่ว่ามาก็ถูก ถ้าอย่างนั้นหากข้าจะใช้มันละก็ มูลค่าของมันก็เทียบได้กับเหรียญทองสองเหรียญ ถูกต้องไหม?”
“ถูกต้องแล้วท่าน”
“อันที่จริง ข้าก็มีเหรียญแบบนี้อีกมาก เจ้ามีอะไรที่จะมาขายได้มั่งละ? แน่นอนว่าข้าจะซื้อเท่าที่ทางเจ้าเสนอมาได้ และข้าก็ไม่ลำบากใจที่จะซื้อในราคาปกติด้วย เจ้าก็สามารถตรวจสอบเหรียญได้ตามชอบ ถ้ายังไง-- --”

“ท่านไอร์ซ โออ์ล โกว์น”

ไอร์ซสะดุ้งกับเสียงตะโกนอย่างฉับพลันของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งตอนนี้ท่าทางจะเคร่งเครียดกว่าก่อนหน้า
“…เรียกว่าไอร์ซก็พอ”

“ถ้าอย่างนั้นท่านไอร์ซ?” หัวหน้าหมู่บ้านที่ตอนแรกดูยังมีท่าทีสงสัยอยู่ แต่หลังจากที่พยักหน้าติดต่อกันหลายรอบเขาก็เริ่มกล่าวต่อไป:
“ผมเข้าใจที่ท่านไอร์ซพยายามจะบอกแล้ว”

ไอร์ซตอนนี้สับสนเป็นอย่างยิ่ง จนเหมือนกับมีเครื่องหมายคำถามลอยอยู่หัวของเขา
นี่ต้องมีการเข้าใจอะไรกันผิดแน่นอน แต่ไอร์ซที่ไม่ทราบว่าหัวหน้าหมู่บ้านต้องการกล่าวอะไร ไอร์ซจึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี
“ผมเข้าใจดีว่าท่านไอร์ซไม่ต้องการลดคุณค่าตัวเองลง นั่นทำให้เข้าใจได้ว่าท่านต้องการรางวัลที่เหมาะสมกับความยากลำบากที่ท่านทำให้พวกเรา การจะจ้างคนที่แข็งแกร่งอย่างท่านไอร์ซ พวกเราต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ว่าที่จริงท่านต้องการมากกว่าแค่เหรียญทองแดงสามพันเหรียญนี้ ถูกต้องไหม?”

ด้วยที่ไม่อาจตามความคิดของหัวหน้าหมู่บ้านได้ทัน ทำให้ในหัวของไอร์ซสับสนไปหมด และเขาอดไม่ได้ที่จะยินดีที่ตัดสินใจสวมหน้ากากเอาไว้ การที่ไอร์ซหยิบเอาเหรียญทองออกมา ก็เพื่อใช้คำนวณว่าเขาสามารถซื้อของได้มากน้อยเพียงใด เพื่อจะประเมินราคาตลาดในโลกนี้ แล้วนี่ทำไมมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ละ?

โดยไม่ให้โอกาสไอร์ซได้กล่าวอะไร หัวหน้าหมู่บ้านก็กล่าวต่อไป:
“ถึงอย่างนั้น ก็อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้า จำนวนเงินมากสุดที่พวกเราชาวบ้านสามารถจ่ายได้ คือประมาณสามพันเหรียญทองแดง บางทีท่านอาจสงสัยว่าน่าจะได้มากกว่านี้ แต่ผมขอยืนยันว่า พวกเราไม่กล้าจะปิดบังอะไรท่านผู้มีพระคุณอย่างท่านไอร์ซได้หรอก”

ใบหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ไม่เหมือนคนที่กำลังโกหก หากว่าเขาหลอกลวงไอร์ซละก็ ไอร์ซก็ได้แต่ตำหนิตัวเอง ที่ไม่ความสามารถที่จะอ่านผู้คนนี้

“ความจริงคือ พวกเราไม่สามารถจะรวบรวมจำนวนเงินที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่แข็งแกร่างอย่างท่านไอร์ซได้เลย หากทุกคนในหมู่บ้านช่วยกันรวมเงินทั้งหมดที่มี บางทีนั่นอาจจะทำให้ท่านไอร์ซพอใจได้ แต่…หมู่บ้านของพวกเราเสียคนไปมาก หากว่าต้องจ่ายเงินที่มากกว่า 3000 เหรียญทองแดงละก็ พวกเราก็ไม่อาจอยู่รอดถึงฤดูกาลหน้าได้ พวกวัตุดิบ หรือข้าวของก็เหมือนกัน ตอนนี้ไร่ทั้งหลายขาดคนเพราะการสูญเสียในครั้งนี้ หากเรามอบเสบียงให้ท่านละก็ พวกเราก็คงไม่เหลืออนาคตอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นการหยาบคายต่อท่านผู้มีพระคุณ แต่หากเป็นไปได้…พวกเราขอผ่อนจ่ายจะได้ไหม”
หือ? นี่มันอาจเป็นโอกาสดีแล้วสินะ?
เหมือนห้วงเวลาแห่งการรู้แจ้ง ไอร์ซทำเป็นกำลังอยู่ในห้วงความคิด สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว ที่ต้องทำตอนนี้คือขอให้เขาทำสำเร็จตามแผน หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดไอร์ซก็ได้กล่าวออกมา:
“เข้าใจละ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่พูดถึงเงินรางวัลแล้วกัน”
“หือ? ทะ-ทำไมละ...?”
ทั้งหัวหน้าหมู่บ้าน และภรรยาต่างงุนงงอย่างยิ่ง ไอร์ซค่อยๆยกแขนขึ้น เป็นสัญญาณว่าเขายังพูดไม่จบ ระหว่างการเจรจา คนที่เจรจาต้องรู้ว่าเวลาไหนควรพูด และเวลาไหนควรหยุด มันเป็นอะไรที่ยุ่งยาก และที่จริงเขาก็ไม่คิดว่าจะได้รับข่าวสารง่ายๆอย่างที่หวังไว้ แต่เขาก็ต้องลองดู

“…ข้าน่ะคือผู้ขับขานมนตรา หลังจากศึกษาเวทย์มนตร์จากสถานที่ซึ่งเรียกว่า นาซาริก ข้าก็เพิ่งจะออกเดินทางไม่นานนี้เอง”
“เข้าใจแล้ว นั่นคือเหตุผลว่าท่านถึงแต่งตัวแบบนี้”
“อ่า เอ่า ใช่แล้วละ”

ไอร์ซเอื้อมมือไปจับหน้ากากจอมอิจฉา ท่าทางเหมือนกำลังปาดคิ้วอยู่
ถ้านักเวทย์ทั้งหมดสวมหน้ากากแบบนี้ ผู้คนบนท้องถนนจะทำตัวอย่างไรกันละ?

ภาพผู้คนสวมหน้ากากบาหลีเต็มท้องถนนผุดขึ้นในหัวทันที
ไอร์ซที่ไม่ได้คาดคิดว่าต้องกล่าวอะไรเช่นนี้ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตถึงสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจอีกอย่าง นั่นคือทำไมคนที่นี่จึงใช้คำเรียกขานเหมือนกับในอิกดราซิล
สำหรับคำเรียกขานผู้ขับขานมนตรานั้นเป็นอะไรที่ธรรมดามาก ซึ่งหากว่าไปแล้ว โฮลี่เฮอร์มิท, ดรูอิด, พรีสท์, ผู้ศรัทธา, จอมคาถา, จอมเวทย์, นักกวี, มิโกะ, นักเล่นแร่แปลธาตุ, นักบุญ และอาชีพอื่นอีกมาก ทั้งหมดนี้เป็นคลาสในอิกดราซิลที่รู้จักในชื่อของ ผู้ขับขานมนตรา ถ้ามันเหมือนกับในโลกนี้ละก็ มันก็เป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ

ไอร์ซยังคงสังเกตท่าทางของคู่สนทนาขณะที่กล่าวต่อไป:
“…ถึงข้าจะบอกว่าไม่ต้องการเงินรางวัลแล้ว แต่ในฐานะผู้ขับขานมนตรา ข้าก็ต้องใช้เครื่องมือหลายอย่างอยู่ และแน่นอนว่านั่นรวมไปถึงความกลัว และความรู้ด้วย ซึ่งพวกมันสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการหาเงินได้ ก็อย่างที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ เพราะการที่ข้าทุ่มเทให้กับการศึกษาเวทย์มนตร์เพียงอย่างเดียว ทำให้ตอนนี้ข้าไม่รับรู้ข่าวสาร เรื่องราวในพื้นที่แถบนี้เลย ดังนั้นข้าต้องการข่าวสารจากพวกเจ้าทั้งสอง นอกเหนือจากนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะบอกใครต่อใครเรื่องที่ข้าซื้อข่าวสารจากพวกเจ้าออกไป นี่เป็นสิ่งที่ข้าจะให้พวกเจ้าใช้แทนเงินรางวัลก็แล้วกัน”

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าของฟรีหรอก หากว่ามีละก็ หมายความว่าก็ต้องมีการหาจากที่อื่นมาทดแทน
หลังจากแสดงความต้องการรับเงินรางวัลจากการช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนใจ และไม่ต้องการรับเงินรางวัล นี่ย่อมทำให้บางคนสงสัยในพฤติกรรมของเขาก็ได้

แต่หากว่าคนอื่นเชื่อว่าเขาได้จ่ายรางวัลอย่างเหมาะสมแล้ว แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ก็เถอะ แต่พวกเขาก็ถูกจูงใจให้เชื่อเช่นนั้นก็ได้
หากจะกล่าวก็คือ หากว่าคนอื่นๆเชื่อว่าพวกเขาได้ขายข่าวสารให้ไอร์ซแทนเงินรางวัลละก็ พวกเขาก็จะลดความสงสัย และรู้สึกสบายใจขึ่น
ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้น ตอนนี้ทั้งหัวหน้าหมู่บ้าน และภรรยาต่างแสดงท่าทางสบายใจมากขึ้น และพยักหน้ารับ:
“ผมเข้าใจแล้ว ขอรับรองว่าพวกเราจะไม่บอกผู้อื่นอย่างแน่นอน”

ไอร์กำมือลอบแสดงท่าทางยินดีไม่ให้ใครเห็น ประสบการณ์ทำงานในชีวิตจริงของเขานั้นมีประโยชน์อย่างมากในตอนนี้
“เยี่ยม ที่จริงข้าก็ไม่ต้องการจะใช้เวทย์ควบคุมพวกเจ้าเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเชื่อมั่นในคำสัตย์ของพวกเจ้า”
ไอร์ซยื่นมือที่สวมถุงมือแหล็กออกมา ในตอนแรกหัวหน้าหมู่บ้านได้ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังจากเข้าใจจุดประสงค์แล้ว เขาก็ยื่นมือของเขาไปจับกับมือของไอร์ซลักษณะให้คำมั่น
ไอร์ซนั้นโล่งอกที่ในโลกนี้มีวัฒนธรรมการจับมือ หากว่าหัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าสงสัยละก็ เขาคงร้องไห้เป็นแน่

แน่นอนว่าไอร์ซไม่ได้เชื่อใจพวกเขาทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามที่ไม่อยากให้คนพูดถึง หากว่าพวกเขาได้รับผลประโยชน์ที่ดีกว่า ก็ย่อมมีโอกาสที่เรื่องที่ถามนั้นจะหลุดออกมาได้ แม้ว่าพวกเขาจะรักษาความลับเป็นอย่างดีในช่วงแรก แต่ก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะเปลี่ยนใจแล้วหลุดเรื่องที่ถามกันออกมา เนื่องจากไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด’ ไอร์ซจึงได้แต่เดิมพัน โดยเชื่อว่าคำสัตย์ของหัวหน้าหมู่บ้านจะหนักแน่นพอที่เขาจะไม่หลุดสิ่งที่พูดกันออกมา ซึ่งเขาก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้เรื่องที่พูดนั้นรั่วไหลได้ แต่เขาก็ยังสามารถใช้มันเป็นข้อต่อรองในการเจรจาครั้งต่อไปกับหมู่บ้านนี้ได้อีก

แต่หลังจากเห็นสีหน้าที่ตื้นตัน และความตั้งใจจริงแล้ว ไอร์ซก็บอกกับตัวเองว่าบางทีพวกเขาคงไม่หักหลังเขาหรอก
“ถ้าอย่างนั้น…เจ้าจะบอกข้าเกี่ยวกับที่นี่ได้ไหม?”

“…จะเป็นไปได้ไงกัน”
“เอ๋! มีปัญหาอะไรหรือท่าน?”
“ไม่ ไม่มีอะไร พอดีข้าพูดกับตัวเองอยู่ ขอโทษที่ส่งเสียงแปลกๆออกมาทำให้เจ้าเป็นห่วง…”

ไอร์ซรีบกลับไปเล่นละครอีกครั้ง หากตอนนี้เขายังอยู่ในร่างมนุษย์ละก็ เขาคงจะเหงื่อตกท่วมตัวไปแล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านเมื่อได้ยินก็กล่าวเพียง “โอ อย่างนั้นเหรอ” แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก
บางทีเขาอาจคิดว่าพวกผู้ขับขานมนตราเป็นพวกประหลาดอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวของไอร์ซ…

“ต้องการน้ำดื่มไหมคะ?”
“โอห์ ไม่ละ ข้าไม่หิวน้ำ ไม่ต้องลำบากหรอก”
เมื่อเป็นเช่นนี้ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านจึงได้เดินออกไปจากห้อง เนื่องจากยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการ ในตอนนี้จึงมีเพียงไอร์ซกับหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ในบ้าน
คำถามแรกของไอร์ซเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจนหัวหน้าหมู่บ้านได้กล่าวออกมา แม้เขาจะทำการสะกดจิตตัวเองไว้แล้ว โดยบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีอะไรทำให้เขาประหลาดใจได้อีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินเรื่องที่กล่าวถึง…

ในตอนแรกไอร์ซนึกภาพว่าโลกนี้มีพื้นฐานมาจากอิกดราซิล ในเมื่อสามารถใช้เวทย์จากอิกดราซิลในโลกนี้ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องมีความเกี่ยวพันกับอิกดราซิลบ้าง แต่ชื่อที่เขาได้ยินมานั้นไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงกับมันได้เลย

ประเทศเพื่อนบ้านนั้นประกอบด้วย ราชอาณาจักรแห่งรี-เอซไทซ์, จักรวรรดิบาฮารูท และศาสนจักรสิเลียน ซึ่งตามตำนานของชาวนอร์ดที่เป็นต้นแบบของอิกดราซิล ไม่มีชื่อเหล่านี้ปรากฎอยู่เลย
ตาของเขานั้นกรอกไปมา ขณะที่ตัวก็สั่นเทา ไอร์ซวางถุงมือโลหะของเขาลงบนโต๊ะ และพยายามทรงตัวเอาไว้ เขาเข้าใจแล้วว่าตอนนี้ เขาถูกส่งมายังโลกที่ไม่คุ้นเคย โดยไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ซึ่งนั่นไม่แปลกที่เขาจะประหลาดใจ

ผลกระทบตอนนี้เลวร้ายกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่ร่างกายซึ่งกลายเป็นอันเดดรับรู้ถึงผลกระทบที่รุนแรงเช่นนี้

หลังพยายามทำใจให้สงบ ไอร์ซนึกทบทวนรายชื่อประเทศที่เขาพึ่งเคยได้ยิน รวมถึงภูมิประเทศของแต่ละประเทศ
เริ่มจากที่อยู่ใกล้สุดอย่าง ราชอาณาจักรแห่งรี-เอซไทซ์ และจักรวรรดิบาฮารูท ทั้งสองประเทศต่างถูกแยกจากกันโดยเทือกเขาอเซลเลริเซีย ทางตอนใต้ของเทือกเขามีป่าทึบขนาดใหญ่ที่เป็นของราชอาณาจักร และหมู่บ้านนี้รวมไปถึงเมืองป้อมปราการใกล้ๆต่างก็ตั้งอยู่ชายขอบของป่านั้น

ทั้งสองประเทศที่ว่ามาต่างสู้รบกันอย่างต่อเนื่องไม่หยุด  และทุกๆปีต้องมีการปะทะประปรายที่บริเวณผืนแผ่นดินรกร้างใกล้กับเมืองป้อมปราการ
สำหรับประเทศที่อยู่ทางใต้ก็คือ ศาสนจักรสิเลียน

หากจะให้อธิบายความสัมพันธ์ของทั้งสามประเทศอย่างคร่าวๆ มันก็เหมือนเขียนรูปวงกลมแล้วขีดตัว “T” ไว้ตรงกลาง นี่อาจจะเป็นการธิบายที่หยาบไปบ้าง แต่ก็เข้าใจได้ง่าย ราชอาณาจักรแห่งรี-เอซไทซ์ นั้นอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนจักรวรรดิบาฮารูทอยู่ทางด้านขวา และศาสนจักรสิเลียนก็อยู่ทางใต้ บางทีอาจมีประเทศมากกว่านี้ แต่หัวหน้าหมู่บ้านรู้จักแค่สามประเทศนี้เท่านั้น
สำหรับเรื่องการเมืองนั้น ไม่มีทางที่คนระดับหัวหน้าหมู่บ้านเล็กจะรู้ได้

นั่นก็หมายความว่า -----
“…นี่ข้าทำไมไง่อย่างนี้”
เนื่องจากสัญลักษณ์บนเกราะของอัศวินเป็นของจักรวรรดิบาฮารูท ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านระบุว่าพวกนั้นเป็นอัศวินของจักรวรรดิบาฮารูท แต่ในเมื่อที่แห่งนี้ก็อยู่ติดกับศาสนจักรสิเลียน ทำให้บางทีพวกนี้อาจเป็นอัศวินของสิเลียนปลอมตัวมาก็ได้เช่นกัน

การปล่อยอัศวินทั้งหมดเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง ที่จริงเขาควรจะกักตัวไว้สักคนเพื่อสอบถาม แต่ว่าตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว

หากว่านี่คือการกระทำของทางศาสนจักรสิเลียน บางทีเขาควรจะไปเตือนทางจักรวรรดิ แต่สำหรับทางราชณาจักร ในเมื่อเขาช่วยเหลือหมู่บ้านนี้ เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ไอร์ซกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด
เขาใช่เป็นคนเดียวที่หลุดมายังโลกนี้หรือไม่?
นั่นไม่น่าเป็นไปได้ โอกาสที่ผู้เล่นจะหลุดมายังโลกนี้มีสูงมาก บางทีเมโรเมโระอาจหลุดมาด้วยก็ได้ สำหรับแผนการขั้นต่อไปคือ เขาควรทำตัวอย่างไรหากต้องเผชิญหน้ากับผู้เล่นคนอื่น

ในมุมมองของคนญี่ปุ่น หากว่าผู้เล่นคนอื่นถูกส่งมาที่นี่ด้วย พวกเขาก็ย่อมต้องอยู่รวมกัน การร่วมมือกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หากว่านั่นไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อ ไอร์ซ โออ์ล โกว์น แล้วละก็ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับการให้ความช่วยเหลือ
ปัญหาเดียวก็คือหากว่าผู้เล่นกลุ่มอื่นมองว่าเขาเป็นศัตรูละ แม้ว่าโอกาสเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ไอร์ซ โออ์ล โกว์น นั้นมักรับบทบาทเป็นผู้ร้าย และมักทำการ PK อยู่เรื่อยๆ ส่งผลให้พวกเขาเป็นที่รังเกียจจากผู้คน ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความขุ่นเคืองนี้ได้จางหายไปหรือยัง บางทีผู้เล่นกลุ่มอื่นอาจต้องการนำเขามาพิพากษาด้วยความโกรธแค้น เกลียดชังก็เป็นได้
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเกลียดชัง อย่างแรกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรกับผู้คนในบริเวณนี้ การสังหารหมู่ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม โดยเฉพาะผู้บริสุทธิ์ ย่อมเป็นการยั่วยุผู้เล่นคนอื่นในความไร้มนุษยธรรมนี้ แน่นอนว่าหากเขาทำพฤติกรรมอื่นด้วยเหตุผลอันดีละก็ นั่นย่อมส่งผลที่แตกต่างไปจากเดิม ตัวอย่างเช่น การช่วยปกป้องชาวบ้านจากการถูกสังหารนี้

พฤติกรรมต่างๆของเขาในอนาคตต้องถูกตัดสินว่าน่ายกย่องมากกว่าเอาความสบายของเขา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ บางที่คราวหน้าเขาต้องทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่เขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้
ถึงอย่างนั้น หากว่ายังมีผู้เล่นกลุ่มอื่นที่ยังแค้นเคือง ไอร์ซ โออ์ล โกว์น อย่างไม่อาจลืมเลือนเนื่องจากเหตุการณ์ในอดีต การต่อสู้ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเขาต้องมีการเตรียมการเพื่อรับมือกับเหตุการณ์เช่นนั้น
ในเรื่องกำลังรบของมหาสุสานนาซาริก หากว่าฝ่ายตรงข้ามมีผู้เล่นเลเวล 100 ประมาณสามสิบคน เขาก็น่าจะกำจัดพวกนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น ในเมื่อเขาสามารถใช้ของระดับเลเจนดารี่ที่เก็บไว้ภายในมหาสุสานนาซาริกได้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกับปราการซึ่งไม่มีวันพังทลายลงได้ แล้วยิ่งหากศัตรูมีกำลังเหมือนกับพวกอัศวินละก็ นั่นยิ่งง่ายในการกวาดล้างพวกมันให้หมดไป

แต่หากนึกไปแล้ว การต่อสู้ในป้อมปราการโดยไม่มีกองหนุนเป็นอะไรที่เสียเปรียบอย่างยิ่ง การใช้เลเจนดารี่ไอเทมของ ไอร์ซ โออ์ล โกว์น ย่อมจัดการศัตรูได้อย่าง่ายดาย แต่ว่าเลเวลของไอร์ซก็จะลดลงทุกครั้งที่ใช้พลังถึงขีดสุด หากว่าเขาต้องใช้มันซ้ำๆทุกศึกละก็ ย่อมมีสักวันที่เขาไม่สามารถจะใช้มันในการรับศึกได้อีกเป็นแน่
ไอร์ซนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่าความผิดพลาดหรือการที่ไม่ทันสังเกตเรื่องสำคัญระหว่างการต่อสู้เป็นสิ่งที่เกิดได้ง่ายมาก แต่ว่าไอร์ซไม่ใช่เด็กที่ไร้ประสบการณ์ ดังนั้นเขาย่อมจำลองเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดมาคำนวนก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง นั่นจะทำให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น
หากเขาต้องการมีชีวิตรอด เขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ก็ตัวเหมือนสัตว์ร้ายที่อาศัยในป่าก็เท่านั้น แต่ทว่าในนามของผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งนามแห่งศักศรีที่เขาแบกรับไว้ทำให้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
หากเขาต้องการอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข เขาก็ต้องพัฒนาตัวเอง

นั่นทำให้เขาต้องให้ความสำคัญสำหรับการเตรียมการสำหรับศึกในอนาคต แน่นอนว่าเขาต้องมีการขยายกำลังรบให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ต่อจากนั้นเขาต้องรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโลกใบนี้ ซึ่งนั่นย่อมรวมไปถึงข่าวคราวของผู้เล่นคนอื่นๆ

“…เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วนะ”

“มีปัญหาอะไรหรือท่าน?”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่สิ่งที่ข้าคาดไว้มันต่างจากความจริง ทำให้ข้าลืมตัวไปหน่อย ว่าแต่มีอะไรที่เจ้าพอจะบอกข้าได้อีกไหมละ?”

“อา เข้าใจแล้ว”
หัวหน้าหมู่บ้านก็ได้เปลี่ยนหัวข้อไปสู่เรื่องของมอนสเตอร์
ในโลกนี้ก็เหมือนกับอิกดราซิลในแง่ที่ว่าต่างก็มีมอนสเตอร์เหมือนกัน ภายในป่าก็มีอสูรเวทย์อาศัยอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ “ป่าแห่งราชันย์ปราชย์” นอกจากนี้ยังมีพวกคนแคระ, จิตวิญญาณแห่งผืนป่า หรือพวกแฟรี่, กอบลิน, ออร์ก, ยักษ์กินคน รวมไปถึงพวกกึ่งมนุษย์ ซึ่งพวกกึ่งมนุษย์นี้ถึงกับมีประเทศของตนเองอยู่ด้วย

ยังมีเรื่องของคนที่เรียกว่า “นักผจญภัย” ซึ่งจะได้รับเงินรางวัลจากการปราบสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ซึ่งในกลุ่มพวกเขาก็มีผู้ขับขานมนตราอยู่จำนวนมาก ซึ่งพวกเขาได้ก่อตั้งสมาคมนักผจญภัยขึ้นในเมืองอีกด้วย
โดยสรุปก็คือ ดูเหมือนว่าจะมีหนทางในการหาข้อมูลสำคัญได้จากเมืองป้อมปราการของเอ เรนเทลนั่นเอง

ตามที่หัวหน้าหมู่บ้านว่ามา เอ เรนเทลเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ ถึงจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีประชากรเท่าไรอาศัยอยู่ แค่หากเขาต้องการรวบรวมข่าวสารละก็ ก็ย่อมต้องเป็นที่แห่งนี้

แม้ว่าข่าวสารที่ได้รับจากหัวหน้าหมู่บ้านจะมีประโยชน์อย่างมาก แต่ก็ยังมีหลายสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ ซึ่งเพื่อให้เรื่องกระจ่าง เขาต้องเร่งส่งใครสักคนไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบเสียแล้ว
สุดท้ายมาถึงเรื่องภาษา แม้ที่นี่จะเป็นต่างโลก แต่มันก็ออกจะแปลกที่คนที่นี้เข้าใจภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นไอร์ซจึงลอบมองปากของหัวหน้าหมู่บ้าน และก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นเลยสักนิด

รูปปาก และเสียงที่เปล่งออกมา ทั้งหมดไม่เหมือนภาษาญี่ปุ่นแน่นอน
เอาไว้เขาต้องกลับมาตรวจสอบเรื่องนี้ในภายหลัง

สรุปแล้วดูเหมือนว่าผู้คนในโลกนี้สมัยก่อนเคยกินอาหารที่เรียกว่า “คอนยักแปลภาษา” ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นทำให้พวกเขากิน
ทำให้ภาษาในโลกนี้ถูกแปลโดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะส่งสารไปยังคนอื่น
นั่นหมายความว่าในเมื่อทุกคนต่างสามารถสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง ปัญหาการสื่อสารระหว่างสายพันธุ์ที่ต่างกันก็เลยหมดไป อย่างการพูดกับหมา หรือแมว ปัญหาเดียวที่พบก็คือพวกเขาไม่รู้เลยว่าใครทำให้เป็นเช่นนี้ แต่ดูเหมือนหัวหน้าหมู่บ้านจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติดแต่อย่างใด
ราวกับนี่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
----ในอีกความหมายก็คือ นี่เป็นเรื่องสามัญของโลกใบนี้ เมื่อได้คิดอย่างเยือกเย็น ในเมื่อนี่คือโลกแห่งเวทย์มนตร์ ความจริงที่ว่าสามัญสำนึกที่แตกต่างกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
สามัญสำนึกของชีวิตก่อน กับสามัญสำนึกในโลกนี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่อย่างมาก
หากเขาไม่อาจทำตัวให้คุ้นชินกับสามัญสำนึกของโลกนี้ได้ เขาอาจจะเผลอทำผิดอย่างมหันต์ก็เป็นได้ การที่ “ขาดสามัญสำนึกทั่วไป” เป็นคุณสมบัติที่ไม่ดีอย่างแน่นอน

ตอนนี้ไอร์ซนั้นขาดสามัญสำนึก เขาต้องหาวิธีแก้ปัญหาให้ได้ แต่ในเมื่อเขาไม่อาจหาวิธีการดีๆได้ บางทีเขาน่าจะจับตัวใครสักคนมา แล้วทำให้เขาคายเรื่องสามัญสำนึกทั้งหมดออกมา? แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้
ดูเหมือนเขาจะเหลือหนทางเดียว

“…ดูเหมือนผมจะต้องเขาไปอยู่ในเมืองสักพัก”
มีหลายสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสามัญสำนึกของโลกนี้ มันเป็นสิ่งสำคัญ ในการที่จะเข้าใจเวทย์มนตร์ของโลกนี้ และยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาจำต้องรู้

ระหว่างอยู่ในห้วงความคิด ไอร์ซได้ยินเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาก้าวเข้ามายังหน้าประตูไม้ที่บอบบางจากด้านนอก แม้การก้าวเท้าจะฟังดูหนักแน่น แต่ระยะเวลาของแต่ละก้าวดูไม่ได้รีบร้อนสักเท่าไร นี่เป็นเสียงฝีเท้าของคนที่ไม่ได้เร่งรีบ
ทันทีที่ไอร์ซหันหน้ายังประตู ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านต้องหันมามองที่ไอร์ซ ในเมื่อรางวัลสำหรับการช่วยเหลือหมู่บ้านก็คือการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะปลีกตัวไปจากไอร์ซโดยพละการ

“ไปเถอะ ตอนนี้ข้าก็อยากจะพักเสียหน่อย เพราะอย่างนั้นไม่มีปัญหาหรอกหากเจ้าจะปลีกตัวไป”
“ผมต้องขอโทษอย่างมากจริงๆ”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าแสดงการขอโทษ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังประตู ผู้ที่อยู่ตรงประตูก็คือชาวบ้านคนหนึ่ง ซึ่งมองมาที่หัวหน้าหมู่บ้านก่อนจะหันไปยังไอร์ซ:
“หัวหน้า ขอโทษที่มีขัดจังหวะตอนที่คุยกับแขก แต่พิธีฝังศพพร้อมแล้ว…”
“โอห์…”
หัวหน้าหมู่บ้านส่งสายตาไปยังไอร์ซเพื่อขออนุญาต

“ไม่มีปัญหา ไม่ต้องห่วงข้าหรอก”
“ขอบคุณมากท่าน ไปบอกทุกคนชั้นพร้อมแล้ว”



Part 2

พิธีฝังศพถูกจัดขึ้นที่สุสานนอกหมู่บ้าน ตัวสุสานนั้นมีรั้วๆผุพังล้อมเอาไว้โดยเว้นช่องว่างสำหรับเข้าออก ภายในมีหินทรงกลมที่ถูกสลักชื่อตั้งเรียงรายอยู่

หัวหน้าหมู่บ้านได้อ่านคำจารึกบนหลุมศพเพื่อสวดส่งดวงวิญญาณของผู้ที่จากไป เขาได้กล่าวถึงเทพเจ้าที่ไม่มีอยู่ในอิกดราซิล และภาวนาให้ดวงวิญญาณได้พักผ่อนอย่างสงบ

เนื่องจากการที่มีกำลังคนไม่เพียงพอทำให้ไม่สามารถกลบฝังร่างทั้งหมดได้ พวกเขาจึงทำการกลบฝังแค่บางส่วนก่อน ในมุมมองของไอร์ซ การฝังศพในวันเดียวกับที่เขาตายดูจะเร็วไปหน่อย บางทีในโลกนี้พิธีกรรมทางศาสนาที่ไอร์ซไม่รู้จัก และการฝังศพอย่างรวดเร็วก็เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่

ชาวบ้านทั้งหมดต่างพากันมารวมตัวที่สุสาน ในนี้ไอร์ซเห็นสองสาวพี่น้องเอ็นริ และเนมุ เอ็มมอทท์ที่เขาช่วยไว้รวมอยู่ด้วย ไอร์ซแน่ใจว่าสองศพที่อยู่ตรงหน้าคือพ่อแม่ของทั้งสอง และหลังจากนี้ทั้งสองก็จะถูกกลบฝังต่อไป
ไอร์ซสังเกตทั้งสองจากที่ไม่ไกลนัก ขณะที่มือทั้งสองโอบกอดคฑายาวสามสิบเซ็นติเมตรใต้ผ้าคลุม ตัวคฑาทำขึ้นมาจากงาช้าง ตกแต่งด้วยทองที่ยอด ด้ามจับถูกสลักด้วยอักษรรูน อีกทั้งยังเปล่งรัศมีอันศักสิทธิ์ออกมา

คฑานี้มีชื่อว่า [คฑาแห่งการฟื้นชีพ]
ด้วยไอเทมเวทย์นี้สามารถนำคนตายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง แน่นอนว่าไอร์ซมีมันมากกว่าหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีมากพอจะช่วยชุบชีวิตชาวบ้านทั้งหมดโดยที่ยังเหลือสำรองอีกด้วย

ตามที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกมา ที่โลกนี้ไม่มีเวทย์ที่ช่วยชุบชีวิตคนตายกลับมาได้ หากว่าไอร์ซใช้คฑาแห่งการคืนชีพนี้ เขาย่อมจะเป็นผู้สร้างปาฎิหารย์ให้กับหมู่บ้าน แต่หลังจากที่การสวดภาวนาจบลง และพิธ๊ฝังศพใกล้จะเสร็จสิ้น ไอร์ซก็ค่อยๆเก็บคฑากลับคืนกล่องไอเทม

เขาสามารถชุบชีวิตคนที่ตายได้ แต่เขาไม่ทำ นั่นไม่ใช่ความเชื่อของเขาที่ว่าเป็นหน้าที่ของพระเจ้าที่จะจัดการเหล่าวิญญาณที่จากไป แต่เป็นเพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำ
เมื่อลองนึกภาพผู้ขับขานมนตราทั้งสองประเภท หนึ่งคือผู้ใช้เวทย์ในการสังหาร และอีกหนึ่งคือผู้ใช้เวทย์ในการชุบชีวิตผู้อื่น มันง่ายมากที่จะจินตนาการว่าใครจะต้องประสบปัญหามากกว่ากัน แม้เงื่อนไขในการชุบชีวิตคือห้ามไปบอกคนอื่นอีก แต่โอกาสที่มันจะเป็นความลับตลอดไปนั้นน้อยมาก
คนทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงการโกงความตายกันทั้งนั้น ว่าไหม?
ภายใต้เหตุการณ์ที่แตกต่างออกไป บางทีเขาอาจมีโอกาสได้ใช้การฟื้นชีพ แต่ตอนนี้เขายังไม่มีข้อมูลเพียงพอ นั่นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเก็บคฑาเอาไว้
“แค่การช่วยหมู่บ้านเอาไว้ นั่นก็น่าจะทำให้ทุกคนมีความสุขพอแล้ว”
ไอร์ซสวดภาวนาอย่างแผ่วเบา ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังเดธไนท์ที่ยืนข้างกาย

เดธไนท์ก็เป็นเรื่องลึกลับอีกอย่างหนึ่ง

ในอิกดราซิลเวทย์อัญเชิญจะหมดเวลา เว้นเสียแต่จะมีการใข้วิธีอัญเชิญแบบพิเศษ แต่เดธไนท์นี้ไม่ได้ถูกอัญเชิญมาด้วยวิธีการเหล่านั้น มันควรจะหายไปได้แล้ว แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

แม้ไอร์ซจะพยายามคิดหาว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่อาจหาคำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากข้อมูลที่ไม่เพียงพอ ระหว่างที่ไอร์ซกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ร่างสองร่างก็ปรากฎตัวที่ข้างกายเขา

ผู้ที่ปรากฎตัวออกมาก็คืออัลเบโด และสิ่งมีชีวิตเวทย์ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์สวมชุดนินจา พร้อมขาแมงมุมแปดขาที่แหลมคมราวกับใบมีด

“มือสังหารใบมีดแมงมุมแปดขา? อัลเบโดหมายความว่าไง…”(八肢刀暗殺蟲)

ไอร์ซมองไปรอบๆ ดูเหมือนพวกชาวบ้านจะยังไม่สังเกตเห็น สำหรับอัลเบโดนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ว่าหากมีคนพบเจอสิ่งมีชีวิตเวทย์แบบนี้ แม้จะยังอยู่ในช่วงพิธีศพ ผู้คนก็ย่อมต้องหันมามองเป็นธรรมดา

แต่ตอนนั้นเองเขาก็นึกได้ว่า มือสังหารใบมีดแมงมุมแปดขา เป็นสิ่งมีชีวิตเวทย์ที่สามารถทำให้ตัวเองล่องหนได้
“พอดีเขาอยากจะมาทำแสดงความเคารพต่อท่านไอร์ซ ดิฉันเลยนำเขามาด้วยค่ะ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่านโมมอนกะ--- ---”
“--- --- ตามสบาย ไม่ต้องพิธีการมากก็ได้ แล้วนี่เจ้ามาจากกองกำลังเสริมถูกไหม?”
“ใช่แล้วขอรับ นอกจากตัวข้อน้อยแล้ว พวกเราได้เตรียมบริวารทั้งหมดสี่ร้อยตน สำหรับการจู่โจมหมู่บ้าน”
จู่โจม? นี่มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ไอร์ซอดไม่ได้ที่จะนึกไปว่า --- --- เซบาสเตียนท่าท่างจะไม่มีทักษะในการส่งสารเลย

“…ไม่จำเป็น ปัญหาทั้งหมดคลี่คลายหมดแล้ว ทีนี้ใครเป็นคนสั่งการเจ้าละ?”
“ท่านออร่า กับ ท่านมาเร่ ขอรับ ส่วนท่านเดมิเอิร์จ กับ ม่านแชลเทียร์ เตรียมพร้อมอยู่ในนาซาริก และท่านโคไคทัสก็ทำการลาดตระเวนรอบๆนาซาริกอยู่ขอรับ”

“งั้นเหรอ…รู้สึกว่าจำนวนจะมากไปหน่อย ถ้าอย่างนั้นยกเว้นออร่า กับ มาเร่ ให้ทั้งหมดถอนตัวกลับ แล้วจำนวน มือสังหารใบมีดแมงมุมแปดขา ที่มาด้วยมีทั้งหมดเท่าไหร่ละ?”

“พวกเราทั้งหมดมี 15 ตน ขอรับ”

“งั้นพวกเจ้าก็อยู่ที่นี่กับออร่า และมาเร่แล้วกัน”

เมื่อเห็น มือสังหารใบมีดแมงมุมแปดขา พยักหน้ารับแล้ว ไอร์ซก็หันเหความสนใจมายังพิธีฝังศพต่อ ทันทีที่หลุมศพถูกกลบฝัง สองสาวพี่น้องก็ร้องไห้ไม่หยุด
จากที่เห็นดูเหมือนว่าพิธีฝังศพจะไม่เสร็จในเร็วๆนี้ ไอร์ซจึงค่อยๆเดินกลับไปที่หมู่บ้าน โดยมีอัลเบโด และเดธไนท์ตามหลังมาด้วย
แม้จะถูกพิธีฝังศพมาขวาง แต่ไอรซ์ก็ยังใช้เวลาที่มีในการเรียนรู้สามัญสำนึกของที่แห่งนี้ หลังออกมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะลาลับจากฟากฟ้าแล้ว
ดูเหมือนว่าการเล่นเป็นฮีโร่จะกินเวลาไม่น้อย

ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะเวลาที่เสียไปมันเปล่าประโยชน์ หลังจากที่เขาได้รู้จักกับโลกใบนี้ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบก็ผุดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เขาได้รับรู้เรื่องราวต่างๆมากขึ้น ทำให้เขารู้สึกพอใจแล้ว
ระหว่างมองภาพอันงดงามของพระอาทิตย์ ที่กำลังลาลับขอบฟ้า ไอร์ซก็นึกถึงเรื่องที่เขาควรทำในลำดับต่อไป
มันอันตรายอย่างยิ่ง หากจะทำอะไรสักอย่างโดยไม่รู้สถานการณ์ของโลกนี้ สิ่งที่ควรทำมากที่สุดเป็นอย่างแรก ก็คือการรวบรวมข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด โดยที่เขาต้องปกปิดตัวตน และทำเป็นการลับ แม้พวกอัศวินจะโดนกวาดล้างไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีประเทศซึ่งหนุนหลัง ที่ต้องพยายามหาว่าเกิดอะไรขึ้น ในโลกเดิมนั้น การสืบสวนทางวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกันบางที ในโลกนี้อาจมีวิธีการสืบสวนอื่นที่มีประสิทธภาพก็เป็นได้
และถึงแม้จะไม่มีวิธีการสืบสวนที่มีประสิทธภาพ ตราบใดที่ชาวบ้านยังอยู่รอดปลอดภัย สักวันหนึ่งต้องมีคนได้เบาะแสเรื่องของไอร์ซที่นี่ เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวสารนี้หลุดออกไป ชาวบ้านควรจะต้องถูกพากลับไปยังมหาสุสานแห่งนาซาริก ถึงอย่างนั้นทางราชณาจักรที่หมู่บ้านนี้อยู่ใต้การปกครองย่อมขัดขวางเป็นแน่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำหรับพฤติกรรมอย่างการลักพาตัวหมู่แบบนี้
ที่จริงแล้ว มีเหตุผลอยู่สองประการที่เขาเอ่ยชื่อ และปล่อยให้อัศวินหนีไปได้

อย่างแรกคือ ตราบใดที่ไอร์ซไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในมหาสุสานนาซาริก ข่าวเกี่ยวกับตัวเขาก็ย่อมที่จะค่อยๆถูกเผยแพร่ออกไป หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะเป็นผู้เผยแพร่ข่าวออกไปเอง
เหตุผลที่สองก็คือ การกระจายข่าวว่า ไอร์ซ โออ์ล โกว์น ได้ช่วยเหลือชาวบ้านโดยจัดการพวกอัศวิน เป้าหมายสำคัญก็คือ การทำให้ผู้เล่นของอิกดราซิลคนอื่นๆรับรู้เรื่องนี้

ไอร์ซนั้นต้องการจะมีที่พักภายในราชณาจักร, จักรวรรดิ หรือในศาสนจักร
หรืออีกนัยหนึ่ง หากว่ามีผู้เล่นคนอื่นที่อยู่คนละประเทศ เบาะแสที่เกี่ยวกับพวกเขาย่อมต้องเผยออกมา นั่นหมายความว่า ไอร์ซจะดำเนินการให้เหล่าสมาชิกนาซาริกทั้งหมดออกค้นหาเบาะแสเหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ยังมีความเสี่ยงสูงอีกด้วย หากว่ามีสมาชิกสักคนที่มีภาวะทางอารมณ์แบบอัลเบโดละก็ การให้คำสั่งที่ผิดพลาด ย่อมทำให้เกิดศัตรูที่ไม่จำเป็นได้อย่างแน่นอน

ด้วยความที่เขาให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลข่าวสารอย่างมาก ดังนั้นการได้เป็นมิตรกับหนึ่งในประเทศที่กล่าวมาย่อมส่งผลดีอย่างยิ่ง เพื่อที่จะปกป้องให้มหาสุสานแห่งนาซาริกยังคงเป็นเอกภาพนั้น การมีคนหนุนหลังที่มีพลังอำนาจย่อมเป็นประโยชน์ต่อทางนี้ แต่เนื่องจากเขาไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศข้างต้น เขาจึงตัดสินใจว่า จะเป็นการดีกว่าที่จะยังไม่ผลีผลามสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านี้ อีกอย่างไอร์ซยังไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่แข็งกี่งที่สุดของโลกนี้ ทำให้เขาไม่อาจลดการระวังตัวได้ ในทั้งสามประเทศ บางทีอาจมีคนที่แข็งแกร่งกว่าไอร์ซอยู่ก็เป็นได้

การเป็นส่วนหนึ่งของหนึ่งในประเทศเหล่านี้ย่อมมีข้อเสียบางประการ แต่ว่าก็มีข้อดีมากกว่า จริงไหม? ปัญหาคือ เขาจะได้รีบสิทธิพลเมืองอย่างไรกัน?

หากคำตอบของปัญหาคือการเป็นทาสละก็ ลืมมันไปได้เลย เขาไม่อยากเป็นลูกจ้างของเจ้านายที่ไร้หัวใจอย่างเมโรเมโระ เช่นกัน นั่นคือสาเหตุที่เขาต้องเปิดเผยตัวตอนต่อทุกกองกำลัง สังเกตท่าที และข้อเสนอที่จะมีมา จากนั้นก็เลือกฝั่งที่เหมาะสมที่สุด  นี่คือพื้นฐานของการหางานเลย

ถ้าอย่างนั้นเขาควรจะย้ายไปเมื่อไหร่ละ? ตราบเท่าที่ไอร์ซยังขาดข้อมูลที่จำเป็น ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ไอร์ซจะถูกเป่าหู
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ไอร์ซก็ต้องสะบัดหัวไปมา
ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาได้ใช้สมองไปมาก และเขาก็ไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว

“เฮ้อ…วันนี้พอแค่แล้วกัน หมดเรื่องแล้ว อัลเบโด เรากลับไปกันได้แล้ว”
“รับทราบค่ะ”
คำตอบของอัลเบโดดูจะตึงเครียดอย่างมาก ทั้งที่ตอนนี้ไม่มีอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย นั่นจึงไม่น่าจะตื่นตัวขนาดนี้
เมื่อนึกได้ ก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่บอกได้ ไอร์ซใช้น้ำเสียงที่ต่ำสอบถาม:
“…เจ้าเกลียดมนุษย์ใช่ไหม?”

“ดิฉันไม่ชอบพวกมันค่ะ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทั้งต้อยต่ำ และเปราะบาง พวกมันก็เหมือนแมลงที่ถูกบดขยี้ได้โดยง่าย…เด็กสาวสองคนนั้นก็เช่นกัน”
แม้อัลเบโดจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวานราวกับน้ำผึ้ง แต่สิ่งที่เธอกล่าวออกมานั้นโหดร้ายตรงข้ามกับน้ำเสียงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของอัลเบโด ที่งดงามราวกับเทพธิดาผู้เปี่ยมเมตตา ไอร์ซคิดว่าประโยคที่กล่าวมาก่อนหน้านั้นออกจะขัดกับรูปลักษณ์อย่างมาก เขาจึงต้องอบรมเธอสักหน่อย:
“งั้นเรอะ…ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะใจเย็นลงบ้าง การรู้จักควบคุมตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากอย่าลืมเสียละ”
เมื่อเห็นอัลเบโดที่พยักหน้ารับอย่างกระวนกระวาย ไอร์ซก็เริ่มจะกังวลขึ้นมา

ในตอนนี้ อัลเบโดจะชอบ หรือ ไม่ชอบนั้นคงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่มันก็ไม่แน่ใจอนาคต
การเข้าใจความชอบของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

หลังสังเกตถึงอคติต่อมนุษย์ของอัลเบโด ไอร์ซก็มองหาหัวหน้าหมู่บ้าน  ตามมารยาทเขาควรที่จะกล่าวลาก่อนจากไป
ไม่นานนักเขาก็พบตำแหน่งที่หัวหน้าหมู่บ้านอยู่ ตัวหัวหน้าหมู่บ้านดูมีสีหน้าเค่รงเครียด ขณะที่ยืนพูดคุยกับกลุ่มชาวบ้าน ตรงบริเวณมุมของจัตุรัส ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว สีหน้าหัวหน้าหมู่บ้านดูเหมือนกับว่ากำลังจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ?
ไอร์ซหยุดความคิดที่จะกล่าวลา เมื่อช่วยใครแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน:
“…หัวหน้าหมู่บ้าน มีอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
ใบหน้าของหัวหน้าหมู่บ้าน ดูจะเกิดแสงแห่งความหวังขึ้นมาทันใด
“โอห์ ท่านไอร์ซ ดูเหมือนจะมีกลุ่มคนที่เหมือนทหาร ขี่ม้ามุ่งมาที่นี่…”
“งั้นรึ…”
หัวหน้าหมู่บ้าน และเหล่าชาวบ้านต่างจ้องมองไอร์ซอย่างกังวล

ไอร์ซค่อยๆยกมือขึ้น และกล่าวให้ทั้งหมดสบายใจ:
“ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง ให้ชาวบ้านทั้งหมดหาที่หลบในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน; พวกข้าทั้งสองจะอยู่ที่นี่เอง”
ระฆังทั้งหมดดังกึกก้อง และชาวบ้านก็มารวมตัวกัน ในเวลาเดียวกัน เดธไนท์ก็ไปเฝ้าบริเวณบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน โดยที่อัลเบโดยืนเคียงข้างไอร์ซพร้อมรับคำสั่ง
เพื่อจะคลายความกังวลของหัวหน้าหมู่บ้าน ไอร์ซได้กล่าวอย่างร่าเริงออกมา:
“ไม่ต้องห่วง เอาเป็นว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าเป็นกรณีพิเศษโดยไม่คิดเงินแล้วกัน”
หัวหน้าหมู่บ้านหยุดสั่น และฝืนยิ้มออกมา บางทีเขาอาจเตรียมใจที่จะวางเดิมพันทั้งหมดไปที่ไอร์ซแล้วก็ได้
ไม่นานนัก เหล่าทหารม้าก็ปรากฎที่ถนน และค่อยๆเคลื่อนขบวนมาที่จัตุรัส

“…เครื่องสวมใส่พวกเขานั้นมีหลากหลายมั่วซั่วไปหมด…พวกนี้ใช่ทหารแน่เหรอ?”
ไอร์ซงงงวยกับเครื่องสวมใส่เหล่านี้
พวกอัศวินก่อนหน้าต่างมีสัญลักษณ์ของจักรวรรดิที่เกราะ และยังสวมเกราะ ที่เข้าคู่กับดาบ อีกทั้งยังอยู่ในชุดเกราะครบชุด แต่ทหารพวกนี้ แม้ว่าจะสวมใส่ชุดเกราะ แต่ก็ไม่ได้แบบฟอร์มอะไรเลย บางคนสวมชุดหนัง ขณะที่บางคนก็ไม่ได้สวมเกราะ มีเพียงเกระห่วงโซ่ที่ถูกสวมทับด้วยชุดอีกทีเท่านั้น

มีทั้งคนที่สวมหมวกเหล็ก และไม่สวม แต่สิ่งเดียวที่ทั้งหมดเหมือนกันคือใบหน้าที่ไม่ถูกปกปิด ทั้งหมดต่างพกดาบแบบเดียวกัน แต่ก็มีบ้างที่พกธนู, หรือปืนพก, คทา ตลอดจนอาวุธสำรองติดตัว

หากจะพูดให้ดูดี คนกลุ่มนี้ดูเหมือนนักรบที่เจนสนมาซึ่งผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วน แต่ถ้าให้พูดตรงๆ พวกเขาดูเหมือนกลุ่มทหารรับจ้างเสียมากกว่า
ท้ายที่สุดทหารม้าราวยี่สิบนายได้ขี่มายังจัตุรัส แม้พวกเขาจะระมัดระวังตัวจากเดธไนท์ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถควบคุมตัวเองได้ต่อหน้าหัวหน้าหมู่บ้าน และไอร์ซ จากในแถวก็มีชายคนหนึ่งแทรกออกมา และมุ่งมายังไอร์ซ

จากลักษณะแล้วเขาจะเป็นหัวหน้า เห็นได้จากท่าทางที่ดึงดูดสายตา และความกล้าที่รับรู้ได้ ชายคนนั้นค่อยๆสำรวจรอบๆ แล้วหันมามองที่หัวหน้าหมู่บ้าน เดธไนท์ และอัลเบโดตามลำดับ เขามองรอบๆได้สักพัก และเมื่อตระหนักได้ว่าทั้งหมดยังไม่มีปฏิกริยาใดๆ เขาก็ได้จ้องมองไปที่ไอร์ซด้วยสายตาอันแหลมคม

แม้ว่าจะถูกจ้องมองโดยสายตาอันดุดัน แต่ไอร์ซก็ยังสงบนิ่ง แรงกดดันนี้ไม่ได้ทำให้เขาใจเต้นเลยสักนิด
ไม่ใช่ว่าเพราะไอร์ซไม่กลัวสายตาที่จ้องมองมา แต่นั่นเป็นผลข้างเคียงจากการที่เขาเป็นเอลเดอร์ลิช บางที่ทักษะของอิกดราซิลทำให้เขามีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้น
หลังจากสำรวจรอบตัวแล้ว ตัวกัปตันก็ได้เปล่างเสียงออกมา:
“--- --- ข้ากาเซฟ สโตโลนอฟ หัวหน้าอัศวินแห่งราชณาจักรรี-เอซไทซ์ ภายใต้บัญชาขององค์ราชัน ข้า และกองกำลังได้มาเพื่อทำศึกกับอัศวินแห่งจักรวรรดิ พร้อมรับหน้าที่ลาดตระเวนตามหมู่บ้านต่างๆโดยรอบ”

เสียงที่นุ่ม ลึก ของเขาดังก้องทั่วจัตุรัส ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่หลังไอร์ซพึมพำออกมา:
“หัวหน้าอัศวินแห่งราชณาจักร…”
คนที่มาถึงนี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงระหว่างการสนทนากับหัวหน้าหมู่บ้าน --- --- พร้อมกับเสียงที่แฝงการตำหนิหัวหน้าหมู่บ้านโดยตรง เขาได้กล่าวถามออกมาเบาๆ:
“…เค้าเป็นคนอย่างไร?”
“ตามที่ได้ยินพวกพ่อค้าที่ผ่านมาพูดถึง ในอดีตเขาคือผู้ชนะของการแข่งขันหาตัวทหารรักษาพระองค์ประจำตัวองค์ราชา และปัจจุบันนี้เขาคือผู้ที่ขึ้นตรงต่อองค์ราชา แล้วยังเป็นผู้บัญชาการของทหารกลุ่มหัวแถวอีกด้วย”

“คนตรงหน้าข้ายอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยรึ…?”
“…ผมก็ไม่ทราบ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ได้ยินมาเท่านั้น”

ไอร์ซมองไปยังทหารม้าอย่างระมัดระวัง; พวกเขามีตราสัญลักษณ์เหมือนกันให้เห็นตรงหน้าอก ซึ่งตราสัญลักษณ์เหล่านี้ดูคล้ายกับอันที่อยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งหมายความว่าพวกเขายังมีข้อมูลเพียงน้อยนิด และไม่สามารถสืบหาตัวตนของเขาได้
จากนั้นกาเซฟก็มองไปยังหัวหน้าหมู่บ้าน:
“ท่านคงเห็นหัวหน้าหมู่บ้านสินะ ไม่ทราบว่าท่านจะบอกข้าได้ไหมว่าชายที่อยู่ข้างท่านคือใครกัน?”

“ไม่ต้องลำบากหรอก สวัสดี ท่านหัวหน้าอัศวินแห่งราชณาจักร ข้าคือผู้ขับขานมนตรานามว่า ไอร์ซ โออ์ล โกว์น เพราะหมู่บ้านนี้ถูกพวกอัศวินบุกเข้ามา ข้าเลยได้มาช่วยพวกชาวบ้าน”
ไอร์ซที่พูดขัดหัวหน้าหมู้บ้าน ได้กล่าวทักทายอย่างสุภาพ พร้อมแนะนำตัวเอง
กาเซฟได้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดเสียงดังจากชุดเกราะหนักที่สวมอยู่ เขาได้ลงมายืนที่พื้น และแสดงการโค้งคำนับจนสุด:
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชาวบ้าน ข้าไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจนี้อย่างไรดี”

อากาศโดยรอบในขณะนั้นดูจะสั่นไหวขึ้น

ในฐานะของหัวหน้าอัศวิน เขาน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นเอกสิทธิ์ ดังนั้นแล้วการแสดงความเคารพให้กับคนที่ไร้ฃื่อเสียงเรียงนามอย่างไอร์ซ ซึ่งอยู่คนละระดับชั้นกันย่อมสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคน เท่าที่เขารู้มา ในประเทศนี้ ตลอดจนทั่วโลก สิทธิมนุษยชนเพิ่งจะถูกประกาศใช้อย่างสมบูรณ์ เมื่อไม่กี่ปีนี้เองพวกเขายังมีแรงงานทาสอยู่เลย

แม้พวกเขาจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กาเซฟก็ยังลงจากหลังม้ามาทำโค้งคำนับแก่ไอร์ซ นี่ทำให้ทราบได้อย่างชัดเจนว่ากาเซฟเป็นคนเยี่ยงไร

ไอณ์ซบอกกับตัวเองในใจว่า สถานะอย่างหัวหน้าอัศวินของราชณาจักรที่กาเซฟได้รับนั้นเหมาะสมอย่างยิ่ง
“…ไม่ต้องสุภาพนักหรอก ที่จริงข้าก็มีเป้าหมายที่รางวัลละนะ เพราะงั้นไม่ต้องขอบคุณก็ได้”

“โอ๊ รางวัลงั้นเหรอ งั้นก็หมายความว่าท่านเป็นนักผจญภัยสินะ? อืมมมม….ดูเหมือนท่านจะเป็นนักผจญที่มีชื่อเสียงมากแน่ๆ…แต่ต้องขอโทษในความเขลาของข้า แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของมาสเตอร์โกว์นมาก่อนเลย”

“ข้าก็เป็นแค่นักเดินทาง ที่ผ่านมาโดยบังเอิญ ดังนั้นข้าย่อมไม่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว”

“…เอ นักเดินทางงั้นรึ ต้องขอโทษที่ข้าทำให้ท่านนักผจญภัยผู้เก่งกล้าต้องเสียเวลา แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าขอให้ท่านชาวยบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าผู้ที่มาบุกรุกหมู่บ้านแห่งนี้?”

“ย่อมได้ท่านหัวหน้าอัศวิน สำหรับอัศวินที่บุกเข้ามยังหมู่บ้านส่วนใหญ่ตายหมดแล้ว; พวกนั้นน่าจะไม่มาสร้างปัญหาอีกต่อไป ไม่ทราบว่ามีอะไรที่ข้าต้องอธิบายอีกไหม?”

“…ตายแล้ว…นี่เป็นฝีมือของมาสเตอร์โกว์นอย่างนั้นหรือ?”

หลังจากได้ยินที่กาเซฟเรียกตัวเอง ไอร์ซกะนึกได้ว่าชื่อนี้ถูกเรียกแบบทางตะวันตก ไม่ใช่แบบญี่ปุ่นเรียกกัน ลำดับการเรียกชื่อนั้นเป็น ชื่อ+นามสกุล ไม่ใช่ นามสกุล+ชื่อ นี่อธิบายว่าทำไมหัวหน้าหมู่บ้านจึงมีท่าทางแปลกๆ ตอนที่ไอร์ซให้เรียกตัวเขาในแบบของญี่ปุ่น ทั้งที่พวกเขาก็ยังไม่ได้สนิทสนมกัน แต่ไอร์ซก็ยังให้คนอื่นเรียกชื่อเขาโดยตรง แน่นอนว่าย่อมทำให้หัวหน้าหมู่บ้านสับสนไม่น้อย

เมื่อทราบถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง ไอร์ซก็ใช้ความหน้าด้านที่ได้จากการทำงานในสังคมมาปกปิดความผิดพลาดนี้
“…นั่นก็ถูก และไม่ถูกในทีเดียว”

กาเซฟตระหนักถึงความหมายของคำที่ไอร์ซกล่าว ทำให้หันไปมองยังเดธไนท์ ซึ่งเขาได้กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาเล็กน้อย

“มีสองสิ่งที่ข้าอยากจะถาม…นั่นคืออะไรกัน?”

“นั่นเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ที่ข้าสร้างขึ้น”

กาเซฟฮัมออกมา พร้อมกับที่ใช้สายตาอันแหลมคมมองไอร์ซตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แล้วอย่างนั้น…หน้าการนี่คืออะไรกัน?”

“เพราะข้าคือผู้ขับขานมนตรา ข้าเลยต้องสวมมันเอาไว้”

“ท่านพอจะถอดมันได้ไหม?”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้านั่น---”เขาชี้นิ้วไปยังเดธไนท์”ถ้าเกิดมันอาละวาดขึ้นมาคงยุ่งยากน่าดู”

หัวหน้าหมู่บ้าน รวมทั้งชาวบ้านที่อยู่ในบ้าน ทั้งหมดต่างรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเดธไนท์เป็นอย่างดี และนั่นทำให้พวกเขาแสดงสีหน้าตกใจออกมา บางทีเนื่องจากสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของหัวหน้าหมู่บ้าน รวมถึงบรรยากาศโดยรอบ ทำให้กาเซฟพยักหน้าอย่างหนักแน่น:
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องถอดคงจะดีกว่าสินะ”

“ขอบคุณมาก”

”แล้วต่อไป --- ---”
“ต้องขอโทษที่มาขัดจังหวะ แต่ก่อนอื่นเลย หมู่บ้านนี้เพิ่งถูกอัศวินของจักรวรรดิจู่โจม หากว่าทุกคนพกอาวุธเข้ามา บางทีอาจทำให้ชาวบ้านนึกถึงเรื่องอันน่ากลัวที่เพิ่งเกิดก็ได้ หากเป็นไปได้ ข้าอยากให้ทุกท่านนึกถึงจิตใจของชาวบ้าน แล้วนำอาวุธไปฝากไว้ตรงมุมจัตุรัสก่อนจะได้ไหม”
“…ที่มาสเตอร์โกว์นกล่าวมาถูกต้องแล้ว แต่ว่าดาบพวกนี้ได้รับมอบจากองค์เหนือหัวโดยตรง; หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากองค์ราชา พวกเราก็ไม่สามารถนำไปฝากไว้ได้”

“--- ---ท่านไอร์ซ พวกเราไม่เป็นไรหรอกท่าน”

“อย่างนั้นรึ? หัวหน้าหมู่บ้าน...ถ้าอย่างนั้นท่านหัวหน้าอัศวิน โปรดให้อภัยข้อขอร้องที่ไร้เหตุผลนี้ด้วย”

“มาสเตอร์โกว์นข้อเสนอของท่านนั้นถูกต้องแล้ว หากว่าดาบนี้ไม่ได้รับมอบจากองค์เหนือหัวละก็ ข้าก็ยินดีที่จะนำมันไปฝากไว้ เอาละงั้นเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหม แล้วหากเป็นไปได้ ท่านช่วยเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกสักรอบจะได้ไหม? หากว่าท่านไม่ถือสาว่าจะทำให้ท่านเสียเวลา อีกอย่างข้าก็อยากจะไปพักในหมู่บ้านสักหน่อย…”

“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นให้กระผมนำทางท่านไปที่บ้านเถอะ --- ---”
ในตอนที่หัวหน้าหมู่บ้านตอบรับ อัศวินนายหนึ่งได้พุ่งเข้ามายังจัตุรัส หลังหอบหายใจอย่างหนัก เขาก็ได้แจ้งข่าวที่สำคัญให้ได้ยิน

อัศวินตะโกนบอกข่าวด่วนด้วยเสียงอันดัง:
“กัปตัน! พื้นที่โดยรอบมีเงาจำนวนมากกำลังเคลื่อนตัวมายังหมู่บ้าน!”



Part 3

“ทั้งหมดฟังทางนี้”
ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ตรงที่แห่งนี้ต่างได้ยินเสียงอันสงบ เยือกเย็นเรียกขาน
“เหยื่อได้เข้าสู่กรงกับดักแล้ว”
เจ้าของเสียงคือบุรุษผู้หนึ่ง
เขามีหน้าตาที่ดูธรรมดา ซึ่งหากเขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ก็ยากที่จะสังเกตเห็นได้ สิ่งเดียวที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ ดวงตาเทียมสีดำ และรอยแผลเป็นบนใบหน้า

“ขอเจ้าจงอุทิศศรัทธาแด่พระผู้เป็นเจ้า”
คนทั้งหมดต่างสวดภาวนาอย่างเงียบๆ แม้จะเป็นการสวดภาวนาต่อพระเจ้าอย่างเรียบง่าย แต่ทว่าตลอดเวลาที่ปฎิบัติภารกิจ แม้จะเป็นที่ชายแดน พวกเขาก็ต้องหาเวลาสำหรับการสวดภาวนา
นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขายังคงทำกันอย่างแข็งขัน ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระผู้เป็นเจ้า

เหล่าอัศวินผู้มอบทุกสิ่งทุกอย่างแก่ศาสนจักรสิเลียน และพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาซึ่งมีศรัทธาที่มากกว่าประชาชนทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาสามารถทำภารกิจได้อย่างอำมหิตโดยไม่รู้สึกผิดเลย และแล้วหลังการสวดภาวนา สายตาของทั้งหมดก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง

"เริ่มได้"

ภายในไม่กี่อึดใจ
พวกเขาได้ล้อมหมู่บ้านด้วยการประสานงานที่สมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงผลของการฝึกซ้อมอันทุ่มเท
พวกเขาเหล่านี้คืออัศวินแห่งศาสนจักรสิเลียน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในภารกิจที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เหล่าผู้ที่ถูกกล่าวขาน แต่ไม่เคยมีใครได้พบตัวจริง
สำหรับศาสนจักรแห่งสิเลียนนั้นมีหน่วยข่าวกรองทั้งหมดหกหน่วย ในส่วนของงานทั่วไปของหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายคือการกวาดล้างหมู่บ้านพวกกึ่งมนุษย์ แม้ว่าพวกเขาจะต้องมีโอกาสเข้าทำศึกหลายครั้ง แต่จำนวนสมาชิกกลับมีน้อยเหลือเกิน แม้จะรวมเหล่ากองลาดตระเวนเข้าไป จำนวนสมาชิกทั้งหมดก็มีไม่ถึงร้อยนาย

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าประตูสำหรับการเข้าสู่หน่วยคัมภีร์สุริยันฉายนั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
อย่างแรกต้องมีคุณสมบัติในการใช้เวทย์ศักสิทธิ์ถึงระดับ 3 ได้เสียก่อน ซึ่งนั่นยังรวมไปถึงต้องสามารถใช้เวทย์ระดับสูงที่นักขับขานมนตราทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้ด้วย นอกเหนือจากนี้พวกเขาต้องมีสมรรถนะทางร่างกาย ความยืดหยุ่น และจิตใจ ที่เหนือกว่าคนปกติ รวมทั้งความศรัทธาในศาสนาอย่างสุดซึ้ง
โดยสรุปพวกเขาก็คือเหล่าหัวกะทินั่นเอง
เมื่อมองเหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบตัว บุรุษที่เป็นผู้ออกคำสั่งก็พ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา หากว่าฝ่ายตรงข้ามกระจายตัวกัน ก็คงเป็นการยากที่จะจำกัดการเคลื่อนไหวได้ แต่เขาก็มั่นใจในกรงขังที่ไร้ทางหนีนี้

จากความสำเร็จในการสั่งการของเขา หัวหน้าหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายอย่าง ไนเจน กู๊ดริช ลูอิน ก็รู้สึกโล่งอก
หน่วยคัมภีร์สุริยันฉายนั้นไม่ได้มีความชำนาญในการซ่อนเร้น หรือการปฎิบัติภารกิจภาคสนาม ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสถึงสี่ครั้งด้วยกัน พวกเขาต้องระวังตัวไม่ให้ถูกจับได้อย่างมากทุกครั้งที่ติดตามกาเซฟ และเหล่าอัศวินใต้บังคับบัญชา หากว่าพวกเขายังพลาดอีกละก็  การไล่ตามก็คงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย

“คราวหน้า…ท่าทางต้องให้หน่วยอื่นช่วยจัดการซะแล้ว”
ใครบางคนได้ตอบกลับคำบ่นของไนเจนในทันที
“ใช่แล้ว ที่จริงพวกเราถนัดการกวาดล้างต่างหาก”
ผู้ที่ตอบกลับมาคือหนึ่งในสมาชิกที่ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อปกป้องไนเจน

“ดูจากภารกิจของเราที่ไม่ธรรมดา นี่ต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆ ที่จริงถ้าจะขอความช่วยเหลือจากหน่วยวาตะบุปผา…”
“ที่พูดมาก็ถูก ถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจเหตุผลที่พวกเราถูกเรียกใช้ในครั้งนี้ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างคุ้มค่า การได้แทรกซึมอย่างเป็นลำดับเป็นการฝึกที่ดี บางทีนี่อาจเป็นเป้าหมายสูงสุดเลยก็ได้” (To infiltrate the enemy ranks is indeed good training. No, perhaps this was the ultimate objective)

แม้จะกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่ไนเจนก็รู้ดีว่าการที่จะรับภารกิจแบบนี้ในอนาคตก็ยังเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาอย่างมาก
ภารกิจในคราวนี้คือ “การลอบสังหารนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของราชอาณาจักร ผู้ที่ประเทศข้างเคียงก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ กาเซฟ สโตโลนอฟ”
หากจะพูดกันตรงๆแล้ว ภารกิจนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะกับหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายซักเท่าไรนัก ดูแล้วมันน่าจะเหมาะกับหน่วยคัมภีร์ทมิฬที่มีความแข็งแกร่งระดับวีรบุรุษเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้

ไนเจนนั้นทราบดีถึงสาเหตุที่หน่วยอื่นไม่สามารถมาช่วยสนับสนุนได้ แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้บอกผู้ใต้บังคับบัญชาเนื่องจากนี่เป็นข้อมูลลับ
หน่วยคำภีร์ทมิฬต้องรับมือกับราชามังกรหายนะที่กำลังจะคืนชีพกลับมา และตอนนี้พวกเขาก็ปกป้องดิไวน์อาร์ติแฟล็ก [Kei Seke Coke] ในส่วนของหน่วยคำภีร์วาตะบุปผาก็ทุ่มกำลังทั้งหมดไล่ล่าคนทรยศ ที่ได้ขโมยดิไวน์อาร์ติแฟล็กเจ้าหญิงมิโกะ นั่นทำให้พวกเขาไม่มีกำลังพอที่จะมาช่วยสนับสนุนตรงนี้ได้
ไนเจนเอามือไปลูบรอยแผลเป็นอย่างลืมตัว ภาพความทรงจำที่ชัดเจนเกี่ยวกับการหลบหนีเพียงครั้งเดียวของเขา การหนีอย่างขลาเขลา เขาหวนรำลึกถึงใบหน้าของหญิงสาวที่ถือดาบเวทย์มนตร์สีดำสนิท ที่ได้ฝากรอยแผลเป็นนี้เอาไว้

ในปกติทั่วไปแล้ว การรักษาบาดแผลให้หายไปโดยไร้รอยแผลเป็นนั้นสามารถทำได้โดยการใช้เวทย์มนตร์ แต่ทว่าไนเจนต้องการเหลือรอยแผลเป็นนี่ไว้ เพื่อจดจำถึงความพ่ายแพ้ของเขา
“…สั_เอ๊ย ยัยบลูโรส”

ไนเจนเผยความจริงที่เขาเกลียดชังทั้งบลูโรส และกาเซฟซึ่งเป็นคนของราชอาณาจักร เขาไม่อาจให้อภัยบลูโรสซึ่งเป็นนักบวชหญิงของเทพเจ้าองค์อื่น และความจริงที่เธอเป็นผู้หยุดยั้งไนเจนจากการกวาดล้างหมู่บ้านพวกกึ่งมนุษย์ เธอเป็นคนประเภทที่ไนเจนชิงชังมากที่สุด พวกที่มีเมตตาอย่างโง่เขลา
“…พวกที่อ่อนแอก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอดสิ โง่จริงที่เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้”
ความโกรธเกรี้ยวที่ส่งผ่านจากตาเทียมของตัวหัวหน้า ทำให้ลูกน้องคนหนึ่งต้องรีบพูดแทรกขึ้น:
“วะ-ว่าไปพวกราชณาจักนี่เป็นโง่โดยสันดานเลยนะ”
ไนเจนไม่ได้ตอบกลับ แต่ก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น
กาเซฟนั้นแข็งแกร่ง นั่นทำให้เขาต้องหาทางทำให้เขาอ่อนแอลง โดยการปลดเปลื้องเครื่องมือของเขา

ทางราชอาณาจักรนั้นถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย ได้แก่ฝั่งของราชา และเหล่าขุนนาง ซึ่งต่างก็แข่งขันกันเพื่ออำนาจทางการเมือง หากว่าสามารถกำจัดกาเซฟที่เป็นหมากตัวสำคัญของราชาไปได้ พวกขุนนางก็จะทำอะไรได้สะดวกยิ่งขึ้น แม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสายลับของต่างประเทศ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่าชนชั้นสูงของราชณาจักรจะให้ความช่วยเหลือแผนการลอบสังหารในครั้งนี้
เนื่องจากกาเซฟเป็นคนธรรมดาที่ไต่เต้าขึ้นมาด้วยฝีมือดาบอันเหนือล้ำเท่านั้น เขาจึงถูกเกลียดชังโดยเหล่าขุนนาง
และนั่นทำให้เกิดสถานการณ์ปัจจุบันนี้
ยอดนักรบแห่งราชณาจักร ต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเดียวกันเอง

ไนเจนพิจารณาว่าทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมอันโง่เขลาอย่างยิ่ง
แม้ว่าคนของศาสนจักรสิเลียนจะแบ่งเป็นหกฝ่ายตามศาสนา แต่พวกเขาก็พร้อมช่วยเหลือกันเมื่อมีเหตุจำเป็น
เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาร่วมมือกันได้เพราะต่างให้ความเคารพพระเจ้าของแต่ละฝ่าย อีกเหตุผลก็คือการที่พวกเขามีความรู้รื่องเผ่าพันธ์อื่นๆ รวมไปถึงเหล่าอสูรซึ่งไม่ใช่มนุษย์ ทำให้พวกเขาทราบว่าหากไม่รวมตัวกันแล้ว ก็ย่อมเกิดเป็นอันตรายแก่ตัวพวกเขาเอง

“…มันสำคัญมากที่พวกเราทั้งหมดควรทำตามคำสอน และเดินไปในเส้นทางเดียวกัน มนุษย์ไม่สำควรจะสู้รบกันเอง พวกเราควรที่จะร่วมกันแผ้วถางทางไปสู่อนาคต”
และกาเซฟก็คือผู้ที่ต้องเสียสละเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
“…พวกเราพอที่จะจัดการเขาได้ไหม?”
ไนเจนไม่ได้หัวเราะเยาะผู้ใต้บังคับบัญชาที่วิตกขึ้นมา
เป้าหมายในคราวนี้คือหัวหน้าอัศวินแห่งราชณาจักร นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กาเซฟ สโตโลนอฟ

เมื่อเทียบกับการกวาดล้างหมู่บ้านกอบลินขนาดใหญ่ให้หมด ภารกิจนี้นับว่ายากว่ากันมาก เพื่อจะช่วยลดความวิตกกังวลของลูกน้อง ไนเจนก็กล่าวออกมาอย่างสงบ:
“ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน ตอนนี้เขาไม่ได้พกสมบัติของราชณาจักรมาด้วย เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้นำมาใช้ เมื่อไม่มีสมบัตินั่นแล้ว การฆ่าเขาก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร…อันที่จริงหากไม่ใช่โอกาสดีเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางที่จะจัดการเขาได้หรอก”

หัวหน้าอัศวินแห่งราชอาณาจักร กาเซฟ สโตโลนอฟ คือหนึ่งในอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุด ฝีมือดาบอันสูงส่งทำให้เขาเป็นที่ครั่นคร้าม แต่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือเขาเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่สมบัติของราชอาณาจักรทั้งห้า ในตอนนี้หน่วยคำภีร์สุริยันฉายทราบข้อมูลเพียงสี่ชิ้นเท่านั้น แต่หากกาเซฟได้รับอนุญาต เขาก็สามารถสวมใส่ทั้งหมดได้
[ถุงมือแห่งความยืนยง] ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่มีกำลังที่ไม่มีวันหมดสิ้น [สร้อยคอแห่งอมตะชน] ซึ่งช่วยฟื้นฟูร่างกาย นอกจากนี้ [เกราะผู้พิทักษ์] ที่ทำจากเหล็กกล้า ก็ทำให้ผู้สวมใส่ไม่ถูกสังหารในทันที และ [ราซอร์เอดจ์] ดาบเวทย์ที่แหลมคม ซึ่งมีความสามารถสะบั้นชุดเกราะราวกับผ่ากระดาษ

แม้แต่ตัวไนเจนเองก็ไม่อาจต้านทานกาเซฟได้ หากเขาได้รับการสนับสนุนจากสมบัติที่ช่วยเพิ่มความสามารถทั้งการโจมตี และป้องกันอย่างพร้อมเพรียง ดีไม่ดีในหมู่มนุษย์ทั้งหมดก็ไม่อาจหาใครมาพิชิตเขาได้ แต่ในตอนนี้เขาไม่มีสมบัติเหล่านั้นมาด้วย ดังนั้นแล้วชัยชนะก็อยู่แค่เอื้อม

“อีกอย่าง…เรายังมีไพ่ตายเหลืออยู่ ศึกนี้เป็นศึกที่เราไม่อาจแพ้ได้”
ไนเจนทาบมือข้างหนึ่งไปที่หน้าอก
ในโลกแห่งนี้มีไอเทมเวทย์มนตร์ที่มีพลังมากจนไม่อาจคาดเดาได้อยู่สามชิ้น
หนึ่งคือสมบัติที่เหลือตกทอดมาของราชาแห่งความปราถนาทั้งแปด (八欲王) ซึ่งเป็นเหล่าผู้ปกครองโลกแห่งนี้เมื่อห้าร้อยปีก่อน
อีกชิ้นอยู่ในยุคก่อนหน้าที่ราชาแห่งความปรารถนาทั้งแปดจะถูกโค่นลง ซึ่งเป็นยุคที่มังกรยังครองโลกใบนี้ เครื่องมือที่ถูกซ่อนไว้นี้สร้างขึ้นโดยเวย์ของดราก้อนลอร์ดระดับชั้นสูงสุด
และชิ้นสุดท้ายเป็นสมบัติที่มีอายุกว่าหกร้อยปีซึ่งตกทอดมาจากเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหก ซึ่งเป็นที่มาของศาสนจักรสิเลียน
(The last one was a treasure left behind six-hundred years ago by the Six Great Gods; it was the basis of the Silian Theocracy’s doctrine.)

และสมบัติที่ไนเจนครอบครองอยู่นี้ เป็นของที่ผู้ซึ่งได้รับเลือกจำนวนน้อยในศาสนจักรสิเลียนที่จะมีสิทธิ์จะรับรู้ ซั่งมันก็คือไพ่ตายของเขานั่นเอง
ไนเจนมองไปยังกำไลข้อมือเหล็ก ตัวเลขจำนวนมากลอยขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงเวลานัดหมายที่ได้มาถึงแล้ว

“ดีละ…เริ่มการจู่โจมได้”

ไนเจน และเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างเริ่มว่ายเวทย์ของตน
ทั้งหมดล้วนใช้เวทย์ขั้นสูง ซึ่งทำการอัญเชิญเทวฑูตออกมา

“โอ้…พวกนั้นเป็นมนุษย์แน่นอน”
กาเซฟลอบมองออกไปยังเงาร่างที่ล้อมหมู่บ้านจากห้องที่มีแสงสลัว
เขารับรู้ได้คนจำนวนสามรายกำลังค่อยเคลื่อนเข้ามายังหมู่บ้าน โดยรักษาระยะห่างเอาไว้
พวกเขานั้นไม่ได้ติดอาวุธ และไม่ได้สวมชุดเกราะหนักกับตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะถูกจัดการโดยง่าย ผู้ขับขานมนตราจำนวนมากไม่นิยมจะสวมชุดเกราะหนัก โดยเลือกจะสวมเครื่องสวมใส่ที่เบากว่าแทน และสำหรับบุคคลเหล่านี้น่าจะเป็นเช่นนั้น

สิ่งที่ลอยอยู่ข้างพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตเวทย์ที่มีปีก และฉายแสงออกจากตัว ทำให้บอกได้อย่างชัดเจนถึงชนิดของพวกมัน
เหล่าเทวฑูต
เทวฑูตเป็นสิ่งมีชีวิตเวทย์ที่ถูกอัญเชิญจากต่างโลก และมีหลายคนเชื่อว่าพวกมันคือข้ารับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า โดยเฉพาะเหล่าผู้คนจากศาสนจักรสิเลียน
และแม้ว่าข้อถกเถียงเรื่องเทวฑูตจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างทางศาสนจักร และราชอาณาจักร แต่กาเซฟไม่ได้สนใจว่าเทวฑูตจะเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าจริงหรือไม่ สิ่งที่เขาสนมีเพียงความสามารถในการสู้รบของพวกมัน

จากที่กาเซฟรู้มา เทวฑูตนั้นจะแข็งกว่าสิ่งมีชีวิตเวทย์อื่นๆที่ถูกอัญเชิญมาในเวทย์ระดับเดียวกัน พวกมันมีความสามารถเฉพาะตัว และสามารถใช้เวทย์ได้ โดยรวมคือ เขามองว่าพวกมันเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมืออย่างยิ่ง

แต่นั่นต้องพิจารณาด้วยว่าเทวฑูตนั้นเป็นประเภทไหน ไม่ใช่ว่าเทวฑูตทั้งทุกประเภทจะยากในการจัดการ
สำหรับเทวฑูตกลุ่มนี้สวมใส่เกราะอกที่ส่องสว่าง และมีดาบยาวที่ลุกโชนในมือ กาเซฟไม่ค่อยคุ้นเคยกับเทวฑูตประเภทนี้
ที่ข้างกายกาเซฟซึ่งไม่อาจหยั่งได้ถึงความแข็งแกร่งของเทวฑูต ไอร์ซที่ยืนสำรวจสถานการณ์ข้างได้เอ่ยถามขึ้น:
“พวกเทวฑูตมาจากไหนกัน? แล้วพวกมันมีจุดประสงค์อะไร? หมู่บ้านนี้ไม่น่ามีค่าพอสำหรับการบุกรุกว่าไหม?”
“มาสเตอร์โกว์น ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน…แต่หากพวกมันไม่ได้มุ่งหวังสมบัติ ก็มีเหตุผลเดียวที่พวกมันปรากฎตัวออกมา”
ทั้งสองต่างสบสายตากัน
“แสดงว่าพวกมันต้องมีเรื่องบาดหมางกับท่านหัวหน้าอัศวินถูกไหม?”

“นับแต่ข้ารับตำแหน่งหัวหน้าอัศวิน การต้องเจอกับเรื่องขุ่นช้องใจเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่…นี่มันออกจะยุ่งยากเหลือเกิน ในเมื่อทางนั้นมีผู้ขับขานมนตราจำนวนมากที่สามารถอัญเขิญเทวฑูตได้ ดูเหมือนพวกนั้นจะมาจากศาสนจักรสิเลียน...และการที่พวกเขาทำการเป็นการลับเช่นนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกนี้ต้องมาจากหน่วยพิเศษ…ที่เรียกว่ากลุ่มคำภีร์ทั้งหก เมื่อดูจากจำนวน และความเชี่ยวชาญแล้ว ดูท่าทางนั้นจะถือไพ่เหนือกว่าเรา”
กาเซฟที่วิเคราะห์สถานการณ์ที่เลวร้ายตรงหน้า เขาพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อไหล่ แม้จะดูเหมือนเขายังคงความเยือกเย็น และคุมสติไว้ได้ แต่ภายในตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความวิตก และโกรธแค้นอย่างยิ่ง
พวกมันบังคับให้เขาต้องทิ้งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ไว้เบื้องหลังโดยอาศัยกลุ่มขุนนาง นี่แปลว่าเขาเป็นตัวปัญหาของพวกนั้นมากสินะ แต่หากปล่อยพวกอสรพิษไว้ในราชสำนักต้องเป็นปัญหาที่เลวร้ายกว่านี้แน่ นี่โอกาสที่จะเค้นหาคนที่พยายามสังหารตัวข้าตอนนี้นับว่าเป็นโชคอย่างหนึ่ง แต่ในเรื่องนี้ ไม่นึกว่าเราจะถูกทางศาสนจักรจับตามองด้วยสิ
กาเซฟพยายามมองในมุมกลับ “ฮื่มมมมม!”
แต่ว่าตอนนี้เขาขาดกำลังคน และยังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม โดยปกติเขาน่าจะถึงขีดสุดแล้ว แต่บางเขาอาจจะมีไพ่ตายซ่อนอยู่ก็เป็นได้

“นั่นคือเทวฑูตแห่งไฟหรือไม่? พวกมันดูน่าจะใช่นะ แต่…ทำไมถึงมีสิ่งมีชีวิตเวทย์ที่รูปร่างเหมือนกันให้เห็นได้ละ…เป็นเพราะเวทย์อัญเชิญ? ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็…?”

กาเซฟเบนสายตาไปยังไอร์ซที่กำลังบ่นพึมพำอยู่ และเขาก็เริ่มเห็นแสงแห่งความหวังตรงหน้า:

“มาสเตอร์โกว์น ไม่ทราบว่าท่านต้องการงานว่าจ้างหรือไม่?”

ไม่มีการตอบกลับมา แต่กาเซฟพอจะรับรู้ถึงอารมณ์ของไอร์ซได้
“ด้วยความสัตย์ ข้าสามารถรับรองรางวัลที่ท่านจะได้รับตามความพอใจของท่านได้”

“ต้องขอโทษด้วยที่ข้าคงต้องขอปฏิเสธ”

“ถ้าอย่างนั้นขอยืมอัศวินที่ท่านอัญเชิญมาแทนก็แล้วกัน”
“ต้องขอโทษที่ต้องปฎิเสธอีกครั้ง”
“โอห์…ถ้าอย่างนั้นตามกฎของราชณาจักร ข้าจะเกณฑ์ท่านเข้าร่วมได้ไหม?”
“นั่นเป็นทางเลือกที่โง่เขลาอย่างยิ่ง…ที่จริงข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดประโยคนี้หรอกนะ แต่หากท่านตั้งใจจะใช้อำนาจของราชณาจักรละก็ ข้าก็คงต้องขอขัดขืนสักหน่อยแล้วกัน”
ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันและกัน และบุคคลที่เบนหน้าหนีก่อนคือกาเซฟ
“…การถูกเก็บกวาดก่อนจะได้ต่อสู้กับทางสิเลียน น่าหวาดเสียวนัก”
“เก็บกวาด…ท่านก็เข้าใจพูดเล่นนะ แต่อย่างไรก็ตามการที่ท่านเข้าใจสถานภาพของข้าในตอนนี้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”
กาเซฟปิดตาลง และพยายามลอบตรวจสอบไอร์ซที่โค้งแสดงความขอบคุณ
คำกล่าวที่ว่า “เก็บกวาด” ซึ่งกาเซฟกล่าวออกมานั้นไม่ใช่คำกล่าวล้อเล่น สัญชาตญาณของเขากรีดร้องอยู่ข้างในว่าหากผู้ขับขานมนตรานี้ทำการขัดขืนเล็กน้อยที่ว่ามา ผลที่ได้ต้องเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งยวด
กาเซฟเชื่อที่จะมั่นใจในสัญชาตญาณของตน มากกว่าที่จะพึ่งแผนการครึ่งๆกลางๆ โดยเฉพาะตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันถึงชีวิตเช่นนี้

ตกลงแล้วเขาเป็นใครกันแน่?
ระหว่างที่คิดนั้น กาเซฟก็มองไปที่หน้ากากอันแปลกประหลาดของไอร์ซ ใบหน้าใต้หน้ากากนั่นคืออะไรกันแน่? ตกลงแล้วเขาเป็นคนที่เรารู้จักงั้นหรือ? หรือว่า...
“มีอะไรงั้นรึ? ที่หน้ากากข้ามีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?”
“อ๊า ไม่ใช่หรอก…ไม่มีอะไร พอดีข้าแค่คิดว่าหน้ากากนี้น่าจะพิเศษมาก หน้ากากนี้สามารถใช้ควบคุมสิ่งมีชีวิตเวทย์แบบนั้นได้…หากเป็นเช่นนั้นมันก็ควรเป็นไอเทมที่ทรงอานุภาพมาก…จริงไหม?”
“อ๋อ เจ้านี่ก็เป็นไอเทมที่แพง และหายากอยู่ เพราะมันมีชิ้นเดียวในโลกน่ะ”
หากใครเป็นผู้ครอบครองเมจิกไอเทมระดับสูงละก็ นั่นหมายความว่าความสามารถของเขาต้องสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้ทั้งบทเวทย์ และพลังเวทย์ของไอร์ซต้องมีพลานุภาพมากอย่างแน่นอน การที่เขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ไอร์ซมาช่วยได้ ทำให้กาเซฟอดรู้สึกผิดหวังเสียไม่ได้
ในห้วงลึกของจิตใจ เขาหวังว่าไอร์ซจะยอมรับคำขอร้องนี้เนื่องจากที่เขาเป็นนักผจญภัย
“…จะพูดต่อไปคงไม่มีประโยขน์ ถ้าอย่างนั้นมาสเตอร์ไอร์ซ ต้องขอขอบคุณท่านอีกครั้งที่ได้ช่วยหมู่บ้านนี้เอาไว้”
กาเซฟถอดถุงมือเหล็กออก แล้วยื่นมือออกไปเพื่อจับมือกับไอร์ซ โดยปกติแล้วไอร์ซก็ควรจะตอบกลับอย่างมีมารยาทโดยการถอดถุงมือเหล็กออกเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ซึ่งกาเซฟก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร และยังคงจับมือของไอร์ซแน่น พร้อมกล่าวคำพูดจากใจออกมา:
“ข้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของท่านอย่างมาก ที่ช่วยปกป้องชาวบ้านผู้บริสุทธิ์จากการถูกสังหารหมู่ ยิ่งกว่านั้น…ที่จริงข้าเองก็ไม่อยากจะขอร้องท่านเช่นนี้ แต่ก็หวังว่าท่านจะช่วยปกป้องหมู่บ้านนี้อีกครั้ง ตัวข้านั้นไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ท่านในเวลานี้ ถึงอย่างนั้นข้าก็ขอให้ท่านโปรดตกลงรับคำขอนี้…ข้าขอร้องละ”

“อือ เรื่องนี้…”

“หากว่าท่านได้มีโอกาสไปเยือนเมืองหลวงของราชณาจักรละก็ ข้าให้สัญญาว่าจะให้ของขวัญตามที่ท่านต้องการ ข้าขอสาบานด้วยชื่อของ กาเซฟ สโตโลนอฟ”
กาเซฟปล่อยมือพร้อมทำท่าจะคุกเข่าลง แต่ทว่าไอร์ซได้ยื่นมือไปหยุดเขาไว้ก่อน:
“…ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้…เข้าใจแล้ว ข้าสัญญาว่าจะปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ ขอสาบานด้วยชื่อไอร์ซ โอว์น โกว์น”
กาเซฟเมื่อได้ยินที่ไอร์ซสาบานด้วยชื่อของตัวเอง ก็มีท่าทีสบายใจขึ้น:
“ขอบคุณมากมาสเตอร์โกว์น ตอนนี้ข้าสามารถเข้าสู่สนามรบได้อย่างหมดห่วงแล้ว”

“…ตอนไป โปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วย”
ไอร์ซหยิบสิ่งของอย่างหนึ่งออกมา แล้วมอบให้กาเซฟที่มีสีหน้ายินดีอยู่ในขณะนั้น สิ่งนั้นคืองานแกะสลักรูปร่างประหลาดขนาดเหล็กที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่ทว่า
“ในเมื่อมันเป็นของขวัญ ข้าก็ยินดีจะรับไว้ เอาละมาสเตอร์โกว์น แม้จะเสียใจแต่ข้าคงต้องไปแล้ว”

“…เราไม่รอให้ค่ำก่อนแล้วค่อยออกไปไม่ดีกว่าหรือ?”
“ทางฝั่งนั้นดูจะมี เวทย์อย่าง“เนตรราตรี” การบุกโจมตีในช่วงกลางคืนคงไม่เป็นผลดีกับทางฝั่งเรา แต่สำหรับทางนั้นเรื่องจะไม่ได้รับเสียอะไรเลย นอกจากนี้…มาสเตอร์โกว์นต้องรู้จักสังเกตกระแสของการศึกให้ดีด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว การที่เข้าใจในเรื่องของแผนการอย่างลึกซึ้ง สมแล้วที่ท่านได้รับนามหัวหน้าอัศวินแห่งราชณาจักร ข้าหวังว่าท่านจะประสบกับชัยชนะ ท่านหัวหน้าอัศวิน”
“เช่นเดียวกัน หวังว่ามาสเตอร์โกว์นจะเดินทางโดยปลอดภัย”

ไอร์ซมองแผ่นหลังของกาเซฟที่ค่อยลาลับไปอย่างเงียบงัน อัลเบโดรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวนายเหนือ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
“…อือ…การที่ได้พบมนุษย์ที่นี่ ข้ารู้สึกว่าพวกมันเป็นได้เพียงหนอนแมลงเท่านั้น…แต่หลังจากได้ลองพูดคุยดู ข้าเริ่มมองพวกนี้เป็นสัตว์น้อยแล้วสิ”
“นั่นคือเหตุผลที่ท่านเอ่ยคำสาบานว่าจะปกป้องพวกมัน โดยใช้นามของท่านรับรองสินะคะ?”
“ก็อาจจะใช่…หรือไม่บางที เพราะว่าเขากล้าตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับความตายด้วยตัวเองก็เป็นได้…”

หัวหน้าอัศวินนั้นมีความกล้าตัดสินใจซึ่งต่างจากไอร์ซ
ภายใต้จิตใจของไอร์ซนั้นปราถนาความกล้าตัดสินใจแบบนั้น
“…อัลเบโด สั่งการให้เหล่าข้ารับใช้แถวนี้จัดการพวกที่ลอบโจมตีด้วย”
“พร้อมในทันทีค่ะ…ท่านไอร์ซคะ กลุ่มของหัวหน้าหมู่บ้านกำลังมาทางนี้ค่ะ”

ไอร์ซหันไปยังอัลเบโด และมองเห็นหัวหน้าหมู่บ้าน และชาวบ้านอีกสองคนกำลังวิ่งมาทางด้านนี้
พวกเขาหอบหายใจอย่างหนัก สับสน และวิตกกังวลอย่างมาก หัวหน้าหมู่บ้านรีบเปิดปากเอ่ย ราวกับการหายใจเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเวลาอย่างมาก
“ท่านไอร์ซ พวกเราควรทำยังไงดี? ทำไมท่านหัวหน้าอัศวินถึงได้ไปจากหมู่บ้าน ทำไมถึงไม่คุ้มครองพวกเรา?”
น้ำเสียงของหัวหน้าหมู่บ้านเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และยังมีความโกรธปนอยู่ด้วย
“…เขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วคุณหัวหน้าหมู่บ้าน…ศัตรูได้เล็งเป้าไปที่ตัวของหัวหน้าอัศวิน หากว่าเขายังอยู่ที่นี่ หมู่บ้านนี้ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสนามรบ นอกจากนี้ดูเหมือนทางนั้นไม่คิดจะปล่อยให้พวกชาวบ้านหนีไปด้วย เขานึกถึงพวกเจ้าเป็นเรื่องสำคัญท่าสุดแล้ว”
“นั่นคือเหตุผลที่ท่านหัวหน้าอัศวินจากไป…ถ้าอย่างนั้นเรายังควรอยู่ที่นี่ต่อไปดีไหม?”
“นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย หลังจัดการกับหัวหน้าอัศวินแล้ว พวกนั้นน่าจะมุ่งเป้ามายังหมู่บ้านนี้ต่อไป ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างแหของฝั่งนั้น พวกเราไม่มีทางให้หนีหรอก อย่างไรก็ตาม…ฝั่งศัตรูก็ต้องใช้กำลังทั้งหมดในการจัดการกับทางหัวหน้าอัศวิน ทำให้พวกเรามีโอกาสอันดีในการหลบหนี และนั่นคือเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะหนีไป”
และนี่คือเหตุผลที่ทำให้หัวหน้าอัศวินต้องทำการหลบหนีอย่างครึกโครม ก็เพื่อที่จะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ให้ศัตรูทุ่มกำลังทั้งหมดมาที่ตัวเขา

หลังรับรู้ถึงความตั้งใจในการกระทำของกาเซฟ ซึ่งมีโอกาสรอดน้อยมาก หัวหน้าก็ก้มหน้าที่แดงก่ำต่ำลง เพื่อที่จะสร้างโอกาสให้ชาวบ้านได้หนีไป เขาได้เข้าสู่สนามรบโดยหวังจะเสียสละตัวเอง
การไม่เข้าใจความตั้งใจนี้ และยังเข้าใจผิด แล้วร้องโวยวาย นั่นทำให้หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกอับอายตัวเองอย่างยิ่ง

“นี่ผมเผลอด่วนสรุป…แล้วยังเข้าใจความหวังดีนั้นผิดไป…ท่านไอร์ซแล้วเราควรทำอย่างไรดี?”
ชาวบ้านที่อยู่หลังหัวหน้าหมู่บ้านต่างก็แสดงสีหน้าสำนึกผิดออกมา:
“ถึงพวกเราจะอาศัยอยู่ใกล้ป่า แต่พวกเราก็ไม่เคยต้องป้องกันตัวจากการบุกรุกของเหล่าอสูร พวกเราโชคดีมาก แต่การเข้าใจผิดนี้ แล้วคิดว่าพวกเราปลอดภัย เราไม่เคยคิดถึงการป้องกันตัวเองเลย นั่นทำให้เราต้องสูญเสียเหล่าเพื่อนบ้านที่พวกเรารัก แล้วยังต้องเป็นภาระให้คนอื่นอีก…”
“ไม่มีอะไรที่พวกเจ้าทำได้ในตอนนี้ ทางฝั่งตรงข้ามเป็นทหารที่ได้รับการฝึกสู้รบมาอย่างดี หากเจ้าพยายามต่อต้านก่อนข้าจะมาถึง บางทีพวกเจ้าอาจไม่รอดแล้วก็ได้”
ไอร์ซพยายามปลอบใจชาวบ้าน แต่เขารู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นสูญเปล่า ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าชาวบ้านได้พบกับหายนะที่ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งสิ่งเดียวที่พอจะช่วยเยียวยาได้ก็คือเวลาเท่านั้น
“หัวหน้าหมู่บ้าน เราไม่มีเวลาแล้ว เพื่อเป็นการให้เกียรติท่านหัวหน้าอัศวิน เราต้องรีบแล้ว”
“ถะ-ถ้าอย่างนั้น…ท่านไอร์ซเราควรทำอย่างไรดี?”

“…ข้าจะจับตาดูสถานการณ์ แล้วหากเห็นโอกาสในการหลบหนีเมื่อไหร่ ข้าจะคุ้มครองทั้งหมดหนีเอง”

“เราสร้างปัญหาให้ท่านไอร์ซจริงๆ เรื่องนี้…”

“…ไม่ต้องกังวลไป ข้าได้ให้สัญญากับหัวหน้าอัศวินแล้ว…เพื่อไม่ให้เสียเวลา ให้รวบรวมชาวบ้านไปยังบ้านหลังใหญ่ แล้วข้าจะร่ายเวทย์ป้องกันให้”


Part 4

เสียงดังกึกก้องจากการกีบเท้าที่วิ่งตะลุยทำให้พวกม้าต่างดูตื่นเต้นกันถ้วนหน้า ซึ่งไม่น่าจะเกิดกับพวกมันที่ถูกฝึกฝนมาเป็นม้าศึก แต่จะว่าไปเพราะพวกมันล้วนถูกฝึกฝนมาเช่นนี้ ทำให้ประสาทรับรู้ของพวกมันยิ่งยิ่งตื่นตัวเมื่อเข้าสู่ที่ซึ่งมีกลิ่นอายของความตายอยู่
ฝ่ายของศัตรูนั้นมีเพียงสี่ถึงห้าคนที่พยายามจะล้อมกรอบทั้งหมู่บ้าน นั่นหมายความว่าจะมีที่ว่าอย่างมากระหว่างแต่ละคน เมื่อเป็นเช่นนี้พวกนั้นจะมีวิธีการใดที่ทำให้มั่นใจว่าไม่แม้แต่มุสิกที่สามารถหลบหนีไปจากร่างแหนี้ได้?
ในอีกนัยหนึ่งก็คืออาจมีกับดักแสนอันตรายซ่อนอยู่สักแห่งบริเวณนี้ก็เป็นได้
หลังจากพิจารณาแล้ว กาเซฟก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะฝ่าทะลวงไปข้างหน้า อันที่จริงดูจากรูปการณ์แล้ว นี่เป็นทางเลือกเพียงทางเดียวที่เขามี
จากการกะระยะระหว่างศัตรูกับตัวเขา กาเซฟสรุปว่าการต่อสู้ในระยะไกลจะเป็นการเสียเปรียบอย่างยิ่ง
การตั้งรับอยู่ตรงนี้เป็นสิ่งที่โง่เขลากว่าการบุกทะลวงเข้าไป
หากว่าเขามีมือธนูอยู่ด้วยนั่นก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในตอนนี้เขาต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเหล่านักขับขานมนตราจากระยะไกล

มันจะเยี่ยมมากหากบ้านถูกสร้างจากหิน หรือหากหมู่บ้านนี้เป็นเมืองป้อมปราการ แต่ทว่าหากนำที่พักซึ่งทำจากไม้มาใช้ป้องกันตัวจากเวทย์มนตร์แล้วละก็นับว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะพวกเขาจะถูกย่างสดไปพร้อมกับตัวอาคารในคราเดียว
ที่จริงยังมีอีกวิธีเหลืออยู่ แต่นั่นเป็นสิ่งที่พวกนอกรีตเท่านั้นที่ทำกัน
นั่นก็คือการใช้หมู่บ้านเป็นสนามรบ และทำให้ไอร์ซต้องถูกบังคับเข้าร่วมการศึก
แต่หากทำตามแผนนี้ ก็ย่อมหมายถึงการทำลายเป้าหมายเดิมที่ต้องการปกป้องชาวบ้าน นี่ทำให้กาเซฟเลือกที่จะต่อสู้ภายใต้สถานการ์ที่อันตรายเยี่ยงนี้:
“หลังเข้าาปะทะกับข้าศึก ให้รีบล่อพวกที่เข้ามาปิดล้อมมาที่นี่ แล้วถอยกลับทันทีทันที อย่าให้เสียจังหวะละ”

เมื่อได้ยินเสียงกู่รับอย่างรุนแรงด้านหลัง กาเซฟก็ต้องขมวดคิ้ว
จะมีสักกี่คนที่รอดจากศึกนี้กัน?
พวกคนเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าคนทั่วไปเลย แล้วก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมพลังเหนือธรรมชาติอีกด้วย
พวกเขาเป็นเพียงคนที่ได้รับการฝึกอย่างหนักจากกาเซฟ การสูญเสียพวกเขาเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับความยากลำบาก และผลแห่งความเพียรที่ผ่านมา
ถึงแม้เขาเลือกที่จะกระโจนเข้าสู่อัตราย คนเหล่านี้ก็พร้อมติดตามเขาอย่างไม่อิดออด
การแสดงออกของเหล่าทหารทำให้เห็นว่า แม้พวกจะต้องก้าวเท้าสู่นรก พวกเขาก็พร้อมติดตามกาเซฟไปทุกที่
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างรู้ดีว่าอันตรายอยู่เบื้องหน้า ไม่ต้องมีการขอโทษใดๆ พวกเขาได้กล่าวกับกาเซฟที่กำลังตำหนิตนเองอยู่:
“อย่ากังวลเลยกัปตัน!”
“ใช่แล้ว พวกเรามาที่นี่ด้วยความสมัครใจ และพวกเราสาบานว่าจะขอร่วมสู้เคียงข้างกัปตัน!”
“พวกเรามาปกป้องประเทศ และผู้คนรวมทั้งพรรคพวกของเรากันเถอะ!”
ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกล่าวอีกแล้ว

กาเซฟส่งเสียงคำรามดังลั่น:
“บุกกกกกกกกกกก! กระชากพวกมันให้เป็นเศษชิ้นๆเลย!”
“โอ๊ววววววววววว!”
กาเซฟกระตุ้นม้าให้มุ่งไปด้านหน้าโดยมีคนของเขาติดตามอยู่เบื้องหลัง พวกเขาทั้งหมดบุกทะลวงอย่างรวดเร็ว และรุนแรงจนทิ้งร่องรอยไว้ที่พื้น จากตำแหน่งเดิมพวกเขาพุ่งทะยานออกไปราวกับศรที่พุ่งออกมา
กาเซฟหยิบคันธนูออกมาขณะยังควบม้าอยู่ แล้วทำการยิงลูกธนูออกไป
แม้เขาจะทรงตัวได้ไม่มั่นคง แต่กาเซฟก็สามารถยิงลูกธนูได้ราวกับยืนอยู่บนพื้น ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกมาพุ่งตรงไปปักที่ศีรษะของผู้ขับขานมนตราที่อยู่ตรงหน้า อย่างน้อยก็อาจกล่าวได้เช่นนั้น
“ป๊ะ! ไม่ได้ผลอย่างที่คิดเลย บางทีหากเป็นศรเวทย์ก็น่าจะยิงทะลุ แต่…ที่ไม่มีคือไม่มี ตอนนี้ไม่ต้องมาเสียดายไอ้ของที่ไม่มีแล้ว”

ลูกธนูนั้นกระเด้งออกราวกับกระทบหมวกเหล็กที่หนาเตอะ ความหนาทนทานที่เห็นนี้ย่อมเกิดจากเวทย์มนตร์ กาเซฟรู้ดีว่าทางเดียวที่จะยิงทะลุผ่านเกราะเวทย์ไปได้ก็ต้องใช้อาวุทธ์เวทย์เท่านั้น
แต่ในเมื่อกาเซฟไม่มีอาวุธเช่นนั้น เขาหยุดการกระทำที่ไร้ประโยขน์ และเก็บธนูในทันที
ตอนนี้เหล่าผู้ขับขานมนตราได้เริ่มร่ายมนตร์แล้ว
กาเซฟรวบรวมพลังสมาธิทั้งหมด และตั้งท่าตั้งรับเตรียมต้านการจู่โจม
ทันใดนั้นม้าศึกของเขาก็ร้องพยศเสียงดังลั่น พร้อมกับการยกขาหน้าทั้งสองขึ้นเตะไปมาอย่างบ้าคลั่ง

กาเซฟโถมตัวไปด้านหน้า และกอดรอบคอของม้าเอาไว้โดยอาศัยความคล่องตัวไม่ให้ตกลงมา เขายังคงเยือกเย็นได้อยู่แม้จะเจอกับเหตุการณ์กระทันหันนี้ แต่เมื่อเขานึกได้ว่าหากพลาดไปจะเกิดอะไรขึ้น เหงื่อจำนวมากก็หลั่งท่วมหลังของเขา ทว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่ากำลังอยู่ตรงหน้า
กาเซฟที่กำลังตื่นตระหนกก็หอบหายใจอย่างหนัก ลมหายใจของเขานั้นแปรปรวนอย่างมาก เขากระตุ้นไปที่ส่วนท้องของม้า แต่ว่ามันกลับไม่ขับเขยื้อนเลยสักนิด ราวกับผู้มีอำนาจเหนือกว่าคนที่อยู่บนหลังของมันสั่งการเอาไว้
มีเหตุผลเดียวสำหรับพฤติกรรมที่ไม่ปกตินี้
เวทย์ควบคุมจิตใจ
เป้าของเวทย์นี้อยู่ที่ตัวม้า ซึ่งหากว่าการควบคุมนี้ถูกร่ายมายังกาเซฟ เขาก็สามารถต้านทานได้ แต่ในเมื่อเป้าหมายเป็นม้า และยังไม่ใช่สัตว์อสูรอีก มันก็ย่อมจะไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้
กาเซฟรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ได้นึกถึงการโจมตีทางอ้อมของศัตรู เขารีบกระโดดลงจากหลังม้าทันที
คนของเขาที่อยู่เบื้องหลังต่างทยอยหลบหลีกเขาเป็นทางคนแล้วคนเล่าจนเป็นทางสองฝั่ง
“กัปตัน!”

คนของเขาที่มาจากด้านข้างส่วนใหญ่ชะลอความเร็วลง และพยายามดึงตัวกาเซฟขึ้นหลังม้าของเขา ทว่าเหล่าเทวฑูตนั้นเร็วกว่า พวกมันพุ่งลงจากฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว กาเซฟชักดาบออกมา และฟันมันลงไป
ดาบที่ถูกฟันโดยอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดของราชณาจักรนั้นมีกำลังมากพอจะผ่าคนเป็นสองส่วนได้ในครั้งเดียว แต่ว่าไม่ใช่สำหรับเทวฑูต แม้มันจะได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีนี้

โลหิตฟุ้งกระจายทั่วอากาศ แต่ในทันทีมันก็กลับกลายเป็นก้อนพลังเวทย์ และจางหายไป
“ไม่ต้องสน! โต้กลับเลย!”
หลังกาเซฟออกคำสั่งไปยังเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา เขาก็จ้องไปยังเทวฑูตที่รอบจากการถูกผ่าร่างไปได้ แม้ฝ่ายตรงข้าจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังมีใจสู้เต็มเปี่ยม และพยายามมองหาช่องว่างของกาเซฟอยู่ตลอด
“อย่างนี้นี่เอง”

กาเซฟเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาการฟันของเขาจึงไม่ได้ผลอย่างที่ควร มีมอนสเตอร์ซึ่งมีทักษะพิเศษ ที่หากไม่ถูกโจมตีด้วยอาวุธที่ทำจากวัสดุเฉพาะ ความเสียหายที่ได้ก็จะลดลง เหล่าเทวฑูตก็ดูจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย ทำให้พวกมันรอดจากการโจมตีของกาเซฟไปได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ กาเซฟก็ตัดสินใจรวบรวมพลังทั้งหมด ทำให้คมดาบเริ่มส่องสว่าง พร้อมกับที่เขาเตรียมตัวสำหรับการปลดปลาอยทักษะพิเศษ [โฟกัสไฟร์ติ้งสปิริต]
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เทวฑูตก็แกว่งดาบเปลวเพลิงแต่ทว่า
มันช้าไปเสียแล้ว

ในสายตาของอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งราชณาจักร การเคลื่อนไหวของเทวฑูตนั้นช้ามาก
ดาบของกาเซฟได้วาดออกไป
การโจมตีนี้ทรงพลังกว่าก่อนหน้า ทำให้คมดาบของกาเซฟเฉือนผ่านร่างของทวฑูตได้อย่างง่ายดาย
จากความเสียหายอย่างรุนแรง ทำให้ร่างของเทวฑูตค่อยๆละลายหายไปในอากาศ
แสงที่ส่องสว่างจ้า และปีกที่โบกสะบัดก่อนจะหายไป ทำให้เกิดภาพอันวิจิตรราวกับอยู่ในความฝัน
หากว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์นองเลือด กาเซฟก็ย่อมชื่นชมไปกับภาพที่เห็น แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอารมรณ์ที่จำทำเช่นนั้น
เขามองไปรอบๆเพื่อยืนยันการมาของศัตรู นั่นทำให้เขาอดจะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
เหล่าเทวฑูตได้รับกำลังเสริม
และกาเซฟรู้ดีว่านั่นไม่ใช่กำลังเสริมธรรมดา
“…จะให้สู้กับเวทย์ยังไงละเนี่ย? เ_รี่ยเอ๊ย”
เขาก้นด่าผู้ขับขานมนตราที่สามารถสร้างกองทหารได้อย่างง่ายดายจากอากาศธาตุ กาเซฟสงบใจ และนับจำนวนข้าศึกรอบๆตัว และยืนยันได้ว่าคนทั้งหมดที่ล้อมหมู่บ้านต่างมากันที่นี่หมดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้หมู่บ้านก็ไม่ถูกปิดล้อมอีกต่อไป
“ต่อไปที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว มาสเตอร์โกว์น…”

กาเซฟรู้สึกพอใจอย่างยิ่งที่สามารถช่วยชีวิตชาวบ้านไว้ได้ ในตอนที่ตกเป็นเป้าสายตาของศัตรู เสียงฝีกเท้าม้าก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหล่าคนของเขาที่กลับมาหลังจากลวงข้าศึกได้แล้ว
“ก็บอกแล้วให้ถอยไปหลังลวงพวกที่โอบล้อม…พวกโง่เอ๊ย…พวกบ้าที่มีเกียรติทั้งหลาย”
ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีกาเซฟก็พุ่งทะยานออกไป…

บางทีนี่จะเป็นโอกาสเดียว และเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในศึกนี้ เพราะด้วยความเร็วของทหารม้า เหล่าผู้ขับขานมนตราต้องใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อหยุดพวกเขาจากทัพหลัก เมื่อดูจากกระแสสงครามแล้ว เหล่าผู้ขับขานมนตราแค่เพียงทำอย่างเดียวเท่านั้น เหล่าม้าของทหารต่างร้องดังก้อง และทำกริยาเหมือนกับม้าของกาเซฟเมื่อก่อนหน้า พวกมันยกขาขึ้นสูง นั่นทำให้มีทหารม้าหลายนายตกจากหลังม้า ซึ่งเหล่าเทวฑูตก็ไม่พลาดโอกาสอันดีนี้

แม้ว่าทหารม้าจะมีกำลังรบเทียบเคียงกับเหล่าเทวฑูต แต่ว่าพวกเขาก็มีข้อเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องขาดทักษะพิเศษ และความสามารถพื้นฐานที่แตกต่างกัน และเป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อมีทหารม้าเพียงครึ่งหนึ่งของเทวฑูต พวกเขาก็ถูกต้อนให้จนตรอก ยิ่งรวมกับการโจมตีด้วยเวทย์มนตร์ของผู้ขับขานมนตรา ช่องว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งกว้างมากขึ้น ทหารม้าค่อยๆร่วงหล่นลงสู่พื้นที่ละคน ทีละคน

กาเซฟไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้ เขาได้แต่หันไปมองเบื้องหน้า
เป้าหมายของเขาคือตัวของผู้บัญชาการฝั่งศัตรู
แม้เขาจะสังหารผู้บัญชาการได้ แต่ฝ่ายตรงข้าก็ใช่ว่าจะถอยไป แต่นี้เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยทุกคนได้
เทวฑูตมากกว่าสามสิบตนต่างมาปิดทางการบุกของกาเซฟ เขารู้สึกไม่สนุกนักที่เห็นฝ่ายตรงข้ามเสริมการป้องกันของตัวเอง

“เกะกะ”
กาเซฟได้ใช้กระบวนท่าสังหารที่เก็บซ่อนไว้ออกมา
มือของเขาได้ดูดกลืนความร้อน แล้วส่งผ่านไปทั่วร่าง
บัดนี้กาเซฟได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปแล้ว โดยเขาบรรลุถึงความแข็งแกร่งระดับฮีโร่ พร้อมกันนั้นเขาได้ใช้ทักษะของศิลปะการต่อสู้ต่างๆออกมา กระบวนท่าที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเวทย์มนตร์ของนักรบ

กาเซฟจ้องไปที่เทวฑุตทั้งหกซึ่งบินล้อมรอบเขาอยู่
“[ซิกโฟล์ดแสลชออฟไลท์]”
กระบวนท่านี้จะสร้างเป็นการฟันอย่างรวดเร็ว ซึ่งในหนึ่งครั้งจะโจมตีศัตรูพร้อมกันหกราย

เหล่าเทวฑูตที่ถูกฟันนั้นโดนแยกออกเป็นสองส่วน ก่อนที่จะสลายกลายเป็นลูกบอลแสง
เหล่าเทวฑูตที่เหล่าต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึก ขณะที่ฝ่ายของกาเซฟนั้นส่งเสียงร้องโห่ร้องยินดีกันดังสนั่น
แม้เขาจะยังเจ็บมือจากการใช้ไพ่ตายนี้ ทว่าเรื่องแค่นี้ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้
จากนั้นเวลาแห่งการชื่นชมได้หมดลง เทวฑูตจำหลายตนได้เริ่มการโจมตีอีกครั้ง และหนึ่งในนั้นก็ได้เหวี่ยงดาบที่อาบเปลวเพลิงสีแดงมาที่ตัวกาเซฟ

ในชั่วขณะที่เทวฑูตดาบของเทวฑูตจะฟันโดนตัว กาเซฟก็ได้ใช้ทักษะกระท่าของเขาหลบออกมาในทันทีราวกับสายหมอก
และก่อนที่เทวฑูตจะมีโอกาสเหวี่ยงดาบอีกครั้ง มันก็ได้รับบาดเจ็บจากดาบของกาเซฟ ซึ่งการโจมตีนี้ได้ทำให้เทวฑูตกลายสภาพเป็นลูกบอลแสงในครั้งเดียว
ทว่าการโจมตีของกาเซฟยังไม่จบเพียงเท่านี้
“[ฟูลธรอทเทิล]”

ราวกับการเคลื่อนไหวของสายน้ำ การโจมตีทั้งหมดของเทวฑูตล้วนถูกรับมือได้เป็นอย่างดี
ด้วยทักษะเฉพาะตัวทำให้เขาสามารถจู่โจมเทวฑูตได้อีกสองตน ภาพที่เห็นราวกับปาฎิหารย์ กาเซฟที่ทนยืนหยัดอย่างดื้อดึงทำให้เกิดความหวังในชัยชนะแก่คนของเขา
อย่างไรก็ตามทางศาสนจักรก็ไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และเสียงเย้ยหยันอันน่ารังเกียจก็ได้ดับความหวังของเหล่าทหารลง

“น่าตื่นเต้นจริงๆ แต่ว่า…คงได้เวลาจบเรื่องนี้เสียที คนที่เสียเทวฑูตให้ย้ายตำแหน่ง ใช้เวทย์ทั้งหมดยิงไปที่สโตโลนอฟ”
ความรู้สึกอันพลุ่งพล่านก่อนหน้าได้ดับมอดอย่างรวดเร็ว
“ท่าจะไม่ดีซะแล้ว”

กาเซฟบ่นออกมาแผ่วเบา ระหว่างนั้นเขาต้องรับมือกับเทวฑูต ไม่มีการชื่นชมอีกต่อไป แม้กาเซฟจะยังคงจัดการเหล่าเทวฑูตได้อย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของเหล่าทหารต่างเต็มไปด้วยความวิตกกังวลระหว่างที่ประดาบกับศัตรู

ทั้งเรื่องจำนวณ ยุทโธปกรณ์ การฝึกฝน และความสามารถ
กองกำลังของกาเซฟล้วนด้อยกว่าในทุกด้าน อาวุธเพียงอย่างเดียวที่มี คือ ความหวังในชัยชนะ ซึ่งได้หายไปแล้ว
กาเซฟทำการตอบโต้โดยใช้สัญชาตญาณตอบสนองในการหลบอาวุธของศัตรู แม้ว่าเขาจะใช้การโจมตีเพียงครั้งเดียวในการจัดการเทวฑูต แต่ทว่าทัพหลักของฝ่ายตรงข้ามก็ยังอยู่อีกไกล
แม้เขาจะหวังว่าคนของเขาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่พวกเขาก็มาอาจทะลายการป้องกันของเทวฑูตโดยไม่มีอาวุธเวทย์ได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้มีทักษะอย่าง [โฟกัสไฟติ้งสปริต] เหมือนกับกาเซฟ และยังไม่มีอาวุธที่ลงอาคมไว้ใช้ ถึงพวกเขาจะทำให้เทวฑุได้รับบาดแผลได้ แต่ก็ยังยากที่จะจะสร้างความเสียหายถึงชีวิตได้
นี่คือความสิ้นหวัง

กาเซฟได้แต่ขบริมฝีปาก และกวัดแกว่งดาบต่อไป
เขาใช้กระบวนท่าสังหารอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวณครั้งของการใช้ [ซิกโฟล์ดแสลชออฟไลท์] เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นักรบอย่างกาเซฟสามารถใช้ทักษะของศิลปะการต่อสู้ที่แตกต่างกันได้ราวหกอย่างระหว่างการต่อสู้ หากนับรวมกระบวนท่าลับแล้ว เขาจะสามารถใช้ได้ถึงเจ็ดประเภทในแต่ศึก
ในตอนนนี้เขาได้ใช้ทักษะกระบวนท่า [บอดี้สเตรนจ์เทินนิ่ง] [เมนทัลเอ็นชาร์นติ้ง] [เอนชาร์นเมจิกรีซิทเทนต์] [เมจิกเวพอนเอ็นชาร์นติ้ง] และทักษะกระบวนท่าเพื่อทำการโจมตีเป้าหมายแตกต่างกันห้าตำแหน่ง

เหตุผลที่เขาไม่ใช้ทักษะทั้งเจ็ดเท่าที่เขาใช้ได้ เพราะว่ามันต้องใช้สมาธิอย่างมาก
โดยเฉพาะ [ซิกโฟล์ดแสลชออฟไลท์] ที่ต้องใช้พลังสมาธิมากเป็นสามเท่า
แม้ว่ากาเซฟจะมีกระบวนท่าเผด็จศึกเพียงสองกระบวนท่า แต่ว่าท่าหนึ่งนั้นต้องใช้พลังทั้งหมดที่เขามี และอีกท่าก็ต้องใช้พลังสมาธิมากเป็นสี่เท่า
หากว่าเขาใช้ทักษะกระบวนท่านี้ เขาก็อาจจัดการเทวฑูตทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย แต่หากเขาทำเช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ยังสามารถอัญเชิญพวกมันกลับมาได้ใหม่ ตราบเท่าที่เขาไม่สามารถจัดการกับตัวของผู้อัญเชิญได้ เขาก็ต้องเผชิญกับคลื่นเทวฑูตที่โถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน จนกว่าฝ่ายศัตรูจะใช้พลังเวทย์จนหมด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นกาเซฟก็คงจะสิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมดไปแล้ว

ในที่สุดความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฎ แขนของกาเซฟค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
[อินสแตนท์เค๊าเตอร์] เป็นทักษะที่ทำให้สามารถทำการโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยทักษะนี้จะทำให้ผู้ใช้กลับสู่ท่าเตรียมหลังจากโจมตีไปแล้ว นั่นทำให้เขาสามารถโจมตีได้อีกครั้ง แม้ว่าจะมันจะทำให้โจมตีครั้งถัดไปได้อย่างรวดเร็ว แต่การฝืนเปลี่ยนอิริยาบถทำให้ร่างกายต้องรับภาระอย่างหนัก
เทคนิก [ฟูลธรอทเทิล] จะทำให้ช่วยเพิ่มสถาวะจิตทำให้เพิ่มความเร็วในการจู่โจม แต่การใช้อย่างต่อเนื่องก่อส่งผลให้จิตใจอยู่ในสภาวะเหนื่อยล้าอย่างมาก

ยิ่งการใช้ร่วมกับ [ซิกโฟล์ดแสลชออฟไลท์] ภาระที่ร่างกายได้รับยิ่งเป็นทวีคูณ แต่หากเขาไม่ทำเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางจะหลุดไปจากตรงนี้ได้
“ไม่ว่าพวกแกจะขนกันมาเท่าไหร่! ไอ้พวกเทวฑูตไม่ครณามือข้าหรอก!”
เสียงคำรามอันทรงพลังส่งทำให้ทหารแห่งศาสนจักรต้องตระหนกขึ้น แต่ในทันทีเสียงอันเยือกเย็นก็ทำให้พวกเขากลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง:
“ไม่ต้องไปสนใจ นั่นก็แค่เสียงของสัตว์ร้ายที่ถูกขังกรงไว้ ไม่มีอะไรต้องวิตก แค่ค่อยๆทำให้มันหมดแรง แล้วอย่าเข้าใกล้มากเกินไปก็พอ เขี้ยวเล็บของเจ้าสัตว์ร้ายใกล้จะไม่เหลือแล้ว”

กาเซฟจ้องมองไปยังชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้า
หากเขาสามารถจัดการกับตัวหัวหน้าได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพลิกกระดานนี้ ปัญหาคือพวกที่อยู่รอบตัวเขา เหล่าเทวฑูตที่ดูแตกต่างจากพวกที่ถือดาบเปลวเพลิง รวมไปถึงระยะห่างของทั้งสอง และแถวป้องกันจำนวนมากเบื้องหน้า
เขาอยู่ห่างเกินไป
“สัตว์ร้ายมีแผนจะทะลายกรงออกมา ทำให้มันรู้จักคำว่าสิ้นหวังหน่อย”
เสียงที่สงบหนิ่งของชายตรงหน้าทำให้กาเซฟรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
แม้เขาจะมีพละกำลังระดับฮีโร่ แต่สำหรับกาเซฟที่ทำได้แค่การต่อสู้ระยะประชิด มันก็เหมือนกับว่าแทบจะไม่มีหนทางชนะให้เห็น
แต่ หากว่า? หากว่านี่เป็นทางเดียวที่จะจัดการกับหัวหน้าของศัตรูได้ละก็ ที่เขาทำได้ก็คือใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อฝ่าแนวป้องกันออกไป

อย่างฉับพลัน กาเซฟได้พุ่งตัวออกไป แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
เหล่าเทวฑูตทั้งแทง ฟัน ดาบที่ห่อหุ้มเปลวเพลิงอันร้อนแรงไปยังเขา แต่ว่าเขาก็หลบหลีก และสวนกลับไปได้ในเวลาเดียวกัน แต่ทันใดนั้นความรู้สึกเจ็บปวดก็เกิดขึ้นหลังจากจัดการพวกมันลงได้
ความเจ็บปวดนี้ราวกับว่าถูกอัดกระแทกไปที่ท้องอย่างแรง เมื่อมองไปยังที่ของสาเหตุ เขาก็พบกับกลุ่มของผู้ขับขานมนตราที่กำลังใช้เวทย์อยู่
“ในเมื่อพวกแกเป็นพริสท์ อย่างน้อยก็ทำตัวให้เหมือนอย่างร่ายเวทย์รักษาสิฟะ?”

ราวกับเพิกเฉยต่อคำถากถางของกาเซฟ เขาก็ถูกจู่โจมโดยคลื่นอัดกระแทกที่มองไม่เห็น
แม้ว่าจะเป็นการโจมตีที่มองไม่เห็น แต่หากว่ามันไม่ได้มีมากจนเกินไป กาเซฟมันใจว่าเขาสามารถตอบสนอง และหลบการโจมตีได้จากการจ้องมองที่ตาของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อในการโจมตีนั้นมีมากกว่าสามสิบลูก สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ก็คือใช้กำลังทั้หมดปกป้องส่วนหัวโดยใช้ดาบ และแขนทั้งสองข้ามป้องกันไว้

“อั่ก!”
และแล้วกาเซฟก็ไม่อาจกลั้นเลือดที่หลั่งออกันในลำคอได้ จนเขาต้องกระอักมันออกมา
กลิ่นของเหล็กยังคงติดอยู่ที่ลำคอทำให้กาเซฟต้องไอออกมาทั้งที่เลือดกลบปาก จากที่โดนโจมตีโดยคลื่นกระแทกที่มองไม่เห็น ทำให้กาเซฟถูกต้องถอยห่างออกมา  ทั้งที่ยังสำลักอยู่เขาก็ต้องคอยหลบดาบของเหล่าเทวฑูตไปด้วย แต่ว่าเขาก็ไม่อาจหลบดาบของศัตรูพ้น แต่เหมือนโชคยังดีที่มันฟันโดนที่ตัวเกราะ แต่แรงกระแทกก็ยังส่งผลต่อร่างกายของเขาอยู่ดี
เขาทำการฟันกลับใส่เทวฑูตทันที แต่เนื่องจากเขาเสียการทรงตัวทำให้เทวฑูตหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย
ด้วยความเหนื่อยล้า มือที่ถือดาบของกาเซฟสั่นไม่หยุด
ในตอนนี้ราวกับว่าร่างกายที่อ่อนล้าของเขาได้กระซิบบอกที่ข้างหูให้เขาล้มตัวลง และพักได้แล้ว

“น่าจะได้เวลาที่เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการล่าแล้ว อย่าปล่อยให้เจ้าสัตว์ร้ายได้พัก สั่งการให้พวกเทวฑูตโจมตีมันเข้าไป”
แม้ว่ากาเซฟอยากจะพักหายใจ แต่เมื่อได้ยินคำสั่งจากตัวผู้บัญชาการของพวกนั้นแล้ว เหล่าเทวฑูตก็ทำการโจมตีอย่างไร้ความปราณีไปเรื่อยๆจนกาเซฟไม่มีแม้โอกาสที่จะพัก
เริ่มแรกเขาก็หลบการโจมตี และแทงกลับไปด้วยดาบของเขา และก็ใช้ชุดเกราะรับการโจมตีของเทวฑุตอีกตนที่พุ่งลงมาจากฟ้า
แม้กาเซฟอยากโต้กลับ แต่การโจมตีนั้นมีมากเกินไป

ความเหนื่อยล้าที่สะสมได้กัดกินพละกำลังของเขา ตอนนี้เขาสามารถรับมือศัตรูได้แค่ทีละหนึ่งเท่านั้น พลังงานสำหรับการใช้ทักษะพิเศษเหลือพอใช้ได้เพียงทีละชนิดเท่านั้น เหล่าคนของเขาก็ได้ทอดร่างสู่พื้น ทำให้ศัตรูสามารถมุ่งมาโจมตีเขาได้โดยตรง
เขาไม่สามารถทะลวงวงล้อมของศัตรูออกไปได้ และความตายก็ค่อยๆคืบคลานเข้าหาเขาเรื่อยๆ
และเขาก็เกือบจะทรุดลงเมื่อเผลอตัว แต่โดยไม่ให้เสียเวลาเขาก็เร่งพลังใจกลับมา และต่อสู้ต่อไป
จนกระทั่งคลื่นอัดกระแทกได้พุ่งเข้าใส่ตัวกาเซฟจนเขาไม่อาจขยับตัวได้อีก
ภาพเบื้องหน้าเขาเริ่มพร่ามัวอย่างมาก
แย่แล้ว!
กาเซฟใช้แรงที่เหลือทั้งหมดพยายามทรงตัว แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เมื่อกำลังทั้งหมดของเขาเริ่มได้หมดลง
ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสของใบหญ้าที่กระทบกับใบหน้า แสดงให้เห็นว่าเขาได้ล้มลงเรียบร้อยแล้ว
แม้จะพยายามยืนขึ้น แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ยอมฟังคำสั่ง ในเวลานี้ดาบในมือของเหล่าเทวฑูตหมายถึง ‘ความตาย’ ที่เขาจะได้รับ

“จัดการเผด็จศึกได้ แต่อย่าลงมือเอง ส่งพวกเทวฑูตไปเก็บมันซะ”
มันจบแล้ว
มือที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักสั่นระริกไม่หยุด ตอนนี้เขาไม่แม้แต่จะยกดาบยาวในมือขึ้นได้ ทว่าการยอมแพ้ก็ไม่ใช่ตัวเลือกของเขา
เขากัดฟัน และแผดเสียงคำรามออกมา
กาเซฟไม่ได้กลัวตาย เขาได้พรากชีวิตจำนวนมากด้วยมือของเขาเองมาแล้ว ดังนั้นเขาได้เตรียมใจสำหรับจุดจบแบบเดียวกันในสนามรบไว้แล้ว
อย่างที่เขาได้กล่าวกับไอร์ซก่อนหน้า มีคนจำนวนมากที่เบื่อจะมีเรื่องพิพาทกับเขาอีกแล้ว และวันหนึ่งความเกลียดชังนี้จะกลายเป็นดาบที่มาเอาชีวิตเขา
ถึงอย่างนั้นเขาไม่อาจยอมรับกับสถานการณ์เช่นนี้ได้
การจู่โจมหมู่บ้านหลายแห่ง การสังหารคนที่ไร้อาวุธ และเหล่าชาวบ้านที่บริสุทธิ์ เพียงเพื่อจะล่อเขาเข้าสู่กับดัก เขาไม่อาจยอมให้ตัวเองต้องมาตายกับเรื่องที่น่าละอายเยี่ยงนี้ และเขาก็ไม่อาจยอมรับความไร้ซึ่งพลังของเขาได้อย่างที่สุด
“ย๊ากกกกกกกกกกกก! อย่ามาดูถูกข้า!”
ด้วยพลังทั้งร่าง เขาได้เปล่งเสียงตะโกนออกมา
ทั้งที่เลือด และน้ำลายพรั่งพรูออกจากปาก กาเซฟก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน

จากที่รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามจากคนที่ไม่ควรเหลือกำลังจะทำอะไรได้อีก เหล่าเทวฑูตอดที่จะถอยออกมาไม่ได้
“ฮวู่! ฮวู่!”
แค่การยืนขึ้นธรรมดาก็ทำให้เขายากที่จะหายใจแล้ว สติของเขาเริ่มไม่อยู่กับตัว และทั่วทั้งร่างก็เหมือนตกอยู่ใต้โคลนเลน แต่เขาไม่อาจพักได้ ทันทีที่เขาตายหมายความความว่าทุกสิ่งที่ทำมาเป็นอันจบสิ้น
นอกจากนี้แม้จะเจ็บปวดสักเพียงใด มันก็ไม่อาจเทียบเท่ากับความเจ็บปวดที่ชาวบ้านที่กำลังตายได้รับหรอก
“ข้าหัวหน้าอัศวินแห่งราชณาจักร! เพื่อราชณาจักรที่รัก และเพื่อปกป้องปวงประชาแล้ว! ข้าไม่มีทางยอมแพ้ให้กับพวกสวะที่ทำให้ราชณาจักรต้องมีเสื่อมเสียได้!”
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการจัดการศัตรูตรงหน้าด้วยทุกอย่างที่เขามี

ความปรารถนาที่จะปกป้องอนาคตของประชาชนแห่งราชณาจักร นี่คือสิ่งเดียวที่เขานึกถึง
“…ก็เพราะเอาแต่พูดอะไรโง่ๆแบบนี้แหละ แกถึงต้องมาตายที่นี่ กาเซฟ สโตโลนอฟ”
กาเซฟจ้องมองไปยังผู้บัญชาการของศัตรู พร้อมกับฟังคำกล่าวเยาะเย้ยของศัตรู
“หากแกเลือกจะละทิ้งหมู่บ้านตรงหน้า มันคงไม่จบลงเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าแกจะไม่รู้ตัวว่าชีวิตของแกมีค่ามากกว่าชาวบ้านนับพันเสียอีก หากแกรักประเทศของแกจริงๆ แกควรจะทิ้งพวกชาวบ้านไปถึงจะถูก”
“เจ้ากับข้า…ไม่มีวัน…เห็นตรงกันได้!”
“แล้วแกจะทำอะไรได้กับร่างกายแบบนี้? หยุดดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ แล้วนอนลงดีๆซะเถอะ แล้วข้าจะเห็นใจ ให้แกได้ตายอย่างไม่ทรมาน”
“หากว่าเจ้า…คิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แล้วทำไม…ไม่เข้ามาเอาหัวนี้ไปละ? ด้วยตัวข้าตอนนี้…มันคงเป็นเรื่องง่ายมากเลยใช่ไหม”

“…ดูท่าแกจะมีแรงเหลือที่จะพูดอีกนะ ถ้าอยากจะสู้ แล้วคิดเหรอว่าเจ้ามีโอกาสจะชนะได้?”
กาเซฟได้แต่จ้องกลับไป มือที่สั่นเทาของเขายังคงกุมดาบไว้อยู่ ตาของเขาจับจ้องไปยังศัตรูตรงหน้า โดยไม่สนใจเหล่าเทวฑูตที่อยู่รอบตัวเขา
“…เสียเวลาจริงๆ ช่างโง่เกินเยียวยา หลังจากที่ข้าจัดการกับแกแล้ว พวกชาวบ้านที่เหลือรอดก็จะเป็นรายต่อไป ทุกสิ่งที่แกทำมาตอนนี้ก็ได้แค่ยืดเวลาไปเท่านั้น”
“หึ หึ…หึหึหึ..”
กาเซฟเผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่มีวี่แวว
“…มีอะไรน่าขำ?”
“…หึ แกต่างหากคือไอ้โง่ ในหมู่บ้าน…ยังมีคนที่แข็งกว่าข้าอยู่ เขาเป็นคนที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ แล้วเขาก็สามารถจัดการพวกแกทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว…คิดเรื่องที่จะฆ่า…พวกชาวบ้านที่เขาปกป้อง เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย…”
“…แข็งแกร่งกว่าแก คนที่ได้ชื่อว่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งราชอาณาจักรรี-เอซไทซ์? นี่แกยังคิดจะมาเล่นลูกไม้กับข้าได้อีกเรอะ? โง่เง่าจริงๆ”
รอยยิ้มได้ผุดขึ้นบนใบหน้าของกาเซฟ ใบหน้าแบบไหนที่เจ้านี่จะแสดงออกมาเมื่อต้องเจอกับคนที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่าง ไอร์ซ โอว์น โกว์น กันนะ? นี่เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่กาเซฟจะได้รับจากชีวิตหลังความตาย
“…เทวฑูต ฆ่า กาเซฟ สโตโลนอฟซะ”
ด้วยคำสั่งอันเย็นชา ปีกจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มขยับเคลื่อนเข้ามา

ทันทีที่กาเซฟพร้อมจะพุ่งไปเบื้องหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับความตาย เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างตัว
“ดูเหมือนจะได้เวลาเปลี่ยนตัวแล้ว”
ภาพเบื้องหน้าของกาเซฟเปลี่ยนจากทุ่งหญ้าที่เปื้อนเลือดมาเป็นภายในบ้านหลังหนึ่ง
รอบตัวคือร่างของคนของเขา และชาวบ้านที่กังวลใจ
“ทะ-ที่นี่…”

“นี่คือโกดังที่ท่านไอร์ซร่ายมนตร์ป้องกันไว้”
“หัวหน้าหมู่บ้าน…มะ-มาสเตอร์โกว์นเหมือนไม่ได้อยู่ด้วยนี่…”
“ไม่ใช่หรอก ก่อนหน้านี้ไม่นานท่านก็อยู่ด้วย แต่ดูเหมือนท่านจะสลับตำแหน่งกับท่านหัวหน้าอัศวิน แล้วหายไปต่อหน้าพวกเราเลย”
ตกลงแล้วเป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเสียงที่เขาได้ยินในหัวก็คือ…
กาเซฟปล่อยตัวตามสบาย สิ่งที่จะเกิดต่อไปเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจควบคุมได้แล้ว กาเซฟล้มลงกับพื้น โดยมีชาวบ้านรีบเข้ามารับตัวเขา
หน่วยคัมภีร์ทั้งหก ศัตรูที่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของราชณาจักรไม่อาจต่อกรได้
แต่ในหัวของเขา ไม่มีความคิดว่าไอร์ซจะเป็นฝ่ายแพ้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น