หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.1 Chapter 3

Chapter 3
Battle of Carne Village


Part 1

ภายในห้องแต่งตัวของห้องพักโมมอนกะเต็มไปด้วยไอเทมหลากหลายชนิดอัดแน่นจนแทบไม่เหลือที่ว่างใช้สอย ไอเทมเหล่านี้มีตั้งแต่ผ้าคลุมตลอดจนของอื่นๆ ซึ่งโมมอนกะสามารถจัดหาอุปกรณ์สวมใส่ และไอเทมได้แทบทุกประเภท บางครั้งเขาก็มีซื้อเกราะสำหรับสวมใส่มาใช้บ้าง แต่หลังจากที่เขาไม่จำเป็นต้องใช้แล้วทั้งหมดก็ถูกนำมาเก็บยังที่แห่งนี้ ไม่เฉพาะชุดเกราะ แต่ยังรวมไปถึงอาวุธตั้งแต่ไม่เท้าไปจนถึงดาบซึ่งมีให้เลือกใช้ได้อย่างไม่ขาดเหลือ


การสังหารมอนสเตอร์ในอิกดราซิลจะได้รับคริสตัลข้อมูลมา โดยคริสตัลเหล่านี้สามารถใช้สร้างไอเทมได้ในภายหลัง และเหล่าไอเทมต้นแบบหลากหลายชนิดก็สร้างขี้นมาด้วยวิธีการเช่นนี้ และหากมีการปล่อยขายไอเทมที่มีประโยชน์อย่างยิ่งยวดออกมาก็จะมีหลายคนที่ไม่อาจห้ามใจตัวเองที่จะซื้อมันมาได้

ผลก็คือสภาพห้องในปัจจุบันนี้

จากอาวุธหลากชนิดที่เรียงรายอยู่ในห้อง โมมอนกะก็หยิบดาบเล่มหนึ่งออกมา เนื่องจากที่มันไม่มีฝักดาบทำให้ใบดาบสีเงินเปล่งประกายเจิดจ้าเมื่อต้องแสง ที่ใบดาบถูกสลักด้วยข้อความสัญลักษณ์ และเนื่องจากแสงสะท้อนทำให้ง่ายที่จะเห็นรอยสลักเหล่านี้

โมมอนกะลองยกมันขึ้น และเหวี่ยงมันไปมารอบๆ เหมือนมันเบาราวกับขนนก

นี่ไม่ใช่เพราะว่าตัวดาบสร้างจากวัสดุที่เบามากๆ แต่เป็นเพราะพละกำลังอันมากล้นของโมมอนกะ
เนื่องจากโมมอนกะเป็นจอมเวทย์ค่าสถานะที่เกียวกับเวทย์มนตร์นั้นจึงสูงมาก ส่วนค่าสถานะทางร่างกายก็ค่อนข้างต่ำ แต่หลังจากที่เขาเลเวลร้อยแล้ว เขาก็เพิ่มค่าสถานะด้านความแข็งแกร่งผ่านทางการฝึกฝน หลังจากผ่านการฝึกฝนความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่อาจดูแคลนได้อีกต่อไป หากว่าเขาต้องเผชิญกับมอนสเตอร์ระดับแค่เพียงไม้เท้าในมือก็สามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย

โมมอนกะค่อยๆจัดท่าทางสำหรับการใช้ดาบแต่ทันใดนั้นเสียงโลหะที่ถูกกระทบได้ดังขึ้นในหัวของเขา และตอนนั้นเองดาบในมือของโมอนกะก็ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้น

เมดที่อยู่ในห้องรีบเข้ามาเก็บดาบที่ตกพื้นขึ้นมาให้แก่โมมอนกะ แต่ทว่าโมมอนกะไม่ได้รับดาบกลับคืน โดยเขากำลังสนใจมือที่ว่างเปล่าของเขาในตอนนี้
นี่มัน
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้โมมอนกะรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
จากลักษณะท่าทางของ NPC ที่แสดงออกมา และคำพูดต่างๆนั้นทำให้นึกไปว่านี่ไม่ใช่เกมเป็นอีกโลกหนึ่ง แล้วอาการชาที่เกิดขึ้นตอนนี้จะอธิบายได้อย่างไรกัน นี่มันอย่างไรกันแน่
ในอิกดราซิลไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คนอย่างโมมอนกะซึ่งไม่ได้เลยคลาสนักรบเลยจะใช้ดาบได้ แต่หากตอนนี้เป็นโลกใหม่แล้ว การใช้ดาบได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไม่ได้

โมมอนกะส่ายหัว แล้วตัดสินใจหยุดคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน การที่ขาดข้อมูลที่จำเป็นแบบนี้ไม่ว่าจะพยายามหาคำตอบอย่างไรก็ย่อมไม่ได้รับคำตอบเป็นแน่
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย”

เหล่าเมดต่างจัดการตามคำสั่งของโมมอนกะ ระหว่างนั้นเขาก็หันมองยังกำแพงที่มีกระจกบานใหญ่ประดับอยู่ ซึ่งภาพที่สะท้อนออกมาคือร่างของโครงกระดูกที่สวมใส่เสื้อผ้า

การที่ได้เห็นร่างกายตัวเองเปลี่ยนไปเป็นตัวประหลาดแบบนี้ย่อมรู้สึกเลวร้ายได้ แต่ถึงอย่างนั้นโมมอนกะกลับไม่รู้สึกอะไรเลย และยังไม่รู้ขยะแขยงกับร่างกายของตัวเองด้วย

เนื่องจากเขาเล่นอิกดราซิลมาก่อน ทำให้เขาคุ้นชินกับร่างกายในตอนนี้ อีกทั้งยังมีอีกเหตุผลที่เขายังเยือกเย็นอยู่ได้

เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ภายนอก ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
อย่างแรกคือเรื่องอารมณ์ของเขา:ยามใดที่เขาเกิดความรู้สึกที่รุนแรงขึ้นมา มันก็จะเหมือนถูกยกออกไปในทันทีทำให้เขาเยือกเย็นลงได้ เหมือนกับว่ามีสิ่งอื่นมาแทนที่พวกมัน อย่างต่อมาคือการที่เขาขาดความต้องการต่างๆ ทั้งความหิว หรือ ความต้องการหลับนอน อย่างแรกที่สังเกตได้คือความรู้สึกต้องการทางเพศ ถึงแม้เขาจะได้จับหน้าอกอันอ่อนนุ่มของอัลเบโด เขาก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย
เหมือนกับว่าเขาได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป โมมอนกะอดไม่ได้ที่จะมองลงไปตรงช่วงเอว

“ในเมื่อมันไม่จำเป็นต้องใช้…มันจะหายไปด้วยไหมเนี่ย?”
เมื่อเขาเริ่มกล่าวออกมาด้วยความหวาดหวั่นพร้อมอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่าน แต่ทว่าก่อนที่เขาจะกล่าวได้ครึ่งประโยค อารณ์เหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
โมมอนกะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องสภาพจิตใจ บางทีอันเดดอาจจะต้านทานการโจมตีด้านจิตใจได้ทั้งหมดก็เป็นได้

ถึงตอนนนี้โมมอนกะจะเป็นอันเดดทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่ข้างในส่วนลึกเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ เพราะเหตุนี้เขายังมีช่วงเวลาที่เขาแสดงอารมณ์ออกมาแต่เมื่ออารมณ์นั้นปะทุขึ้นอย่างรุนแรงมันก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว โมมอนกะกลัวอย่างยิ่งว่าเขาจะสูญเสียอารณ์ทั้งหลายไปหากยังคงอยู่ในร่างของอันเดดเช่นนี้

แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หากเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโมมอนกะก็ยังคงทำตัวเช่นเดิม
อีกอย่างยังมี NPC แบบแชลเทียร์อยู่ด้วย บางทีการเป็นอันเดดก็ไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ แม้จะดูด่วนสรุปไปสักหน่อยก็ตาม

“───「ครีเอทเกรทเทอร์ไอเทม」”
หลังจากร่ายมนตร์จบร่างของเขาก็ถูกสวมทับด้วยชุดเกราะหนักครบชุด ตัวเกราะนั้นทำจากเหล็กกล้าซึ่งเคลือบด้วยสีดำ ประดับด้วยลวดลายสีทอง และม่วงทำให้ดูมีราคาแพงอย่างมาก หลังจากสวมใส่แล้วโมมอนกะก็ลองขยับตัวตรวจสอบ แม้ว่าตัวเขาจะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมาบางส่วน แต่ชุดเกราะก็ไม่ได้ทำให้การเคลื่อนไหวติดขัดแต่อย่างใด
ชุดเกราะพอดีอย่างมาก และยังปกปิดทุกส่วนที่เป็นโครงกระดูกของตัวเขาเป็นอย่างดี

ถ้าหากว่าเป็นชุดเกราะเวทย์มนตร์ละก็โมมอนกะก็สามารถสวมใส่ได้เหมือนกับในอิกดราซิล

โมมอนกะชื่นชมเวทย์นี้อย่างยิ่ง ตอนนนี้เขาสวมหมวกเหล็กซึ่งปิดบังทุกส่วนของใบหน้าขับเน้นให้ดูราวกับนักรบที่น่าสรรเสริญ และขณะนี้เขาดูไม่เหมือนจอมเวทย์อีกแล้ว โมมมอนกะพยักหน้าแสดงความพอใจ หลังจากกลืนน้ำลายซึ่งไม่มีอีกแล้ว โมมอนกะก็กล่าวออกมาด้วยท่าทางซุกซน และไร้เดียงสา:
“ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
“การ์ดเตรียมพร้อมทุกเมื่อค่ะ”
เมดรีบตอบกลับมาในทันที แต่ว่า –
นี่มันชักน่ารำคาญไปแล้ว

ในวันแรกที่มีการ์ดติดตามเขาก็ออกจะต่อต้านเล็กน้อย ในวันที่สองเขาเริ่มจะคุ้นเคย และอยากจะอวดเหล่าการ์ดของเขา แต่เมื่อถึงวันที่สาม –

โมมอนกะอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนการ์ดเหล่านี้ก็ติดตามเขาตลอดเหมือนเงาตามตัว นอกจากนี้ทุกคนที่พบเขาต่างโค้งคำนับทุกครั้ง นี่มันชักจะมาเกเกินไปแล้วสำหรับเขา

เขาคงพอจะทนได้หากเขาแค่เดินไปมากับการ์ดเท่านั้น แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเขาอยู่ในสถานะผู้ปกครองมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้ เขาไม่อาจที่จะแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาให้เห็นได้ ดังนั้นตอนนี้มันจะทำให้เขาประสาทแล้ว โดยเฉพาะคนธรรมดาทั่วๆไปอย่างโมมอนกะนี่มันมากเกินไปแล้ว

แม้ว่าความรู้สึกที่รุนแรงจะถูกทำให้หายไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนมีกองไฟกองเล็กๆเผาไหม้อยู่

ยิ่งมีผู้หญิงที่สวยมากๆหลยคนเดินตามเขาไม่ห่าง แล้วยังคอยดูแลเอาใจใส่ทุกฝีก้าว ในฐานะที่เขาเกิดมาเป็นชายแล้วนี่มันช่างเหมือนสวรรค์ชัดๆ แต่ปัญหาคือเขารู้สึกว่ากำลังโดนล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวอยู่

อาการที่จิตใจเหนื่อยล้านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของด้านที่เป็นมนุษย์ของเขา
ในฐานะผู้ปกครองมหาสุสานแห่งนาซาริกหากเขาต้องเข้าไปพัวกันกับสถานการณ์ฉุกเฉินในสภาพที่จิตใจเหนื่อยล้าเช่นนี้ ยิ่งหากเป็นช่วงเวลาสำคัญเขาอาจทำผิดพลาดอย่างมหันต์ได้
หลังจากได้ข้อสรุป โมมอนกะก็เปิดตาขึ่น แม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงไฟที่ส่วนดวงตานั้นลุกโชนแรงกล้ายิ่งขึ้น

“ไม่จำเป็น…ข้าจะไปคนเดียวไม่ต้องมีผู้ติดตาม”
“ได้โปรดรอก่อน หากเกิดเหตุการณ์ที่ท่านโมมอนกะตกอยู่ในอันตราย พวกเราจะได้เป็นโล่ห์ปกป้องท่าน ไม่มีทางที่พวกเราจะปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับท่านโมมอนกะอย่างแน่นนอน”
มันออกจะดูเย็นชาไปบ้างหากจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกที่พร้อมสละตนเพื่อปกป้องเจ้านายของพวกเธอที่เพียงแค่อยากออกไปเดินเล่น
แต่ทว่ามันก็ผ่านมาได้สามวันแล้วนับแต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินี้ขึ้น ซึ่งก็ราวๆ 72 ชั่วโมงได้ ตลอดเวลาโมมอนกะพยายามทำตัวให้สมกับเป็นผู้ปกครองแห่งนาซาริกตลอดเวลา และตอนนี้เขาต้องการพักผ่อนบ้างแล้ว

แม้จะรู้สึกผิดต่อพวกเธอ แต่โมมอนกะก็เตรียมเหตุผลไว้พร้อมแล้ว:
“…ข้ามีเรื่องที่ต้องทำเป็นความลับ ไม่อนุญาตให้มีผู้ใดติดตาม”

ทันใดนั้นความเงียบก็เข้ามาปกคลุมห้อง
โมมอนกะรู้สึกเหมือนเวลาได้ผ่านไปอย่างยาวนาน จนกระทั่งเมดกล่าวตอบ:
“รับทราบท่านโมมอนกะ โปรดระวังตัวด้วย”

เมื่อมองไปยังเมดที่เชื่อคำแก้ตัวของเขา โมมอนกะก็รู้สึกแย่กับการหลอกลวงของเขา แต่เขาได้ตัดสินใจแล้วและไม่สนใจความรู้สึกนี้
ไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นแน่ถึงเขาจะแอบไปพักบ้าง เขาจะได้ออกไปดูเบื้องนอกว่าเป็นอย่างไรกัน เขาต้องยืนยันด้วยตาตัวเองหากว่านี่เป็นที่แห่งอื่นซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
สาเหตุที่โมมอนกะต้องหาข้อแก้ตัวไว้มากมายเช่นนี้เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองตอนนี้ช่างเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง

เมื่อปล่อยวางความรู้สึกผิด โมมอนกะก็ใช้งานแหวนที่สวมอยู่
สถานที่ซึ่งเขาถูงส่งตัวมาเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ใกล้มีก้อนหินลักษณะเรียวยาวเรียงเป็นแถวซึ่งใช้เป็นป้ายหลุมฝังศพ ที่ตอนนี้ไม่เหลือศพอีกแล้ว ภายในชั้นนี้ปกคลุมไปด้วยหินปูนที่เป็นเงาแวววาว และที่ด้านหลังของโมมอนกะคือทางบันไดที่พาสู่เบื้องล่าง ที่ด้านหน้าสุดคือประตูขนาดใหญ่ที่จะพาเข้าสู่ชั้นแรกของมหาสุสานแห่งนาซาริก ส่วนของกำแพงนั้นไม่มีคบไฟอยู่เลย แสดงสว่างที่ได้นั้นมาจากเพียงแสงสีฟ้า ขาวจากพระจันทร์เท่านั้น เมื่อเขาใช้แหวนแห่ง Ainz Ooal Gown มันจะสามรถพาเขาเทเลพอร์ทตรงมายังสถานที่ซึ่งใกล้กับพื้นที่ด้านบนมากที่สุด นั่นคือพื้นที่ของชั้นหนึ่งในมหาสุสานแห่งนาซาริก ส่วนของอารามกลาง

แค่เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็จะออกไปด้านนอกได้แล้ว แม้ว่าที่หมายจะอยู่เบื้องหน้า แต่โมมอนกะก็ยังอยู่นิ่งไม่ก้าวไปไหนเนื่องจากเขากำลังเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน

โมมอนกะพบภาพที่แปลกตาเบื้องหน้า ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่แตกต่างกันสามชนิด ทั้งหมดชนิดละสี่ตน รวมทัง้หมดคือ 12 ตน
หนึ่งในนั้นดูเหมือนปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว มันมีร่างกายที่ปกคลุมด้วยเกล็ด และเขี้ยวยาวออกจากปาก นอกจากนี้ยังมีกรงเล็บที่แหลมยาวงอกมาจากแขนที่ทรงพลัง  ที่ด้านหลังมีหางซึ่งเหมือนงู และปีกที่กำลังลุกไหม้คู่หนึ่ง ทำให้รูปร่างเหมือนปีศาจมากยิ่งขึ้น

ตนต่อมาเป็นมอนสเตอร์รูปร่างหญิงสาวซึ่งมีหัวเป็นอีกา และสวมชุดหนังรัดรูป
สุดท้ายคือมอนสเตอร์ที่สวมเกราะซึ่งเปิดช่วงอก ทำให้ให้เห็นช่วงอก และช่วงท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม หากแค่ไม่มีปีกค้างคาวที่ด้านหลัง และเขาสองข้างที่งอกออกมาจากขมับก็ไม่อาจบอกได้ว่านี่เป็นมอนสเตอร์หรือไม่ แม้ว่าจะดูเหมือนชายหนุ่มรูปงาม แต่จากที่ดูก็บอกได้ถึงความต้องการอันไม่สิ้นสุดที่แสดงออกมา

ชื่อของพวกมันคือ ปีศาจแห่งความเกรี้ยวกราด ปีศาจแห่งความริษยา และปีศาจแห่งความโลภ
ปีศาจทั้งหมดหันมามองที่โมมอนกะโดยไม่ได้ขยับตัว มีเพียงสายตาอันเคร่งเครียดที่จ้องมาซึ่งสร้างแรงกดดันแก่ผู้คนได้

พวกมันคือมอนสเตอร์เลเวล 80 ที่อยู่ในส่วนของภูเขาไฟใต้พิภพของเดมิเอิร์จ ที่อยู่ใกล้กับประตูสู่ชั้นที่ 8 โดยมีหน้าที่ปกป้องในส่วนนี้ โดยปกติแล้วหน้าที่รับผิดชอบส่วนนี้เป็นของทหารอันเดดของแชลเทียร์ แล้วทำไมทหารของเดมิเอร์จถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

เงาดำสายหนึ่งได้ปรากฎออกมาใกล้กับเหล่ามอนสเตอร์ แม้ว่าจะไม่ทราบในคราแรก แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นปีศาจของเขานี้ในที่สุดปริศนาก็เป็นที่กระจ่าง

“เดมิเอิร์จ…”
เมื่อถูกเรียก เขาก็ทำสีหน้าประหลาดใจเหมือนจะถามว่า “ทำไมนายท่านถึงมาอยู่ที่นี่” หรือไม่ก็ “มอนสเตอร์แปลกหน้านี่มันใครกัน?”

โมมอนกะเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะคิดเช่นนั้น และเริ่มการไปเบื้องหน้า หากตอนนี้เขายังอยู่นิ่งคงไม่แปลกที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นแล้วเขาได้ก้าวต่อไปยังส่วนของกำแพงผ่านปีศาจเบื้องหน้าโดยทำเป็นไม่สนใจ

ดวงตาทั้งหมดต่างจ้องมายังร่างของเขา แต่โมอนกะก็ได้ใช้กำลังใจที่มีสะกดกลั้นความขลาดเขลาเอาไว้ แล้วยืดตัวตรงก้าวต่อไป

เมื่อระยะห่างของทั้งสองฝ่ายหดสั้นลง เหล่าปีศาจทั้งหมดต่างคุกเข่าแสดงการทักทายเขา และร่างที่ยืนอยู่หน้าสุดที่กำลังทำความเคารพอยู่ก็คือเดมิเอิร์จ ทุกอิริยาบถดูสง่างาม และเหมาะสมอย่างยิ่งราวกับว่าเขาเป็นองค์ชายจากประเทศใดประเทศหนึ่ง

“ท่านโมมอนมาทำอะไรที่นี่คนเดียวโดยไม่มีพวกการ์ดมาด้วยขอรับกระผม? แล้วยังการแต่งตัวแบ…”

ความลับของโมมอนกะถูกล่วงรู้อย่างรวดเร็ว

ในเหล่าผู้ที่อยู่ในมหาสุสานแห่งนาซาริกนับว่าเดมิเอิร์จเป็นผู้ที่ทรงภูมิที่สุด ดังนั้นแล้วการถูกมองออกจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่โมมอนกะคิดว่าเหตุผลที่เขาถูกจับได้มาจากที่เขาเทเลพอร์ทมาที่นี่
ผู้เดียวในนาซาริกที่สามารถเทเลพอร์ทได้อย่างอิสระคือผู้ครอบครองแหวนแห่ง Ainz Ooal Gown ซึ่งก็คือโมมอนกะนั่นเอง

“อ่า…มันก็มีหลายสาเหตุละนะ แต่ถ้าเป็นเดมิเอิร์จละก็น่าจะเข้าใจว่าทำไมข้าถึงแต่งตัวแบบนี้”
เดมิเอิร์จทำหน้าลำบากใจ สักพักเขาก็กล่าวออกมา:
“ขออภัยท่านโมมอนกะ กระผมไม่อาจเข้าใจเจตนาของท่านได้ ——”

“เรียกข้าว่าแบล็คไนท์”
“ท่านแบล็คไนท์…”
ดูเหมือนเดมิเอิร์จอยากจะกล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่โมมอนกะเลือกที่จะไม่สนใจ เมื่อลองคิดดูหากเทียบชื่อนี้กับชื่อมอนสเตอร์ในเกมแล้วชื่อนี้ดูออกจะธรรมดาไปสักหน่อย

การที่เขาให้เดมิเอิร์จเรียกเขาเช่นนี้มีเหตุผลอยู่ แม้ว่าจะมีเพียงข้ารับใช้ของเดมิเอิร์จที่อยู่ที่นี่ แต่ว่าตรงนี้คือทางเข้าออกซึ่งจะต้องข้ารับใข้อีกมากที่ผ่านไปมา และเพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่าเขาคือโมมอนกะจึงต้องเลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อของเขา

ไม่รู้ว่าเดมิเอิร์จเข้าใจมากน้อยเพียงใด แต่ในทันใดนั้นเดมิเอิร์จก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงแล้ว

“เข้าใจแล้ว…เป็นอย่างนี้นี่เอง”
หือ? อะไรนะ?
โมมอนกะอดสงสัยไม่ได้
โมมอนกะไม่อาจคาดเดาได้ว่าด้วยความหลักแหลมของเดมิเอิร์จจะเข้าใจหรือไม่ เขารู้สึกถึงเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงกำลังไหลชะโลมใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหมวกเหล็ก โดยหวังว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความตั้งใจของเขา

“ท่านโมมอน-…แบล็คไนท์ ช่างเฉียบแหลมอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในที่สุดกรพผมก็เข้าใจเศษเสี้ยวของของหลักแหลมของท่านแล้ว นี่เป็นปัญหาที่น่าปวดหัวในฐานะผู้ปกครองจริงๆ แต่การที่ท่านไม่มีผู้ร่วมทางไปด้วยกระผมคงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ แม้ว่ากระผมทราบว่านี่อาจจะสร้างปัญหาไปบ้างแต่หวังว่าท่านจะกรุณาให้พวกเราติดตามท่านไปด้วย”

“….ช่วยไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าให้ตามมาได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
เดมิเอิร์จก็เผยรอยอันสง่างามตอบรับ

“กระผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านแบล็คไนท์ตอบรับความปราถนาของกระผม”
“…เรียกแค่แบ็ลคไนท์ก็พอไม่ต้องใช้ท่านหรอก”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! กระผมไม่อาจกล่าวเช่นนั้นออกมาได้แน่นอน หากว่าเป็นภารกิจลับ หรือเป็นคำสั่งพิเศษละก็กระผมก็พร้อมทำตามคำสั่งโดยไม่ลังเล แต่ในมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้ไม่มีใครกล้าจะกล่าวเช่นนั้นกับท่านโมมอนกะ…ท่านแบล็คไนท์!”

เมื่อได้รับฟังคำพูดที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกของเดมิเอิร์จ โมมอนก็เกิดความรู้สึกร่วม แล้วพยักหน้ารับ อันที่จริงเขารู้สึกกลัวในการเลือกตั้งชื่ออย่างสิ้นคิดนี้จะทำให้คนอื่นเอาไปล้อได้

“ขอประทานอภัยท่านโมมอน…ท่านแบล๊คไนท์ ที่กระผมทำให้ท่านต้องสละเวลาอันมีค่ามา เอาละกระผมขอให้ที่เหลือเตรียมตัวไว้ให้พร้อม แล้วระหว่างทางก็บอกคนอื่นๆด้วยว่ากระผมออกไปทำธุระข้างนอกสักหน่อย”

“รับทราบ ท่านเดมิเอิร์จ”

“เอาละให้เป็นตามนั้นแล้วกัน เดมิเอิร์จไปกันได้แล้ว”

โมมอนกะเดินผ่านเดมิเอิร์จที่ก้มตัวโค้งคำนับอยู่ เมื่อได้ระยะเดมิเอิร์จก็เงยหน้าขึ้น และติดตามเขาอยู่ด้านหลัง

 “ทำไมท่านโมมอน…*แค่กๆ* ท่านแบล็คไนท์ต้องแต่งตัวแบบนั้นด้วยนะ?”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่านต้องมีเหตุผลของท่านละ”
เหล่าปีศาจกล่าวโต้ตอบกันอย่างสับสนในการกระทำของท่านผู้นำ

การที่โมมอนกะถูกจับได้ไม่ได้มาจากเรื่องการเทเลพอร์เลย ความจริงคือพวกเขาต่างมองเห็นตัวจริงของเขาต่างหาก
แม้ว่าโมมอนกะไม่ได้สังเกตุ แต่ทุกคนในมหาสุสานแห่งนาซาริก ที่ถูกคือสมาชิกทั้งหมดของ Ainz Ooal Gown จะมีสัมผัสพิเศษซึ่งทำให้เหล่าข้ารับใช้รับรู้ได้ว่าคนอื่นนั้นเป็นมิตรหรือไม่ นอกจากนี้เหล่าผู้ปกครองทั้ง 41 ของมหาสุสานแห่งนาซาริกซึ่งตอนนี้เหลือเพียงโมมอนกะ ต่างมีสัมผัสที่แตกต่างออกไปซึ่งปกคลุมทั่วร่างทำให้เหล่าข้ารับใช้สามารถรับรู้ได้ทันทีถึงตัวผู้ปกครองของพวกเขา แม้ว่าจะอยู่ห่างสักเพียงใดทั้งหมดต่างสามารถรับรู้ได้สัมผัสที่รุนเรงที่แผ่ออกมา ถึงแม้โมมอนกะจะสวมชุดเกราะเหล็กปกปิดตัวตน แต่นั่นก็ไม่ทำให้เหล่าข้ารับใช้สับสนได้

ออร่าที่แผ่ออกมานั้นสามารถแยกจากคนอื่นได้อย่างง่ายดาย
มีใครบางคนกำลังขึ้นบันไดมายังชั้นหนึ่งของนาซาริก
เมื่อพิจารณาจากออร่าที่แผ่มาจากตรงบันได พอจะคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นฟลอร์การ์เดี้ยน

ผู้ที่ก้าวขึ้นมาจากบันไดคือเจ้าของใบหน้าอันงดงาม ผู้บัญชาการของเหล่าการ์เดี้ยน อัลเบโด เหล่าปีศาจต่างคุกเข่าลงเบื้องหน้าผู้บังคับบัญชาของเดมิเอิร์จผู้เป็นนาย

สำหรับอัลเบโดกริยาที่เหล่าข้ารับใช้คุกเข่าแสดงความเคารพนั้นเป็นเรื่องปกติ และเธอยังคงมองสำรวจไปรอบๆโดยเหมือนกับว่าไม่เห็นพวกที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อไม่พบสิ่งที่เธอกำลังหา อัลเบโดก็เคลื่อนตัวมายังปีศาจตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม
“…ดิฉันไม่เห็นเดมิเอิร์จเลย เขาไปไหนรึ?”

“คือ…เมื่อตะกี้ท่านแบล็คไนท์ผ่านมาแล้วเดมิเอิร์จเลยตามท่านออกไปด้วยกันขอรับ”

“ท่าน…แบล็คไนท์? ดิฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…เดมิเอิร์จออกไปกับเขาอย่างนั้นเหรอ? การ์เดี้ยนที่ทรงเกียรติตามเขาออกไป? นั่นไม่แปลกไปหน่อยหรือ?”

เหล่าปีศาจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงได้แต่ยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

อัลเบโดยิ้มให้เหล่าปีศาจตรงหน้าอย่างอบอุ่น

“นี่พวกข้ารับใช้ชั้นล่างกล้าจะมาหลอกดิฉันสินะ?”
รอยยิ้มที่อ่อนโยน และแสนอบอุ่นของเธอกลับทำให้เหล่าปีศาจออกอาการสั่นด้วยความหวาดกลัวจนไม่กล้าปิดบังความจริงอีกต่อไป

“ท่านเดมิเอิร์จรับรู้ว่าท่านแบล็คไนท์คือผู้ที่พวกเรารับใช้”

“…ท่านโมมอนกะมาที่นี่อย่างงั้นเหรอ!”
อัลเบโดร้องเสียงแหลมออกมา และเหล่าปีศาจก็ตอบกลับอย่างสงบ:
“…ไม่ขอรับ ผู้นั้นคือท่านแบล็คไนท์”

“…แล้วการ์ดละ? นี่เดมิเอิร์จได้รับคำสั่งอะไรจากท่านโมมอนกะไหม? แต่ว่าดิฉันตกลงกับท่านแล้วนี่ อีกอย่างเดมิเอิร์จไม่น่ารู้ว่าท่านโมมอนกะจะมานี่? เอาเป็นว่าช่างมันก่อน ตอนนี้ดิฉันต้องไปอาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อม!”
อัลเบโดจับดูชุดของเธอ
การทำงานทั้งวันทั้งคืนทำให้เสื้อผ้าเธอสกปรกไปหมด แล้วยังปีก และหางที่ตอนนี้ดูกระเซอะกระเซิงไปหมด

ถึงแม้ว่าเธอจะสกปรกอย่างนี้แต่สำหรับอัลเบโดที่งามพร้อมนี่ไม่ได้ทำให้เธอดูแย่ลงไปเลย เหมือนกับหากมีคะแนนหนึ่งล้านคะแนนหากลดลงหนึ่งคะแนน นั่นก็ไม่ได้ส่งผลอะไรเลยต่อความงามของเธอ แต่สำหรับอัลเบโดแล้วนี่มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเธอจะไม่ยอมให้ผู้ที่เธอรักเห็นเธอในสภาพนี้

“ห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดก็…ก็ของแชลเทียร์สินะ?...ถึงดิฉันจะไม่ค่อยไว้ใจก็เถอะ...แต่ดิฉันก็คงต้องทนไปก่อน พวกตรงนั้นไปที่ห้องดิฉันแล้วเอาเสื้อมาให้ด้วย! อย่างเร็วที่สุด!”
ชั่วขณะนั้น หนึ่งในปีศาจรู้สึกถึงอาการผิดปกติของอัลเบโด นั่นคือปีศาจแห่งความริษยา
“…ท่านอัลเบโด นี่ไม่ใช่การกระด้างกระเดื่องแต่ว่าตอนนี้ท่านก็ดูดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ?”
“…หมายความว่ายังไง?”

อัลเบโดหันมากล่าวอย่างโกรธเคือง เธอมั่นใจว่าปีศาจตนนี้ต้องการให้ตนดูสกปรกเมื่อเธอจะไปหาท่านโมมอนกะ
“…ไม่ใช่นะคะ คือว่าฉันว่าท่านอัลเบโดเป็นผู้ที่งดงามอยู่แล้ว หากว่าท่านทำตัวให้ดูเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน และทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดน่าจะสร้างความประทับใจได้มากกว่า ซึ่งมันจะดีกว่าสำหรับท่านอัลเบโดจริงไหมคะ?”

เหล่าปีศาจที่เหลือต่างก็ช่วยกล่ายเสริมต่อไปอีก “ระหว่างที่ท่านอัลเบโดไปอาบน้ำ แต่งตัวให้ท่านโมมอนกะเห็น…หมายถึงท่านแบล็คไนท์ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน ซึ่งถ้าพลาดโอกาสนี้ไปละก็ท่านไม่คิดว่าน่าเสียดายหรือขอรับ?”

“อือ --” อัลเบโดเข้าสู่ห้วงความคิด จะว่าไปที่พวกนี้พูดมาก็มีเหตุผล
“นั่นก็ฟังเข้าท่าอยู่…น่าจะเป็นเพราะว่ามันนานเกินไปเลยทำให้ดิฉันรู้สึกว้าวุ่นไปหน่อย จะว่าไปดิฉันไม่เจอท่านโมมอนมกะมานาน 18 ชั่วโมงแล้วนะ 18 ชั่วโมงนี่มันนานเกินไปแล้วนะว่าไหม?”

“ใช่แล้ว มันมานเกินไปจริงๆ”
“นี่ดิฉันอยากจะจัดการระบบบริหารให้เรียบร้อยให้เร็วที่สุดแล้วกลับไปหาท่านโมมอนกะแล้ว…พอกันที ดิฉันต้องไปหาท่านโมมอนกะแล้ว บอกมาว่าตอนนี้ท่านอยู่ไหน”
“ท่านเพิ่งออกพ้นประตูออกไปเองขอรับ”

“ที่นี่สินะ?”
แม้ว่าอัลเบโดจะกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ ใบหน้าของเธอนั้นกลับถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันเอียงอาย และเธอยังกระพือปีกอย่างน่าเอ็นดูเนื่องจากที่เธอมีโอกาสที่จะได้พบกับโมมอนกะ ร่างของเธอเดินผ่านเหล่าปีศาจไปอย่างเร็ว
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็หยุดลง และอัลเบโดก็หันกลับมาถามว่า:
“ดิฉันจะขอถามอีกครั้ง:หากดิฉันไปพบท่านโมมอนกะแบบนี้จะช่วยเพิ่มความประทับใจที่ท่านมีต่อดิฉันแน่ใช่ไหม?”

เมื่อออกจากอารามมาแล้ว ภาพที่ปรากฎในสายตาของโมมอนกะคือฉากอันแสนสวยงาม มหาสุสานแห่งนาซาริกนั้นมีพื้นที่ราว 200 ตารางเมตร ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหนาหกเมตรที่ปกป้องทางเข้าทั้งด้านหน้า และด้านหลัง

หญ้าที่ขึ้นในสุสานนั้นถูกเล็มให้สั้นทำให้ได้บรรยากาศที่สดชื่น แต่ในอีกด้านหนึ่งส่วนของสุสานก็มีต้นไม้ที่มีใบดกหนาปกทำให้มีเงาพาดปกคลุมทั่วบริเวณสร้างความรู้สึกหดหู่ อีกทั้งยังมีป้ายหลุมศพสีขาวที่เรียงรายอยู่ทั่วอย่างไม่เป็นระเบียบ

การที่หญ้าซึ่งถูกตัดแต่ง และป้ายหลุมศพที่เรียงรายสับสนนั้นทำให้เกิดความรู้สึกที่ขัดแย้งต่อผู้พบเห็น ไม่เพียงเท่านี้ยังมีรูปสลักเทวดา และเทพธิดาที่กระจัดกระจายทั่วร่วมกับผลงานชิ้นอื่นๆ นั่นทำให้ผู้คนออกจะดูถูกการออกแบบสุสานแห่งนี้
นอกเหนือจากแท่นบูชาขนาดเล็กทั้งสี่ด้านของสุสาน ยังมีอารามขนาดใหญ่ที่กึ่งกลางซึ่งมีรูปปั้นนักรบสูงหกเมตรยืนปกป้องสถานที่แห่งนี้

นี่เป็นส่วนของอารามกลางในมหาสุสานแห่งนาซาริกที่โมมอนกะออกมา
โมมอนกะหยุดยืนอยู่ที่ส่วนบนสุดของขั้นบันไดหิน และมองดูไปรอบๆ

มหาสุสานแห่งนาซาริกนั้นตั้งอยู่ที่เฮลเฮม ซึ่งเป็นโลกที่หนาวเย็น และถูกปกคลุมด้วยราตรีอันเป็นนิรันทร์ เนื่องจากเป็นที่ซึ่งมีแต่ช่วงกลางคืนทำให้สภาพแวดล้อมนั้นค่อนข้างมืดหม่น และท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ แต่ทว่าภาพในตอนนี้นั้นต่างออกไป

ที่เห็นในตอนนี้คือท้องฟ้ายามค่ำคืนอันงดงาม
โมมอนกะมองไปยังท้องฟ้า และถอนหายใจที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกออกมา จากนั้นก็สั่นหัวราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

“การจะทำแบบนี้ได้ในโลกจำลอง…นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ…อากาศที่นี่สะอาดแล้วยังไม่มีการปนเปื้อนอีก คนที่เกิดในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ปอด หรือหัวใจเทียมเลย…”

เขาเคยได้พบท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งเช่นนี้มาก่อน

โมมอนกะนั้นอยากลองร่ายคาถาดู แต่ก็ถูกขัดขวางโดยชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่ ที่จริงก็มีเวทย์มนตร์บางคลาสที่มีทักษะพิเศษที่ทำให้สามารถร่ายเวทย์ได้แม้จะยังสวมเกราะอยู่ แต่ว่าโมมอนกะไม่ได้เรียนทักษะนี้มา นั่นทำให้ชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่ตอนนี้กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาไม่สามารถร่ายเวทย์ได้ ในระหว่างที่เขาสวมใส่ชุดเกราะอยู่มีเวทย์อยู่ห้าอย่างที่เขาสามารถร่ายได้ แต่น่าเศร้าที่เวทย์บทที่โมมอนกะต้องการใช้นั้นไม่ใช่หนึ่งในห้าที่เขาสามารถใช้ได้
โมมอนกะยื่นมือเข้าไปยังช่องว่างของอากาศ แล้วดึงเครื่องประดับออกมา ซึ่งก็คือสร้อยคอที่มีลักษณะเป็นปีกนก

เมื่อสวมใส่สร้อยคอแล้ว เขาก็เพ่งสมาธิไปยังที่สร้อยคอเพื่อใช้งานอำนาจที่ซ่อนอยู่ของมัน

“ไฟลท์”

เมื่อเป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วง โมมอนกะก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า จากนั้นเขาก็เร่งความเร็วมากขึ้นโดยเคลื่อนตัวสูงขึ้นสู่เบื้องบนในชั่วอึดใจ

แม้ว่าเดมิเอิร์จจะพยายามไล่ตามเขาให้ทัน แต่โมมอนกะก็ไม่ได้ให้ความสนใจ และยังคงพุ่งสูงขึ้น โดยไม่รู้ตัวเขาก็ขึ้นไปสูงหลายร้อยเมตรแล้ว

จากนั้นโมมอนกะก็ค่อยผ่อนความเร็วลง และเขาก็ได้ถอดหมวกเหล็กออกมาพร้อมกับอาการที่ไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้ – อันที่จริงคือ การที่เขาได้เห็นโลกใบทำให้เขาไม่อาจเปล่งวาจาออกมาได้ต่างหาก

แสงีฟ้า ขาวซึ่งเปล่งออกมาจากดวงจันทร์ และหมู่ดาวขับไล่ความมืดที่เป็นฉากหลังออกไป ภาพของต้นหญ้าที่พลิ้วไหวไปมาตามแรงลมที่พัดผ่านทุ่งหญ้าเบาๆทำให้เหมือนโลกนั้นดูเปล่งประกายออกมา หมู่ดาวที่เหนือคณานับบนท้องฟ้า ร่วมกับดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆส่องสว่างเป็นรัศมีแพรวพราวซึ่งช่วยเติมเต็มภาพบนพื้นดินให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

โมมอนกะอดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้:
“งดงาม…ไม่สิน่าคือความงามที่ไม่อาจหาคำมาบรรยายได้เลย…นี่ผมนึกไม่ออกเลยว่าถ้าคุณบลูแพลเน็ทมาเห็นจะทำหน้ายังไง…”
หากว่าเขามาเห็นโลกที่ไม่ทั้งมลภาวะทางอากาศ น้ำ และผืนดิน
โมมอนกะนึกไปถึงเพื่อนคนหนึ่ง เมื่อนึกย้อนไปตอนที่เจอกันในเน็ตเขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความโรมานติก ใบหน้าของเขานั้นมีลักษณะเหมือนก้อนหินที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ เขาซึ่งเป็นผู้ที่อ่อนโยน และอบอุ่น ชายหนุ่มผู้หลงรักท้องฟ้ายามค่ำคืน

อันที่จริงสิ่งที่เขารักคือธรรมชาติ เขาหลงรักมันแม้ว่าตอนนี้มันได้ถูกปนเปื้อนและไม่หลงเหลืออีกแล้ว เพราะความต้องการที่จะดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของธรรมชาติซึ่งไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกแล้ว เขาจึงได้เริ่มเล่นอิกดราซิล เขาได้ทุ่มเท และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการออกแบบ และจัดทำส่วนของชั้นที่หกโดยเฉพาะท้องฟ้ายามราตรีซึ่งถูกสร้างจากโลกในอุดมคติของเขา

สำหรับผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติอย่างเขา มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งมันเกือบจะข้ามผ่านความหลงใหลอันบ้าคลั่งไปแล้ว
หากเขาได้เห็นโลกนี้ คงจะบอกไม่ได้ว่าเขาจะรู้สึกตื่นเต้น หรือเจาะลึก หรือลุ่มหลง ไปกับการบรรยายสิ่งได้เห็น
โมมอนกะต้องการอย่างยิ่งที่จะได้ยินคำพูดที่อัดแน่นด้วยความรู้ของเพื่อนที่คบหากันมานาน โลกสีฟ้าที่เขาคนนั้นคะนึงหามาตลอด นั่นทำให้เขาหันไปมองที่ข้างตัว
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครอยู่เคียงข้างเขา
โมมอนกะได้ยินเสียงของปีกที่กำลังกระพืออยู่ และเดมิเอิร์จที่รูปร่างเปลี่ยนไปก็เข้าสู่สายตาของเขา
ที่ด้านหลังของเขามีปีกสีดำที่ดูเปียกชุ่มอยูคู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากหน้าของมนุษย์ไปเป็นหน้าของกบ นี่คือเดมิเอิร์จในร่างครึ่งปีศาจ

สำหรับเผ่าพันธ์เฮเทโรมอร์ฟิกนั้นสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้หลากหลาย ซึ่งในนาซาริกทั้งเซบาสเตียน และอัลเบโดต่างก็มีรูปร่างต่างๆที่ยังไม่ได้แสดงให้เห็น
แม้ว่าจะลำบากสักหน่อยในการเรียนรู้รูปร่างที่ไม่ปกติของเผ่าพันธ์แต่ว่ามันก็เป็นที่นิยมมานานเพราะผู้ที่เป็นเผ่าพันธ์เฮเทโรมอร์ฟิกจะเหมือนกับเป็นบอสสุดท้ายที่มีหลายร่างได้เลย ทำให้มีผู้คนจำนวนมากชอบเผ่าพันธ์ไม่เหมือนใครนี้ โดยการจะเป็นมนุษย์ หรือร่างกึ่งมนุษย์นั้นมีจุดอ่อนบางอย่าง ขณะที่หากเล่นเผ่าเฮเทโรมอร์ฟิกจะได้รับทักษะพิเศษมาใช้

โมมอนกะหันเหสายตาออกจากร่างแปลงของเดมิเอิร์จ แล้วหันกลับมามองหมู่ดาวบนฟากฟ้าราวกับว่าเขากำลังสนทนาอยู่กับเหล่าสหายที่ไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้นั่นทำให้โมมอนกะถอนหายใจออกมา:
“…ถึงจะอาศัยแค่แสงจากดวงจันทร์ และดวงดาว แต่ผมก็ยังมองเห็นทิวทัศน์รอบๆได้…นี่มันยากจะเชื่อว่านี่คือโลกจริงๆคุณบลูแพลเน็ท…ท้องฟ้ามันส่องประกายเหมือนกับกล่องใส่อัญมณีเลยจริงๆ”

“บางทีอาจเป็นเช่นนั้น ความงามของโลกใบนี้ซึ่งเกิดจากอัญมณีที่เลอค่าถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องประดับสำหรับท่านโมมอน…ท่านแบล็คไนท์”
เสียงเดมิเอิร์จกล่าวประจบดังขึ้นให้ได้ยิน

เสียงพูดที่แทรกขึ้นมาน่าจะมาจากความเข้าใจผิดของผู้ร่วมทางนั้นทำให้โมมอนกะรู้โกรธขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อมองไปยังทิวทัศน์ตรงหน้าความโกรธนั้นก็ได้จางหายไป

นอกจากนี้เมื่อมองไปยังโลกแล้วเขารู้สึกว่ามันช่างเล็กเหลือเกิน ในใจของเขาเริ่มรู้สึกว่าการทำตัวเหมือนกับโอเวอร์ลอร์ดผู้ชั่วร้ายก็ดูจะไม่เลวเหมือนกัน

“มันช่างงดงามจริงๆ ดาวเหล่านี้ล้วนแต่มีไว้เพื่อเป็นตกแต่งสำหรับข้า เอ…ไม่แน่ว่า การทีข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่จะครอบครองเจ้ากล่องอัญมณีที่ยังไม่มีเจ้าของนี้สินะ”

โมมอนกะยืดแขนออกไปเบื้อนหน้าและกำมือ นั่นทำให้ดูเหมือนว่าดวงดาวได้ตกอยู่ในอุ้งมือของเขา ซึ่งแน่นอนว่าความจริงแล้วดวงดาวแค่ถูกบังโดยมือของเขาเท่านั้น โมมอนกะเลิกสนใจกับลักษณะนิสัยที่เหมือนเด็กนี้ แล้วหันไปกล่าวกับเดมิเอิร์จ:
“…ไม่สินี่ไม่ใช่สิ่งข้าจะครอบครองไว้เพียงลำพัง บางทีข้าน่าจะใช้มันไปตกแต่งที่มหาสุสานนาซาริก ซึ่งเป็นของเหล่า Ainz Ooal Gown อย่างข้า และสหายทั้งหลาย”
“…ช่างเป็นสุนทรพจน์ที่น่าเกรงขามยิ่งนัก หากท่านปรารถนากระผมจะรีบนำกองกำลังของนาซาริกมาเอากล่องอัญมณีนี้ เพื่อเป็นของขวัญแก่ท่านโมมอนกะที่กระผมเคารพรักยิ่ง นี่จะเป็นเกียรติอันสูงสุดสำหรับเดมิเอิร์จผู้นี้”
ต่อหน้าท่าทางที่เกินจริงของเดมิเอิร์จ โมมอนกะก็เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา

เมื่อนึกๆดูแล้วเดมิเอิร์จก็จมดิ่งสู่บรรยากาศนี้เช่นเดียวกัน
“ในตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตแบบไหนอยู่ที่โลกนี้บ้าง ดังนั้นข้าจะชี้ให้เห็นว่าเจ้ายังเข้าใจผิดอยู่ ตอนนี้การดำรงอยู่ของพวกเรานั้นนับเป็นตัวแปรที่เล็กมากๆ แต่จะว่าไปการจะครองโลกก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”

การจะครองโลกนั้นเป็นอะไรที่พวกตัวร้ายที่ออกมาในรายการสำหรับเด็กทางทีวีเขาพูดกันเท่านั้น
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ง่ายเลยที่จะครองโลก ปัญหาต่างๆจะเกิดขึ้นทันทีที่มีใครทำสำเร็จ นับตั้งแต่การออกกฎหมาย และคำสั่งที่จะเป็นการป้องกันการกบฏ แล้วยังความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างประเทศต่างๆ แล้วยังอะไรอื่นๆอีก แค่คิดเรื่องพวกนี้แผนการครองโลกนั้นก็หายไปจากหัวก็หายไปแล้ว

แม้ว่าโมมอนกะจะค่อนข้างระวังในการพูดเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ยังกล่าวเกี่ยวกับความต้องการที่จะครองโลกออกมา นั่นก็เพราะว่าหลังจากได้เห็นความงามของโลกแล้ว ความฝันในวัยเด็กก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วยังเพราะการที่เขาต้องรักษาสถานะของผู้นำแห่ง Ainz Ooal Gown ที่ชั่วร้าย ทำให้เขาเผลอแสดงลักษณะแบบเด็กๆออกมา

และนอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นอีก

“…คุณเออร์เบ็ท, คุณLuci★Fer, คุณVariable Talisman, คุณเบรูริบา…”

มีหลายครั้งที่เขานึกไปถึงช่วงที่ยังคุยเล่นกับเหล่าสมาชิกกิลล์ “พวกเราจะครองโลกอิกดราซิลนี้ด้วยกัน”
เขารู้ว่าเดมิเอิร์จเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในนาซาริก ดังนั้นเขาน่าจะเข้าใจว่าที่พูดมาทั้งหมดว่าจะครองโลกนี้ก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระแบบเด็กๆเท่านั้น

โมมอนกะไม่รู้เลยว่าใบหน้าที่เป็นกบของเดมิเอิร์จนั้นสีหน้าเป็นอย่างไร และยังผลของการสนทนาที่จะส่งผลอย่างไรต่อไปอีก

โมมอนกะไม่ได้มองไปยังเดมิเอิร์จแต่เขามองไปยังสุดขอบฟ้าที่ซึ่งฟากฟ้า และผืนโลกบรรมาจบกัน
“…โลกซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก แต่ว่าในโลกนี้…จะยังมีใครนอกจากผมอีกไหม? ยังมีสมาชิกกิลล์คนอื่นหลุดมาที่แห่งนี้อีกไหม?”

แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ในการสร้างตัวละครตัวที่สองในอิกดราซิลแต่สำหรับผู้ที่เลิกเล่นไปแล้วนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่จะสร้างตัวละครใหม่เพื่อกลับเข้าเกมในวันสุดท้าย และนั่นก็อาจเป็นไปได้ที่เมโรเมโระจะกลับเข้ามาในช่วงที่เซิร์ฟเวอร์กำลังจะปิดตัว

โดยสรุปก็คือการที่โมมอนกะมาอยู่ยังที่แห่งนี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง หากว่านี่เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ซึ่งไม่อาจหาข้อสรุปได้ ถ้าอย่างนั้นคนอื่นที่ยังเล่นเกมอยู่ก็อาจถูกส่งตัวมาที่นี่เหมือนกับเขา
แม้เขาจะไม่สามรถติดต่อคนอื่นได้จากการใช้ [เมสเสจ] แต่มันก็อาจจะมาจากตัวแปรอื่นอย่างเช่นว่า อยู่กันคนละทวีป หรือจากผลของเวทย์มนตร์ก็เป็นได้

“…ถ้าเป็นอย่างนี้…ถ้าผมทำให้ทั้งโลกรู้จักชื่อของ Ainz Ooal Gown ละ…”
หากว่ามีเพื่อนของเขาที่หลงเข้ามาเหมือนกับเขาก็ต้องได้ยินชื่อเสียงที่สร้างขึ้นนี้ และพวกเขาต้องมาหาแน่ๆ โมมอนกะเชื่อมั่นในมิตรภาพระหว่างพวกเขา
หลังจากจมดิ่งสู่ห้วงความคิด โมมอนกะก็หันกลับยังที่นาซาริก และได้พบกับภาพอันน่าประทับใจ

พื้นที่ร้อยเมตรโดยรอบนาซาริกนั้นถูกทำให้เป็นคลื่นดินขนาดมหึมาที่เหมือนกับคลื่นมหาสมุทร ผืนดินค่อยดันตัวสูงขึ้น และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆในทิศทางเดียวกัน พวกมันค่อยๆรวมตัวกันจนในที่สุดก็เกิดเป็นเนินเขาเล็กๆใกล้กับนาซาริก
ดินโคลนจำนวนมากโถมกระหน่ำไปยังกำแพงของนาซาริก ดูราวกับคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทาง

“…[แลนด์ออฟเวฟส์] ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้แค่ทักษะทั่วไป แต่ยังใช้ทักษะของคลาสเพื่อเพิ่มพื่นที้แสดงผลด้วย…”
โมมอนกะชื่นชมอย่างเงียบๆ ในนาซาริกมีเพียงหนึ่งเดียวที่มีปริมาณเวทย์พอจะทำเช่นนี้ได้
สมแล้วที่เป็นมาเร่ ดูเหมือนว่าการมอบหมายงานซ่อนกำแพงให้กับเขาจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้ว
“ใช่ สำหรับมาเร่แล้วเหล่าอันเดดที่ไม่รู้จักเหนื่อย และเหล่าโกเลมถึงจะช่วยได้ก็เถอะ แต่มันช้าเกินไป และยังไม่ดีพอ หลังจากที่เคลื่อนผิวดินแล้วยังมีแอ่งหลุมอีกหลายแห่งที่ต้องเอาพืชพรรณต่างๆมาปลูกทับเพื่อซ่อนกำแพงเอาไว้ นี่จะยิ่งเพิ่มภาระให้มาเร่อีกมาก…”

“…การซ่อนกำแพงของนาซาริกดูท่าจะต้องกินเวลานาน? ปัญหาคือในช่วงนี้เราจะถูกใครมาพบหรือเปล่า แล้วสถานการณ์ของการรักษาความปลอดภัยโดยรอบละเป็นอย่างไรบ้าง”

“มาตรการขั้นแรกในระบเตือนภัยเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ หากว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญารุกล้ำเข้ามา เราจะรู้ในทันทีขณะที่ผู้บุกรุกจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย”

“เยี่ยม แต่ว่า…ไอ้ระบบเตือนภัยเบื้องต้นนี่ทำโดยพวกข้ารับใช้อย่างงั้นหรือ?”
หลังจากได้รับการยืนยันจากเดมิเอิร์จ โมมอนกะก็นึกถึงโครงสร้างของระบบเตือนภัยที่เหมาะสมขึ้นมา
“…ในส่วนโครงสร้างของระบบ ข้ามีความคิดดีๆอยู่ ให้ทำตามนี้แล้วกัน”
“รับทราบขอรับ หลังจากปรึกษากับอัลเบโดเราจะร่วมมือกันจัดการทันที ท่านแบล็คไนท์”
“พอแล้วเดมิเอิร์จ เรียกข้าว่าโมมอนกะก็ได้ตอนนี้”
“ขอรับ…ไม่ทราบว่ากระผมจะขอทราบถึงกำหนดการต่อไปของท่านได้ไหมขอรับ?”
“ข้าว่าจะไปเยี่ยมมาเร่สักหน่อย เห็นทีต้องตบรางวัลให้สมกับการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้…”

เดมิเอิร์จเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนซึ่งแตกต่างจากที่คนส่วนใหญ่จะคาดถึงโดยเฉพาะนี่มาจากปีศาจอีกด้วย
“การที่ได้เห็นท่านโมมอนกะพึงพอใจโดยตรงก็นับว่าเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่แล้ว…นี่…ขอประทานอภัยอย่างยิ่งแต่กระผมนึกได้ว่าต้องไปจัดการอะไรสักอย่าง สำหรับเรื่องของมาเร่…”
“ไม่เป็นไร ไปเถอะเดมิเอิร์จ”
“เป็นความกรุณาอย่างยิ่งท่านโมมอนกะ”

ทันทีที่เดมิเอิร์จเริ่มบินจากไป โมมอนกะกะเริ่มลอยตัวลงสู่พื้น และเขาก็นำหมวกเหล็กมาสวมอีกครั้ง โดยที่หมายของเขาคือตำแหน่งที่ดาร์คเอลฟ์อยู่ ซึ่งดาร์คเอลฟ์ก็ได้สังเกตเห็นถึงบางสิ่งและเงยหน้าขึ้นไปมอง และร่างของโมมอนกะที่ปรากฎให้เห็นนั้นทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างรอให้โมมอนกะร่อนลงมา มาเร่ก็รีบวิ่งเข้าหาจนกระโปรงของเขาพริ้วไหวไปกับแรงลม
อีกนิดเดียวก็จะเห็นแล้ว ไม่ใช่ว่าโมมอนกะอยากจะมองหรอกนะ แต่เขาแค่สงสัยว่ามีอะไรซ่อนอยู่ด้านในก็เท่านั้นเอง

“โมมอ-ท่านโมอนกกะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านมาที่นี่”
“เอ่อ…มาเร่ไม่ต้องกลัวไปหรอก ช้าหน่อยก็ได้ ถ้าเจ้าไม่ชินก็ไม่ต้องทำเป็นพิธีการก็ได้…แน่นอนว่าเฉพาะตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วยนะ”
“นะ-นั่นทำไม่ได้หรอกฮะ หนูจะเรียกท่านธรรมดาได้ยังไงกัน…แม้แต่พี่สาวก็ไม่ทำเช่นกัน นี่มันออกจะเสียมารยาทเกินไป”

แม้เขาจะไม่ชอบให้เด็กๆมาปฎิตัวต่อเขาด้วยความเคารพแบบนี้แต่…:
“เข้าใจละมาเร่ หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้จำไว้ว่าข้าไม่ได้บังคับเจ้าให้ทำเช่นนี้หรอกนะ”
“ขะ-ขอรับ!... วะ-ว่าไปแล้วทำไมท่านโมมอนกะถึงได้มาที่นี่ละฮะ? มะ-มีอะไรที่หนูทำพลาดไปเหรอฮะ…”

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกมาเร่ ข้ามานี่เพื่อจะให้รางวัลเจ้า”
จากสีหน้าที่วิตกกังวล และหวาดกลัวที่จะถูกว่ากล่าวของมาเร่ได้เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ

“’งานของเจ้ามาเร่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าผู้คนในโลกนี้มีเลเวลเฉลี่ยที่ 100 หรือมากกว่าแล้วละก็ หากมีศัตรูแบบนั้นละก็แม้แต่เครือข่ายเตือนภัยก็อาจไม่สามารถซ่อนมหาสุสานนาซาริกแห่งนี้จากสายตาของนักล่าได้ ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นงานที่สำคัญอย่างมาก”
มาเร่คอยพยักหน้าเห็นด้วยเป็นระยะ

“ดังนั้นมาเร่ ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่าการทำงานของเจ้านั้นยอดเยี่ยมมาก และข้าพอใจเป็นอย่างยิ่ง การมอบงานนี้ให้เจ้าทำให้ข้ารู้สึกเบาใจได้มาก”
สิ่งหนึ่งที่โมมอนกะเรียนรู้จากประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในสังคมก็คือ การที่ผู้บังคับบัญชาต้องคอยชมเชยงผู้ใต้บังคับัญชาที่มีการอุทิศตนกับงานที่ทำ

การ์เดี้ยนทั้งหมดต่างประเมินโมมอนกะไว้สูงมากในการนั้นเพื่อจะคงความจงรักภักดีเอาไว้ โมมอนกะต้องคอยประเมินผลงานของพวกเขาให้สูงเข้าไว้

หากว่าการ์เดี้ยน และNPC ที่ทางกิลล์สร้างมารู้สึกถูกหักหลัง และหมดความศรัทธาหลังจากที่พยายามทำผลงานออกมาอย่างเต็มที่ นั่นถือว่าเป็นความผิดพลาดของโมมอนกะในฐานะผู้นำ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาต้องคอยให้ความสนใจ และวางตัวให้เหมาะสมในฐานะผู้ปกครองต่อหน้าพวกเขา

“…เจ้าคงเข้าใจความคิดของข้าใช่ไหมมาเร่?”

“ฮะ! ท่านโมมอนกะ!”
แม้ว่าเขาจะอยู่ในชุดผู้หญิงแต่เมื่องมองไปยังใบหน้าที่ขึงขึงของเขาแล้วย่อมบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นสำหรับผลงานอันยอดเยี่ยมนี้ ข้าจะมอบรางวัลให้แก่เจ้าแล้วกัน”
“จะ-จะได้อย่างไรกัน! นี่มันเป็นหน้าที่ของหนูอยู่แล้วฮะ!”
“…ดูจากผลงานของเจ้าแล้ว นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะตบรางวัลแก่เจ้า”
“ไม่-ไม่! เหตุผลหนึ่งเดียวของการคงอยู่ของพวกเราคือการได้รับใช้ท่านผู้นำสูงสุด การทำงานอย่างสุดความสามารถก็เป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่งแล้ว”
หากยังถกเถียงกันไปมาอย่างนี้คงจะไม่ได้ข้อสรุปเป็นแน่ โมมอนกะจึงนึกวิธีประนีประนอมขึ้นมา
“งั้นถ้าอย่างนี้เป็นไง การที่ข้ามอบรางวัลให้เจ้าก็เพื่อหวังว่าเจ้าจะยังคงภักดีต่อข้าไปตลอด ถ้าอย่างนี้คงไม่มีปัญหาสินะ?”

“นี่ นี่จะไม่มีปัญหาแน่เหรอฮะ?”
ด้วยเจตนาอันชัดเจนโมมอนกะหยิบรางวัลซึ่งเป็นแหวนวงหนึ่งออกมา

“โมมอน-ท่านโมมอนกะ…ท่านหยิบของผิดแล้วละฮะ!”
“ไม่ นี่ละถูกแล้ว”

“ต้องไม่ใช่แน่ๆ! นี่มันแหวนแห่ง Ainz Ooal Gown ที่มีเพียงเหล่าผู้นำสูงสุดจะสามารถถือครองได้! หนูไม่อาจรับของสิ่งนี้ได้หรอกฮะ”

มาเร่ตัวสั่นเทาเนื่องจากของรางวัลที่คาดไม่ถึงนี้ และโมมอนกะก็ประหลาดใจกับท่าทางที่เขาแสดงออกมา
แน่นอนที่ว่าแหวนนี้นั้นมีไว้สำหรับสมาชิกกิลล์ใช้เท่านั้น ซึ่งเมื่อนับแล้วไอเทมพิเศษนี้มีเพียงร้อยชิ้นเท่านั้น โดย 41 วง ถูกแจกจ่ายให้กับเหล่าสมาชิกกิลล์ทำให้ตอนนี้เหลือแหวนอยู่ 59 วง ไม่สิตอนนี้คือ 58 วง ที่ยังไม่มีเจ้าของ แน่นอนว่านี่คือไอเทมที่มีค่าอย่างยิ่แต่การใช้มันเป็นรางวัลนั้นย่อมจะมีประโยชน์มากกว่าเก็บเอาไว้เฉยๆ

เพื่อจะที่ปลอบมาเร่โมมอนกะที่จริงๆแล้วอยากจะหนีไปให้ไกลก็กล่าวกับมาเร่อย่างจริงจัง:
“ใจเย็นมาเร่”
“ไม่ ไม่ ไม่มีทาง! นี่หนูจะรับแหวนที่เป็นของสำหรับท่านผู้นำสูงสุดได้ยังไง”

“นึกดีๆมาเร่ ในมหาสุสานนาซาริกการที่ไม่สามารถเทเลพอร์ทไปไหนมาไหนได้มันไม่สะดวกเอาเสียเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้มาเร่ก็ค่อยๆสงบลง

“ข้าหวังว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่มีศัตรูบุกเข้ามา เหล่าการ์เดี้ยนทั้งหลายจะสามารถบัญชาการในแต่ละชั้นได้ และหากถึงเวลานั้นถ้าเจ้าไม่สามารถที่จะเทเลพอร์ท หรือ หลบหนีได้อย่างอิสระมันคงไม่ดีแน่ๆ; นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องให้แหวนนี้แก่เจ้า”

แหวนที่อยู่ในมือของโมมอนกะเมื่อต้องแสงจันทร์ก็ดูราวกับว่ามันเปล่งรัศมีออกมา

“มาเร่ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งในความภักดีของเจ้า: และข้ายังเข้าใจว่าทำไมในฐานะบริวารเจ้าจึงไม่ต้องการรับแหวนที่แทนตัวตนของพวกข้า แต่ว่าหากเจ้าเข้าใจความรู้สึกของข้าละก็จงรับคำสั่งข้าแล้วรับแหวนนี้ไป”

“ตะ-แต่ทำไมถึงเป็นหนู…ถ้าอย่างนี้แล้วการ์เดี้ยนคนอื่นจะได้เหมือนกันไหมฮะ…”

“ถึงข้าตั้งใจจะให้ทุกคน แต่ว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ได้รับ เพราะข้าพอใจกับงานของเจ้า หากว่าข้ามอบมันให้กับผู้อื่นที่ไม่ได้ทำอะไรควรค่าแก่การรับมอบแหวนนี้ เจ้าไม่คิดหรือว่าจะเป็นการลดค่าของมันลง?”
“ไม่-หนูไม่กล้าแน่นอน!”

“ถ้าอย่างนั้นจงรับมันไว้มาเร่ แล้วหลังจากที่ได้แหวนนี้ไปแล้วจงตั้งใจทำงานต่อไปทั้งเพื่อนาซาริก และเพื่อข้าผู้นี้”

มาเร่ยื่นแขนออกไปรับแหวนด้วยความประหม่าอย่างช้าๆ
เมื่อมองมาเร่เช่นนี้ โมมอนกะก็รู้สึกผิดขึ้นมา แม้ว่าเขาต้องการมอบแหวนเป็นของขวัญก็จริงแต่ก็ยังมีอีกจุดประสงค์ที่เป็นความเห็นแก่ตัวของเขา

หากว่าคนอื่นๆสามารถเทเลพอร์ทได้เหมือนกับเขาละก็ มันก็จะเป็นการง่ายที่โมมอนกะจะไปไหนมาไหนโดยไม่มีใครสังเกตได้

หลังจากที่มาเร่สวมแหวนแห่ง Ainz Ooal Gown มันก็ปรับขนาดให้พอดีกับนิ้วมือที่เรียวยาวของเขา มาเร่เริ่มจดจ้องไปยังแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วมือ แล้วผ่อนคลายลงเล็กน้อยก่อนถอนหายใจออกมา จากนั้นเขาก็โค้งคำนับให้แก่โมมอนกะ…”ท่านโมมอนกะ ขอบ-ขอบคุณมากที่มอบของขวัญนี้…จากนี้ไปหนูจะอุทิศตนให้มายิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดหวังแก่ท่านโมมอนกะไปได้!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะมาเร่”

“ฮะ!”
มาเร่ตอบกลับอย่างแน่วแน่ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาแสดงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวออกมาให้เห็น

จะว่าไปคนที่ออกแบบมาเร่คือคุณ Simmering Teapot นี่นะ ทำไมถึงต้องให้เขาแต่งตัวแบบนี้ด้วยนี่?

เพื่อจะให้แต่งตัวตรงข้ามกับออร่างั้นเหรอ หรือว่าจะมีเหตุผลอื่นอีก?
ระหว่างที่โมมอนกะกำลังนึกเรื่องนี้อยู่ มาเร่ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ถ้า-ถ้าหนูจะถามท่านโมมอนกะหน่อยได้ไหมฮะ…คือว่าทำไมท่านถึงแต่งตัวแบบนี้กัน?”
“…เอ คือว่า…”

เพราะว่าเขาต้องการหลบออกมา แน่นอนว่านั่นพูดไม่ได้แน่ๆ
มาเร่จ้องมองมาที่โมมอนกะด้วยดวงตาที่เป็นประกาย นี่เขาจะโกหกยังไงดี? หากถูกจับได้ละก็ ทุกอย่างที่ทำมาในการวางตัวเป็นผู้นำอันสง่างามก็เสียเปล่าสิ ไม่มีข้ารับใช้คนไหนพอใจหรอกที่มีผู้นำที่หนีเที่ยว โมมอนกะพยายามหาข้อแก้ตัวต่างๆแต่ก็นึกไม่ได้สักที แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของพวกเขา

“นี่มันเป็นเรื่องธรรมดามากมาเร่”
เมื่อหันกลับไปโมมอนกะก็รู้สึกหลงใหลในภาพที่เห็นทันที

หญิงสาวผู้งดงามที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ แสงสีฟ้าของดวงจันทร์ทำให้เธอดูเปล่งประกายขึ้นเหมือนกับเทพธิดาได้ลงมาเยือนเบื้องล่าง ปีกสีดำที่โบกไปมาก่อให้เกิดกระแสลมที่เบื้องหน้าพวกเขา

ผู้ที่ปรากฎตัวคือ อัลเบโด
แม้ว่าเดมิเอิร์จจะมาถึง แต่ด้วยความงามของอัลเบโดทำให้โมมอนกะไม่ได้สังเกตุถึงการมีตัวตนของเขาเลย

“ที่ท่านโมมอนกะสวมใส่ชุดเกราะก็เพื่อปกปิดตัวตนไม่ให้ไปรบกวนการทำงานของคนอื่นๆ หากว่ามีใครเห็นท่านโมมอนกะมาถึงทุกคนก็จะหยุดทำงานแล้วต้องคอยแสดงความเคารพต่อท่าน แต่ว่าท่านโมมอนกะไม่ต้องการจะรบกวนการทำงานเลยต้องแต่งตัวเป็นแบล็คไนท์อย่างนี้”

“ใช่ไหมคะ ท่านโมมอนกะ?” เมื่อได้ยินอัลเบโดกล่าวเช่นนี้โมมอนกะก็รีบพยักหน้ารับ:
“สมแล้วที่เป็นอัลเบโด ที่มองเห็นถึงความตั้งใจของข้า”
“ในฐานะผู้บัญชาการของเหล่าการ์เดี้ยนนี่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ ไม่ใช่สิแม้ว่าดิฉันจะไม่ใช่ผู้บัญชาการ ดิฉันก็เชื่อว่าจะเข้าใจจิตใจของท่านโมมอนกะอย่างแน่นอน”

อัลโบโดโค้งคำนับให้โมมอนกะด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เดมิเอิน์จแสดงสีหน้าลำบากใจ
แม้เข้าจะไม่เห็นด้วยแต่เขาก็ไม่มีหนทางที่จะแก้ไขความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนของเธอได้

“ตกลงเป็นอย่างนี้นี่เอง…”
มาเร่ทำท่าเข้าใจหลังจากฟังคำอธิบาย

เมื่อมองไปยังสายตาที่จับจ้องไปที่มาเร่ โมมอนกะก็พบกับสิ่งที่เหลือเชื่อ ดวงตาของอัลเบโดนั้นเบิกกว้างเหมือนกับจะว่าถลนออกมา และการเคลื่อนไหวที่ดูติดขัดขณะชี้ไปยังแหวนที่มาเร่สวมอยู่

ทันทีที่โมมอนกะนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ อัลเบโดก็กลับคืนสู่สีหน้าอันงดงามเหมือนปกติ ราวกับว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

“…มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“อา ไม่ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…ถ้าอย่างนั้นมาเร่ ต้องขอโทษที่มารบกวน ขอให้เริ่มงานต่อได้หลังจากพักนะคะ”

“ฮา-ฮะ! ถ้าอย่างนั้นท่านโมมอนกะหนูขอไปก่อนนะฮะ”
โมมอนกะพยักหน้ารับ จากนั้นมาเร่ก็จากไปขณะที่ลูบไปที่แหวนบนนิ้ว

“จะว่าไปทำไมอัลเบโดเจ้าถึงมาที่นี่ได้ละ?”

“ค่ะ พอดีดิฉันได้ฟังจากเดมิเอิร์จว่าท่านโมมอนกะจะมาที่นี่ ดิฉันเลยจะมาทำความเคารพ ต้องขอโทษที่ดิฉันมาให้ท่านเห็นในสภาพที่สกปรกแบบนี้”

เมื่อได้ยินคำว่าสกปรก โมมอนกะก็ลองมองอัลเบโดซึ่งเขาไม่คิดว่าเธอสกปรกเลยสักนิด แม้จะมีฝุ่นจับเสื้อผ้าเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้บดบังความงามของเธอลงไปเลย

“ไม่หรอกอัลเบโด ความงามของเจ้านั้นไม่ถูกอะไรเล็กน้อยเช่นนี้บดบังไปได้หรอก แน่นอนว่าการที่ต้องให้หญิงงามอย่างเจ้าต้องวิ่งวุ่นไปทั่วจะทำให้ข้ารู้สึกผิดไปบ้าง แต่ตอนนี้สถานการณ์บังคับอย่างยิ่งดังนั้นยกโทษให้ข้าด้วย หวังว่าเจ้าจะยังคงอุทิศตนเพื่อนาซาริกแห่งนี้ต่อไปนะ”

“เพื่อท่านโมมอนกะแล้วไม่ว่าจะยากเย็นสักเพียงใดไม่เป็นปัญหาสำหรับดิฉันเลยค่ะ!”

“ขอบใจมากสำหรับการอุทิศตัวของเจ้า ใช่แล้ว…อัลเบโดข้ามีของบางอย่างจะมอบให้เจ้า”

“…อะไร…หรือคะ?”
อัลเบโดที่ก้มหัวอย่างเจียมตัวเอ่ยถามอย่างทื่อด้าน จากนั้นโมมอนกะก็หยิบแหวนออกมา แน่นอนว่ามันคือ แหวนแห่ง Ainz Ooal Gown

“ในฐานะผู้บัญชาการเหล่าการ์เดี้ยนเจ้าจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”

“…ขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ”
การตอบรับของเธอนั้นแตกต่างจากมาเร่เป็นอย่างมาก จนโมมอนกะอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่าเมื่อสักครู่เขาเข้าใจผิดไป


ที่มุมปากของอัลเบโดมีลักษณะเกร็งอย่างมาก สีหน้าของเธอดูเปลี่ยนแปลงตลอดวเลา ปีกของเธอนั้นสั่นอย่างต่อเนื่องและนั่นก็เพราะว่าเธอพยายามระงับอาการอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
เมื่อได้รับแหวน เธอก็กำมันไว้แน่น และเริ่มตัวสั่น ไม่ว่าจะเป็นคนที่หัวทึบเพียงใดเมื่อได้มาเห็นก็ย่อมรับรู้ถึงความตื่นเต้นของเธอที่แสดงออกมา

“จงรักษาความภักดีของเจ้าไว้ตลอดไป สำหรับเดมิเอิร์จ…เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน”

“ขอรับท่านโมมอนกะ กระผมจะอุทิศตนอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะได้เหมาะสมในการรับแหวนอันทรงค่านี้”

“ดีมาก เอาละตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องทำก็เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะกลับไปยังชั้น 9 ซะทีก่อนจะถูกตำหนิ”

เมื่อมองอัลเบโด และเดมิเอิร์จที่ก้มหัวให้ โมมอนกะก็ใช้งานแหวนแห่ง Ainz Ooal Gown เพื่อเริ่มการเทเลพอร์ท

ทันทีที่ภาพทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนไปนั้น เขาคิดว่าเขาได้ยิงเสียงผู้หญิงกรีดร้อง
“ว้ายยยยยย!” แต่เมื่อคิดว่าอัลเบโดไม่น่าจะแสดงกริยาที่ไม่ได้รับการศึกษาออกมาโมมอนกะก็สรุปว่าเขาหูฝาดไปเอง

Part 2

อีกนิดเดียวก็จะถึงรอบนอกของหมู่บ้านแล้ว
ระหว่างที่วิ่งอยู่ เอ็นริได้ยินเสียงโลหะที่กระทบกันดังเป็นระยะๆ
เธอหันหลังกลับไปมองพร้อมสวดภาวนา แต่ภาพตรงหน้าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด อัศวินกำลังไล่หลังน้องสาวเธอมา
อีกไม่นานเขาก็จะตามพวกเธอทันแล้ว
เอ็นริหันอดกลั้นที่จะสาปแช่งต่อโชคชะตาในขณะนี้ เพราะเธอไม่เหลือแรงที่จะทำเช่นนั้นอีกแล้ว

ลมหายใจของเธอกระชั้นถี่มากขึ้น ร่างกายสูบฉีดโลหิตอย่างหนักราวกับว่ามันจะระเบิดออกมา และขาของเธอก็สั่นอย่ตลอด บางทีอีกไม่นานเธอก็จะถูกฆ่าและทิ้งซากศพเอาไว้ที่เบื้องล่าง

หากว่าตอนนี้มีเพียงเธอคนเดียว บางทีเธออาจหมดกำลังใจ และสูญสิ้นเรี่ยวแรงที่จะหลบหนีอีกแล้ว

แต่มือที่กำแขนของน้องสาวนั้นทำให้เธอมีกำลังที่จะวิ่งต่อไป
ความต้องการที่จะรักษาชีวิตของน้องสาวทำให้เอ็นริยังหนีต่อไปในตอนนี้

ขณะที่กำลังวิ่งเธอก็คอยมองเหลียวหลังเป็นช่วงๆ
ระยะห่างยังคงเท่าเดิม แม้ว่าอัศวินจะสวมชุดเกราะ แต่เขาก็ไม่ได้ช้าเลย ความแตกต่างระหว่างทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี กับ หญิงชาวบ้านธรรมดานั้นแสดงออกให้เห็นชัดเจน

เอ็นริรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงสันหลัง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป…มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะพาน้องสาวของเธอไปยังที่ปลอดภัย
——รีบหนีเร็ว
คำต่างๆเริ่มผุดเข้ามาในหัวของเอ็นริ
——ถ้าเป็นเธอคนเดียวบางทีอาจจะหนีไปได้ก็ได้
——เธออยากจะมาตายที่นี่อย่างนั้นเหรอ?        
——รีบแยกกันเร็วไม่ต่องสนอะไรแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อนสิ

“เงียบ เงียบ เงียบ!”
เอ็นริกรีดร้องเสียงดังด้วยความโกรธ และตำหนิตัวเอง
เธอช่างเป็นพี่สาวที่แย่จริงๆ
น้องสาวของเธอดูเหมือนว่าจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ แต่ทำไมจนถึงตอนนี้ถึงยังไม่ร้องละ?
นั่นก็เพราะเธอเชื่อในตัวพี่สาวอย่างเธอ เธอเชื่อว่าพี่สาวจะต้องช่วยเธอได้อย่างแน่นอน
การที่ได้กุมมือน้องสาวไว้ ทำให้เธอได้รับมอบความกล้ามา เอ็นริตกลงใจอย่างแน่วแน่
เธอจะไม่มีวันทอดทิ้งน้องสาวอย่างแน่นอน

“อ๋า!”
ไม่ใช่เพียงเอ็นริที่เหนื่อยล้า น้องสาวของเธอก็ใช้พลังอย่างมากในการวิ่งหนี เพราะเหตุนี้ทำให้เธอสะดุดจนเกือบล้ม และกรีดร้องออกมา

การที่เธอทั้งสองไม่ล้มลงไปก็เพราะต่างกุมมือของกัน และกันไว้ทำนั่น ทำให้น้องสาวของเธอช่วยดึงตัวเธอเอาไว้จนเอ็นริไม่สูญเสียการทรงตัว


“เร็วเข้า!”
 “แฮ่ก แฮ่ก!”

แม้เธออยากจะวิ่งต่อไปแต่น้องสาวของเธอนั้นกลับเป็นตะคริวที่ขา และหยุดนิ่ง เอ็นริคิดจะแบกน้องสาวไปด้วย แต่เสียงโลหะได้หยุดลงที่ข้างเธอ ทำให้เอ็นริหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ที่ยืนข้างๆคืออัศวินที่ถือดาบซึ่งเปื้อนคราบเลือด ไม่เพียงเท่านั้นทั้งเกราะ และหมวกเหล็กก็มีเลือดที่กระเซ็นมาติดตามตัว
เอ็นริยืนอยู่เบื้องหน้าน้องสาว และจ้องมองอย่างดุร้ายไปยังตัวอัศวิน

“อย่าขัดขืนให้เหนื่อยเลย”
คำกล่าวถูกพูดขึ้นโดยไม่ลังเล คำกล่าวที่เต็มไปด้วยความขบขัน คำที่มีความหมายว่าแม้จะหนีไปเท่าไรก็มีอาจหนีความตายพ้น
อัศวินค่อยยกดาบขึ้นเหนือร่างเอ็นริที่ยังไม่ขยับตัว ทันทีที่ดาบกำลังจะฟันลงมาที่เอ็นรินั้น
“อย่ามาดูถูกกันง่ายๆนะ!”
“กึอออออ!”

เอ็นริเหวี่ยงหมัดเข้าที่หมวกเหล็กอย่างไม่ปราณี หมัดนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น และความรู้สึกที่อยากปกป้องน้องสาว เธอไม่กลัวที่จะชกไปยังโลหะนั่นด้วยมือเปล่า นี่เป็นการต่อยที่รวมพลังทั้งหมดที่เธอมีออกไป

เสียงกระดูกที่หักดังขึ้น และความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านไปทั่วตัวของเอ็นริในเวลาเดียวกัน อัศวินที่รับหมัดนั้นเริ่มเซไปมาอย่างรุนแรง

“วิ่ง!”
“เอ๋!”

เอ็นริอดทนต่อความเจ็บปวดและเริ่มวิ่ง ทันใดนั้นเธอรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแสบร้อนที่กลางหลัง
“วู๊วววว!”

“แกนังแพศยา!”
หลังถูกต่อยไปที่หัวโดยหญิงชาวบ้านธรรมดา ทำให้อัศวินเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา
เขาสูญเสียความเยือกเย็น และเหวี่ยงดาบไปมารอบตัว นั่นทำให้เขาไม่สามารถฟันเอ็นริให้ล้มลงได้ แต่เธออาจไม่โชคดีอย่างนี้ในครั้งต่อไป เนื่องจากเอ็นริบาดเจ็บอยู่ และอัศวินก็เลือดขึ้นหน้าแล้วดังนั้นการโจมตีครั้งต่อไปต้องเป็นอะไรที่หนักหนาอย่างยิ่ง

เอ็นริมองไปยังดาบที่ยกสูงทอประกายเบื้องหน้า ตอนนี้เธอเข้าใจอยู่สองสิ่ง
อย่างแรกพวกเธอทั้งคู่จะถูกฆ่า และอีกอย่าง คือหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างเธอย่อมไม่อาจขัดขืนอะไรได้เลย
ที่ปลายดาบนั่นถูกชะโลมด้วยเลือดของเธอ ภาพนั้นทำให้รู้สึกถึงเสียงเต้นของหัวใจ และความเจ็บปวดที่กลางหลังซึ่งลามไปทั่วตัว อีกทั้งความรู้สึกแสบร้อนจากการโดนฟัน

จากที่เธอไม่เคยเจอความเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อนทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะอาเจียนออกมา
บางทีการอาเจียนอาจช่วยขจัดความกลัวไปก็ได้
แต่เอ็นริไม่มีเวลาจะเสียอีกแล้ว เธอต้องมองหาหนทางที่จะเอาตัวรอด
แม้ว่าในใจเธออยากจะยอมแพ้ แต่เอ็นริมีเหตุผลที่ไม่อาจยอมแพ้ได้เพราะความรู้สึกอบอึ่นที่อยู่บริเวณหน้าอกของเธอ นั่นคือ น้องสาวของเธอ

อย่างน้อยน้องเธอต้องรอด
ด้วยสิ่งนี้ทำให้เธอไม่ยอมแพ้
แม้เบื้องหน้าจะมีอัศวินราวกับจะเย้ยหยันความตั้งใจของเธอ
ดาบถูกยกชูสูงขึ้นพร้อมที่จะฟาดฟันลงมา

บางทีอาจเป็นเพราะเธอเพ่งสมาธิอย่างมาก หรือไม่ก็นี่เป็นช่วงเวลาเป็นตายทำเหมือนในหัวเธอถูกกระตุ้นอย่างมากจนเวลาเดินช้าลง ขณะที่เธอพยายามหาวิธีช่วยน้องสาว

แต่ทว่าเธอไม่อาจหาวิธีที่ใช้ได้เลยในตอนนี้ สิ่งที่เธอพอจะนึกได้คือการใช้ร่างของเธอเป็นโล่ห์  และระหว่างที่ดาบกำลังผ่าร่างของเธอ จะมีเวลาให้น้องสาววิ่งหนีไปได้ นี่เป็นทางเลือกสุดท้าย

ตราบเท่าที่เธอยังมีแรงเหลือ ไม่ว่าใครจะมาผ่าตัวเธอ ไม่มีวันที่เธอจะยอมปล่อยให้เขาไปไหนจนกว่าดวงไฟแห่งชีวิตของเธอจะมอดดับลง

ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอก็ได้แต่ยอมรับชะตา
เอ็นริรู้สึกราวกับเป็นผู้สละตน และเผยรอยยิ้มออกมา
นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอพอจะทำให้น้องสาวได้ นั่นทำให้เธอยิ้มออกมาได้
เธอก็ไม่แน่ใจว่าลำพังแค่น้องสาวของเธอจะสามารถหลบหนีจากนรกแห่งนี้ได้หรือไม่

ถึงเธอจะหนีเข้าไปในป่าก็อาจจะไปเจอกับทหารที่ออกลาดตระเวนก็เป็นได้ แต่ตราบใดที่ยังมีทางรอดที่เธอจะสามารถหลบหนีออกไป เพียงโอกาสสำหรับน้องสาวที่จะมีชีวิตต่อไป เอ็นริพนันด้วยชีวิตของเธอ หรืออันที่จริง คือเธอพนันด้วยทุกสิ่งที่เธอมี

แม้จะกลัวกับความเจ็บปวดที่จะได้รับ แต่เธอก็ได้แต่หลับตายอมรับ ในโลกแห่งความมืดมน เธอได้เตรียมพร้อมสำหรับความตายที่กำลังจะมาถึง

Part 3

โมมอนกะตอนนี้กำลังนั่งบนเก้อี้ และมองปยังกระจก ตัวกระจกนั้นสูง 1 เมตร และแทนที่จะสะท้อนภาพตรงหน้า แต่กลับฉายภาพทุ่งหญ้าแทน กระจกนี้ก็เหมือนโทรทัศน์ที่กำลังถ่ายทอดทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ให้เห็น
ต้นหญ้าที่พริ้วไหวในกระจกทำให้เห็นว่ามันไม่ใช่เพียงรูปภาพเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปปดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสู่ฟากฟ้าขับไล่ความมือที่ปกคลุมทุ่งหญ้า ภาพอันมีเสน่ห์ของท้องทุ่งชนบทช่างแตกต่างอย่างมากกับความหดหู่ สิ้นหวังของเฮลเฮมที่นาซาริกเคยตั้งอยู่

โมมอนกะชี้นิ้วไปยังกระจก และค่อยๆลากนิ้วไปทางขวา ทำให้ภาพบนกระจกเปลี่ยนไปในทันที

[รีโมทวิวอิ่งเลนส์]

สำหรับเพลเยอร์คิลเลอร์ (PK) หรือเพลเยอร์คิลเลอร์คิลเลอส์ (PKK) แม้ไอเทมนี้จะช่วยฉายภาพตำแน่งผู้เล่นซึ่งทำให้มันประเมินค่าไม่ได้ แต่หากผู้เล่นใช้เวทย์ต่อต้านการค้นหาขั้นต่ำก็สามารถหลบหลีกการค้นหาไปได้ ไม่เพียงเท่านั้นระหว่างใช้งานผู้ใช้ยังมีโอกาสถูกลอบโจมตีได้ง่าย ทำให้กระจกนี้จัดเป็นไอเทมที่มีความสมดุลมากชิ้นหนึ่ง

แต่ด้วยสิ่งนี้ที่สามารถฉายภาพเบื้องนอกให้เห็นได้อย่างดายทำให้มันมีประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์ตอนนี้
ขณะชื่นชมภาพทุ่งหญ้าที่ฉายเหมือนกำลังดูภาพยนตร์ที่ฉายอยู่บนกระจกก็ค่อยๆ

“นี่เราจะเปลี่ยนภาพได้แค่เพียงโบกมือเท่านั้นเอง แบบนี้ผมก็สามารถเปลี่ยนมุมมองต่างๆของภาพได้เลยสินะ”

โมมอนกะวาดวงกลมในอากาศภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้เขาจะพยายามเปลี่ยนภาพในกระจกไปเรื่อยๆโดยการใช้มือทำท่าทางต่างๆเพียงหวังว่าจะเจอใครสักคน เขาก็ยังไม่เห็นถึงสัญญาณที่บ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเลย โดยเฉพาะมนุษย์
เขายังคงทำเช่นนี้ซ้ำไปมาเรื่อยๆ แต่ภาพที่ฉายออกมาจากกระจกก็ยังคงมีเพียงทุ่งหญ้าไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่มองดูเป็นเวลานานเขาก็เริ่มเบื่อ และหันไปหาผู้ที่อยู่ในห้องกับเขาตามลำพังสองคน

“มีอะไรหรือขอรับท่านโมมอนกะ? หากท่านต้องการสิ่งใดโปรดเรียกใช้กระผมได้ทุกเมื่อ”

“ไม่หรอก ไม่มีอะไรเซบาสเตียน”
อีกผู้หนึ่งที่อยู่ในห้องก็คือเซบาสเตียนแม้ใบหน้าของเขาจะประดับด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดก่อนหน้านี้มีความหมายไปในอีกทางหนึ่ง แม้ว่าเซบาสเตียนจะมีพันธะที่ต้องเชื่อฟังทุกคำสั่งแต่ความจริงที่โมมอนกะไม่นำเขาติดตามไปด้วยทำให้เซบาสเตียนรู้สึกแย่เล็กน้อย

หลังจากที่กลับจากเบื้องบน เซบาสเตียนก็เข้ามาสั่งสอนเขาเสียนานทีเดียว

“จะว่าไปก็มีเหตุผลละนะ…”
โมมอนกะกล่าวออกมาจากใจ
ระหว่างที่อยู่กับเซบาสเตียน เขามักจะหวนนึกถึงอดีตเพื่อนร่วมกิลล์อย่าง Touch Me ซึ่งเป็นผู้ออกแบบเซบาสเตียน

แต่ว่าเขาไม่น่าจะออกแบบเซบาสเตียนให้เหมือนกับตัวเองขนาดนี้ แม้แต่เวลาโกรธก็ยังน่ากลัวเหมือนกันเลย

หลังจากบ่นออกมาเงียบๆ โมมอนกะก็กลับมามองที่กระจก
โมมอนกะนึกถึงการสอนวิธีใช้กระจกนี้แก่เดมิเอิร์จ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้กล่าวกับเดมิเอิร์จเมื่อก่อนหน้าเกี่ยวกับแนวคิดในเรื่องการพัฒนาเครือข่ายรักษาความปลอดภัย

ถึงจะเป็นอะไรที่ง่ายหากเขามอบหน้าที่นี้แก่ข้ารับใช้ แต่โมมอนกะก็ยังรู้สึกว่าเขาต้องทำมันด้วยตัวเอง แน่นอนเขามีจุดประสงค์อีกอย่าง นั่นคือทำให้ข้ารับใช้เห็นว่าเขานั้นตั้งใจทำงาน และยอมรับในตัวเขา ด้วยเหตุนี้เขาไม่อาจให้ความเบื่อหน่ายทำให้เลิกเสียกลางคันได้ แล้วสาเหตุที่ทำไมเขาถึงไม่ใช้มันมองจากมุมสูงก็คือ…ถ้าแค่มีคู่มือละก็ -- -- ด้วยความรู้สึกขมขื่นโมมอนกะก็ตั้งหน้าทำงานอันแสนน่าเบื่อนี้ต่อไปกับกระจกตรงหน้า

 และแล้วเวลาก็ผ่านล่วงเลยไป
มันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาไม่นานแต่หากไม่ได้ผลลัพธ์อะไรก็ถือว่าเสียเวลาเปล่า

ด้วยท่าท่างที่ไม่หวังอะไร โมมอนกะก็ลองขยับมือท่าท่างต่างๆ และทันใดนั้นภาพในกระจกก็ขยายใหญ่ขึ้น
“โอ๊!”

ความรู้สึกประหลาดใจ ดีใจ ภูมิใจ ทั้งหมดที่ประดังเข้ามาทำให้โมมอนกะร้องอุทานขึ้น หลังจากลองทำท่ามือต่างๆหลายๆแบบในที่สุดภาพก็เปลี่ยนไปตามความต้องการของเขา โมมอนกะรู้สึกเริงร่าเหมือนเหล่าโปรแกรมเมอร์ที่เสร็จสิ้นจากงานล่วงเวลาที่ยาวนานแปดชั่วโมงติดต่อกัน

และราวตอบรับกับอาการดีใจของเขาเสียงปรบมือก็ดังขึ้นให้ได้ยิน แน่นอนว่าเสียงนั้นย่อมมาจากเซาบาสเตียน
“ยินดีด้วยท่านโมมอนกะ นี่นับว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้เลยขอรับ”

หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายรอบในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ออกมา อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดต้องชมเชยกันขนาดนั้น โมมอนกะคิดเช่นนั้น แต่หลังจากเห็นอาการดีใจของเซบาสเตียน เขาก็พร้อมรับการสรรเสริญอย่างเต็มใจ
“ขอบใจมากเซบาสเตียน แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนให้เจ้ามาอยู่กับข้าเสียนาน”

“พูดอะไรกันขอรับ การที่ได้อยู่เคียงข้างคอย และปฏิบัติตามคำสั่งของท่านโมมอนกะ นี่คือเหตุผลที่พ่อบ้านอย่างกระผมมีตัวตนอยู่ เพราะอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย…จะว่าไปท่านก็ทำงานมานานมากแล้ว ไม่ทราบว่าท่านโมมอนกะต้องการพักสักครู่ไหมขอรับ?”

“ไม่ละ ไม่จำเป็น สำหรับอันเดดอย่างข้าไม่มีความรู้สึกเหนื่อยล้าหรอก แต่หากว่าเจ้าเหนื่อยจะไปพักก่อนก็ได้นะ”

“ขอบคุณหรับความหวังดีท่าน แต่มีข้ารับใช้ที่ไหนกันที่ไปพักขณะที่นายเหนือยังทำงานอย่างหนักอยู่ ด้วยไอเทมบางอย่าง กระผมก็ไม่รู้สึกว่าร่างกายจะเหนื่อยล้าเลย โปรดอนุญาตให้กระผมได้อยู่เคียงข้างท่านจนกว่าจะเสร็จเรื่องเถอะขอรับ”

จากบทสนทนาโมมอนกะสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือทุกคนใช้คำศัพท์ที่อยู่ในขอบเขตของเกมกัน อย่างเช่น ทักษะพิเศษ, คลาส, ไอเทม, ค่าสถานะ, ดาเมจ, ผลทักษะด้านลบ และอื่นๆ เขาคิดอย่างด้วยสีหน้าจริงจังเรื่องที่ทุกคนพูดกันโดยใช้ศัพท์แบบเกม หากเป็นอย่างนี้ต่อไปก็คงง่ายในการให้คำแนะนำต่างๆ

หลังจากที่โมมอนกะตอบรับคำขอของเซบาสเตียนแล้ว เขาก็กลับมาทดลอดวิธีการควบคุมกระจกต่ออีกครั้ง ในที่สุดเขาก็รู้วิธีปรับมุมมองความสูงเสียงที

โมมอนกะเผยรอยยิ้มอันแสนพึงพอใจ แล้วเริ่มการค้นหาสถานที่ซึ่งน่าจะมีผู้คนอาศัยอยู่
และในที่สุดภาพของหมู่บ้านก็ปรากฎที่ตรงหน้า

หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ห่างจากมหาสุสานแห่งนาซาริกราวสิบกิโลเมตร ตัวหมู่บ้านมีลักษณะแบบชนบทรายล้อมด้วยทุ่งสาลี และมีป่าอยู่ใกล้ๆ เมื่อแรกเห็นก็รับรู้ได้ทันทีว่าหมู่บ้านแห่งนี้ยังล้าหลังอยู่มาก

โมมอนกะขยายภาพไปที่หมู่บ้าน และเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติ

“…คนในหมู่บ้านเตรียมงานเทศกาลกันงั้นเหรอ?”
นี่มันยังเช้าอยู่ แต่ภาพที่ผู้คนวิ่งเข้าออกบ้านทำให้ดูสับสนอลหว่านไม่เข้ากับบรรยากาศยามเช้าเลย

“ไม่ขอรับ ไม่ใช่งานเทศการหรอก”
เซบาสเตียนเดินมาด้านข้าง แล้วจ้องไปที่กระจกด้วยสายตาอันแหลมคม พร้อมตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
น้ำเสียงที่มั่นใจของเซบาสเตียนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขยะแขยง และหลังจากที่ขยายภาพแล้ว โมมอนก็ทำสีหน้าถมึงทึงไปด้วย

อัศวินในชุดเกราะเต็มยศกำลังถือดาบไล่ฟันชาวบ้านที่มีเพียงอาภรณ์ติดตัวเท่านั้น

นี่มันการสังหารหมู่ชัดๆ

ทุกการฟาดฟันจะมีชาวบ้านที่ล้มลง ดูเหมือนชาวบ้านจะไม่มีการขัดขืนอะไรได้เลย พวกเขาทำได้แค่หาทางหลบหนีเอาตัวรอดเท่านั้น และอัศวินก็ยังคงไล่ฆ่าฟันชาวบ้านที่หลบหนีต่อไป เมื่อมองไปยังส่วนของท้องทุ่งจะเห็นม้าที่กำลังเล็มข้าวสาลีอยู่ บางทีพวกมันอาจเป็นของเหล่าอัศวินที่ใช้เป็นพาหนะก็เป็นได้

“ชิ!”

โมมอนกะส่งเสียงดังออกมา และต้องการเปลี่ยนภาพที่เห็นในทันที หมู่บ้านนี้ไม่มีค่าทางยุธศาสตร์ที่ต้องใส่ใจอะไรเลย
เขาอาจหาทางช่วยเหลือชาวบ้านหากว่าเขาจะได้รับอะไรที่มีประโยชน์สำหรับเขาบ้าง แต่เมื่อดูจากรูปการณ์แล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้เลย

ถูกแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยพวกชาวบ้านสักหน่อย

หลังจากการตัดสินใจอันเลือดเย็นนี้ โมมอนกะก็เริ่มสงสัยความคิดของตัวเขาเอง ตอนนี้ภาพการสังหารหมู่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเขา แต่ทำไมที่เขาคิดถึงมีแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะดีที่สุดสำหรับนาซาริก หรือบางตอนนี้จิตใจของเขาได้สูญสิ้นความรู้สึกสงสาร โกรธ วิตกกังวล ที่มนุษย์ควรมีไปเสียแล้ว
นี่มันเหมือนกับตอนเปิดโทรทัศน์ดูสารคดีที่สัตว์ และแมลงต่างไล่ล่าซึ่งกันและกัน
เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากที่เขากลายเป็นอันเดด เขาก็สูญสิ้นความเป็นคนไปด้วย?

ไม่จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกัน

โมมอนกะพยายามหาข้อแก้ตัวอย่างสุดความสามารถเพื่อใช้อ้างการตัดสินใจของเขา
อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่ผู้ผดุงความยุติธรรมเสียด้วย

ถึงแม้เขาจะมีเลเวล 100 แต่ก็อย่างที่เขาเคยบอกกับมาเร่เมื่อครั้งก่อน ที่โลกนี้บางทีคนธรรมดาทั่วไปอาจมีเลเวล 100 ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะผลีผลามในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้  บางทีพวกอัศวินอาจมีความจำเป็นในการตัดสินใจทำเช่นนี้ อาจจะเป็นจากโรคติดต่อ การทำความผิด หรือเพื่อประกาศศักดา ซึ่งหลากหลายสาเหตุได้ประดังเข้ามาในหัวของโมมอนกะ นอกจากนี้หากเขาจัดการอัศวินพวกนี้อาจทำให้ประเทศหนึ่งมองว่าเขาเป็นศัตรูเลยก็ได้

โมมอนกะยืดแขนที่เป็นกระดูกออกมาแล้วเกาที่กะโหลกศีรษะ หลังจากที่กลายมาเป็นอันเดดแล้วเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบที่เกี่ยวกับจิตใจเลย หรือว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับภาพที่เห็น? คำตอบคือไม่

เมื่อโบกมืออีกครั้ง ภาพในกระจกก็เปลี่ยนไปยังส่วนชายขอบของหมู่บ้าน
สิ่งที่ปรากฎคือภาพของอัศวินสองคนที่กำลังจบชีวิตชาวบ้านที่ยังขัดขืนอยู่ ตัวชาวบ้านนั้นถูกมัดมือทั้งสองข้างทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ในสายตาของเขาเห็นชาวบ้านถูกฟันผ่าร่าง โดยตัวดาบได้พาดผ่านจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่งของร่างกาย นี่เป็นการฟันที่ถึงชีวิตได้เลย แต่ไม่หยุดอยู่แค่นั้น หนึ่ง สอง สาม เหมือนกับว่าต้องการระบายความโกรธทั้งหมดลงไป พวกเขายังคงกระหน่ำฟาดฟันไปยังร่างของชาวบ้าน

จนท้านที่สุดอัศวินก็ถีบร่างชาวบ้านที่มีเลือดท่วมตัวล้มลง
ชาวบ้านคนนั้นผสานสายตามายังโมมอนกะ ซึ่งบางทีอาจเป็นแค่ภาพหลอนที่เขาคิดไปเอง
ซึ่งต้องเป็นความบังเอิญอย่างแน่นอน
โดยที่ไม่มีเวทย์ต่อต้านการค้นหา เป็นไปไม่ได้ที่จะรับรู้ถึงการฉายภาพของกระจก
เลือดได้ไหลรินออกจากปากของชาวบ้าน และราวกับว่าเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดออกมา ดวงตาของเขานั้นพล่ามัวจนไม่รู้ว่าตัวเองมองไปยังทิศทางใด เป็นที่แน่ชัดว่าเขากำลังจะตาย แต่ว่าเขาก็ยังเปิดปาก และกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง:
“ได้โปรด ช่วยลูกสาวของฉันด้วย”

“ไม่ทราบว่าท่านมีแผนการอย่างไร?”
เซบาสเตียนที่ดูจะรับรู้ถึงบรรยายกาศเอ่ยถามอย่างสงบ
โมมอนกะเอ่ยตอบอย่างใจเย็น แน่นอนว่าคำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว:
“ไม่ต้อง ไม่มีความจำเป็น ความสำคัญ หรือประโยชน์อะไรที่จะไปช่วยพวกเขา”

“— รับทราบขอรับ”

โมมอนกะมองไปยังเซบาสเตียนอย่างเยือกเย็น ใกล้กันนั้นเขาเห็นเงาร่างของเพื่อนร่วมกิลล์
“นี่…คุณTouch Me…”
ชั่วขณะนั้นเขาก็นึกได้ถึงประโยคหนึ่ง
‘หากว่าหนทางมันยากลำบาก ก็เป๊นธรรมดาที่เราต้องยื่นมือไปช่วย’

เมื่อตอนแรกที่โมมอนกะเล่นอิกดราซิล ช่วงนั้นการล่าเผ่ากึ่งมนุษย์ และเฮเทโรมอร์ฟิกกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และในฐานะที่โมมอนกะเป็นอันเดดเขาก็ถูกล่าด้วยเช่นกัน และในช่วงเวลาที่เขากำลังจะเลิกเล่นอิกดราซิลก็มีผู้ยื่นมือมาช่วยเหลือ

หากไม่ใช่เพราะคำพูดประโยคนี้ ตอนนี้โมมอนกะคงไม่ได้มาอยู่ที่แห่งนี้
โมมอนกะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา จากนั้นก็แทนที่ด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่นึกได้ถึงเรื่องราวหนหลัง เขาก็ต้องไปช่วยชาวบ้านพวกนั้นเสียแล้ว

“ในฐานะลูกผู้ชายต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ…เอาเอาเถอะ ไม่ช้าก็เร็วยังก็ต้องไปพิสูจน์ความสามารถของเราในโลกนี้อยู่แล้ว”

หลังจากโมมอนกะเสร็จสิ้นการพูดคุยกับสหายที่ไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้แล้ว เขาก็ขยายมุมมองของหมู่บ้านจนภาพเห็นได้อย่างชัดเจนมากที่สุด ซึ่งจุดประสงค์ก็คือเพื่อหาผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่

“เซบาสเตียนเพิ่มระดับการเตือนภัยของนาซาริกไประดับสูงสุด ข้าจะไปก่อน แจ้งให้อัลเบโดใส่ชุดเกราะให้พร้อมแล้วตามข้ามา แต่ไม่ต้องเอาเฮลส์อบิสมาด้วย แล้วก็เตรียมกำลังเสริมให้พร้อม เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงซึ่งอาจทำให้ข้าไม่อาจหลบหนีออกมาได้ อย่าลืมจัดหาพวกที่มีความสามารถพรางตัวมาด้วยหากว่าต้องจัดการกับศัตรูในหมู่บ้าน”

“เยส มายลอร์ด แต่หน้าที่คุ้มกันท่านโมมอนกะเป็นหน้าที่โดยตรงของกระผมอยู่แล้ว”

“ใครสั่งเจ้าแบบนั้นกัน…พวกอัศวินน่ะกำลังเผาหมู่บ้านอยู่ ซึ่งหมายความว่าพวกมันอาจมีจำนวนมากพอที่จะมาบุกเข้ามาใกล้นาซาริกแห่งนี้ ดังนั้นเจ้าต้องอยู่ที่นี่”

จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปอีก และภาพของเด็กสาวที่ส่งกำปั้นไปยังอัศวินก็ปรากฎสู่สายตาของเขา เด็กสาวนั้นกอดร่างของเด็กหญิงอีกคนเอาไว้ซึ่งน่าจะเป็นน้องสาวของเธอ และตอนนี้พวกเธอกำลังพยายามจะวิ่งหนี ทันใดนั้นโมมอนกะก็รีบเปิดกล่องไอเทม และหยิบไม้เท้าแห่ง Ainz Ooal Gown ออกมา


ขณะนี้เด็กสาวพยายามวิ่งนั้นเธอก็ถูกฟันเข้าที่กลางหลัง ในเวลาสำคัญเช่นนี้โมมอนกะจึงได้กล่าวคำที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงอยู่

“[พอร์ทัล]”

ไม่มีทั้งข้อจำกัดของระยะทาง อีกทั้งอัตราล้มเหลวในการเดินทางก็เป็น 0 %
ระหว่างที่โมมอนกะยังเล่นอิกดราซิลอยู่ นี่เป็นเวทย์เทเลพอร์ทที่มีความเที่ยงตรงมากที่สุด
และแล้วภาพตรงหน้าเขาก็เปลี่ยนไป

เมื่อมองไปยังเวทย์เทเลพอร์ทที่ไม่มีอะไรขวางอยู่ตรงหน้า โมมอนกะก็สูดหายใจเพื่อผ่อนคลาย หากว่าเขาถูกจับแทนที่จะได้ไปช่วยละก็คงเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดเป็นแน่

ภาพตรงหน้ายังคงเป็นเหมือนก่อนหน้า
ในสายตาของเขาเห็นภาพเด็กสาวสองคนที่กำลังสั่นกลัว
เมื่อมองไปยังตัวน้องสาว เขาก็เห็นผมสีน้ำตาลแก่ที่ถูกมัดเป็นเปีย ผิวที่แม้จะตากแดดตากลมแต่ก็ยังแสดงถึงสุขภาพที่แข็งแรงตอนนี้ซีดไปหมดด้วยความหวาดกลัว ดวงตาสีดำของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

ตัวน้องสาวได้ซุกหน้าไปยังที่เอวของพี่สาว และสั่นอย่างหวาดกลัว ด้วยสายตาที่เย็นชาโมมอนกะจ้องไปยังอัศวินที่อยู่เบื้องหน้าเด็กสาวทั้งสอง

ไม่รู้เป็นว่าเพราะโมมอนกะปรากฎตัวออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้อัศวินได้หันหน้าเข้าหาตัวของเขาโดยลืมนึกถึงดาบที่กวัดแกว่งอยู่ในมือ

ตั้งแต่เล็กแล้วที่โมมอนกะเป็นพวกต่อต้านความรุนแรง เมื่อลองนึกดูโลกที่เขาอยู่ตอนนี้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่โลกเสมือนอย่างแน่นอน แต่ว่ามันเป็นโลกจริงอีกโลกหนึ่ง ถึงอย่างนั้นเมื่อมองไปยังดวงตาของอัศวินที่กวัดแกว่งดาบตรงหน้า เขาก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

เพราะเหตุนี้ทำให้เขาสามารถตัดสินใจได้อย่างเยือกเย็น
โมอนกะยืดแขนออก และเริ่มร่ายเวทย์:
“[กราพส์ฮาร์ท]”

เวทย์นี้จะไปจู่โจมที่หัวใจของศัตรูโดยจากเวทย์ทั้งสิบระดับ เวทย์บทนี้จะถูกจัดอยู่ที่ระดับเก้าในหมวดเวทย์สายเนโครเมนซี่ และในเวทย์สายเนโครเมนซี่ที่โมมอนกะมีนั้นส่วนใหญ่จะมีโอกาสจะทำให้ศัตรูตายได้ทันที ซึ่งเวทย์บทนี้ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

สาเหตุที่เขาเลือกเวทย์บทนี้เพราะแม้ศัตรูจะหาทางต่อต้านคาถา มันก็ยังทำให้เกิดสถานะพร่ามัวเป็นผลข้างเคียง

หากว่าเกิดการต่อต้านเขาก็ตั้งใจจะพาทั้งสองสาวโดดเข้าไปยัง [พอร์ทัล] ที่เปิดอยู่ ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดของฝ่ายตรงข้าม เป็นการดีที่จะมีแผนง่ายๆในการรุกต่อ หรือถอยหนีเตรียมไว้

แต่จากที่เห็นเขาไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามแผนที่วางไว้
ด้วยความรู้สึกที่เหมือนขยี้ของที่อ่อนนุ่ม อัศวินก็เริ่มอ่อนแรง และเงียบเสียงลง

โมมอนกะมองไปยังอัศวินที่กองลงกับพื้นด้วยสายตาอันเย็นชา
ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดไว้ในใจนั้นถูกต้อง…แม้หลังจากเพิ่งฆ่าคนไปเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

เขาไม่รู้สึกผิด หวาดกลัว หรือสับสนเลย มันช่างเป็นความรู้สึกที่สงบเหมือนผิวของทะเลสาบ แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้?
“ดูเหมือน…ไม่ใช่เฉพาะร่างกายแต่จิตใจของผมก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว…”

โมมอนกะก้าวไปยังเบื้องหน้า
เมื่อเขาก้าวผ่านเด็กสาวทั้งสองก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า เป็นเพราะความหวาดกลัวกับการตายของอัศวินหรืออย่างไร ทำให้เด็กสาวผู้น้องส่งเสียงร้องออกมา

โมมอนกะนั้นตั้งใจที่จะมาช่วยพวกเธอ แต่ว่าท่าทางที่ไม่ปกติซึ่งเขาได้รับจากเด็กสาวนั้น ทำให้เขาไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเธอคิดอย่างไรกัน?

แม้จะยังสงสัย แต่โมมอนกะก็ไม่มีเวลามากนัก หลังจากเห็นว่าเด็กสาวยังคงมีเลือดไหลออกจากบาดแผลที่กลางหลัง โมมอนกะก็ได้มายืนที่เบื้องหน้าของเด็กสาวทั้งสองและจ้องไปยังอัศวินอีกคนที่กำลังออกมาจากบ้านที่อยู่ใกล้ๆ

อัศวินเมื่อเห็นโมมอนกะก็ต้องก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัว

“…แกกล้าที่จะไล่ตามเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ไม่กล้าที่จะสู้กับศัตรูตรงหน้าแกอย่างนั้นเหรอ?”

โมมอนกะเผชิญหน้ากับอัศวินที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่น พร้อมกับที่เลือกเวทย์ที่เขาจะใช้ต่อไป
ก่อนหน้านี้โมมอนกะใช้เวทย์ระดับสูงอย่าง [กราพส์ฮาร์ท] ซึ่งเป็นเวทย์กลุ่มที่เขามีความชำนาญเป็นอย่างดี เนื่องจากโมมอนกะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทย์แห่งความตาย และเพราะว่าเขาเป็นอันเดดคลาสโอเวอร์ลอร์ดทำให้ผลของเวทย์ [กราพส์ฮาร์ท] ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ทำให้เขาไม่สามารถวัดความสามารถที่แท้จริงของพวกอัศวินได้

ดังนั้นเพื่อให้เขามีโอกาสลองทักษะอื่นๆ เขาต้องไม้ทำให้อัศวินนั้นตายในทันที ด้วยวิธีนี้จะสามารถประเมินความแข็งแกร่งของคนในโลกนี้ และยังเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของตัวเขาไปด้วย

“ในเมื่อข้าเสียเวลามาแล้ว ก็คงต้องหาตัวอย่างทดลองสักหน่อย และเจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองนี้”

แม้ว่าเวทย์สายเนโครแมนซี่ของโมมอนกะจะทรงอานุภาพมาก แต่ในส่วนของเวทย์ทั่วๆไปของเขาไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนัก มันก็เหมือนกับที่พวกเกราะโลหะที่แพ้ทางการโจมตีแบบช๊อกดังนั้นแล้วในช่วงที่เขายังอยู่ในอิกดราซิลคนส่วนใหญ่มักจะเพิ่มความต้านทานการช๊อกให้กับชุดเกราะที่เขาสวมใส่ ก็ด้วยเหตุนี้โมมอนกะจึงคิดจะลองใช้เวทย์สายช๊อกกับอัศวินเพื่อคำนวนดาเมจที่จะเกิดขึ้น

และในการที่จะไม่ให้ศัตรูนั้นตายในทันทีเขาจึงไม่ได้มีการร่ายอะไรเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมนตร์นี้

“[ไลท์ติ้งดราก้อน]”


สายฟ้าสีขาวที่มีรูปร่างเหมือนมังกรอันดุร้ายได้พุ่งออกมาจากแขนของโมมอนกะ แสงกระพริบของสายฟ้าสีขาวทำให้การมองเห็นพร่ามัว พร้อมกับที่มันได้ทะยานตัวไปยังอัศวินที่โมมอนกะเล็งเป้าไว้

ไร้ซึ่งหนทางหนี หรือ ป้องกันตัว

สายฟ้ารูปร่างมังกรได้โถมเข้าใส่ร่างของอัศวิน เกิดเป็นแสงสีขาวตระการตาอย่างงดงาม ในห้วงเวลาตัดสินนี้

และแล้วแสงสีขาวที่แวววับก็ได้จางหายไป หลงเหลือเพียงร่างของอัศวินเหมือนตุ๊กตาที่ชำรุด ร่างภายใต้ชุดเกราะนั้นไหม้เกรียมส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมา

อันที่จริงเขาแค่ต้องการให้มันไล่ตามจับตัวอัศวินเอาไว้เท่านั้น แต่ผลที่ได้ทำให้โมมอนกะต้องตะลึกในความอ่อนแอที่ได้รับรู้

“อ่อนหัด… อ่อนหัดจนตายง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ…”

สำหรับโมมอนกะเวทย์ระดับห้าอย่าง [ไลท์ติ้งดราก้อน] นั้นถือว่าเบามาก ในการต่อสู้กับผู้เล่นเลเวล 100 โมมอนกะจะใช้เพียงเวทย์ระดับแปดขึ้นไปเท่านั้น และสำหรับเวทย์ระดับห้านี้เขาไม่เคยได้มีโอกาสใช้เลย

หลังจากรู้ว่าอัศวินนั้นอ่อนแอขนาดสามารถจัดการได้โดยใช้เพียงคาถาระดับห้าเท่านั้น ความตึงเครียดของโมมอนกะก็เหมือนจะหายไปในพริบตา แม้จะมีความเป็นไปได้ที่อัศวินที่ตายไปทั้งสองเป็นพวกกลุ่มที่ไม่ได้เรื่องแต่เขาก็ยังรู้สึกผ่อนคลายอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นแผนการที่จะเทลพอร์ทเพื่อหลบหนีก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

บางทีพวกอัศวินอาจมีความชำนาญในการต่อสู้ระยะประชิดก็เป็นได้ ในอิกดราซิลการโดนโจมตีไปยังบริเวณคอจะทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้นอย่างมาก แต่ในโลกจริงนี้ไม่ใช่แค่นั้นแต่อาจถึงตายได้เลย

และนั่นทำให้โมมอนกะตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง การตายเพราะไม่ระวังตัวเป็นอะไรที่โง่มาก ตอนนี้เขาควรจะทำการทดสอบความแข็งแกร่งของเขาต่อไปได้แล้ว

โมมอนกะทำการใช้งานทักษะพิเศษของเขา
[ปลุกชีพเดธไนท์]

นี่คือหนึ่งในทักษะพิเศษของโมมอนกะการสร้างอันเดดมอนสเตอร์ โดยเดธไนท์เป็นหนึ่งในพวกที่โมมอนกะชอบใช้มากที่สุดจากการที่มันมีประโยชน์อย่างมากในฐานะโล่ห์ป้องกันตัว

ด้วยเลเวลประมาณ 35 ความแข็งแกร่งของมันพอๆกับมอนสเตอร์เลเวล 25 แต่ด้านพลังป้องกันนั้นถือว่าดีมากโดยเทียบกับมอนสเตอร์เลเวล 40 ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับโมมอนกะ

อีกอย่างเดธไนท์มีทักษะพิเศษที่เป็นจุดเด่นอยู่สองทักษะด้วยกัน
ทักษะแรกคือการดึงดูดให้ศัตรูเข้ามาจู่โจมที่ตัวมัน อีกทักษะซึ่งสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็คือการที่มันจะไม่ถูกกำจัดจากการโจมตีถึงตายได้หากว่ายังมีจำนวน HP เหลือตามที่กำหนด และด้วยทักษะทั้งสองนี้ทำให้โมมอนกะชื่นชอบที่จะใช้เดธไนท์เป็นโล่ห์ป้องกันตัวนั่นเอง

และก็เป็นอีกครั้งที่เขาเรียกมันมาเพื่อเป็นโล่ห์ของเขา
เมื่อครั้งยังเป็นอิกคราซิลหลังจากใช้งานทักษพิเศษในการเรียกอันเดด พวกมันจะโผล่ออกมาเองรอบๆตัวของผู้เรียกใช้ แต่สำหรับในโลกนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป

ควันสีดำที่ไม่ทราบที่มาได้ปรากฎขึ้นแล้วลอยไปปกคลุมร่างของอัศวินที่ถูกเพิ่งถูกบดขยี้หัวใจไป
ควันนั้นค่อยๆขยายตัวขึ้น และแทรกเข้าไปในร่างของอัศวิน จากนั้นอัศวินก็ค่อยๆลุกขึ้นช้าๆเหมือนกับซอมบี้

“อี๊ออออออ!”
ตอนนี้โมมอนกะไม่ได้สังเกตถึงอาการหวาดผวาของเด็กสาวเลยเพราะภาพที่ดึงดูดสายตาที่เบื้องหน้า

พร้อมกับเสียงที่เหมือนบ่นพึมพำของเหลวสีดำก็ไหลออกจากหมวกเหล็ก ซึ่งน่าจะออกมาจากปากของอัศวิน

เจ้าของเหลวสีดำนี้ดูเหมือนจะไหลออกมาไม่มีวันหยุดได้ปกปกคลุมทั่วร่างของอัศวิน จนดูเหมือนกับสไลม์ที่กำลังกลืนร่างของมนุษย์ จากนั้นมันก็เริ่มหดตัวเป็นรูปร่างแบบมนุษย์

เมื่อเวลาผ่านไปสักพักของเหลวสีดำก็ค่อยๆหายไป และที่ยืนอยู่ในสายตาของเขาก็คือร่างของเดธไนท์

ร่างที่สูงราว 230 เซนติเมตร ร่างนั้นสูงใหญ่ และดูไม่เหมือนกับมนุษย์เลย หากจะว่าไปมันดูเหมือนสัตว์อสูรจะเหมาะกว่า

ที่มือซ้ายนั้นถือโล่ห์ยาวที่ปกปิดสามในสี่ส่วนของร่างกาย และที่มือข้างขวาถือดาบใบเลื่อย (corrugated sword) ซึ่งมีความยาวเกือบร้อยสามสิบเซนติเมตร หากเป็นคนทั่วไปแล้วต้องใช้ทั้งสองแขนในการยกมันขึ้นมา แต่สำหรับเดธไนท์การยกมันขึ้นด้วยมือข้างเดียวนับว่าง่ายดายอย่างยิ่ง ตัวดาบนั้นแผ่คลื่นสีแดง และมีหมอกสีดำปกคลุมขับเน้นความน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้พบเห็นใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความปั่นป่วน

ร่างอันใหญ่โตนี้ถูกสวมทับด้วยชุดเกราะที่ทำจากโลหะสีดำ และมีลวดลายสีแดงโลหิตสลักอยู่ ตัวเกราะนั้นมีหนามแหลมทั่วไปหมด ทำให้ดูเหมือนเป็นร่างอวตารแห่งความดุร้าย
ที่หมวกเหล็กนั้นถูกออกแบบให้มีเขาปีศาจงอกออกมา ใบหน้าภายใต้หมวกเหล็กซึ่งถูกเปิดให้เห็นนั้นดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าที่เน่าเปื่อย และเบ้าตาที่กลวงนั้นถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกเกลียดชัง และการฆ่าฟัน พร้อมกับเปล่งประกายแสงสีแดงออกมา

ร่างนั้นกำลังรอคำสั่งจากโมมอนกะ พร้อมกับภาพผ้าคลุมที่ขาดรุ่งริ่งซึ่งโบกสะบัดตามแรงลม ก่อให้เกิดรังสีออร่าที่คู่ควรกับนามเดธไนท์

เช่นเดียวกับการอัญเชิญไพรมัลไฟร์เอเลเมนทัล หรือ มูนไลท์วูล์ฟ โมมอนกะรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงกับสิ่งที่เขาเรียกออกมาซึ่งก็คือร่างของอัศวินที่ตายด้วย [ไลท์ติ้งดราก้อน] จากนั้นเขาก็ได้ออกคำสั่ง:
“พวกอัศวินที่กำลังบุกรุกหมู่บ้าน---เก็บกวาดพวกมันให้หมด”
(ตรงนี้ไม่ ENG มันอย่างนี้จริงๆ แอบงงว่าตกลงมันใช้ร่างไหนกันแน่ใครดำน้ำยุ่นช่วยคอนเฟิรม์ที)

“โอ๊อออออออออวววววววววววววววววว”
เมื่อได้รับคำสั่งมันก็ได้คำรามเสียงดังสนั่นออกมา
เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดนี้ทำให้ผู้ได้ฟังต้องขนลุก แม้กระทั่งอากาศโดยรอบยังเหมือนสั่นสะเทือนไปด้วย
เดธไนท์ได้วิ่งตรงไปอย่างไม่ลังเล ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า เช่นเดียวกับบลัดฮาวน์ที่พบเหยื่อ การเป็นอันเดดที่เกลียดชังเหล่าผู้มีชีวิตทำให้เดธไนท์ต้องการกวาดล้างศัตรูทั้งหมดให้หายไป

โมอนกะที่มองแผ่นหลังของเดธไนท์ที่จากไปรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างตอนนี้กับที่อิกดราซิล

นั่นก็คือ [อิสระในการไปไหนมาไหน]

โดยปกติแล้วเดธไนท์ต้องอยู่เตรียมพร้อมใกล้กับผู้ที่เรียกอย่างโมมอนกะ และรอจังหวะในการจัดการกับศัตรูที่เข้ามาหา พวกมันไม่อาจรับคำสั่ง และจะต่อสู้ได้เองเช่นตอนนี้ ความแตกต่างนี้เกิดขึ้นจากการขาดข้อมูลที่เพียงพอ นั่นอาจก่อให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายตามมาได้

โมมอนกะรู้สึกตัวเองสะเพร่าออย่างมาก จนเขาต้องเกาหัว และถอนหายใจออกมา
“ไปแล้วสินะ…ถึงผมจะเป็นคนสั่งก็เถอะ แต่การทิ้งโล่ห์ตัวเองไปแบบนี้…”

โมนอกะตำหนิตัวเองกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ขณะนี้เขาสามารถเรียกเดธไนท์มาเพิ่มได้ แต่การที่เขายังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของศัตรู ทำให้เขาพยายามจำกัดการใช้เวทย์อยู่ นอกจากนี้เวทย์ส่วนใหญ่ของโมมอนกะนั้นเหมาะสำหรับการใช้เป็นกองหลังทำให้การที่ไม่มีอะไรมาปกป้องในตอนนี้เขาจึงรู้สึกเหมือนตัวเปล่าตรงหน้าอันตรายที่จะเกิดขึ้น

ดังนั้นแล้วเขาจำเป็นที่ต้องสร้างโล่ห์อันใหม่ และเพื่อเป็นการทดลองเขาจึงตัดสินใจจะหาทางสร้างมันขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้ซากศพ
และระหว่างที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ร่างอีกร่างก็ออกมาจาก [พอร์ทัล] ที่ยังเปิดอยู่ และในเวลาเดียวกันกับที่ร่างนั้นออกมา [พอร์ทัล] ก็ค่อบๆหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ในชุดเกราะเต็มตัวสีดำ
ตัวเกราะถูกออกให้มีรูปร่างเหมือนปีศาจ ซึ่งปกคลุมด้วยเดือยแหลมจนไม่เห็นร่างภายใน ที่มือสวมด้วยถุงมือโลหะที่มีลักษณะเป็นกรงเล็บยาว มือหนึ่งถือโล่ห์ทรงสี่เหลี่ยมรูปว่าว อีกมือหนึ่งถือขวานที่เปล่งประกายสีเขียวออกมา ด้านหลังสวมด้วยผ้าคลุมสีโลหิตที่พริ้วไหวไปกับกระแสลม ซึ่งทับเสื้อเชิ๊ตสตรีที่ใส่อยู่

“ดิฉันเสียเวลาเตรียมตัวนานไปหน่อย ต้องขออภัยที่ให้ท่านรอนาน”
เสียงอันไพเราะของอัลเบโดดังออกมาจากหน้ากากเหล็กที่ปิดบังใบหน้า
อัลเบโดนั้นถูกสร้างให้มีความชำนาญอย่างมากในทักษะด้านการป้องกันของดาร์คไนท์
หากจะว่าไปใน NPC ทั้งสามที่เลเวล 100 ของนาซาริก ได้แก่ เซบาสเตียน โคไคทัส และอัลเบโด เธอนั้นโดดเด่นที่สุดในเรื่องพลังป้องกัน
ซึ่งกล่าวได้ว่าเธอคือ โล่ห์ที่แข็งแกร่งที่สุดของนาซาริก

“ไม่เป็นไร แค่เจ้ามาก็ดีแล้ว”

“ขอบพระคุณในความกรุณา ถ้าอย่างนั้น…ไม่ทราบว่าท่านต้องการกำจัดพวกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนี้อย่างไรดีคะ? หากท่านโมมอนกะไม่ต้องการลดตัวไปจัดการด้วยตัวท่านเอง โปรดอนุญาตให้ดิฉันรับหน้าที่นี้ด้วยค่ะ”

“…เซบาสเตียนบอกอะไรกับเจ้าบ้างล่ะ?”

อัลเบโดไม่ตอบกลับแต่อย่างใด
“แปลว่าเจ้าไม่ได้ฟังเลยสินะ…เอาละข้าต้องการจะช่วยหมู่บ้านนี้ ศัตรูคือพวกอัศวินสวมเกราะที่กองอยู่ตรงนั้น”

เมื่อเห็นว่าอัลเบโดพยักหน้ารับทราบแล้ว โมมอนกะก็เลื่อนสายตาออกไป
“เอาละ…”

เด็กสาวทั้งสองต่างสั่นเทิ้ม และอยากจะหลบซ่อนตัวจากโมมอนกะที่จ้องมองมา ร่างที่สั่นเทาของทั้งสองไม่อาจทราบได้ว่ามาจากที่ได้เห็นเดธไนท์ หรือจากเสียงคำราม หรือจากที่ได้ยินอัลเบโดประกาศออกมา

บางทีอาจจะทั้งหมดที่ว่ามาก็เป็นได้

โมมอนกะเข้าใจว่าเขาต้องแสดงให้เห็นว่าเขานั้นเชื่อถือได้ จึงยื่นมือออกมาเพื่อจะช่วยรักษาให้ตัวพี่สาว แต่ดูท่าเด็กสาวจะเข้าใจเจตนาของเขาผิดไป

ตัวพี่สาวนั้นถึงกับฉี่ราดออกมา ขณะที่น้องสาวก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นกัน

“....”

กลิ่นแอมโมเนียคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้โมมอนกะรู้สึกอ่อนใจอย่างที่สุด แม้เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในตอนนี้ แต่การถามอัลเบโดก็ดูจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย โมมอนกะจึงตัดสินที่พูดอย่างอ่อนโยน:
“…ดูเหมือนเจ้าจะบาดเจ็บนะ”

ในการอยู่ร่วมกันในสังคม โมมอนกะชินแล้วกับการถูกคลางแคลงใจ

โมมอนกะแสร้งทำเป็นไม่มองไม่เห็น และเปิดกล่องไอเทมออกมา แม้มันจะถูกเรียกว่า เป้ความจุอนันต์ แต่มันก็ใส่ไอเทมได้สูงสุดที่ 500 กิโลกรัมเท่านั้น

เนื่องจากไอเทมในนี้สามารถใช้แผงควบคุมในการเรียกใช้แบบลัดได้ ทำให้ผู้เล่นในอิกดราซิลมักจะเอาไอเทมที่จำเป็นต้องใช้ใส่ไปในเป้นี้

หลังจากค้นไปในเป้ สุดท้ายเขาก็พบกับขวดไซรัปสีแดง

[ไมเนอร์ฮิลลิ่งโพชั่น]

เจ้ายาระดับต่ำขวดเล็กนี้สามารถฮิล HP ได้ 50 หน่วย ซึ่งจะใช้กันมากในช่วงเลเวลแรกๆในอิกดราซิล แต่สำหรับโมมอนกะในตอนนี้มันเป็นไอเทมที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะว่าเจ้าโพชั่นนี้จะให้ผลฮีลลิ่งซึ่งสำหรับอันเดดอย่างโมมอนกะแล้วมันก็เหมือนกับยาพิษนั่นเอง แต่เนื่องจากสมาชิกกิลล์นั้นไม่ใช่อันเดดทั้งหมดทำให้เขายังเก็บไอเทมนี้ไว้อยู่

“ดื่มซะ”

โมอนกะยื่นขวดไซรัปสีแดงออกไป ทำให้ตัวของพี่สาวถึงกับหน้าซีด:
“ฉัน ฉันจะดื่ม! แต่ได้โปรดปล่อยน้องสาวชั้นไปเถอะ -------”
“พี่!”

ตัวน้องสาวพยายามห้ามพี่สาวด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา พร้อมกับขอโทษพี่สาวที่ตอนนี้กำลังคว้าขวดโพชั่น เมื่อปฏิกิริยาระหว่างสองพี่น้อง โมมอนกะก็รู้สึกสับสน

ตั้งแต่แรกเขาตั้งใจจะช่วยทั้งสองอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งยังเอาโพชั่นมาให้ใช้อีก แต่ทำไมทั้งสองถึงแสดงความเป็นพี่น้องแบบละครน้ำเน่าออกมาต่อหน้าเขาแบบนี้ นี่มันเป็นบ้าอะไรกันเนี่ย

เริ่มจากตอนแรกที่ปฎิเสธทุกสิ่งจากที่กำลังรอความตายตรงหน้า แต่ตอนนี้เขาควรจะถูกมองเป็นผู้มีพระคุณสิ พวกเธอต้องร้องไห้ด้วยความยินดีเล้วเข้ามาขอบคุณในความกรุณาของเขาถึงจะถูก ไม่ใช่ว่าฉากแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆในมังงะ หรือ ภาพยนตร์งั้นเหรอ? แต่ทำไมสถาการณ์ตรงหน้าถึงได้ต่างออกไปขนาดนี้

นี่เขาทำอะไรผิดไป? หรือว่าเขาต้องมีหน้าตาที่ดูดีถึงจะได้อภิสิทธิ์แบบนั้นหรือ?

ความสงสัยได้บังเกิดขึ้นที่ใบหน้าที่ไร้กล้ามเนื้อของโมมอนกะ แต่แล้วเสียงอันนุ่มนวลก็ดังขึ้น:
“…ท่านโมมอนกะมีความเมตตาประทานยารักษาให้ แต่การที่พวกแกปฏิเสธที่จะรับความหวังดีนั้น…เจ้าพวกไร้ค่า…พวกแกต้องตายในความไร้มารยาทนี้”

อัลเบโดยกขวานขึ้น และเตรียมจะตัดหัวทั้งสอง
หลังจากที่ต้องเจอกับอันตรายเพื่อช่วยพวกเธอ แต่แล้วกลับได้รับการตอบสนองแบบนี้…โมมอนกะเข้าใจความรู้สึกของอัลเบโ แต่หากว่าเธอฆ่าเด็กทั้งสองนี้ไปก็จะเป็นการทำลายความตั้งใจที่จะช่วยพวกเธอในตอนแรกเสีย

“ดะ-เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งวู่วาม เราต้องจัดลำดับความสำคัญก่อน ลดอาวุธลงก่อน”

“… ค่ะ ท่านโมมอนกะ”
อัลเบโดตอบรับอย่างรักใคร่ ก่อนจะลดขวานลง

แต่ทว่าจากที่อัลเบโดปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ซึ่งมันรุนแรงพอที่จะทำให้เด็กสาวทั้งสองสั่นเทาด้วยความกลัว นี่นิ่งทำให้โมมอนกะรู้สึกมวนท้องขึ้นมา

ตอนนี้เขาควรจะรีบไปจากที่นี่
หากว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเลวร้ายเกิดขึ้นหรือไม่
อีกครั้งที่โมมอนกะยื่นยารักษาออกมา:
“นีคือยารักษาอาการของเจ้า ไม่มีอันตรายหรอก รีบดื่มซะสิ”

โมมอนกะกล่าวอย่างนุ่มนวล และน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันก็ตีความได้ว่าหากพวกเธอไม่รีบดื่มละก็ พวกเธอจะถูกฆ่าทันที

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฝ่ายพี่สาวก็รีบคว้าโพชั่นมาดื่มทันที หลังจากนั้นเธอก็แสดงอาการตื่นตระหนกออกมา:
“เป็นไปไม่ได้…”
ด้วยความที่ไม่น่าเป็นไปได้เธอบิดตัวเพื่อลองแตะที่หลัง จากนั้นก็ลองลูบสัมผัสที่แผ่นหลังของตัวเอง

“ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?”
“คะ-ค่ะ”
ฝั่งพี่สาวผงกหัวรับอย่างเหลือเชื่อ
เหมือนกับว่าแผลที่กลางหลังของเธอจะไม่สาหัสนัก แค่ใช้ยาระดับต่ำก็เพียงพอแล้ว
เมื่อเห็นว่าตัวเองได้รับการยอมรับแล้ว โมมอนกะอยากจะถามถามอะไรสักหน่อย ซึ่งคำถามนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเพิกเฉยได้ และมันอาจเป็นตัวกำหนดการดำเนินการต่อไปในอนาคตอีกด้วย

“เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับเวทย์มนตร์บ้างไหม?”
“คะ-ค่ะ บางทีก็มีนักปรุงยาแวะมาที่หมู่บ้านบ้าง…แล้วเพื่อนของพวกเราก็ใช้เวทย์มนตร์ได้ด้วย”

“…อย่างงั้นเหรอ ถ้างั้นก็ง่ายละนะ ข้าน่ะเป็นผู้ใช้เวทย์”

จากนั้นโมมอนกะก็เริ่มร่ายมนตร์:
[แอนติไลฟ์โคคูน]
[วอล ออฟ แอโรว์ โพรเทกชั่น]

โดนทีสองพี่น้องเป็นศูนย์กลาง แสงจากเวทย์ป้องกันที่สูงสามเมตรก็ปกคลุมทั้งสอง สำหรับเวทย์บททที่สองนั้นไม่อาจมองได้ด้วยตาเปล่า แต่จะรับรู้ได้ว่าอากาศโดยรอบทั้งสองนั้นเปลี่ยนไป อันที่จริงหากจะให้ปลอดภัยแล้วควรจะร่ายเวทย์บทแรกซ้ำไปอีกครั้ง แต่หากว่ามีนักเวทย์ในระดับที่สามารถทำลายการป้องกันนี้ไปได้ ก็นับว่าเด็กสาวทั้งสองดวงไม่ดีเอง

“ข้าร่ายเวทย์ป้องกันไว้รอบๆแล้ว มันจะช่วยป้องกันเจ้าจากมอนสเตอร์ และยังมีเวทย์ที่ลดความรุนแรงของการโจมตีระยะไกลไว้ด้วย ที่พวกเจ้าต้องทำคืออยู่ในนี้อย่าไปไหน แล้วพวกเจ้าจะปลอดภัยเอง เอาละไหนๆแล้วข้าจะมอบไอเทมนี้ให้พวกเจ้าแล้วกัน”

เด็กสาวทั้งสองยังคงตกตะลึงเกี่ยวกับคำอธิบายของเวทย์มนตร์อยู่ ทันใดนั้นโมมอนกะก็โยนฮอร์นที่ดูธรรมดามาให้สองอัน ฮอร์นทั้งสองไม่ได้ถูกหยุดโดยเวทย์มนตร์ และฝ่าวอล ออฟ แอโรว์ โพรเทกชั่น มาตกลงยังข้างตัวเด็กสาว

“ไอเทมนี้เรียกว่า ‘ฮอร์น ออฟ เดอะ กอบลิน เจเนอรัล’ พวกเจ้าแค่เป่ามัน แล้วมอนสเตอร์ขนาดเล็กอย่างกอบลินจะมาปรากฎตัวต่อหน้า พร้อมให้พวกเจ้าสั่งมันมาป้องกันตัวได้”

ในอิกดราซิลนอกจากไอเทมที่ใช้แล้วหายไป ยังมีไอเทมบางชิ้นที่สามารถใช้เปลี่ยนเป็นคริสตัลข้อมูลได้ ทำให้สามารถเพิ่มความสามารถลงในไอเทมชิ้นอื่น แต่ก็มีไอเทมบางชิ้นที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และฮอร์นนี้ก็เป็นหนึ่งในไอเทมระดับต่ำเหล่านั้น

ด้วยฮอร์นนี้ ทำให้โมมอนกะสามารถอัญเชิญกอบลินระดับต่ำได้สิบสองตน มือธนูกอบลินสองตน จอมเวทย์กอบลินหนึ่งตน นักบวชกอบลินหนึ่งตน กอบลินวูล์ฟไรเดอร์สองตน และหัวหน้ากอบลินหนึ่งตน
(คนแปล eng บอก raw กอบลินคาวาลี่อีก 2 แต่บอกว่าไม่น่าใช่ เลยรวมไปกับวูล์ฟไรเดอร์ ใครอ่านยุ่นข่วยเช็คด้วย)

แม้จะเรียกว่ากองทัพกอบลิน แต่ก็เป็นกองกำลังเล็กๆ และอ่อนแออย่างมาก

สำหรับโมมอนกะมันเป็นไอเทมขยะ และที่ยังไม่ทิ้งมันไปก็นับว่าแปลกแล้ว เมื่อสามารถหาทางใช้งานไอเทมนี้ได้ โมมอนกะรู้สึกว่าตัวเองหลักแหลมอย่างยิ่ง

ที่จริงไอเทมนี้ยังมีข้อดีอยู่คือเมื่ออัญเชิญกอบลินออกมาแล้ว พวกมันจะหายไปเมื่อตายเท่านั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ซึ่งอย่างน้อยก็นับว่ามีประโยขน์สำหรับการถ่วงเวลา

หลังเสร็จเรื่องราว โมมอนกะก็หันหลังกลับเตรียมจากไป พร้อมกับนึกหาตำแหน่งของหมู่บ้านโดยมีอัลเบโดเดินเคียงข้าง แต่เมื่อก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงสองเสียงดังขึ้นที่ด้านหลัง

“คือว่า-- -- ขะ-ขอบคุณมากที่ช่วยพวกเรา!”

“ขอบคุณจริงๆ!”

ประโยคทั้งสองทำให้โมมอนกะหยุด และหันกลับมามองที่เด็กสาวทั้งสองที่กล่าวขอบคุณทั้งที่น้ำตาเจิ่งนอง เห็นอย่างนี้แล้วเขาจึงกล่าวตอบสั้นๆว่า:
“…ไม่เป็นไร”
“ถะ-ถึงจะดูหนูเห็นแก่ตัว แต่ว่าเราได้แต่ขอร้องคนอย่างท่าน ได้โปรด ได้โปรดเถอะ! ช่วยพ่อแม่ของพวกเราด้วย!”

“เข้าใจแล้ว ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะช่วยเอง”

เมื่อได้รับคำตอบจากโมมอนกะ ตัวของพี่สาวก็เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นเธอรู้สึกตัว และรีบโค้งขอบคุณ:
“ขะ-ขอบคุณมาก! ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ! แล้วหนูจะขอถามอะไรหน่อยได้ไหม…” เด็กสาวมีท่าทางลังเลที่จะถาม: “ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรเหรอคะ…?”

โมมอนกะเกือบจะบอกชื่อของเขาออกมาแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้บอกออกมา

นามโมมอนกะนั้นเป็นชื่อของกิลล์มาสเตอร์แห่งกิลล์ Ainz Ooal Gown ที่ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แล้วตอนนี้เขาจะเรียกตัวเองว่าอะไรดีละ? นามของผู้หลงเหลือที่ยังคงอยู่ในมหาสุสานแห่งนาซาริก…

อาห์ นั่นแหละ

“…จำชื่อของข้าเอาไว้ให้ดี ชื่อของข้าคือ Ainz Ooal Gown”

Part 4

“โอ๊อออออออออวววววววววววววววววว”
เสียงคำรามที่สั่นสะเทือนไปทั่ว
สัญญาณในการสังหารหมู่ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง
และครั้งนี้ผู้ล่าจะกลายมาเป็นถูกล่าเสียเอง

ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ลอนเดส ดี เจลานโพ สาปแช่งความศรัทธาของตนต่อพระเจ้าไปมากเท่าใด แต่ไม่เลยสักครั้งที่เขาจะสาปแช่งมากเท่าในช่วงไม่กี่นาทีที่เหลือนี้
หากพระเจ้ามีอยู่จริงละก็ ทำไมถึงไม่ลงมาจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ด้วย ทำไมท่านถึงได้ไม่ทำอะไรเลย ในเมื่อลอนเดสเป็นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้า?

นั่นก็เพราะไม่มีพระเจ้าอยู่จริงยังไงละ

หลายปีที่ผ่านมาเขามักจะดูถูกพวกคนเขลาที่ไม่เชื่อในพระองค์ หากว่าไม่เชื่อในพระองค์แล้ว ทำเวทย์ของนักบวชถึงสามารถใช้กันได้ละ แต่ว่าตอนนี้คนเขลากลับเป็นตัวเขาเอง

ตรงหน้าของเขาคือสัตว์ประหลาด ที่เรียกว่าเดธไนท์ และมันก็ค่อยๆเข้าใกล้มาทีละก้าว ละก้าว

เขาก้าวถอยห่างออกไปทันทีเป็นระยะสองก้าวโดยสัญชาตญาณ

ร่างในชุดเกราะของเขานั้นสั่นสะท้านจนได้ยินเสียงดังกุกกัก ขณะที่ดาบในมือนั้นก็สั่นไม่หยุด ร่างของเดธไนท์นั้นถูกล้อมโดยอัศวิน 18 นาย แต่ทว่าดาบในมือของพวกเขานั้นต่างสั่นเทาเหมือนกันหมด

แม้ว่าความหวาดกลัวจะคลอบคลุมทั่วร่างแต่ก็ไม่มีสักคนที่พยายามจะหลบหนี ซึ่งไม่ใช่เพราะความกล้าเห็นได้จากที่ทั้งหมดต่างถูกความหวาดกลัวตรึงร่างเอาไว้ อีกทั้งร่างที่สั่นอย่างแรงจนชุดเกราะกระบทบกันเกิดเสียงดังให้ได้ยิน เชื่อได้เลยว่าหากตอนนี้พวกเขาสามารถหนีได้ละก็ พวกเขาจะรีบวิ่งเพื่อเอาตัวรอดกันอย่างสุดชีวิต

----แต่ที่พวกเขาไม่หนีเพราะรู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์

ลอนเดสขยิบตาเล็กน้อบเพื่อขอความช่วยเหลือ
ขณะนี้พวกเขาอยู่ที่จัตุรัสกลางหมู่บ้าน โดยมีผู้คนราวหกสิบชีวิตซึ่งเป็นชาวบ้านที่ลอนเดสจับตัวมา เมื่อลอนเดสมองไปยังชาวบ้านก็เห็นสีหน้าที่หวาดกลัวที่แสดงออกมา พวกเด็กๆต่างหลบที่หลังฐานไม้สูง และก่อนนี้ก็มีเด็กบางคนที่ถือไม้ทำท่าพยายามปกป้องพ่อแม่ แต่พวกเด็กๆต่างไม่อาจคงท่าทางพร้อมสู้ได้อีกต่อไป และปล่อยให้ท่อนไม้ร่วงหล่นลงสู่พื้นพร้อมจากความพรั่นพรึง

เมื่อตอนที่ลอนเดสจู่โจมหมู่บ้าน พวกชาวบ้านต่างกรูเข้ามายังจัตุรัสกลางหมู่บ้านจากทุกทิศทาง และหลังจากสำรวจตามบ้านแล้ว พวกเขาก็ได้เตรียมน้ำมันเพื่อเผาบ้านเรือนเพื่อไม่ให้มีผู้เหลือรอดจากการซ่อนตัวจากที่ซ่อนลับในบ้าน
อัศวินที่อยู่บนหลังม้าสี่นายที่ต่างก็ถือธนูในมือทำหน้าที่ป้องกันชาวบ้านไม่ให้หลบหนี โดยพร้อมที่จะยิงคนที่คิดจะหลบหนีทันที วิธีการนี้ถูกใช้มาหลายต่อหลายครั้ง และก็ไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง
แม้ในขั้นตอนสังหารหมู่จะใช้เวลานานไปบ้างแต่ก็เรียบร้อยดี พวกชาวบ้านที่เหลือรอดถูกนำมารวมตัวกันในที่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็จะปล่อยพวกชาวบ้านบางส่วนให้หลบหนีไปตามแผนที่ว่างไว้
นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นแต่ว่า ----
ลอนเดสยังจำช่วงเวลานั้นได้

ที่ด้านหลังชาวบ้านซึ่งหนีมายังจัตุรัส อิลเลียนที่รับหน้าที่เก็บกวาดพวกที่เหลืออยู่ดีๆก็ถูกโยนขึ้นฟ้า

มันเป็นภาพที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และไม่มีใครตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีในชุดเกราะเต็มยศที่ถูกโยนขึ้นฟ้า แม้ว่าหากใช้เวทย์ช่วยลดน้ำหนักก็พอจะมีโอกาสเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถลดน้ำหนักทั้งหมดให้หายไปแล้วจับเขาโยนเหมือนของเล่นแบบนี้ ทำให้ทุกคนที่เห็นไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลย

อิลเลียนถูกโยนออกไปไกลกว่าเจ็ดเมตร ก่อนจะตกลงมาพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น พร้อมกับร่างที่นิ่งไม่มีปฏิกิรยาตอบสนองใดๆอีกแล้ว
และที่ซึ่งอิลเลียนเคยอยู่นั้นเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อสายตายิ่งกว่าเก่า ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ คืออันเดดมอนสเตอร์ที่น่าหวาดหวั่น นามว่า เดธไนท์ ซึ่งตอนนี้มันค่อยๆลดโล่ห์ซึ่งส่งร่างอิลเลียนขึ้นสู่ฟากฟ้าลงมา

หลังจากนั้นก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
“อะ อะ อ๊ากกกกกกกกกกก!”
เสียงกรีดร้องดังแห่งความสับสนดังขึ้นทั่วจัตุรัส หนึ่งในอัศวินที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับไม่อาจข่มความกลัว และพยายามหลบหนีขณะที่น้ำตานองหน้า
ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นการยากที่จะคงการล้อมกรอบเอาไว้ ยิ่งในความกดดันที่สูงจนแทบทำให้สลบแบบนี้ อย่างไรก็ตามไม่มีอัศวินคนใดพยายามที่จะหลบหนีไปกับอัศวินที่สติแตกไปแล้วคนนั้น ซึ่งเหตุผลก็ได้เป็นที่ประจักษ์อย่างรวดเร็ว

ที่หางตาของลอนเดสเห็นพายุหมุนสีดำสายหนึ่ง
แม้ว่าเดธไนท์จะมีร่างกายที่ใหญ่โต ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานความสูงของมนุษย์ทั่วไปอยู่มาก แต่ทว่ามันกลับรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
คนที่พยายามหลบหนีนั้นไปได้ไกลเพียงสามก้าวเท่านั้น
และก่อนที่เขาจะได้ย่างก้าวที่สี่ ร่างในชุดเกราะสีเงินก็ถูกตัดแยกป็นสองส่วน โดยที่ร่างซีกซ้าย และขวาได้ร่วงหล่นในทิศทางตรงข้ามกัน ก่อให้เกิดกลิ่นก๊าซไข่เน่าตลบอบอวลไปทั่ว พร้อมกับเครื่องในสีชมพูที่ทะลักออกจากร่างที่ถูกผ่าแยก


"โกววววววววว -"

เดธไนท์คำรามเสียงดังพร้อมกวัดแกว่งดาบฟันเลื่อยไปรอบตัวทำให้เลือดกระเซ็นไปทั่ว
นี่คือเสียงร้องแห่งความบันเทิงของมัน

แม้ผู้คนที่ไม่ได้มองไปยังใบหน้าที่เน่าเปื่อยก็ยังรับรู้ถึงความหรรษาของมัน เดธไนท์ซึ่งมีความต้องการฆ่าฟันอันเปี่ยมล้นกำลังมีเพลิดเพลินกับการสังหารมนุษย์ที่แสนอ่อน ซึ่งกำลังหวาดกลัว และสิ้นหวัง

ถึงจะมีดาบอยู่ในมือ แต่เหล่าอัศวินก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะหันคมดาบเข้าหามันเป็นคนแรกเลย

หลังจากได้สติจากการตื่นตระหนกในตอนเริ่มต้น พวกอัศวินก็พยายามจะต่อสู้ แต่เมื่อคมดาบสามารถลอดผ่านการป้องกันของศัตรูได้อย่างโชคช่วยก็ทำได้เพียงสร้างความเสียหายเล็กน้อยกับเกราะของเดธไนท์

ในทางตรงกันข้ามเดธไนท์ไม่ได้ใช้ดาบของมันเลย มีแค่ใช้โล่ห์ส่งลอนเดสลอยสู่ฟากฟ้าโดยที่เขาไม่รับบาดเจ็บมากนัก

เหมือนกับว่านี่เป็นแค่การเบิกม่านเท่านั้น ที่มันทำตอนนี้เหมือนต้องการ “หยอก” พวกเขาเล่น ซึ่งดูไปแล้วเดธไนท์ต้องการเพลินเพลินกับสถานการ์เป็นตายนี้ โดยแกล้งทำเป็นอ่อนแอให้เห็น

จะมีก็หากอัศวินพยายามจะหลบหนี เดธไนท์จึงจะเอาจริง และทำการจู่โจมถึงตายออกมา

อัศวินคนแรกที่พยายามหลบหนี คือ ริลิก เขาเป็นคนดีแต่จะกลายเป็นอันธพาลเมื่อได้ดื่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้หัว และแขนทั้งสองข้างถูกผ่าแยกออกเป็นชิ้นๆ นี่ทำให้พวกที่เหลือเข้าใจทันทีหลังเห็นตัวอย่างเป็นครั้งที่สองว่า เดธไนท์ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาหลบหนีไปได้ นั่นทำให้ไม่ใครกล้าที่จะลองเป็นรายต่อไป

การโจมตีของพวกเขานั้นไม่ได้ผล ขณะเดียวกันหากพยายามหลบหนีก็หมายถึงความตายในพริบตา
ตอนนี้มีถนนสายเดียวเหลือสำหรับพวกเขา คือการถูกใช้เป็นของเล่นสำหรับเดธไนท์จนกว่าจะตาย

ถึงแม้ทั้งหมดจะสวมหมวกเหล็กที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ภายใน แต่หลังจากที่ทุกคนต่างตระหนักถึงชะตากรรมของตนแล้ว พวกชายหนุ่มต่างร่ำไห้ออกมาเหมืนอกับเด็กๆ พวกเขามาเพื่อรังแกผู้ที่ไม่มีทางสู้ โดยไม่นึกฝันเลยว่าชีวิตนี้จะได้รับชะตากรรมเช่นเดียวกัน

“พระองค์ ได้โปรดช่วยด้วย…”
“พระองค์…”
สำหรับหลายคนที่เริ่มกลั้นน้ำตาไว้ได้เริ่มจะอ้อนวอนความช่วยเหลือจากเบื้องบน ด้วยความรู้สึกอันไร้พลังลอนเดสเกือบจะคุกเข่าลง และสาปแช่ง หรือไม่ก็วิงวอนขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักสิทธิ์

“แก พวกแก รีบมากันเจ้าสัตว์ประหลาดนี้เร็วเข้า!”

ในขณะที่อัศวินที่ล่วงรู้ชะตาของตนกำลังทำการภาวนา พวกเขาก็ถูกขัดด้วยเสียงที่ดังโพล่งออกมา

ผู้ที่กล่าวเมื่อสักครู่เป็นอัศวินที่อยู่ใกล้กับเดธไนท์มากที่สุด  ซึ่งพยายามถอยห่างจากร่างของอัศวินทั้งสองที่เป็นศพอยู่ข้างๆ และเมื่อมองดูจะเห็นว่าตอนนี้เขานั้นตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าซึ่งว่าไปแล้วก็ดูน่าขบขันไม่น้อย

ลอนเดสมองเหตุกการณ์ตรงหน้าอย่างกังวล และสีหน้าของเขาก็เริ่มจะหงิกงอขึ้นเรื่อย เนื่องจากอัศวินทั้งหมดต่างสวมหมวกเหล็กปิดบังใบหน้าเอาไว้ และยังน้ำเสียงที่ตอนนี้ที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวทำให้ยากที่จะรู้ว่าคนที่ตะโกนสั่งเมื่อสักครู่คือใคร แต่จากการแสดงออกที่มีเพียงหนึ่งที่จะทำตัวเช่นนี้ทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าผู้ที่ร้องสั่งคือใคร

…กัปตันเบเลียส
ตอนนี้ลอนเดสรู้สึกสับสนอยู่ภายใน
เบเลียสที่ตัณหาจับได้พยายามข่มขืนเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง แต่ถูกพ่อของเด็กสาวเข้ามาขวางเพื่อปกป้องลูกสาว หลังจากที่พวกเขาจับตัวชายคนนั้นออกมาได้ เบเลียสก็ได้เอาคืนอย่างโกรธแค้นโดยการจ้วงแทงร่างของชายชาวบ้านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ อย่างที่ว่าเขาก็เป็นคนแบบนี้เอง สาเหตุเดียวที่เขาสามารถเข้าร่วมกับกองทัพได้เพราะอำนาจเงินของทางครอบครัวที่มั่งคั่ง และเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากอีกด้วย

การที่ได้คนแบบนี้มาเป็นกัปตัน ต้องเรียกว่าโชคร้ายอย่างยิ่ง
“คนอย่างข้าจะมาตายที่นี่ไม่ได้ พวกแก! ไปถ่วงเวลามันเร็วเข้า! รีบมาเป็นโล่ห์ป้องกันข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อสิ้นเสียงไม่มีใครขยับตัวเลยสักคน แม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นกัปตัน แต่คนที่ไม่ได้รับความเคารพจากลูกน้องอย่างเขาจะมีใครยอมสละตนเพื่อคนแบบนี้กันละ?
แต่มีอยู่หนึ่งที่ตอบสนองต่อเสียงตะโกนนี้ เดธไนท์ค่อยๆหันไปยังเบเลียสอย่างช้าๆ

“อิ๊---!”

ทั้งที่อยู่ข้างๆเดธไนท์แต่ยังกล้าตะโกนเสียงดังให้เป็นที่สังเกต ลอนเดสอดที่จะยอมรับกับการกระทำที่แสนประหลาดนี้ไม่ได้ และจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเบเลียสอีกครั้ง:
“เงิน ใช่แล้วเอาเงินไปเลย สองร้อยเหรียญทอง! ไม่สิห้าร้อยเหรียญทองไปเลย!”

จำนวนเงินที่เขาเสนอให้นั้นเป็นจำนวนที่มากอยู่  แต่มันก็ไม่ต่างกับการบอกให้คนโดดจากหน้าผาสูง 500 เมตร แล้วถ้าไม่ตายก็ค่อยเอาเงินรางวัลไป

ขณะที่ยังไม่มีใครทำอะไร คนผู้หนึ่งก็ขยับตัว จะเรียกให้ถูกต้องเป็นครึ่งคนถึงจะถูก ดูเหมือนว่าเขาอยากจะให้คำตอบเต็มแก่แล้ว

“โอ๊ววววววว….”

ร่างซีกขวาของอัศวินที่ถูกผ่าแยกส่วนได้คว้าไปยังข้อเท้าของเบเลียส เลือดได้กระเซ็นออกจากปากพร้อมกับเสียงคำราม:
“อออออ๊าหหหหหหหหหหหหหหห์!”

เบเลียสส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน ขณะที่อัศวิน และชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเห็นภาพตรงหน้าต่างก็ตัวแข็งทื่ออย่างหวาดผวา

[ซอมบี้สเลฟ]
ในอิกดราซิล เมื่อเดธไนท์สังหารเป้าหมายได้จะทำให้ผู้ที่ถูกสังหารจะฟื้นขึ้นมาเป็นอันเดดตรงจุดนั้นเลย หากว่าผู้ใดสิ้นชีพใต้คมดาบของเดธไนท์มันผู้นั้นก็จักต้องเป็นข้ารับใช้ของมันไปตลอดกาล นี่คือตามที่เกมตั้งค่าไว้

ในที่สุดเบเลียสก็หยุดร้อง และทรุดลงพื้นเหมือนตุ๊กตาชักที่สายขาด บางทีเขาคงหมดสติไปแล้ว เดธไนท์ก้าวเข้ามายังร่างที่ไร้สตินั้น แล้วชักดาบฟันเลื่อยแทงไปที่ร่างนั้น

และแล้วคมดาบได้แทงทะผ่านร่างของเบเลียส
“อ๊ากกกกกกกกกกกก”
เบเลียสได้สติทันทีจากความเจ็บปวด และกู่ร้องเสียงดังสนั่น

“ปล่อย ปล่อยชั้น! ขอร้องละได้โปรด! อยากให้ข้าทำอะไรข้ายอมทุกอย่าง!”
มือของเบเลียสจับไปที่ดาบฟันเลื่อยที่แทงทะลุร่างของเขา แต่ทว่าเดธไนท์ก็เพิกเฉยต่อคำพูดของเขา นอกจากนั้นมันกลับเลื่อนดาบขึ้นลงเหมือนกำลังเลื่อยไม้จนชุดเกราะปริแตกเป็นชิ้นๆ และเลือดกระจายฟุ้งไปทั่ว

“อ๊ากกกก อะเอาเงินไปเลย แล้วปะปล่อยข้า”
ร่างของเบเลียสสั่นสะท้านอีกสักพักก่อนจะที่เขาจะหมดลมหายใจ จากนั้นเดธไนท์ก็ถอนห่างจากร่างของเบเลียสไปอย่างพึงพอใจ

“ไม่…ไม่…ไม่”
“พระเจ้า!”

จากภาพที่ปรากฎออกมาเบื้องหน้าทำให้เหล่าอัศวินที่เหลือซึ่งตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นถึงกับร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด การหนีหมายถึงความตาย แต่การยังอยู่เฉยนั่นหมายถึงชะตาที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก แม้พวกเขาทั้งหลายจะรับรู้ได้ แต่ทว่าร่างกายของพวกเขากลับไม่สามารถขยับไปไหนได้แม้เพียงก้าวเดียว

“สงบสติอารมณ์กันหน่อย!”
เสียงตวาดของลอนเดสดังก้องกลบเสียงร้องคร่ำครวญ ทำให้ในบริเวณนั้นเงียบเหมือนเวลาได้หยุดลงชั่วขณะ

“ถอย! เร็วเข้า แล้วรีบส่งสัญญาณเรียกหน่วยพลม้า และพลม้าติดธนูมาที่นี่! ระหว่างที่เป่าแตรพวกที่เหลือให้ช่วยกันยื้อเวลาเอาไว้! ใครที่ไม่อยากตายก็รีบขยับตัวเร็วเข้า!”

และแล้วทั้งหมดก็กลับมาแข็งขันกันอีกครัง
ความสับสนเมื่อก่อนหน้าถูกขจัดออกไป และทุกคนต่างเร่งทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ราวกับน้ำตกที่ไหลตกลงมาสู่เบื้องล่าง

ทั้งหมดต่างทำหน้าที่ราวกับเครื่องจักร โดยลงมือทำโดยไร้ข้อกังขาเพื่อหวังให้ปาฏิหารย์เกิดขึ้น ความสับสนเมื่อสักครู่จะต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สอง

อัศวินแต่ละคนต่างรู้หน้าที่ว่าตนต้องทำอะไร พวกเขาต้องปกป้องคนที่ทำหน้าที่เป่าแตรเพื่อติดต่อกับอัศวินที่เหลือ

อัศวินที่ถอยห่างออกมาได้วางดาบลง และลงมือหยิบแตรออกจากกระเป๋า

“โอ๊วฮ่าหหหหหหหหหหหหหหหหหหห์”

เหมือนถูกกดสวิชทันทีที่เห็นอัศวินพยายามหยิบแตรออกมาเดธไนท์ก็วิ่งโถมเข้าหาในทันที เป้าหมายของมันคืออัศวินที่กำลังหยิบแตร เหล่าอัศวินทั้งหลายที่เห็นต่างถึงกับใจหายกันหมด นี่ศัตรูไม่คิดจะเหลือทางรอดให้พวกเขาเลย นี่มันไม่โหดร้ายเกินไปเหรอ?

เจ้าพายุหมุนสีดำเคลื่อยตัวเข้าหาเหล่าอัศวินอย่างไม่ลังเล ผู้ที่ขวางทางต่างต้องพบกับความตายอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นพวกที่เหลือต่างก็กรูกันเข้ามาเสริมกำแพงป้องกันอย่างเหนียวแน่น โดยใช้ความกลัวที่ยิ่งกว่าสะกดความกลัวตอนนี้แล้วเผชิญหน้ากับมัน

เพียงแค่เหวี่ยงโล่ห์ฟาดไปก็มีอัศวินถูกส่งลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า
และแค่เพียงประกายดาบพาดผ่านอัศวินอีกรายก็ถูกผ่าเป็นสองท่อน

“ดิซ! มอร์ตี้! รีบไปตัดหัวพวกที่ตายเร็วเข้า ถ้าไม่ทำละก็เดี๋ยวพวกนั้นจะกลายเป็นซอมบี้มาเพิ่มนะเว้ย!”
อัศวินที่ได้รับคำสั่งรีบรุดไปยังร่างของพรรคพวกที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
และอีกครั้งที่โล่ห์ถูกเหวี่ยงออกไป และอัศวินก็ถูกส่งขึ้นฟ้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งคมดาบที่ฟาดฟันลงมาก็เพิ่มจำนวนศพของอัศวินถึงสี่นายในการฟันเพียงครั้งเดียว แม้ว่าลอนเดสจะหวาดกลัวสักเพียงใด แต่ทว่าเขาก็ยังกุมดาบเผชิญหน้ากับพายุหมุนสีดำเบื้องหน้าโดยเขาได้เตรียมใจที่จะสละตนเองอย่างกล้าหาญไว้แล้ว

“โอ๊ววววววววววววววววววว”
 แม้จะไม่เห็นหนทางเอาชนะ แต่ลอนเดสก็ไม่คิดจะงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ เขาเริ่มส่งเสียงกู่ร้องเรียกกำลังใจ และใช้กำลังทั้งหมดที่มีหวดดาบไปยังเดธไนท์ตรงหน้า

บางทีเพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายทำให้ลอนเดสก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และปลดปล่อยพลังจนตนเองยังตกใจออกมา ดาบนี้น่าจะเป็นการฟันที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา

ฟากเดธไนท์ก็ได้ฟาดดาบฟันเลื่อยลงมาเช่นกัน

หลังจากประกายดาบจางหายไป ดวงตาของลอนเดสก็กรอกไปทั่ว---

----เขามองเห็นร่างที่ไร้ศีรษะที่ค่อยๆทรุดลงสู่พื้น ดาบของเขาที่ลอยโค้งไปในอากาศ และในเวลาเดียวกันเสียงแตรก็ดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน


โมมอนกะ หรือ ตอนนี้คือ ไอร์ซหันหัวไปยังทิศของหมู่บ้านทันทีที่เสียงแตรดังขึ้น
รอบตัวเขานั้นมีร่างของอัศวินที่เฝ้ายามรอบหมู่บ้านทอดร่างเป็นศพเกลื่อนไปหมด รอบๆบริเวณส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วซึ่งเป็นผลจากการทดลองอย่างไม่รู้จักพอของไอร์ซ ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องตำหนิตัวเองที่ไม่รู้จักจัดลำดับความสำคัญให้ดี

ไอร์ซทิ้งดาบซึ่งเปราะเปื้อนในมือลงพื้น เดิมทีมันเป็นของหนึ่งในอัศวินที่ทอดร่างอยู่

“…ผมก็รู้ดีนะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาความต้านทานการโจมตีทางกายภาพ และความสามารถในการลดความเสียหายที่ได้รับของมัน”

“ท่าน ไอร์ซ โออ์ล โกว์น”

“…แค่ไอร์ซก็พออัลเบโด”

เมื่อได้ยินที่ไอร์ซบอกให้เรียกตัวเองแบบนั้น อัลเบโดก็ดูจะสับสนขึ้น:
“กื่อออออออออหือออออ! ดะ ได้เหรอคะ? การเรียกท่านผู้นำสูงสุดแห่งผู้ปกครองทั้งสี่สิบเอ็ดของนาซาริก ซึ่งเอานามที่ใช้แทนตัวนายเหนือทั้ง 41 ของนาซาริกมาเป็นชื่อของตัวเอง  การที่จะให้เรียกด้วยชื่อเล่นอีก นี่ออกจะไม่เป็นการให้เกียรติกับนามนี้อย่างยิ่ง!”

สำหรับไอร์ซแล้วนี่ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่ในเมื่ออัลเบโดไม่ได้คิดเช่นนั้น เธอให้ความสำคัญกับชื่อ ไอร์ซ โออ์ล โกว์น อย่างมาก จนแม้แต่ตัวไอร์ซเองก็รู้สึกยินดีในเรื่องนี้ จึงตอบกลับอย่างอ่อนโยนว่า:
“ไม่เป็นไรหรอกอัลเบโด จนกว่าเหล่าสหายทั้งหลายของข้าจะกลับมาอีกครั้ง นี่จะเป็นชื่อของข้า และข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกแบบนั้นได้ ”

“ตกลงค่ะ แต่อย่างไรดิฉันก็ไม่อาจเรียกท่านห้วนๆแบบนั้นได้ ถ้าอย่างไร….ท่าน ท่านไอร์ซ ฮิฮิฮิ…ใช่แล้ว เอาเป็นแบบนี้แล้วกัน…”

อัลเบโดบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย
แต่ทว่าเนื่องจากเธอนั้นอยู่ในชุดเกราะเต็มยศที่ครอบคลุมทั้งตัวจนไม่อาจเห็นใบหน้าที่งดงามของเธอได้ ไอร์ซที่เห็นภาพนี้จึงรู้สึกว่ามันดูแปลกพิกล

“นี่ นี่มันหรอว่า ฮิฮิฮิ…ต้องใช่แน่…เพราะดิฉันเป็นคนพิเศษจึงสามารถเรียกท่านแบบ…”
“เปล่าหรอก เวลาได้ยินคนอื่นเรียกชื่อข้ายาวๆทุกครั้งมันรู้สึกไม่ค่อยดี ข้าเลยอยากให้ทุกคนเรียกให้สั้นหน่อย”
“…งั้นเหรอ-ค่ะ-ที่ท่านกล่าวมาก็จริงอย่างที่ว่า-----”

หลังรับรู้เหตุผล อารมณ์ของอัลเบโดดูจะทิ้งดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจไอร์ซจึงได้ถามเธอไปว่า:
“…อัลเบโด ตอนที้เจ้าเรียกชื่อข้า เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”

“ดิฉันคิดว่านามนี้เหมาะกับท่านอย่างที่สุด และดิฉันก็รัก-----*แค่กๆ* คือมันแสดงถึงความสมบูรณ์พร้อมของท่านผู้นำสูงสุดของพวกเราเป็นอย่างดี”

“…นามนี้เดิมทีหมายถึงพวกเราทั้ง 41 รวมทั้งผู้สร้างของเจ้าอย่าง ทาบูร์ลา สมารักดินา ด้วย ข้าได้เพิกเฉิยต่อผู้นำที่เหลือ และเอานามนี้มาใช้เองตามอำเภอใจ ก็อย่างที่ว่ามาเจ้าคิดว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรบ้าง?”

“…แม้จะทำให้ท่านขุ่นเคือง…แต่โปรดให้ดิฉันได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ หากว่ามันจะทำให้ท่านไอร์ซหมองใจ ดิฉันก็พร้อมจบชีวิตตามคำบัญชาของท่าน…หากท่านโมมอนกะนำนามนี้มาใช้ ดิฉันมั่นใจว่าผู้ปกครองท่านอื่นๆที่ได้ละทิ้งพวกเราไปต้องมีความเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน แต่ทว่าในช่วงเวลาที่ผู้นำทั้งหลายทอดทิ้งพวกเรา มีเพียงท่านโมมอนกะที่ยังคงอยู่เคียงข้างพวกเราจนถึงท้ายที่สุด ดังนั้นการที่ท่านจะใช้นามนี้พวกเราต่างย่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

อัลเบโดก้มหัวให้กับไอร์ซซึ่งตอนนี้ไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้

ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่คำว่า “ทอดทิ้งพวกเรา” ดังกึกก้องอยู่
เหล่าเพื่อนทั้งหลายของเขาต่างก็มีเหตุผลที่จากไป อิกดราซิลมันก็แค่เกมซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอาชีวิตจรงไปฝากไว้กับมัน และมันก็เป็นเรื่องจริงสำหรับ “โมมอนกะ” เช่นกัน แต่การละทิ้ง ไอร์ซ โออ์ล โกว์น และมหาสุสานแห่งนาซาริกแบบนี้ จะมีใครที่โกรธแค้นเพื่อนๆทั้งหลายของเขาหรือไม่?

อีกอย่างพวกเขาก็ทิ้งผมเหมือนกัน

“…บางทีพวกเขาจะทำเช่นนั้น หรืออาจจะได้ทำก็ได้ ความรู้สึกของคนเรามันซับซ้อนยากจะเข้าใจได้…นั่นทำให้ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด…เงยหน้าขึ้นอัลเบโด ข้ารับรู้ถึงเจตนาของเจ้าแล้ว และข้าก็ได้ตัดสินใจว่า…นี่จะเป็นนามเรียกขานของข้า จนกว่าเหล่าสหายทั้งหลายจะมาเผชิญหน้า และไม่ยอมรับมัน จนกว่าจะถึงวันนั้นนาม ไอร์ซ โออ์ล โกว์น จะหมายถึงตัวข้า”

“รับทราบท่านผู้นำสูงสุด…สำหรับผู้เป็นที่รักอย่างสูงสุดของดิฉัน การใช้ชื่ออันทรงเกียรตินี้นับเป็นความยินดีอย่างหาที่เปรียบมิได้”

คนที่เธอรักมากที่สุดงั้นเหรอ…อ๊า
ไอร์ซที่ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดีตัดสินใจทำเป็นเมินปัญหานี้ไปก่อน
“…อย่างนั้นสินะ ขอบใจเจ้ามาก”

“ถ้าอย่างนั้นท่านไอร์ซยังต้องการอยู่ที่นี่ต่อหรือไม่คะ? แต่แค่ได้ยืนเคียงข้าง และเริ่มเดินทางไปกับท่านไอร์ซจะเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่ง…จะว่าไปเดินเล่นก็ดีเหมือนกันนะคะ”

อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่ควรทำ ในเมื่อตอนแรกไอร์ซตั้งใจจะมาช่วยหมู่บ้าน
สำหรับพ่อแม่ของสองพี่น้องที่ได้ขอร้องให้ไอร์ซช่วยนั้นถูกพบเป็นศพแล้ว
เมื่อนึกถึงทั้งสองไอร์ซก็ต้องเกาศรีษะของตัวเอง
ทันทีที่เห็นร่างทั้งสองปฏิกิริยาของไอร์ซนั้นเหมือนกับคนที่มองแมลงบนท้องถนน ไม่มีความรู้สึกสงสารเสียใจ หรือโกรธแค้นเจือปนอยู่เลย

“เอาละ พักเรื่องเดินเล่นไว้ก่อน ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าที่ต้องจัดการ ดูเหมือนเดธไนท์จะทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยมซะด้วยสิ”

“อันเดดที่สร้างโดยท่านไอร์ซนี้ช่างทำงานได้อย่างดียิ่ง การสังหารของมันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบซึ่งเหมาะสมกับคำชมเชยอย่างยิ่ง”

เวทย์ที่ไอร์ซใช้เป็นประจำ และเป็นทักษะพิเศษในการสร้างอันเดดมอนสเตอร์ ซึ่งมอนสเตอร์ที่สร้างโดยทักษะพิเศษของไอร์ซจะมีความแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ทั่วไป แน่นอนว่าเดธไนท์ที่ถูกสร้างมาเมื่อสักครู่ย่อมแข็งแกร่งกว่าเดธไนท์ทั่วไปอยู่มาก
ถึงอย่างนั้นเดธไนท์อย่างมาก็เป็นได้แค่มอนสเตอร์เลเวลสามสิบห้า ในการอัญเชิญโอเวอร์ลอร์ดไวซ์แมน หรือ กริมริปเปอร์ ทานาธอส นั้น ไอร์ซต้องใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลในการเรียกใช้ ซึ่งเมื่อเทียบกับพวกนี้แล้ว เดธไนท์ก็เป็นแค่แมลงตัวเล็กๆเท่านั้น และในเมื่อมันสามารถจัดการได้ดีอย่างนี้ก็หมายความว่าศัตรูไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไหร่นัก

ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายอะไร
อันที่จริงเขาอยากทำท่าโพสแห่งชัยชนะสักหน่อย แต่การวางตัวให้ดูเป็นหัวหน้าที่น่าเกรงขามทำให้ไอร์ซต้องอดกลั้นความรู้สึกที่ผุดขึ้นนี้ และซ่อนมือที่กำแน่นเอาไว้ใต้ชุดคลุม

“พวกศัตรูที่โจมตีหมู่บ้านอ่อนแอมาก เพราะอย่างนี้เราควรเข้าไปยืนยันผู้รอดชีวิตในหมู่บ้านได้ไม่มีปัญหา”

ก่อนที่จะดำเนินการขั้นต่อไป ไอร์ซลองทบทวนสิ่งที่เขาต้องทำอีกครั้ง
อย่างแรกคือการยกเลิกการทำงานของไม้เท้าแห่งไอร์ซ โออ์ล โกว์น เสียก่อน ทันใดนั้นออร่าที่ชั่วร้ายซึ่งสัมผัสได้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเปลวเทียนที่ดับลงเมื่อต้องลม

ต่อมาไอร์ซหยิบหน้ากากออกมาจากกล่องไอเทมเพื่อปกปิดส่วนหัวทั้งหมด ตัวหน้ากากนั้นถูกตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือย และสีหน้าของมันก็ยากที่จะบอกว่าแสดงอารมณ์แบบใด ทั้งไม่การร้องไห้ หรือโกรธแค้น มันดูเหมือนหน้ากากบารองของบาหลีอย่างน่าประหลาด

แม้หน้ากากจะดูประหลาด แต่มันไม่ได้มีพลังอะไรแอบซ่อนไว้ทั้งนั้น มันเป็นเพียงอีเวนท์ไอเทมซึ่งไม่สามารถบันทึกคริสตัลข้อมูลลงได้ด้วยซ้ำ

ในช่วงคริสมาสต์อีฟหากใครก็ตามที่เข้าไปเล่นอิกดราซิลระหว่างเวลาเจ็ดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม และใช้เวลาเล่นมากกว่าสองชั่วโมง ที่ถูกคือใช้เวลาในเกมสองชั่วโมงในช่วงเวลานั้น เขาก็จะรับหน้ากากนี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งว่าไปแล้วไอเทมนี้ก็ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

หน้ากากแห่งความริษยาชิงชัง หรือที่รู้จักกันในชื่อหน้ากากจอมอิจฉา
ครั้งหนึ่งไอร์ซก็เคยสวมหน้ากากนี้เช่นกันซึ่งมันเป็นต้นเหตุขอข้อความแสปมในช่องกระดาษสนทนาออนไลน์จำนวนมหาศาล อย่างเช่นว่า “ไอ้บริษัทเกมมันบ้าไปแล้วเหรอฟะ?” “เจ้าสิ่งนี้แหละที่เรารอมานาน” ‘เฮ้ยสมาชิกกิลล์เราคนนึงไม่มีหน้ากากนี้ ใครจะไป PK มันมั่ง?” “ตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว โอโฮ่โฮ่โฮ่!” ข้อความเหล่านี้ที่ปรากฎต่างเกี่ยวข้องกับหน้ากากนี้ทั้งสิ้น

หลังจากเสร็จเรื่องหน้ากากเขาก็หยิบถุงมือโลหะออกมาคู่หนึ่ง รูปลักษณ์ของมันดูเหมือนถึงมือเหล็กธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ ไอเทมนี้เรียกว่า [ถุงมือเหล็ก] และมันเป็นสิ่งที่สมาชิกของไอร์ซ โออ์ล โกว์น สร้างขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมือ ความสามารถเดียวของมันคือเพิ่มความแข็งแรงให้ผู้สวมใส่

เมื่อสวมไอเทมทั้งหลายแล้วร่างที่เป็นโครงกระดูกของเขาก็ถูกปกคลุมจนมองไม่เห็นอีก
เหตุผลที่ไอร์ซต้องปกปิดร่างกายตัวเองในตอนนี้ก็เพราะว่าในที่สุดเขาก็ระลึกได้ว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์

ในอิกดราซิลไอร์ซนั้นเคยชินกับรูปร่างโครงกระดูกของตัวเองจนไม่ตกใจกลัวกับร่างกายตัวเองแบบนี้อีกแล้ว แต่สำหรับผู้คนในโลกนี้ตัวไอร์ซนั้นคือนิยามของความน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวที่เกือบจะถูกฆ่าทั้งสอง หรืออัศวินในชุดเกราะต่างก็หวาดกลัวเขาทั้งสิ้น

โดนสรุปก็คือการใช้ไอเทมเปลี่ยนจากสัตว์ประหลาดที่ชั่วร้ายมาเป็นจอมเวทย์ผู้ชั่วร้าย---นั่นน่าจะใช้ได้นะ อย่างสุดท้ายที่คือเขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับไม้เท้าอย่างไรดี เขาเลยตัดสินใจเอามันติดตัวมาด้วยซึ่งนั่นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรนัก

“เอาละจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าแล้วละ จะว่าไปถ้าข้ารู้ว่ามีอยู่จริง คนพวกนี้ก็คงไม่ต้องตายหรอก”

ไอร์ซกล่าวอย่างพวกอเทวนิยมก่อนจะทำมือท่าทางสวดภาวนา ก่อนที่ซากศพเหล่านี้หายไปพร้อมกับแสงที่เปล่งออกมา จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายมนตร์ต่อไปทันที

“[ไฟล์ท]”

ไอร์ซค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ และไม่นานนักอัลเบโดก็ลอยมาเคียงข้างเขา
“เดธไนท์ถ้ายังมีอัศวินที่ยังมีชีวิตอยู่อย่าเพิ่งฆ่าทิ้ง พวกมันยังมีประโยชน์อยู่”

หลังได้รับคำสั่งจากไอร์ซเดธไนท์ก็น้อมรับคำสั่ง แต่ทว่าความรู้สึกของมันที่ได้รับคำสั่งใหม่ออกจะยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้

ร่างของไอร์ซลอยไปยังตำแหน่งที่ได้ยินเสียงแตรด้วยความเร็วสูงสุด ความรู้สึกที่ถูกกระแสลมพัดผ่านร่างนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนในอิกดราซิล และเขาก็ไม่เคยบินด้วยความเร็วเช่นนี้มาก่อนด้วย ถึงเขาจะรู้สึกรำคาญกับผ้าคลุมยาวที่กระทบตัว แต่เขาก็ได้แต่อดทนจนสักพักจนกว่าจะถึงที่หมาย

และแล้วเขาก็มาถึงยังเหนือหมู่บ้าน และมองสถานการณ์จากเบื้องบน
สิ่งที่ไอร๋ซเห็นที่จัตุรัสคือของเหลวสีดำที่ท่วมทั่วบริเวณ และยังมีร่างที่นอนทอดกายอยู่รอบๆโดยมีอัศวินที่สั่นเทาจำนวหนึ่งอยู่ข้างๆ และที่ยืนอยู่หน้าทั้งหมดคือเดธไนท์

ไอร์ซนับจำนวนศพ และจ้องไปยังอัศวินที่เหลือรอดสี่คนที่ตอนนี้ไม่อาจขยับตัวไปไหนได้ นี่มันมากกว่าที่เขาคิดไว้แต่จะเหลือมากกว่านี้สำหรับเขาแล้วก็ไม่ใช่ปัญหา

“เดธไนท์พอแล้ว”
น้ำเสียงที่กล่าวดูจะไม่เหมาะกับสถานที่นัก มันเหมือนกับบอสที่บอกร้านค้าว่าเขาอยากได้อะไรบ้าง และสำหรับไอร์ซแล้วสถานการณ์นี้ก็เหมือนเข้าร้านไปซื้อของทั่วๆไป

ไอร์ซค่อยลอยลงสู่พื้นช้าๆโดยมีอัลเบโดเคียงข้าง
เหล่าอัศวินที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่างตกตะลึงไปกับการปรากฎตัวของทั้งสอง พวกเขาตั้งใจรอกำลังเสริม แต่ผู้ที่ปรากฎมากลับไม่ใช่ที่พวกเขาคาดหวังไว้ ตอนนี้ความหวังของพวกเขาพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง

“นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเราเหล่าอัศวินผู้ทรงเกียรติ นามของข้าคือ ไอร์ซ โออ์ล โกว์น”
ไม่มีใครตอบรับกับการแนะนำตัวนี้
“หากพวกเจ้ายอมจำนน บางทีอาจรักษาชีวิตพวกเจ้าสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไปก็ได้”

ทันใดนั้นดาบเล่มหนึ่งก็ถูกทิ้งลงสู่พื้นในทันที จากนั้นดาบทั้งหมดสี่เล่มก็ถูกทิ้งลงสู่พื้น โดยระหว่างนี้ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมาทั้งสิ้น
“…ดูพวกเจ้าจะเหนื่อยนะ แต่การที่กล้ายืนอยู่เบื้องหน้านายเหนือของเดธไนท์ดูเหมือนหัวของพวกเจ้าจะอยู่สูงไปหน่อยนะ”
เหล่าอัศวินต่างรีบคุกเข่าลงทันทีพร้อมกับศีรษะที่โค้งลง

พวกเขาดูไม่เหมือนอัศวินที่โค้งคำนับราชา แต่เหมือนนักโทษที่กำลังรอการประหารเสียมากกว่า
“…ข้าอนุญาตให้พวกเจ้ากลับไปอย่างเป็นๆได้ แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องไปหานายของเจ้า และ----ส่งสารต่อไปนี้”

ไอร์ซใช้ [ไฟล์ท] ลอยไปยังอัศวินที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วใช้ไม้เท้าค่อยๆปลดหมวกเหล็กออกมา จากนั้นภายใต้หน้ากากเขาก็จ้องไปยังดวงตาที่อิดโรยของอัศวิน

“จงอย่าได้สร้างปัญหาแถวนนี้อีก หากเลือกที่จะไม่ฟังคำเตือนละก็ คราวหน้าทั้งเจ้า และประเทศของเจ้าจะต้องพินาศทั้งหมด”
อัศวินที่สั่นเทาพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ท่าทางของเขาที่พยายามอย่างมากนี้ดูน่าขบขันไม่น้อย

“ตอนนี้พวกเจ้าไปได้ แล้วจำไว้อย่าลืมกลับไปบอกนายของพวกเจ้าด้วย”
หลังให้สัญญาณ เหล่าอัศวินต่างรีบหลบหนีอย่างรวดเร็ว

“…ช่างเป็นการแสดงที่เหนื่อยจริงๆ”

ไอร์ซบ่นออกมาเบาๆหลังจากมองแผ่นหลังอัศวินที่กำลังถอยกลับ
หากไม่มีชาวบ้านอยู่รอบๆ เขาคงบิดไหล่เพื่อผ่อนคลายไปแล้ว อย่างไรก็ตามเหมือนกับในมหาสุสานนาซาริกการทำตัวให้ดูน่าเกรงขามนี้เป็นภาระอย่างมากสำหรับพนักงานบริษัทธรรมดาแบบเขา แต่การแสดงยังไม่จบเขายยังคงต้องสวมหน้ากากอื่นอีกในครั้งนี้

ไอร์ซยับยั้งไม่ให้ตัวเองถอนหายใจแล้วเดินไปยังชาวบ้าน โดยมีอัลเบโดที่อยู่ในชุดเกราะติดตามพร้อมเสียงชุดเกราะกระทบกันให้ได้ยิน
----จัดระเบียบพวกทาสซอมบี้ซะ
ไอร์ซออกคำสั่งต่อเดธไนท์ในหัวขณะมุ่งไปยังกลุ่มชาวบ้าน และเขาก็เริ่มสังเกตเห็นความรู้สึกสับสน กังวลใจที่ปนเปกันแสดงออกให้เห็นทางสีหน้าอย่างชัดเจน

ไม่ใช่ว่าพวกชาวบ้านไม่พอใจที่เขาปล่อยให้อัศวินหนีไป แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้น่ากลัวกว่าอัศวินมากนัก
ท้ายที่สุดไอร์ซก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ ในเมื่อเขาแข็งแกร่ง และยังแข็งแกร่งกว่าอัศวินเหล่านั้นทำให้เขาไม่ได้นึกถึงมุมมองของชาวบ้านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ไอร์ซตั้งสติ และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ดูจะไม่ค่อยดีนักหากเขาเข้าไปใกล้กว่านี้ ไอร์ซจึงหยุดโดยเว้นระยะห่างระหว่างชาวบ้านกับตัวเขา ก่อนกล่าวกับทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล:
“ตอนนี้พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว อย่ากังวลไปเลย”
“ทะ ท่านคือ…”

ชาวบ้านที่ดูจะเป็นตัวแทนกล่าวขึ้น ถึงอย่างนั้นสายตาทั้งหลายก็ยังคงจับจ้องไปที่เดธไนท์อย่างไม่วางตา

“ข้าเห็นว่าหมู่บ้านนี้กำลังถูกโจมตี เลยเข้ามาช่วย”

“โออออออออออ…”
พร้อมกับเสียงตกใจ ทุกคนต่างดูจะผ่อนคลายขึ้นมา อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าชาวบ้านทั้งหมดตรงนี้จะสบายใจอย่างเต็มที่

‘ก็ช่วยไม่ได้ละนะ หรือบางทีผมควรจะเปลี่ยนวิธีดู?’
ไอร์ซตกลงใจจะใช้วิธีการที่เขาไม่ค่อยชอบนัก
“…จะว่าไปแล้ว ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยให้เปล่าๆหรอกนะ ข้าต้องการรางวัลจากชาวบ้านทุกคนที่รอดมาได้ เข้าใจใช่ไหม?”

ชาวบ้านต่างหันมามองหน้ากันเหมือนไม่ค่อยสบายใจเรื่องเงินนัก แต่สำหรับไอร๋ซเขารับรู้ได้ว่าคนที่สงสัยเขาในหมู่ชาวบ้านจะหายไปจนหมดแล้ว พวกเขาถูกช่วยเพราะเรื่องเงิน และก็เพราะเงินนี้แหละที่ทำให้ความแคลงใจของพวกเขาจางหายไป

“แต่ แต่ว่าสถานภาพของหมู่บ้านเรา”

ไอร์ซยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้หยุดก่อนจะกล่าวต่อ:
“ไว้เรามาคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ระหว่างข้ามาที่นี่ ข้าได้ช่วยพี่น้องคู่หนึ่ง ข้าว่าจะกลับไปนำพวกเธอทั้งสองมา พวกเจ้าช่วยรอก่อนได้ไหม?”

เขาต้องทำให้มั่นใจว่าทั้งสองพี่น้องจะรักษาความลับของเขาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่อาจให้พวกเธอบอกถึงรูปร่างที่แท้จริงกับคนอื่นได้

ไอร์ซค่อยๆก้าวจากไปโดยไม่รอคำตอบจากชาวบ้าน ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็คิดว่าควรจะใช้เวทย์เปลี่ยนความทรงจำของพวกเธอซะหน่อย

5 ความคิดเห็น:

  1. สนุกขึ้นเรื่อยๆ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  2. คอนที่4 อ่านไม่ได้อยากอ่านมากๆ

    ตอบลบ
  3. ตอนที่ 4 ลิ้งมันซ้อนกันน่ะครับ ลบลิ้งที่ซ้อนออกก็อ่านได้ละ

    ตอบลบ
  4. http://overlordnovel.blogspot.com/2015/10/overlord-volume-1-chapter-4.html?m=1
    เผื่อคนขี้เกียจนะครับ:)

    ตอบลบ