หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.1 Chapter 2

Chapter 2
Floor Guardians


Part 1


“จงตอบรับบัญชาข้า [เหล่าปีศาจแห่งเลเมเกทัน]”
เหล่ารูปสลักที่ทำจากแร่หายากต่างเคลื่อนกายมารับฟังคำสั่ง
ท้ายที่สุดโมมอนกะก็ยอมรับว่าโลกเสมือนได้กลายมาเป็นโลกแห่งความจริงไปแล้ว และตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องหาทางปกป้องตัวเองให้ได้


แม้ว่า NPC ที่เขาพบจะแสดงความเคารพต่อเขาเป็นอย่างมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าที่เหลือจะแสดงออกแบบเดียวกัน ยังไงเสียก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าจะมาเสียใจในภายหลัง

โมมอนกะได้ทำการยืนยันระบบการทำงานของรูปสลัก และเลเจนดารี่ไอเทม รวมถึงเวทย์มนตร์ของเขาภายในนาซาริกแห่งนี้…ทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนสำคัญสำหรับการอยู่รอดของเขา

“ในที่สุดก็จัดการปัญหาสุดท้ายได้ซะที”

เขาผ่อนคลายได้เล็กน้อยหลังมองไปยังรูปสลัก ซึ่งจะเชื่อฟังเพียงคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แม้จะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด---อย่างเช่นการที่ NPC จะก่อการปฎิวัติ---อย่างน้อยก็มีหลักประกันของสำหรับชีวิตของเขา

โมมอนกะมองไปยังนิ้วมือที่เป็นเพียงกระดูก ซึ่งสวมแหวนไว้ทั้งหมดเก้าวงโดยมีเพียงที่นิ้วนางข้างซ้ายที่ว่างอยู่ ในอิกดราซิลไม่ใช่เรื่องปกติที่จะใส่แหวนหลายวงได้ เว้นแต่จะใส่แค่ข้างซ้าย และขวาข้างละวง แต่สำหรับโมมอนกะที่ใช้ทักษะพิเศษของไอเทมเวทย์ ทำให้สามารถใส่แหวนได้ที่นิ้วทุกนิ้ว และใช้ทักษะของมันได้ทั้งหมด เขาจึงไม่ใช่แค่เพียงคนที่พิเศษกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักทั่วไปว่าเป็นหนึ่งในผู้ใช้ทักษะได้อย่างยอดเยี่ยมประจำเซิร์ฟเวอร์
หนึ่งในแหวนทั้งหมดของโมมอนกะคือ แหวนแห่ง Ainz Ooal Gown ซึ่งทำให้เขาสามารถเทเลพอร์ทไปยังห้องต่างๆในนาซาริกได้อย่างอิสระ โดยสมาชิกทุกคนของ Ainz Ooal Gown จะสวมแหวนนี้กันหมด
หลังจากที่เปิดใช้งานแหวน เขาก็ถูกส่งวาร์บผ่านอุโมงค์ทื่มืดสนิทก่อนจะพบแสงสว่างที่ปลายสุดของอุโมงค์

“สำเร็จ…”

หลังการเทเลพอร์ทเสร็จสิ้น โมมอนก็เดินไปตามทางเดินที่กว้างขวาง อากาศของชั้นนี้ให้ความรู้สึกของต้นหญ้า และผืนดิน ซึ่งเป็นกลิ่นของผืนป่า ตอนนี้โมมอนกะยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าที่แห่งนี้กลายเป็นโลกแห่งความจริงแล้ว

จากนั้นก็เกิดคำถามขึ้นในหัวของเขาระหว่างเดินอยู่ ในเมื่อร่างของเขาเป็นโครงกระดูกทั้งหมด แล้วยังไม่มีทั้งปอด หรือหลอดลมในตัว ทำให้เขายังหายใจได้อีก? ความสงสัยยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆแต่เขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ที่จะไปนึกถึง และได้เลิกที่จะตั้งข้อสงสัยในเรื่องนี้

เมื่อมาถึงปลายทางเดิน ประตูก็เปิดออกต้อนรับโมมอนกะ และอีกฟากฝั่ง คือพื้นที่อันกว้างใหญ่ ที่ถูกล้อมโดยรอบด้วย อัฒจันทร์ขนาดใหญ่

ตัวอัฒจันทร์รูปไข่นี้มีความยาวราวหนึ่งร้อยแปดสิบแปดเมตร กว้างหนึ่งร้อยห้าสิบหกเมตร และสูงสี่สิบแปดเมตร โดยต้นแบบของอัฒจันทร์มาจากโคลอสเซียมของอาณาจักรโรมันนั่นเอง

เวทย์มนตร์ที่เรียกว่า [Continuous Light] ถูกร่ายทั่วทุกส่วนทำให้มันส่องสว่างเหมือนช่วงกลางวันที่ด้านใน สำหรับที่นั่งของผู้ชมมีโกเลมที่สงบนิ่งจำนวนมากเรียงรายอยู่

ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า อารีนา ที่ซึ่งเหล่าผู้บุกรุกจะได้รับบทบาทเป็นแกลดดิเอเตอร์ และผู้ชมคือเหล่าโกเลมโดยรอบ สำหรับสมาชิก Ainz Ooal Gown จะนั่งที่ส่วนของ VIP ซึ่งเหล่าผู้รุกรานจะต้องพบจุดจบ ณ ที่แห่งนี้ไม่ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมากเท่าใดก็ตาม

ในตอนนี้เมื่อแหงนมองไปเหนืออารีนาจะพบกับท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้แสงเวทย์ และหากไม่มีแสงที่เปล่งจากเวทย์มนตร์ที่อยู่ข้างเคียง ก็จะสามารถมองเห็นหมู่ดาวบนฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับ
ที่ชั้นหกของนาซาริกนั้นถูกปกคลุมด้วยท้องฟ้าจำลอง ที่ซึ่งไม่เพียงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามห้วงเวลา แต่ยังมีกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นส่องสว่างในยามเช้า

ผู้คนสามารถมาผ่อนคลายกับบรรยากาศจำลองได้ยังที่แห่งนี้ ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับสมาชิกของกิลล์ อย่างไรก็ตามแม้เขาจะรู้สึกดีขึ้นเมื่ออยู่ที่นี่ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยเวลาไปกับสถานที่ได้ต่อไป

โมมอนกะมองไปรอบๆ อารีนานี้น่าจะดูแลโดยฝาแฝด...
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น

"ยะโฮ!"

พร้อมกับเสียงตะโกน ใครบางคนได้กระโดดจากส่วนที่ของนั่ง VIP เข้ามา ซึ่งมีความสูงเท่ากับตึกหกชั้น และเป็นการใช้เพียงพลังกายเท่านั้น เพราะไม่มีสัญญาณการใช้เวทย์มนตร์ใดๆออกมาเลย เด็กสาวแอ่นตัวเพื่อลดแรงกระแทกจากการกระโดด พร้อมทำมือเป็นสัญลักษณ์ “V” ซึ่งหมายถึงชัยชนะ

จากที่เห็นตรงหน้าคือเด็กสาวที่มีรอยยิ้มอันน่ารัก อบอุ่นประดับบนใบหน้า ผมสีทองที่พริ้วไหวบริเวณบ่าทำให้เป็นประกายสะท้อนแสงโดยรอบ รูม่านตาสีเขียว และสีฟ้าของดวงตาส่องสว่างให้รู้สึกเหมือนกับตาของลูกสุนัข หูที่ยาว ชี้ตั้ง และผิวกายสีดำทำให้รู้ว่าเธอคือพวก ดาร์คเอลฟ์ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับเอลฟ์ป่า

ที่ตัวถูกสวมด้วยเกราะเบาสีดำแกมแดงที่ทำจากเกล็ดมังกร บริเวณหน้าอกมีสัญลักษณ์ Ainz Ooal Gown สีขาว และทองสลักอยู่ ส่วนท่อนล่างนั้นสวมไว้ด้วยกางเกงขายาวสีขาว ที่คอประดับด้วยสร้อยคอลูกโอ๊กที่ส่องแสงสีทอง บริเวณเอวมีแส้ที่ถูกขดรอบ และที่หลังนั้นสะพาดด้วยธนูขนาดใหญ่ซึ่งแกะสลักลวดลายจากแดนไกลที่บริเวณด้ามจับ

"อา  ออร่า"

โมมอนกะเอ่ยชื่อของดาร์คเอลฟ์ขณะเดินเข้าหา เธอคือการ์เดี้ยนประจำชั้นหกของมหาสุสานแห่งนาซาริก ออร่า เบลล่า ฟิโอร่า ผู้ควบคุมสัตว์อสูร ซึ่งมีความสามารถในการควบคุมอสูรเวทย์ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์กองโจรอีกด้วย

ออร่าวิ่งเข้าหาโมมอนกะด้วยช่วงขาที่สั้นของตัว ทำให้เหมือนการก้าวย่างนั้นไม่ยาวนัก แต่ถึงเป็นเช่นนั้นความเร็วของเธอนั้นเร็วกว่าสัตว์อสูรเสียอีก ไม่ทันไรเธอก็เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
เมื่อใกล้จะถึงตัวออร่าก็เบรกอย่างฉับพลันก่อให้เกิดการเสียดสีจากรองเท้าซึ่งทำจากแผ่นโลหะผสมทองผลของการเสียดสีก่อให้เกิดฝุ่นควันคละคลุ้งที่ด้านหลัง

“ฟู่”

แม้จะไม่มีเหงื่อสักหยดออร่าก็ยังทำท่าเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มที่เหมือนสุนัขที่พยายามเอาใจเจ้าของ จากนั้นเธอก็กล่าวทักทายโมมอนกะด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่สูงเหมือนเสียงเด็ก:

“ยินดีต้อนรับ ท่านโมมอนกะ ขอต้อนรับสู่ชั้นของกระผม!”

การทักทายของเธอไม่ภูมิฐาน และเปี่ยมไปด้วยความยำเกรงเหมือนอัลเบโด หรือ เซบาสเตียน แต่ดูให้ความสนิทสนมมากกว่า สำหรับโมมอนกะเขาไม่รู้ว่าท่าทางสนิทสนทที่แสดงออกมานี้เป็นการแสแสร้งหรือไม่ เพราะเขาไม่เคยเจอกับเธอแบบนี้มาก่อน นั่นทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมา
จากการแสดงออกของออร่า เขาไม่รู้สึกถึงการต่อต้านจากรอยยิ้มของเธอตรงหน้า หรือจาการใช้ “enemy Scan” ก็ไม่มีการตอบสนองเช่นกัน

โมมอนกะเหล่ตามองซ้ายขวาก่อนจะคลายมือที่กุมไม้เท้าไว้อยู่
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาก็มีแผนจะโจมตี แล้วรีบหลบไปในทันที แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต่อไปแล้ว

“…อา ข้ามารบกวนเจ้ารึเปล่า”

“อะไรนะ? ท่านโมมอนกะคือนายเหนือแห่งนาซาริก เป็นผู้นำสูงสุด! ไม่เป็นการรบกวนเลยไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนหากท่านต้องการมาเยือน!”

“งั้นหรือ…ออร่าแล้ว…?”

ทันทีโมมอนกะถามออกมา ออร่าก็ค่อยๆหันไปมองยังด้านที่นั่ง VIP แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า:
“ท่านโมมอนกะมาแล้ว! อย่าทำตัวเสียมารยาท รีบออกมาได้แล้ว”

เมื่อมองไปภายใต้เงามืดของห้อง VIP จะเห็นเงาที่สั่นไหวอยู่ด้านใน
“แมร์อยู่ตรงนั้นใชไหม?”

“ใช่แล้วท่านโมมอนกะ เพราะเจ้านั่นขี้ขลาดสุดๆ...ก็เลยไม่กล้ากระโดดลงมา!”

“ไม่ใช่นะ...ท่านพี่...”

ออร่าถอนหายใจก่อนจะอธิบายออกมา:
“ก็นะ...ท่านโมมอนกะถึงเขาจะขี้ขลาดอย่างมากแต่ไม่ใช่ว่าเจ้านั่นจงใจจะเสียมารยาทต่อท่านเลยนะสักนิด”

“ข้าเข้าใจออร่า และข้าก็ไม่ได้สงสัยในความภักดีของพวกเจ้าเลยสักนิด”

ในการอยู่ร่วมกันในสังคม เราต้องเข้าใจเวลาที่จะพูด และความจริงที่ซ่อนอยู่ บางครั้งการพูดโกหกก็จำเป็นสำหรับเรียกความมั่นใจแก่สมาชิกในกลุ่ม และนั่นทำให้โมมอนกะพยักหน้ารับคำกล่าวของออร่า
ซึ่งก็ทำให้ออร่าดูจะคลายใจลง และหันหน้าไปยังด้านห้อง VIP อีกครั้ง:
“ท่านผู้นำสูงสุดอย่างท่านโมมอนกะได้มาเยือนที่ชั้นนี้เพื่อพบกับเหล่าการ์เดี้ยน นี่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างที่สุดที่จะมาทำตัวแบบนี้เข้าใจไว้ด้วย! ถ้ากลัวที่จะโดดลงมาอีกละก็ ชั้นนี่แหละจะไปเตะตูดแกลงมา!”

“เอ่อ...หนูจะลงบันไดแล้วกัน...”

“นี่จะให้ท่านโมมอนกะรอไปถึงเมื่อไหร่?! รีบลงมาเลยเดี๋ยวนี้!”

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว...!”

ด้วยความกล้าทั้งหมดที่มี ร่างเล็กๆก็โดดลงมาเบื้องล่าง นักเวทย์ดำนี่คือชื่อตำแหน่งของดาร์คเอลฟ์นี้ แรงกระแทกจากลงพื้นทำให้ เท้าทั้งสองเหยียบลงพื้นได้ไม่มั่นคงเหมือนกับออร่า บางทีอาจมาจากเรื่องของกำลังกายที่ต่างกัน

หลังจากลงมาสู่พื้น ร่างนั้นก็รีบวิ่งมายังทั้งสองอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ยังช้ากว่ามากเมื่อเทียบกับออร่า

“เร็วๆ!”

“รู้แล้ว รู้แล้ว...”

ร่างนั้นมีหน้าตามที่เหมือนกับออร่า ไม่ว่าจะเป็นความยาวของผม และสีผม, สีตา หรือใบหน้า ซึ่งทำให้ไม่สามารถแยกฝาแฝดทั้งได้ แต่หากเปรียออร่าคือดวงอาทิตย์ แมร์ก็คือดวงจันทร์ ขณะที่คนหนึ่งกำลังสั่นกลัว อีกคนก็กำลังดุว่าอีกคนอยู่ โมมอนกะรู้สึกประหลาดใจกับการแสดงอารมณ์ของทั้งสอง จากที่โมมอนกะรู้มาลักษณะนิสัยของแมร์ไม่ได้ถูกโปรแกรมไว้แบบนี้ NPC นั้นจะมีการแสดงออกพื้นฐานเท่านั้น และแม้ว่าบทบาทของ NPC จะมีมากขึ้นก็ไม่น่าที่จะเปลี่ยนการแสดงออกแบบเดิมได้ แต่ดาร์คเอลฟ์เด็กทั้งสองตรงหน้าโมมอนกะกำลังแสดงการเปลี่ยนสีหน้าออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

“ต้องขอโทษที่ต้องให้รอนาน ท่านโมมอนกะ...”

เด็กน้อยดูจะหวาดกลัว และลอบมองไปยังตัวโมมอนกะ ร่างนั้นอยู่ในชุดกระโปรงยาวที่ทำจากเกล็ดมังกรสีฟ้าหม่น และสวมผ้าคลุมใบไม้ป่าสั้นๆ แม้เครื่องแต่งกายจะใช้สีขาวเป็นหลักเหมือนออร่า แต่ส่วนล่างจะเผยให้เห็นเนื้อหนังมากกว่า สร้อยคอที่สวมทำจากลูกโอ๊กแบบเดียวกับออร่า แต่จะส่องส่องสีเงินแทน ที่มืออันเรียวยาวสวมไว้ด้วยถุงมือไหมสีขาวโดยมีไม้เท้าสีดำซึ่งเป็นไม้ที่บิดเป็นเกลียว

มาเร่เบลโล ฟิโอร่า

ทั้งมาเร่และออร่า ทั้งคู่ต่างเป็นการ์เดี้ยนประจำชั้นหกของนาซาริกแห่งนี้ โมมอนกะหรี่ตามองยังทั้งแม้ว่าเบ้าตานั้นจะว่างเปล่า เมื่อเขามองสำรวจทั้งสอง ออร่านั้นยืนตัวตรงตอบรับ ขณะที่แมร์ข่มกลั้นความกลัวสายตาของโมมอนกะ

เหมือนเมื่อก่อน ดูท่าทั้งคู่ยังคงเป็นมิตรเช่นอดีต

“ทั้งสองดูมีกำลังขวัญดี เยี่ยมมาก”

“โอ้ อันที่จริงผมว่าพักนี้จะดูทื่อๆลงไปหน่อย ถ้ามีใครบุกเข้ามาบ้างก็คงจะดี...”

“แต่ แต่หนูไม่อยากเจอศัตรูนี่...หนูกลัว....”

สีหน้าของออร่าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินแมร์กล่าวออกมา:
“…โอ้ ท่านโมมอนกะ ขอเวลาสักครู่นะฮะ แมร์มานี่”

“อ๋า อ๋า เจ็บๆๆ ท่านพี่ มันเจ็บอะ อ๊า”

หลังจากเห็นโมมอนกะพยักหน้ารับ ออร่าก็ดึงส่วนปลายหูที่ตั้งตรงอของแมร์จากไป เมื่อทั้งสองพ้นสายตาของโมมอนกะไปแล้ว ออร่าก็กระซิบที่หูของมาเร่ซึ่งแม้จะอยู่ไกลก็ยังได้ยินเสียงตำหนิของออร่าอยู่

“อาห์ ผู้บุกรุกเหรอ แมร์จริงๆแล้ว ผมก็ไม่อยากเจอเหมือนกันแหละ...” อย่างน้อยก็หวังว่าถ้าต้องเจอก็หลังจากเตรียมการต่างๆเรียบร้อยแล้ว โมมอนกะคิดขึ้นมาระหว่างมองการ์เดี้ยนฝาแฝดจากที่ห่างไกล

หลังจากที่แมร์ฟื้ยตัวจากการทารุณด้วยวาจาของออร่าแล้ว ร่างนั้นได้คุกเข่าลงกับพื้นโดยมีน้ำตานองหน้า จากมุมมองนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสองพี่น้องได้เป็นอย่างดี โมมอนกะอดที่จะเผยรอยยิ้ม และกล่าวกับตัวเองไม่ได้ว่า:
“หึ หึ แมร์นี่ไม่เหมาะกับการฆ่าใครจริงๆนะ น่าจะเหมาะกว่าถ้าให้เขามาทำชา แล้วนั่งฟังพี่สาวนี่แหละ แต่จะว่าไป...แมร์กับออร่าก็ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว...แล้วนี่ทั้งสองจัดการยังไงกันละ”

ในอดีตเมื่อตอนที่ผู้บุกรุกราวหนึ่งพันห้าร้อยคนบุกมายังสุสานแห่งนี้ และสามารถรุกมาจนถึงชั้นแปดได้ ทั้งมาเร่และออร่าต่างตายไปในตอนนั้น ทั้งสองยังจำได้ไหมนะ?

สำหรับทั้งสองคนความตายนี่เป็นยังไงกัน? แล้วจะมีผลกระทบอะไรรึเปล่า? ตามที่อิกดราซิลกำหนดไว้ เมื่อตายครั้งนึงจะเสีย 5 เลเวล แล้วอุปกรณ์สวมใส่ก็จะหลุดออกมา ถ้าผู้เล่นมีเลเวลแค่ห้า หรือ ต่ำกว่า ก็จะทำให้ผู้เล่นหายไปได้เลย แต่เพราะตัวผู้เล่นได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ ก็เลยไม่หายไปแต่จะลดเลเวลเหลือเพียงหนึ่ง

ข้อดีของ "rebirth" หรือ "resurrection of the dead" และเวทย์ชุบชีวิตอื่นๆ คือจะลดการเสียเลเวลลงได้ ไม่เพียงเท่านั้นถ้าหากใช้ไอเทมได้อย่างเหมาะสมก็จะเสียค่าประสบการณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับในกรณีของ NPC นั้นก็ไม่มีอะไรมาก ตราบใดที่ทางกิลล์จ่ายค่าชุบชีวิตซึ่งราคาก็ขึ้นอยู่กับเลเวลของ NPC ก็จะไม่เกิดผลกระทบใดๆจากการคืนชีพเลย

การตายจะเป็นการลดระดับของผู้เล่นที่เก่งลงมา การจะเพิ่มเลเวลในเกมต้องใช้ค่าประสบการณ์เป็นจำนวนมาก และแม้ว่าตอนตายจะแค่เสียอุปกรณ์สวมใส่ก็นับว่าเป็นการปรับโทษที่รุนแรงอย่างมาก อย่างไรก็ตามในอิกดราซิลการโดนลดระดับไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นนัก เท่าที่เขาเคยได้ยินมาทางบริษัทผู้ผลิตเกมหวังให้ผู้เล่นไม่กลัวการถูกรุกราน และกล้าที่จะผจญภัยไปยังพื้นที่ใหม่ๆ สำหรับผู้ที่มีความกล้าก็จะได้พบกับเรื่องที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ตลอดจนสิ่งใหม่ๆภายในดันเจี้ยน จากกฎของการตายที่ว่า เมื่อตอนที่ทั้งสองเผชิญหน้ากับศัตรูถึง 1,500 คน ที่พยายามจะสังหารทั้งคู่ หลังจากที่ชุบชีวิตแล้วจะทำให้ทั้งสองกลายเป็นเหมือนคนใหม่เลยหรือไม่?

ขณะที่เขาต้องการยืนยันความคิดนี้ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ต้องการให้ทั้งสองสงสัย บางทีการถูกบุกครั้งใหญ่นั้นก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายสำหรับออร่าเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยหากจะไปถามเธอเพียงความสงสัยส่วนตัวของเขา สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสมาชิกของ  Ainz Ooal Gown คือเหล่า NPC อันแสนรักที่พวกเขาให้กำเนิดขึ้นมา

สำหรับความเข้าใจเรื่องของความตายในอดีตกับตอนนี้นั้นเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนไปจากเดิม ความตายในโลกจริง แน่นอนว่าหมายถึงการจบสิ้นของทุกสิ่ง แต่ในตอนนี้อาจไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าตัวเขาจะคิดอยากลองทดสอบดู แต่ก่อนที่จะมีข้อมูลมากพอเขายังไม่อาจตัดสินใจสำหรับขั้นตอนต่อไปได้ ดังนั้นจะเป็นความคิดที่ดีหากจะเก็บปัญหานี้ไว้ก่อนแล้วค่อยมาว่ากันในอนาคต

จนถึงตอนนี้โมมอนกะรับรู้แล้วว่าอิกดราซิลนั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิม แต่มันก็ยังมีอีกหลายคำถามที่รอคำตอบอยู่

ระหว่างที่โมมอนกะนึกเรื่องเหล่านี้ ออร่าก็ยังคงการเทศน์ของเธอต่อไป จนโมมอนกะรู้สึกสงสารขึ้นมาบ้าง แต่ก่อนเพื่อนของเขากับพี่ชายมีเรื่องทะเลาะกัน ตอนนั้นโมมอนกะได้แต่อยู่เงียบๆที่ด้านข้าง แต่ไม่ใช่สำหรับตอนนี้

“เอาไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน โอเคนะ?”

"แต่ว่าท่านโมมอนกะ ในฐานะการ์เดี้ยนแล้วแมร์-!"

“- ไม่ต้องห่วงหรอกออร่า ข้าเข้าใจความรู้สึกในฐานะฟลอร์การ์เดี้ยนของเจ้าดี แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ค่อยยินดีนักที่ได้ยินแมร์กล่าวคำพูดของคนขลาดออกมาต่อหน้า ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังเชื่อว่าหากมีผู้รุกรานก้าวย่างเข้ามายังมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้ ทั้งเจ้า และแมร์จะต่อสู้อย่างห้าวหาญจนถึงที่สุด ตราบใดที่เขายังทำได้เช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องต่อว่ารุนแรงเช่นนี้หรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นออร่าก็เดินเข้าไปดึงตัวแมร์ขึ้นมา โมมอนกจึงกล่าวไปว่า:
“มาเร่เมื่อได้เห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ พี่สาวที่ห่วงใยเจ้าย่อมยกโทษให้อย่างแน่นอน เจ้าจงขอบคุณเธอให้มากละ”

แมร์มีอาการตกใจเล็กน้อยเมื่อมองไปยังพี่สาว
ในตอนนั้นออร่าก็กล่าวอย่างรวดเร็วออกมา:
“หือ? ไม่ ไม่ใช่หรอก ที่จริงแมร์ต้องขอบคุณท่านโมมอกะมากกว่า!”

“ออร่า ไม่ต้องกังวลไปหรอก ความตั้งใจของเจ้าข้ารับรู้ได้ ตัวข้าไม่ได้สงสัยในความสามารถของแมร์ในฐานะฟลอร์การ์เดี้ยนเลย”

“อา ใช่ ใฃ่แล้ว! ขอบคุณมากฮะ ท่านโมมอนกะ”

“ขอบพระคุณมากฮะ”

ทั้งสองทำความเคารพด้วยอาการนอบน้อมอย่างถึงที่สุดทำให้โมมอนกะอดรู้สึกอึดอัดไม่ได้ โดยเฉพาะสายตาของทั้งสองที่ส่องประกายแววาวทิ่มแทงมายังตัวเขา ตลอดชีวิตของโมมอนกะไม่เคยเลยที่จะได้รับความเคารพเช่นนี้มาก่อน ทำให้เขาต้องพยายามอย่างมากที่จะซ่อนความเขินอายเอาไว้โดยการกระแอมออกมาเล็กน้อย:
“เอาละ! ตอนนี้ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อยออร่า ตอนนี้เบื่อมากใช่ไหมที่ไม่มีศัตรูบุกเข้ามาเลย?”

“-อา ไม่ใช่ คือ แบบ แบบว่า…”

เมื่อเห็นท่าทางที่ดูหวาดกลัวของออร่า โมมอนกะรู้สึกได้ว่าเขาใช้คำถามผิดไป:
“ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าหรอก เพราะฉะนั้นจงบอกมาตามความรู้สึกของเจ้า”

“…ใช่แล้วฮะ ผมก็รู้สึกเบื่อนิดหน่อย แถวนี้ไม่มีใครจะมาเป็นคู่ต่อสู้ให้ผมได้เลยอย่างเก่งก็ทนได้ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้นเอง”

ขณะตอบคำถาม เธอก็เอานิ้วชี้ทั้งสองมาสัมผัสกัน ในฐานะฟลอร์การ์เดี้ยนแล้ว เลเวลของเธออยู่ที่ 100 นั่นทำให้มีคนจำนวนไม่มากที่สามารถต่อกรกับเธอได้ในสุสานแห่งนี้ จะว่าไปแล้ว NPC ทั้งหมดรวมทั้งออร่า และแมร์ก็ทั้งเพียงเก้ารายเท่านั้นที่พอจะสู้กันได้

“แล้วทำไมไม่ลองขอให้แมร์มาเป็นคู่ซ้อมละ?”

ทันใดนั้นร่างของแมร์ก็สั่นเทา เขารีบส่ายหัวทั้งที่น้ำตานองหน้าด้วยใบหน้าที่แสนหวาดกลัว ออร่ามองไปยังแมร์ที่ยังหวาดกลัวอยู่แล้วถอนหายใจออกมา พร้อมกับการถอนหายใจก็มีกลิ่นหอมโชยออกมาคละคลุ้งโดยรอบ เมื่อนึกได้ถึงความสามารถของออร่า โมมอนกะก็ถอยห่างออกไปให้พ้นจากกลิ่นนั้น

“อ๋า ขอโทษด้วยฮะท่านโมมอนกะ!”

ออร่ารีบโบกมือไล่กลิ่นออกไปจากอากาศโดยรอบ

[ทักษะติดตัว]

ออร่านั้นเป็นผู้ใช้ทักษะพิเศษนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งมีผลช่วยเพิ่มหรือ ลด สถานะของผู้ได้รับผลทักษะนี้ได้ โดยทักษะนี้จะใช้ผ่านการหายใจ และผลนั้นกินระยะทางหลายเมตรโดยรอบ หากผู้ใช้ตั้งใจจะใช้ทักษะนี้อย่างจริงจังก็สามารถเพิ่มระยะทางแสดงผลของทักษะได้ บางครั้งก็เป็นระยะทางถึงสิบเมตรได้เลย

ในอิกดราซิลผลการใช้ทักษะจำพวกเสริม หรือลดสถานะจะปรากฎเป็นไอคอนตรงหน้าไม่ว่าเกิดผลของทักษะหรือไม่ แต่ในตอนนี้ไม่มีไอคอนออกมาให้เห็นอีกแล้ว ซึ่งทำให้ค่อนข้างยุ่งยากมากกว่าแต่ก่อน

“ไม่มีอะไรแปลกไปแปลว่าผลของทักษะหมดแล้วสินะ!”

“อ่า คือว่า…”

…แบบว่าท่านโมมอนกะเป็นอันเดดนี่ฮะ ผลของทักษะคงไม่มีผลต่อท่านหรอก ใช่ไหมฮะ?”

ถ้าเป็นในอิดราซิลนี่ก็นับว่าถูกต้องแล้ว  อันเดดนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบใดที่ส่งผลต่อสถานะไม่ว่าจะดี หรือ ร้าย ก็ไม่มีผลเหมือนกัน

“…นี่ข้าอยู่ในระยะที่ทำการของทักษะอย่างนั้นรึ?”

“เอ่อ”

ออร่าหดคอเหมือนเต่าหดหัวโดยที่แมร์ซึ่งอยู่ด้านข้างก็ทำเช่นเดียวกัน

“…ข้าไม่ได้โกรธอะไรหรอกออร่า” โมมอนกะพยายามพูดอย่างนุ่มนวลที่สุดเพื่อปลอบทั้งสอง

“ออร่า…ไม่ต้องกลัวไปหรอก เจ้าคิดจริงๆเหรอว่าทักษะที่ปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจแบบนี้จะทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ? ข้าแค่ถามเท่านั้นแหละว่าตอนนี้ข้าอยู่ในระยะแสดงผลของทักษะหรือไม่”

“ฮะ! ตอนนี้ท่านกำลังอยู่ในระยะแสดงผลทักษะของผม”

เมื่อได้ยินที่โมมอนกะบอกมาออร่าจึงค่อยแสดงท่าทางสบายใจขึ้น ขณะเดียวกันโมมอนกะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันภายจากภายใน และเหมือนกับว่าท้องไส้จะปั่นป่วนขึ้นมา ถ้าหากว่าเขาอ่อนแอลง แล้วเขาควรทำอย่างไรดี? ทุกครั้งทีคิดเช่นนี้เขาอยากที่จะปัดมันออกไปจากหัวทุกครั้ง

“แล้วผลของมันคือะไรล่ะ?”

“ผลของมัน…น่าจะเป็น”[Fear] ฮะ”

"อือ อือ ......"  

เขาไม่ได้รู้สึกถึงสถานะ [Fear] เลย ในอิกดราซิลสมาชิกกิลล์ หรือสมาชิกร่วมทีมไม่สามารถโจมตีกันเองได้ แม้ว่ากฎนี้ไม่น่าจะใช้ได้แล้ว แต่จะเป็นการดีถ้าเขาจะยืนยันให้แน่ใจก่อน

“ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าผลด้านลบจากทักษะของออร่าจะไม่ส่งผลต่อพวกเดียวกันสินะ”

“หือ?”

ออร่าอดไม่ได้ที่จะเพ่งมองมา ไม่เว้นแมร์ที่แสดงอาการเช่นเดียวกัน โมมอนกะรับรู้ได้จากท่าทางของทั้งคู่ว่าที่เขากล่าวมานั้นไม่ถูกต้องเสียแล้ว

“นี่ข้าจำผิดไปอย่างนั้นหรือ?”

“ฮะ ผมทำได้แค่การควบคุมระยะแสดงผลเท่านั้นเอง บางทีท่านจะจำสับสนก็ได้นะฮะ?”

กฎที่ห้ามพวกเดียวกันทำร้ายกันเองดูจะไม่มีผลอีกแล้ว แต่ว่าแมร์ที่อยู่ใกล้ๆก็ดูจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย หรือว่าบางทีเขาอาจสวมไอเทมบางอย่างที่ช่วยป้องกันผลของทักษะนี้ก็เป็นได้

สำหรับอาร์ติแฟล็กไอเทมที่โมมอนกะสวมใส่อยู่นั้นไม่ได้ต้านทานผลของทักษะเหล่านี้ หรือเพราะเขาเป็นอันเดด? ทำไมเขาถถึงไม่ได้รับผลของ [Fear] ล่ะ?

จาการคาดเดามีความเป็นไปได้สองประการ ซึ่งอย่างแรกเกิดจากผลของทักษะพื้นฐานที่ช่วยป้องกันการแสดงผลของทักษะนี้ หรือ อีกอย่างเพราะว่าทักษะพิเศษของเขาเจตนารมณ์แห่งผู้มรณา

เนื่องจากเขาไม่อาจรู้ได้ว่าข้อสัณนิษฐานใดถูกต้อง โมมอนกะจึงเริ่มการทดสอบต่อไป:
“เจ้าช่วยลองใช้ทักษะให้แสดงผลกับคนอื่นให้หน่อยสิ?”

ออร่าเอียงศีรษะ ทำเสียงแสดงความสงสัยออกมา อีกครั้งที่มันทำให้โมมอนกะคิดถึงท่าทางของลูกสุนัขที่มองมา จนเขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาลูบหัวออร่า

หัวของเธอให้ความรู้สึกที่นุ่มเหมือนไหม และให้ความรู้สึกผ่อนคลายจากการสัมผัส เนื่องจากออร่าไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้าน หรือ ไม่พอใจ โมมอนก็อยากที่จะสัมผัสต่อไปยังบริเวณใบหน้า แต่เพราะแมร์ที่กำลังจ้องมองมาทางนี้ทำให้โมมอนกะต้องหยุดมือเอาไว้ ตอนนี้แมร์กำลังคิดอะไรอยู่นะ? ในเสี้ยววินาทีนั้นโมมอนกะก็ปล่อยมือจากไม้เท้า แล้วใช้มืออีกข้างที่ตอนนี้ว่างอยู่ลูบของมาเร่เส้นผมของแมร์ดูจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ในขณะที่โมมอนกะนึกเรื่องหมกมุ่นกับเรื่องแบบนี้ ท้ายที่สุดเขาก็นึกเรื่องที่จะทำขึ้นมาได้:
“ข้าอยากรบกวนพวกเจ้าหน่อบ ตอนนี้ข้ากำลังทดสอบอะไรหลายอย่างอยู่…ซึ่งข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยหน่อย”

แม้ว่าจะมีความรู้สึกเอ่อล้นอยู่บ้าง แต่หลังจากที่โมมอนกะถอนมือออกจากทั้งสอง ทั้งคู่ก็แสดงอาการเขินอาย และยังแฝงด้วยความภูมิใจร่วมด้วย

ออร่าตอบสนองกลับอย่างมีความสุขว่า:
“แน่นอนฮะ! ท่านโมมอนกะโปรดสั่งมาได้เลย”

“ขั้นแรกก็---”

โมมอนกะคว้าไม้เท้าที่ลอยอยู่ ตัวไม้เท้านั้นมีทักษะติดมาด้วยซึ่งจากทั้งหมดโมมอนกะได้เลือกทักษะจากอัญมณีบนไม้เท้ามาใช้

ทักษะอาร์ติแฟล็กไอเทม "Moon jade”
---อัญเชิญ มูนไลท์วูล์ฟ
ผลของการอัญเชิญก่อให้เกิดสัตว์อสูรออกจากอากาศ เวทย์อัญเชิญมอนสเตอร์ส่งผลที่นี่แบบเดียวกับที่อิกดราซิล นั่นจึงไม่ทำให้โมอมอนกะประหลาดใจนัก

มูนไลท์วูล์ฟ กับ ไซบีเรียนวูล์ฟ นั้นมีลักษณะเหมือนกัน เว้นเสียแต่ประกายแสงสีเงินที่เปล่งออกมา โมมอนกะ กับ มูนไลท์วูล์ฟนั้นมีการเชื่อมโยงบางอย่างต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าใครคือนายของมัน

“มูนไลท์วูล์ฟงั้นหรือ หือ?”
เสียงออร่าแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เข้าการที่เขาอัญเชิญมอนสเตอร์ที่อ่อนแอเหล่านี้ออกมา

มูนไลท์วูล์ฟนั้นมีความเร็วพอสมควรเหมาะสำหรับใช้ในการจู่โจมแบบฉับพลัน แต่ว่ามันก็มีเลเวลประมาณยี่สิบเท่านั้น ในมุมมองของโมมอนกะ และออร่าแล้วมันถือว่าเป็นมอนสเตอร์ที่ค่อนข้างอ่อนแอเกินไป แต่สำหรับในเวลานี้มอนสเตอร์เลเวลนี้นับว่าเพียงพอแล้ว อันที่จริงต้องบอกว่ายิ่งอ่อนแอก็ยิ่งดี

“เอาละ ข้าจะให้เจ้าพวกนี้เข้าไปในระยะที่ลมหายใจแสดงผลละนะ”

“หือ? ไม่มีปัญหาเหรอฮะ?”

“ไม่มีปัญหา เอาเลย”

โมมอนกะรู้สึกลังเลที่จะบังคับให้ออร่าลงมือทำเช่นนี้ ตอนนี้ไม่เหมือนกับในเกมอีกแล้ว มีความเป็นไปได้ที่เธอจะขัดคำสั่งของเขา และก็เป็นไปได้ที่ความสามารถของออร่าจะไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาต้องเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นโดยการใช้บุคคลที่สาม นั่นคือการอัญเชิญมูนไลท์วูล์ฟออกมา

หมาป่าถูกบังคับให้เข้าไปในรัศมีของลมหายใจ ซึ่งโมมอนกะไม่ได้รู้สึกว่าได้รับผลจากทักษะเลย แม้ว่าเขาจะอยู่ในระยะแสดงผลเช่นเดียวกับมูนไลท์วูล์ฟที่ได้รับผลไปแล้ว เขาพยายามทำตัวให้ผ่อนคลาย และทำใจให้สงบ ดูเหมือนเขาจะสรุปได้แล้วว่าทักษะของออร่านั้นยังใช้การได้อยู่

จากการทดลองนี้ทำให้เขารู้ว่าทักษะที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจเหมือนจะไม่ส่งผลต่อโมมอนกะ หมายความว่า---

ในเกมสำหรับพวกกึ่งมนุษย์ และเผ่าพันธ์อื่นๆ เมื่อระดับของคลาสเลื่อนมาถึงตามที่กำหนดไว้ ก็จะได้รับทักษะพิเศษของเผ่าพันธ์ สำหรับลิชอย่างโมมอนกะ เขาก็มีทักษะพิเศษอย่าง---

ในแต่ละวันสามารถอัญเชิญอันเดดขั้นสูงได้สี่ตน ขั้นกลางได้สิบสองตน และขั้นต่ำยี่สิบตน, สัมผัสแห่งความเสื่อมโทรม, ออร่า V [instant death], การป้องกันแห่งความเสื่อมโทรม, วิญญาณทมิฬ, แสงรัตติกาล, การอวยผลแห่งอมตะชน, ทักษะที่เพิ่มพลังโจมตี IV, ความต้านทานอาวุธแทง V, ความต้านทานอาวุธฟัน V, การต้านทานการหักล้างขั้นสูง III, การต้านทานเวทย์ขัดขวางขั้นสูง III, ยกเลิกการโจมตีจาก น้ำแข็ง/กรด/สายฟ้า, เสริมเวทย์สอดส่อง/มองทะลุ

นอกจากนี้ในระดับเชี่ยวชาญนั้นยังเพิ่มทักษะเข้าไปอีก --- เสริมความรุนแรงของ instant death magic, ทักษะพิธีกรรมแห่งความมืด, ออร่าแห่งอมตะชน, กำเนิดอันเดด และอื่นๆ
สำหรับทักษะพิเศษเบื้องต้นของอันเดด ก็ได้แก่ ยกเลิกการโจมตีถึงตาย, ยกเลิกสถานะทางจิตใจ, ยกเลิก ความต้องการอาหาร/ติดพิษ/ป่วย/หลับ/ตายเฉียบพลัน/อัมพาต, เวทย์เนโครแมนเซอร์, ต้านทานการโจมตีกายภาพ, ไม่ต้องการอ๊อกซิเจน, ทักษะลดสถานะไม่เป็นผล, ไม่โดนทักษะสูบพลังงงาน, การฟื้นฟูพลังงานด้านลบ, มองเห็นในที่มืด

แน่นอนว่านอกจากผลดีแล้วก็มีข้อเสีย : แพ้เวทย์แสง, แพ้การโจมตีศักสิทธิ์IV, อาวุธแตกหักง่าย V, การปรับโทษจากความเสียหายศักสิทธิ์, การโจมตีด้วยไฟรับผลเป็นสองเท่า

---ความสามารถพื้นฐานเหล่านี้เขาได้เรียนรู้ในฐานะอันเดด และทักษะพิเศษก็ได้รับจากการอัพเกรด โดยสรุปแล้ว คือทักษะของโมมอนกะนั้นจัดอยู่ในระดับที่สูงมาก

“ผลลัพธ์คือแบบนี้สินะ…ขอบใจมาก นี่ออร่ามีคำถามอะไรไหม?”

“ไม่มีหรอกฮะ”

“เท่านี้น่าจะพอแล้วละ-กลับไปได้แล้ว”

มูนไลท์วูล์ฟทั้งหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้

“…ท่านโมมอนกะ คือ แบบว่า ที่ท่านมาชั้นของพวกเราวันนี้ จะมาทำการทดลองเหรอฮะ?”

แมร์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามนี้

“หือ? อา ไม่ใช่หรอก ข้ามาฝึกอะไรหน่อยน่ะ”

“ฝึก? หือ? อย่างท่านโมมอนกะเนี่ยนะฮะ?”

ดวงตาของทั้งออร่า และแมร์เบิกว้างเหมือนกับจะถลนออกมา นี่มันเป็นเรื่องที่ผิดน่าประหลาดใจมากสินะ ที่ผมซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุด และผู้ปกครองแห่งมหาสุสานนาซาริกแห่งนี้ ไม่รู้วิธีการร่ายเวทย์ ท่าทางที่แสดงออกมาของทั้งสองทำให้โมมอนกะคาดเดาความคิดของทั้งคู่ได้ เขาจึงรีบตอบกลับไปว่า:

“ใช่แล้วละ”

ใบหน้าของออร่ากลับมาเหมือนเดิมทันทีที่โมมอนกะตอบกลับมา เขาค่อนข้างพอใจกับการตอบสนองที่อยู่ในการณ์คาดการณ์นี้

“ขออนุญาต ถามคำถามนะขอรับ  ที่ท่านโมมอนกะใช้อยู่ใช่อาวุธหนึ่งเดียวในตำนานที่เป็นสุดยอดแห่งอาวุธซึ่งอยู่เหนืออาวุธใดๆ ใช่ไหมขอรับ? ”

“หนึ่งเดียวในตำนาน? ดูเหมือนโมมอนกะจะรู้สึกสับสนไปบ้าง แต่เมื่อเขาหันไปเห็นดวงตาที่ส่องประกายของมาเร่เขาก็เข้าใจได้ว่า แมร์ถามอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝง”

“ใช่แล้วละ…สมาชิกทั้งหมดร่วมมือกันเพื่อสร้างมันขึ้นมา อาวุธที่แสดงถึงอำนาจสูงสุด ไม้เท้าแห่ง Ainz Ooal Gown”
โมมอนกะชูไม้เท้าขึ้น ซึ่งทำให้เกิดแสงสะท้อนอันงดงามโดยรอบ อย่างไรก็ตามภายใต้แสงที่ส่องสว่างที่เกิดขึ้นก็เงาซึ่งให้ความรู้สึกอัปมงคลสั่นไหวอยู่ นั่นก็ทำให้รู้สึกำได้แต่เพียงความชั่วร้ายเท่านั้น

โมมอนกะได้กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ และเหมือนกับว่ายิ่งพูดไปน้ำเสียงก็ทวีความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ:
“ไม้เท้านี้สลักด้วยรูปงูเจ็ดตัวซึ่งถูกฝังด้วยอัญมณีระดับอาร์ติแฟล็ก และรีลิค เพราะว่าพวกมันจัดว่าเป็นหนึ่งในไอเทมชุดซึ่งหากรวบรวมได้ครบ มันจะแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกมาได้ พวกเราทุ่มเทความพยายาม และเวลาอย่างมากที่สุดในการที่จะรวบรวมชุดคอลเล็กชั่นนี้จนครบ ข้าไม่อาจนับได้ว่าพวกเราต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนมากเท่าใดเพื่อรวบรวมสมบัติเหล่านี้…ไม่เพียงเท่านั้น ไม้เท้านี้ยังมีความสามารถที่เกินขีดของระดับอาร์ติแฟล็กไปแล้ว ซึ่งเทียบได้กับระดับเลเจนดารี่ได้เลย และก็ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของมัน ก็คือการผูกสัญญาโดยอัตโนมัติ…อะแฮ่ม”

…โมมอนกะรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไป เนื่องจากในอดีตแม้ว่าเขาจะสร้างมันร่วมกับเหล่ามิตรสหาย แต่ว่าจากการที่มันไม่เคยถูกนำออกจากท้องพระโรงเลย ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะนำมามาอวดใครได้ แล้วในตอนนี้เขาอยากที่จะอวดมันแก่ผู้อื่น อันที่จริงโมมอนกะก็อยากจะแสดงถึงความยอดเยี่ยมของไม้เท้านี้ต่อไปอีก แต่ว่าเขาต้องหยุดเอาไว้ก่อน

เพราะว่าเขาอับอายเหลือเกิน…

“…ก็อย่างที่ว่าไปนั่นละ”

“ว๊าว สุดยอดเลย…”

"ท่านโมมอนกะนี่แหละคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!"

 ดวงตาที่ส่องประกายของเด็กทั้งสองทำให้โมมอนกะหัวเราะออกมา ความรู้สึกที่อดกลั้นเอาไว้ถูกพัดหายไปหมดจากการแสดงออกของเขา –ซึ่งจะว่าไปหัวกระโหลกแสดงอารมณ์ไม่ได้นี่สิ- จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปว่า:
“ก็อย่างที่ว่ามา ข้าอยากจะทดสอบไม้เท้านี่สักหน่อย ก็เลยอยากให้พวกเจ้ามาช่วยด้วย”
“เข้าใจแล้วขอรับ! พวกเราจะเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อ แล้ว…เราจะได้เหนพลังที่แท้จริงของไม้เท้านั่นไหมขอรับ? ”

“แน่นอน ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองประสบการณ์จากอาวุธที่ทรงพลานุภาพมากที่สุดนี้”

“ยอดไปเลย!” –ออร่าร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นพร้อมกระโดดด้วยท่าทางที่ดูน่าเอ็นดู

 แมร์พยายามที่จะแอบซ่อนความตื่นเต้นนี้ไว้ แต่หูที่ยาวของเขาไม่หยุดสั่นๆแสดงอาการตื่นเต้นให้เห็น
แย่แล้ว ผมต้องทำตัวให้ดูเคร่งขรึมกว่านี้สิ จะปล่อยตัวไม่ได้ เมื่อนึกได้โมมอนกะก็พยายามรักษาท่าทางที่ดูสง่าเอาไว้

“…ยังมีอย่างออร่า ข้าได้ออกคำสั่งให้เหล่าฟลอร์การ์เดี้ยนมายังที่แห่งนี้ ซึ่งทั้งหมดน่าจะมารวมตัวกันไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนี่แหละ”

“หือ? งั้นพวกเราต้องเตรียมตัวให้-”

“ไม่จำเป็น เราจะรอจนกว่าทั้งหมดมารวมตัวกัน”

“อ๊า ผู้คุมทุกชั้น-?? งั้นหมายความว่าแชลเทียร์ก็มาด้วยสิฮะ?”

“ใช่แล้ว ทั้งหมดจะมาที่นี่”

"...... โอ"

หูที่ตั้งยาวของออร่าพลันลู่ลง

แต่ทว่าในทางกลับกันแมร์ดูตั้งตรงยิ่งขึ้น จากภาษากายของทั้งสองพอจะบอกได้ว่า ออร่านั้นไม่ถูกกับแชลเทียร์ ตรงข้ามมาเร่แล้วอย่างนี้จะมีอะไรไหมเนี่ย? โมมอนกะลอบถอนหายใจออกมา

Part 2

ทหารจำนวน 50 นายได้เดินทางข้ามผ่านทุ่งหญ้า เมื่อมองไปยังในแถวจะพบว่าทุกนายนั้นต่างกำยำ, กระฉับกระเฉง และดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง แม้ทั้งหมดจะใส่เกราะอกก็ยังมองเห็นกล้ามเนื้ออันกำยำที่ซ่อนอยู่ด้านใน หากจะให้อธิบายต้องบอกว่าทั้งหมดนั้น “แข็งแกร่ง บึกบึน” เป็นอย่างยิ่ง

ชายที่มีอายุราวสามสิบปี ซึ่งมีใบหน้าที่กร้านแดด และรอยเหี่ยวย่นที่มองเห็นได้ชัดเจน ผมสั้นสีดำที่ถูกตัดอย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งดวงตาสีดำ ที่แหลมคมราวกับดาบซึ่งกำลังจ้องมองเหล่าชายฉกรรจน์ด้านข้าง
“กัปตัน เรากำลังเข้าใก้ลหมู่บ้านแรกที่เราต้องตรวจตราแล้วครับผม”

“เข้าใจแล้ว ร้อยเอก”

นักรบผู้เป็นความภาคภูมิแห่งราชอาณาจักรรี-เอซไทซ์ กรีโอเกียฟ์ สโตโลนอฟ บัดนี้ได้เห็นหมู่บ้านเบื้องหน้า

กรีโอเกียฟ์ต้องระงับความร้อนรนไม่ให้กระตุ้นม้าคู่ขา และรักษาระดับความเร็วเอาไว้ ถึงความเร็วในตอนนี้จะไม่ทำให้ม้าเหน็ดเหนื่อยมากนัก แต่ว่ามันได้เดินทัพมาตั้งแต่เมืองหลวง เมื่อเดินทางมาเรื่อยๆ ความอ่อนล้าก็ทับถมเพิ่มมากขึ้น จนทำให้แม้แต่ม้ยังเหน็ดหน่อยจากการเดินทางไกล  นั่นทำให้เขาไม่สามารถเพิ่มภาระให้ม้าขึ้นไปอีก

“หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนะ”

ความรู้สึกไม่สบายใจแฝงในคำพูดประโยคนี้ กรีโอเกียฟ์ก็รู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อได้รับคำสั่งจากองค์ราชา ซึ่งมีบัญชาให้กรีโอเกียฟ์ไปสำรวจอัศวินของจักรวรรดิที่ปรากฎให้เห็นบริเวณชายแดน และถ้าพบก็ให้จักการกวาดล้างพวกนั้นในทันที

ตามปกติแล้วพื้นที่นั้นเป็นส่วนปกครองของเมืองเลทิเออร์ซึ่งหากส่งกำลังพลจากตรงนั้นไปย่อมเร็วกว่ามาก แต่ว่าจากข้อมูลที่ได้รับมาฝ่ายศัตรูเป็นอัศวินของจักรวรรดิที่ได้รับการฝึกฝน และมีอุปการณ์ครบครัน ดังนั้นความคิดเช่นตอนแรกจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
ในอาณาจักรนี้หนึ่งเดียวที่สามารถต่อกรกับอัศวินของจักรวรรดิได้ คือทหารที่ขึ้นตรงต่อกรีโอเกียฟ์ และตอนนี้หน้าที่ขับไล่การรุกรานจากจักรวรรดิก็เป็นความรับผิดชอบของกรีโอเกียฟ์ ซึ่งนั่นสร้างความปวดหัวให้เขาอย่างมาก

ก่อนที่กรีโอเกียฟ์จะถึงยังที่หมาย ทางเมืองสามารถจัดทหารไปปกป้องหมู่บ้าน นั่นเพียงพอที่จะต่อต้าน และยื้อเวลาได้สักพักหนึ่ง และยังมีอีกหลายวิธีในการต่อต้านการรุกราน แต่ทว่ากลับไม่มีการทำการใดๆเกิดขึ้นเลย – ที่จริงต้องบอกว่าไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ทำอะไรเลย

เมื่อได้รับรู้เหตุผล ความวิตกกังวลของกรีโอเกียฟ์ก็เพิ่มมากขึ้นราวกับจะไม่มีวันหมด เขาพยายามสงบสติอารมณ์ระหว่างที่มือก็กำสายบังเหียนไว้แน่น เป็นการยากยิ่งที่จะอดกลั้นความวิตกกังวลที่เผาไหม่ในใจเขา
“กับตัน มันโง่มากที่ไม่มีใครทำการสำรวจเลยจนพวกเรามาถึง ไม่แค่นั้น ทำไมพวกนั้นไม่จ้างคนมาช่วยสำรวจ? อย่างพวกนักผจญภัย พวกนั้นน่าจะสำรวจหาพวกอัศวินของจักรวรรดิได้ ทำไมไม่มีการทำอะไรเลย?”

“…พอแล้วร้อยโท ถ้าอัศวินของจักรวรรดิปรากฎให้เห็นในพื้นที่ชายแดนของอาณาจักรอย่างเปิดเผย สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายกว่านี้มาก”

“กัปตัน ที่นี่ไม่คนอื่นหรอก หวังว่าท่านจะพูดความจริงออกมานะ”

ใบหน้าของร้อยโทแสดงรอยยิ้มที่เหยียดหยามซึ่งไม่มีอื่นใดเจือปนออกมา ก่อนจะพูดอย่างรังเกียจว่า:
“เพราะพวกชนชั้นสูงพวกนั้นใช่ไหม?”

กริโอเกียฟ์ไม่ได้ตอบกลับเพราะนั่นคือความจริง

“เจ้าพวกชั้นสูงบัดซ-บเห็นชีวิตผู้คนเป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจ! ไม่แค่นั้นเพราะพื้นที่นี้อยู่ในการดูแลขององค์ราชาโดยตรง พวกนั้นเลยจะใช้มันมาเยาะเย้ยพระองค์อีก”

“…ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกที่คิดแบบนั้น”
“ก็อาจจะจริงอย่างที่กัปตันว่า พวกชนชั้นสูงบางคนก็ทำเพื่อประชาชน อย่างองค์หญิงทองคำ แต่ว่าก็แค่ส่วนน้อย…ถ้าเราสามารถรวมอำนาจได้อย่างทางจักพรรดิ์ก็ดี จะได้จัดการพวกชั้นสูงเว-รตะไลให้ชาวบ้าน จริงไหม?”

“แต่นายรีบร้อนเกินไป มันอาจจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองได้ แล้วประเทศเราก็จะถูกแยกเป็นหลายฝ่าย ตอนนี้ทางราชณาจักกำลังเผชิญหน้ากับความทะเยอทะยานของจักรวรรดิ์ที่ต้องการขยายดินแดน ถ้าเราเสี่ยงให้เกิดเรื่องอย่างสงครามกลางเมืองจะกลายเป็นหายนะของชาติได้เลย”

“ชั้นรู้ แต่ว่า…”

“ตอนนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน…”

ทันใดนั้นกรีโอเกียฟ์ก็ปิดปากลง แล้วจ้องมองไปยังเบื้องหน้า ที่ซึ่งมีควันไฟลอยคุล้งอยู่หลังเนินเขาเล็กๆตรงหน้าพวกเขา ทั้งหมดทราวบว่าสัญญาณที่เห็นหมายถึงอะไร

กรีโอเกียฟ์อดที่จะเดาะลิ้นเสียไม่ได้ เมื่อเขาควบม้าผ่านเนินเขาเล็กๆ ภาพตรงหน้าที่เขาคาดไว้ก็ปรากฎให้เห็น ทั้งหมู่บ้านถูกเผาไหม้เป็นจุณ หลังคาบ้านซึ่งถูกเผาเหลือแต่ซากมองไปเหมือนป้ายหลุมศพภายในซากปรักหักพัง

กรีโอเกียฟ์ได้ออกคำสั่งอย่างหนักแน่น:
“ทั้งหมดเตรียมตัวให้พร้อม เราจะเริ่มการค้นหาอย่างเร็วที่สุด”

หมู่บ้านทั้งหมดเผาไหม้ไม่เหลือ เศษซากของบ้านที่เหลืออยู่แสดงถึงรูปร่างเดิมของมัน เมื่อเดินผ่านซากแห่งหายนะนี้ กรีโอเกียฟ์ได้กลิ่นเหม็นไหม้ที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด

ใบหน้าของกรีโอเกียฟ์ดูสงบนิ่ง เหมือนกับว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนจะพบความว่าอารมณ์ของเขาตอนนี้ที่จริงเป็นเช่นไร ซึ่งร้อยโทที่เดินเคียงข้างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

มากกว่าร้อยชีวิตในหมู่บ้าน เหลือรอดเพียงหกเท่านั้น ทั้งหมดถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี ไม่ว่าจะเป็นเด็ก, สตรี หรือแม้แต่ทารก ไม่มีการละเว้น

“ร้อยโท แบ่งคนของเราจำนวนหนึ่งคุ้มครองผู้รอดชีวิตกลับไปที่เลทิเออร์”

“ช้าก่อน ในสถานการณ์แบบนี้…”

“ถูกต้อง ในสถานการณ์แบบนี้ เราต้องปกป้องพวกเขา”

ลาทิเออร์น่ะเป็นหนึ่งในผืนแผ่นดินขององค์ราชา และเป็นกิจวัตรของพระองค์ที่ต้องปกป้องหมู่บ้านโดยรอบ ถ้าผู้รอดชีวิตถูกทิ้งไว้ที่นี่ จะยิ่งสร้างปัญหาให้กับพระองค์ นายลองนึกภาพดู พวกกลุ่มชนชั้นสูงแต่ละฝ่ายย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือแน่ พวกนั้นจะต้องก่อไฟให้ปัญหาลุกลามขึ้น เพื่อจะริดรอนความชอบธรรมขององค์ราชา นอกจากนี้---

“ชั้นขอให้นายคิดทบทวนอีกที ผู้รอดชีวิตพวกนี้เป็นพยานในเรื่องอัศวินของทางจักรวรรดิ นี่เป็นภารกิจหลักที่องค์ราชามอบหมายมา ชั้นว่าเราต้องพาคนของเราถอยก่อนแล้วพักที่ลาทิเออร์ชั่วคราว เราต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไป”

“ไม่”

“กัปตัน! คุณควรจะรู้ดีนะ นี่มันกับดักชัดๆ หมู่บ้านนี้ถูกโจมตีทันทีที่พวกเรากำลังไปที่ลาทิเออร์ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว การกระทำอันป่าเถื่อนนี้ต้องเป็นการล่อพวกเราแน่ๆ อย่าเพิ่งวู่วามไปสิ ยังไงมันก็ต้องเป็นกับดักแน่นอน”

“พวกผู้รอดชีวิตไม่ใช่ว่าซ่อนตัวจากอัศวินพวกนั้นได้หรอก แต่เพราะพวกนั้นตั้งใจปล่อยต่างหาก ชั้นกลัวว่านี่ต้องเป็นแผนการของทางนั้นแน่ๆ พวกนั้นต้องการให้เราแบ่งกำลังไปคุ้มครองผู้รอดชีวิตนี่มันเห็นได้ชัดเจนเลย”

“กัปตัน คุณคงไม่ไบ่ตามพวกนั้นไปทั้งๆที่รู้ว่านี่คือกับดักใช่ไหม?”

“…ชั้น”

“นี่เอาจริงเหรอเนี่ย?! กัปตันตัวคุณน่ะแข็งแกร่งมากๆ ถึงจะเจอกับอัศวินร้อยนาย คุณก็ต้องเอาชนะทั้งหมดได้แน่ แต่ทางจักรวรรดิ์มีจอมเวทย์ที่มีฝีมืออยู่ ถ้าไอ้แก่นั่นมากับศัตรูด้วย มันจะอันตรายมากแม้จะเป็นคุณก็เถอะ หรือไม่อย่างนั้นหากกัปตันไปเจอกับตัวความภูมิใจของจักรวรรดิ์อย่างพาลาดินทั้งสี่ก็ใช่ว่าคุณจะชนะพวกนั้นได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นขอร้องละ โปรดถอยก่อนเถอะในตอนนี้ เพื่อราชณาจักรถึงจะต้องสละชีวิตชาวบ้านหลายคนก็ตาม มันเทียบไม่ได้กับชีวิตของกัปตันหรอก!”

กรีโอเกียฟ์ยังคงนิ่งเงียบรับฟัง ขณะที่ร้อยโทก็กล่าวต่ออย่างร้อนรนว่า:
“ถ้านายจะไม่ถอยทัพละก็…ถ้าอย่างนั้นเราก็ปล่อยพวกที่รอดชีวิตไว้ตรงนี้แหละ แล้วพวกเราก็ตามพวกนั้นไปกับนาย”

“นี่ดูจะเป็นวิธีการที่เข้าท่าที่สุด…แต่ทำแบบนี้ก็เท่ากับปล่อยให้พวกเขาตาย นายคิดว่าพวกผู้รอดชีวิตจะอยู่รอดได้อย่างงั้นเหรอ?”

ร้อยโทไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้ เพราะเขาทราบดีว่าโอกาสรอดของคนที่เหลือนั้นไม่มีอยู่เลย ถ้าพวกเขาไม่คุ้มครองคนเหล่านี้ไปยังสถานที่อันปลอดภัย คนเหล่านี้ย่อมถูกฆ่าตายภายในไม่กี่วัน ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ร้อยโทกล่าวมาก็ไม่ผิด –อันที่จริงเรื่องถูก หรือ ผิดไม่ใช่ปัญหาสำหรับตอนนี้
“…กัปตันชีวิตของคุณน่ะมีค่ามาก จะเอามาเปรียบกับชีวิตชาวบ้านพวกนี้ไม่ได้”

กรีโอเกียฟ์เข้าใจความเจ็บปวดในการตัดสินใจเช่นนี้ของร้อยโทดี นั่นทำให้เขารับฟังที่ร้อยโทกล่าวเรื่องเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการเช่นนั้น:
“ทั้งชั้น และนายก็เกิดในครอบครัวชาวบ้านเหมือนกัน”

“นั่นก็ถูก แต่ทหารส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมกองทัพก็เพราะชื่นชมในตัวกกัปตันกันทั้งนั้น”

“จำได้ว่านายก็เกิดในหมู่บ้านแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?”

“ก็ใช่ ชั้นน่ะ…”

“ชีวิตชาวบ้านมันไม่ง่ายเลย ผู้คนส่วนใหญ่ก็ที่ถิ่นของตัวเองกันทั้งนั้น ต้องหวาดกลัวมอนสเตอร์บุกรุกน เป็นปกติที่พบทั่วไปซึ่งนั่นก็ทำให้มีผู้ประสบภัยจำนวนมาอีก ที่พูดมาถูกต้องไหม?”

“…ใช่แล้ว”

“เมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ แม้จะเป็นทหารทั่วไปก็อาจต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ ถ้าไม่มีเงินจะจ้างนักผจญภัยที่เชี่ยวชาญมาจัดการกับมอนสเตอร์ พวกเขาก็ได้แต่รอรับชะตากรรมเท่านั้น”

“…ก็ถูก”

“แล้วอย่างนี้นายไม่เคยคาดหวังความช่วยเหลือเลยหรือ? เมื่อต้องการความช่วยเหลือ แล้วพวกชนชั้นสูงแม้แต่จะกระดิกนิ้วช่วย แล้วใครละจะมีกำลังพอจะทำเรื่องพวกนี้?”
“…พวกเขาก็ได้แต่จมอยู่กับความลวง เพราะความจริงไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเลย พวกชนชั้นสูงไม่มีทางจะส่งเงินมาให้หมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบแน่นอน”

“และนี่แหละคือประเด็น…เรามาร่วมมือกันทำให้ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นชั้นอยากจะช่วยชาวบ้านเหล่านี้”

ร้อยโทยังคงนิ่งเงียบเมื่อหวนนึกถึงประสบการณ์ของตนเอง

“สหาย เรามาร่วมมือกันแสดงให้ชาวบ้านเห็นเถอะว่าการเผชิญหน้ากับอันตรายแม้ต้องสละชีพของตนก็ตามเป็นเช่นไร ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าผู้มีความกล้าได้ยื่นมาช่วยช่วยเหลือ และยังคงเป็นความจริงที่ผู้มีกำลังย่อมช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า”

กรีโอเกียฟ์ และ ร้อยโท ต่างสบตาแลกเปลี่ยนความรู้สึกอันหลากหลายแก่กัน ท้ายที่สุดร้อยโทก็ยอมแพ้ และตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเหนื่อยหน่ายออกมา:
“…ถ้าอย่างนั้นให้ชั้นเป็นหัวหน้าขบวนไล่ล่าเถอะ มีคนอีกมากที่จะมาแทนที่ชั้นได้ แต่ไม่มีใครจะมาแทนกัปตันได้หรอก”

“อย่าโง่น่า ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว อัตรารอดตายของชั้นสูงมากนะ เราจะไม่ไปตายกันหรอก แต่เราจะไปปกป้องประชาชนแห่งราชณาจักรต่างหาก”

ร้อยโทอยากที่เปิดปากพูดหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้

“จัดทหารบางส่วนให้คุ้มครองชาวบ้านไปส่งที่ลาทิเออร์ให้เร็วที่สุด”

แสงสีแดงยามดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าสาดส่องทั่วทุ่งหญ้าก่อให้เกิดเงาผู้คนทอดออกมาหลายสาย จำนวนนั้นนับได้ 45 นาย กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ดีๆก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า หากจะว่าไปต้องบอกว่าเกิดจากเวทย์มนตร์เป็นแน่
คนกลุ่มนี้ดูไม่เหมือนทหารรับจ้าง, นักเดินทาง หรือนักผจญภัยเลย เมื่อมองเห็นได้ชัดเจนจะพบว่าทั้งหมดใส่ชุดเหมือนกันหมด โดยเครื่องสวมใส่ทั้งหมดมีส่วนผสมของโลหะพิเศษที่เสริมความคล่องตัว และการป้องกัน
ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถโดยเวทย์มนตร์ทำให้ชุดเหล่านี้ข้ามผ่านขอบเขตของเครื่องป้องกันที่ใช้แพร่หลาย จากการที่ต่างแบกเป้หนังเล็กไว้กับตัวหากไม่สังเกตุเห็นสัญลักษณ์เวทย์ที่อยู่ด้านบนมันก็เหมือนกับเป้เดินทางทั่วไป ส่วนที่เอวนั้นแต่ละคนคาดเข็มขัดที่มีขวดบรรจุของเหลวจำนวหนึ่งห้อยอยู่ สุดท้านที่หลังของพวกเขาสวมด้วยผ้าคลุมสีดำที่แผ่ออร่าของเวทย์มนตร์ออกมาให้เห็น

การที่จะทุ่มทั้งเงิน เวลา และความพยายามในการรวบรวมไอเทมเวทย์เหล่านี้มานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าผู้ถูกเลือกที่สวมใส่อุปกรณ์เวทย์เหล่านี้ต้องได้รับการสนับสนุนในระดับชาติเลยทีเดียว แต่เมื่อดูที่อุปกรณ์สวมใส่ต่างๆล้วนไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกที่มาของพวกเขาเหล่านี้เอาไว้เลย นั่นหมายความว่าทั้งหมดคือกองกำลังนอกนอกราชการที่ต้องปกปิดตัวตนเอาไว้

“…หนี เหรอ”

เสียงพูดที่เบื่อหน่ายซึ่งมีความผิดหวังปนมาด้วย

“…พวกเราไม่มีทางเลือก บางทีการโจมตีหมู่บ้านถัดไปเพื่อให้มันมาติดกับ เราควรจะล่อสัตว์อสูรเข้ามาในกับดักของเราด้วย”

ร่างนั้นมองไปยังเงาของกรีโอเกียฟ์ที่เดินทางร่วมกันไปเป็นกลุ่มในทางเดียวกัน
“เอาละ บอกหมู่บ้านต่อไปที่เราจะใช้เป็นเหยื่อล่อได้แล้ว”




Part 3

ภายในอารีนาโมมอนกะเตรียมพร้อมที่จะชี้นิ้วเพื่อร่ายมนตร์ไปยังหุ่นไล่กาที่อยู่ตรงหัวมุม นอกจากเวทย์โจมตีทั่วไปแล้วเขายังได้รียนรู้มนตร์พิเศษสายความตาย และยังมีการ “เพิ่มความรุนแรงของการโจมตี” อีกด้วย จะว่าไปแล้วคาถาส่วนใหญ่ของเขาที่ใช้แล้วไม่ถึงตายมีน้อยมาก
ที่จริงแล้วจากการที่โมมอนกะอยู่ในคลาสเนโครแมนเซอร์ เมื่อเขาร่ายมนตร์โจมตีก็จะมีการเพิ่มพลังโจมตีให้กับคาถานั้นๆจากผลของ “เพิ่มความรุนแรงของการโจมตี” ซึ่งก็ทำให้คาถาธรรมดาที่ร่ายออกมาทำความเสียหายได้มากกว่าคาถาบางตัวจากคลาสโจมตีขั้นสูงเลยด้วยซ้ำ

โมมอนกะมองไปด้านข้างไปเห็นแววตาที่เปี่ยมด้วยความสงสัยจากเด็กน้อยทั้งสอง ตอนนี้เขารู้สึกถึงแรงกดดันภายใน เนื่องจากเขาไม่แน่ใจว่าจะตอบรับความคาดหัวงของพวกเขาได้หรือไม่

โมมอนกะลอบมองไปยังมอนสเตอร์ขนามหึมาสองตัวเบื้องหน้า ขนาดของมันสูงราวสามเมตร พวกมันเป็นส่วนผสมของมนุษย์ กับ มังกร กล้ามเนื้อของพวกมันแสดงถึงการฝึกฝนเป็นอย่างดี และยังมีเกล็ดที่หนากว่าเหล็กปกคลุมอีกชั้น

พวกมันมีใบหน้าเป็นมังกร มีหางที่หนาราวกับต้นไม้ และไม่มีปีก พวกมันดูเหมือนมังกรที่ยืนสองขา ช่วงต้นแขนนั้นใหญ่และ หนาเกินคนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีดาบที่หนา ยาวถึงครึ่งหนึ่งของขนาดตัว ซึ่งสามารถใช้แทนโล่ได้เลย
มอนสเตอร์ทั้งสองนี้มีสืบเชื้อสายจากเผ่ามังกร และถูกอัญเชิญมาโดยออร่า ในฐานะผู้ควบคุมสัตว์อสูรเธอสามารถควบคุมพวกมัน และยังใช้พวกนั้นในการจัดการแข่งขันในอารีนาแห่งนี้

แม้เลวเวลของพวกมันจะเพียงห้าสิบห้า และไม่ทักษะพิเศษอะไรเลย แต่พวกมันสามารถโจมตีได้โดยเรื่อยๆไม่รู้เหนื่อยด้วยแขนอันกำยำของพวกมัน ทำให้สามารถต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับสูงได้เป็นอย่างดี

โมมอนกะถอนหายใจแล้วหันกลับมามองที่หุ่นไล่กาอีกครั้ง

สายตาของเขาจับจ้องไปยังหุ่นไล่กาเบื้องหน้า และหากมองอย่างละเอียดจะเห็นความกระวนกระวายของเขา เป้าหมายของเขาคือต้องการยืนยันว่าเขาสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้

ในการอนุญาตให้ออร่า กับ มาเร่ร่วมชม “การทดลองเวทย์” นี้ เป้าหมายหลักก็คือการแสดงถึงพลังที่เขาครอบครองเพื่อไม่ให้ทั้งสองได้รับรู้ว่าการเป็นศัตรูกับเขาเป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างที่สุด เขาต้องทำก่อนที่การ์เดี้ยนคนอื่นๆจะมาถึง

เด็กทั้งสองดูจะไม่มีทางที่จะทรยศเขา และเขาก็คิดว่าทั้งสองจะทำ อย่างไรก็ตามถ้าเขาเสียความสามารถในการใช้เวทย์มนตร์ไปแล้ว โมมอนกะก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าทั้งสองจะยังคงเป็นมิตรกับเขาต่อไปหรือไม่

ท่าทางของออร่าที่แสดงต่อโมมอนกะเหมือนกับว่าเธอรู้จักกับเขามานานแล้ว แต่สำหรับเขานี่คือการพบกันครั้งแรก
เห็นได้ชัดว่าบทบาทที่ตั้งไว้สำหรับทั้งสองถูกถ่ายทอดออกมาทั้งหมด ทั้งสองนั้นเป็นผลงานที่สุดจะสร้างสรรค์ของกิลล์ แต่ว่าอารมณ์ การแสดงออก และรูปแบบพฤติกรรมนั้นยังข้อแตกต่างจากเดิมบ้าง ทว่าตอนนี้ทั้งสองต่างมีสติปัญญาความคิดเป็นของตนเองซึ่งข้อแตกต่างนี้อาจส่งผลต่อพฤติกรรมของทั้งสองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หากความภักดีลดลง แล้วอะไรละที่จะเกิดขึ้น? หรืออีกนัยหนึ่งก็คือค่าความภักดีนั้นไม่ได้ปรากฎในข้อมูลที่ลงในโปรแกรมของทั้งสองเลย อีกทั้งการทำตามคำสั่งของทั้งสองก็ยังไม่แน่นอนอีก ถ้าหากว่าแค่ไม่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เขาก็ยังพอรับมือได้ แต่หากว่าเขาถูกหักหลังทันที่ถูกล่วงรู้ว่าตัวเขาไม่มีพลังอำนาจละ…?

ถึงการหวาดระแวงจะดูไม่ดีนัก แต่ก็ไม่เป็นการฉลาดที่จะเชื่อใจทั้งสองอย่างไร้ข้อกังขา โดนสรุปคือตอนนี้สำหรับโมมอนกะทางเลือกที่ดีที่สุดคือต้องมีสติ ในเรื่องการทดลองนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่จำเป็นคือหากเขาไม่สามารถใช้เวทย์มนตร์ได้ เขายังพอจะปรึกษากับออร่า และมาเร่ทั้งสองเชื่อว่าการทดลองนี้เป็นการทดสอบพลังของไม้เท้า ดังนั้นพลังเวทย์ก็ขึ้นกับเพียงตัวไอเทมเท่านั้น หากเกิดปัญหาเกี่ยวกับเวทย์มนตร์ของเขาก็ยังสามารถใช้ไม้เท้านี้เป็นข้อแก้ตัวได้ แผนการนี้ช่างสมบูณ์เสียจริง

โมมอนกะอดไม่ได้ที่จะชมตัวเองขึ้นมา ในอดีตเขาเป็นคนที่มีสติ และยืดหยุ่นขนาดนี้เลยหรือ? ไม่มีใครตอบคำถามนี้ของโมมอนกะ
ความสงสัยในหัวถูกทิ้งออกไป และหันมาเริ่มนึกเกี่ยวกับการใช้เวทย์ในอิกดราซิล ในเกมความรุนแรงของเวทย์นั้นถูกจัดไว้ที่ค่าหนึ่งถึงสิบ โดยที่คาถาทั้งหมดมีรวมกันมากกว่าหกพันคาถา ซึ่งต่างถูกแยกกันตามคุณลักษณะของมันอย่างเป็นระบบ ซึ่งจากคาถาที่แตกต่างกันทั้งสิบแปดรูปแบบเขาสามารถใช้ได้ถึงเจ็ดร้อยคาถา โดยทั่วไปแล้วผู้เล่นเลเวล 100 จะใช้เวทย์เพียงสามร้อยบทเท่านั้น ดังนั้นจำนวนที่โมมอนกะใช้ได้จึงไม่ธรรมดาอย่างมาก

เวทย์ทั้งหมดนี้ถูกฝังลึกลงในหัวสมองของโมมอนกะ และเขาก็กำลังหาเวทย์ที่เหมาะสมกับตอนนี้มากที่สุด

จากการที่ข้อห้ามในการทำร้ายเพื่อนในกลุ่มได้หายไปแล้ว เขาจึงต้องรู้ระยะแสดงผลของคาถาที่จะใช้ นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้เวทย์ในการต่อสู้ที่จะไม่เลือกจำนวนเป้าหมาย แต่จะเลือกที่ระยะแสดงผล ต่อไปคือการคำนวณระยะของหุ่นไล่กา เพราะฉะนั้น---
ในอิกดราซิลแค่เพียงกดปุ่มไอคอนก็จะเป็นการใช้เวทย์แล้ว แต่ทว่าการที่ไม่มีการเชื่อมต่ออีกจึงต้องหาวิธีอื่นแทน

ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจ แต่เขาก็เริ่มเข้าใจว่าควรจำทำอย่างไร
เขารู้สึกได้ถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัว ดูเหมือนว่าการเชื่อมต่อนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น โมมอนกะค่อยๆตัง้สมาธิ
เขาจินตนาการว่าตัวเขากำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ---
โมมอนกะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เขารับรู้ถึงระยะที่เหมาะสมสำหรับการแสดงผล และระยะคูลดาวน์สำหรับการร่ายคาถาต่อไป นี่เกิดจากความช่ำชองในอดีต หลังการยืนยันความสามารถของตัวเองแล้ว ความกระตือรือร้นก็เกิดขึ้น เขารู้สึกพอใจจากการที่รับรู้ได้ว่าเวทย์มนตร์นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของเขา ซึ่งนี่ไม่อาจสัมผัสได้จากอิกดราซิล

ความรู้สึกปลื้มปิติจากภายใน – แม้ว่ามันจะสงบลงอย่างรวดเร็ว เขาก็ยังรู้สึกถึงความตื่นเต้น – เขาได้รวบรวมพลังมารวมกันที่ปลายนิ้วแล้วเปล่งคำร่ายออกมา:
“ไฟร์บอล”
นิ้วของเขาชี้ตรงไปยังหุ่นไล่กา จากนั้นลูกไฟก็พุ่งไปยังตำแหน่งที่เขาชี้ อย่างที่คาดไว้ลูกไฟซึ่งเกิดจากการรวมตัวของเปลวเพลิงได้พุ่งเข้ากลางตัวหุ่นไล่กา ส่งผลให้เปลวไฟเผาผลาญที่ตัวหุ่นไล่กา และทำให้บริเวณโดยรอบกลายเป็นทะเลเพลิงที่ลุกโชน

ทั้งเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา เมื่อเปลวไฟมอดดับลงก็ไม่หลงเหลือเศษซากตรงบริเวณนั้น

“โอ๊อออออออ…”

ออร่า และแมร์มองภาพที่เกิดขึ้นด้วยแววตาที่สับสน ก่อนจะหันไปหัวเราะคิกคักกับโมมมอนกะ

“-ออร่า เตรียมหุ่นไล่กาตัวใหม่มา”

“อา ฮะ ผมจะจัดการเดี๋ยวนี้เลย! เอาละไปจัดการซะ!”

มังกรได้นำหุ่นไล่กาตัวใหม่มาแทนที่ตัวเดิม
โมมอนกะเดินไปด้านข้างหุ่นไล่กา และเผชิญหน้ากับมันพร่อมร่ายมนตร์ออกมา:
“เรซซิ่งเฟลม”

ทันใดนั้นเสาเพลิงได้โผล่ขึ้นมารายล้อมหุ่นไล่กา ขณะที่โมมอนกะยังคงร่ายมนตร์ไปยังหุ่นไล่กาผู้โชคร้ายอย่างต่อเนื่อง:
“ไฟร์บอล”

หุ่นไล่กาโดนลูกไฟพุ่งเข้าใส่ จากนั้นสิ่งที่หลงเหลือคือเพียงขี้เถ้าจากการเผาไหม้
ช่วงเวลาระหว่าการร่ายเวทย์คนละชนิดกันนั้นเหมือนกับในอิกดราซิล บางทีอาจจะเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำเมื่อนับแต่เริ่มจนถึงการปลดปล่อย ในเกมอย่างแรกต้องเลือกระยะที่จะร่ายเวทย์ จากนั้นก็เลื่อนตัวชี้ตำแหน่งเพื่อกำหนดขอบเขต

“เพอร์เฟ็ค”

เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่พอใจอย่างยิ่งทำให้โมมอนกะอดไม่ที่จะส่งเสียงแสดงความยินดีออกมา

“ท่านโมมอนกะ ต้องการให้ผมเตรียมหุ่นไล่กาเพิ่มไหมฮะ?”

ออร่ายังคงมองมาอย่างสับสน เธอรู้ว่าโมมอนกะเป็นจอมเวทย์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ดังนั้นการแสดงที่เห็นจึงไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเลย แต่ทว่าโมมอนกะกลับอยากให้ฝาแฝดนั้นประทับใจในการแสดงนี้ และตอนนี้จุดประสงค์อันนี้ก็ถือว่าได้ลุล่วงแล้ว
“…พอแล้วละ ต่อไปข้าอยากลองทดลองอย่างอื่นดูบ้าง”

หลังจากปฎิเสธข้อเสนอของออร่า โมมอนกะก็ได้ทำตามทดสอบอย่างต่อไป

“เมสเสจ”

นี่คือการติดต่อกับ GM ที่ใช้ทั่วไป ซึ่งเมื่อทำการใช้เวทย์ “เมสเสจ” ในอิกดราซิลตราบที่อีกฝ่ายยังอยู่ในเกมจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ หากไม่มีเสียงตอบรับการติดต่อจะถูกตัดไปทันที

ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงในกึ่งกลางจิตใจของตัวเองอยู่ มันเหมือนกับว่าทีเส้นด้ายที่ทอดยาวไปเรื่อยๆเพื่อหาผู้ที่จะติดต่อด้วย สำหรับโมมอนกะแล้วนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกซึ่งยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

ความรู้สึกนี้คงอยู่ชั่วเวลาหนึ่งจนสุดท้ายเมื่อไม่มีการตอบรับผลของ “เมสเสจ” ก็ได้หายไป ความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงได้ก่อตัวขึ้นภายใน โมมอนกะได้ร่ายมนตร์เดิมซ้ำอีกครั้ง แต่เป้าหมายในครั้งนี้ไม่ใช่ GM แต่เป็นเหล่าสหายในอดีต – เหล่าสมาชิกกิลล์ Ainz Ooal Gown

หลังจากใช้ติดต่อกันเก้าสิบเก้าครั้งก็ยังคงไม่ประสบผลจนเขารู้สึกถอดใจไปแล้ว เขายังใช้ “ส่งเมสเสจทั้งหมด” ไปยังสมาชิกทั้งสี่สิบคนแต่ก็ไม่มีการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด หลังการยืนยัน โมมอนกะก็ส่ายหัวอย่างช้าๆ

แม้เขาจะรู้ว่าตัวเองถูกทื้งให้โดดเดี่ยวมานานแล้ว แต่เมื่อประสบกับความจริงตรงหน้าเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังอย่างมาก

ท้ายที่สุดเขาก็ใช้เวทย์นี้ติดต่อกับเซบาสเตียน
----- อยู่ระหว่างการติดต่อ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคาดเดาได้ว่าเวทย์ “เมสเสจ” ยังใช้ได้ และไม่ได้จำกัดแค่เหล่าผู้คนบนโลกเดิม

“น้อมรับบัญชาท่านโมมอนกะ”

เสียงที่แสนนอบน้อมได้ชำแรกเข้าสู่สมองของเขา โมมอนกะนึกว่าบางที่อีกฝั่งหนึ่งเซบาสเตียนอาจกำลังโค้งรับอย่างสุภาพเหมือนที่ทำในโลกก่อน ระหว่างที่เขานื่งเงียบ และคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เซบาสเตียนก็รู้สึกผิดปกติจึงกล่าวออกมา:
“…กระผมขอบังอาจถามว่า ท่านมีอะไรให้กระผมรับใช้หรือขอรับ”

“อา ขอโทษที พอดีข้าเผลอไปหน่อย เอาละรายงานสถานการณ์รอบๆมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“รับทราบ พื้นที่โดยรอบนี้รายล้อมด้วยทุ่งหญ้า และไม่พบสิ่งมีชีวิตที่ดูจะมีสติปัญญาเลยขอรับ”

“ทุ่งหญ้า…ไม่ใช่หนองบึงรึ?”

พื้นที่โดยรอบของมหาสุสานแห่งนาซาริกควรเป็นหนองบึงขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของมอนสเตอร์รูปร่างกบที่เรียกว่าวิกซ์ โดยมีหมอกปกคลุม และเต็มไปด้วยบึงพิษจำนวนมาก

“ขอรับ พื้นที่โดยรอบล้วนแต่เป็นทุ่งหญ้าขอรับ”

โมมอนกะได้แต่แค่นยิ้มออกมา สถานการณ์นี้มันค่อนข้างจะเกินไปแล้ว…

“มหาสุสานแห่งนาซาริกทั้งหมดถูกย้ายมาที่ที่ไม่มีใครรู้จัก? …เซบาสเตียน ตรงนั้นมีอะไรลอยบนฟ้า หรือ เห็นการร่ายมนตร์คาถาแถวนั้นไหม?”

“ไม่ขอรับ ไม่มีอะไรอย่างที่ท่านกล่าวมาเลย ที่กระผมเห็นเป็นเพียงท้องฟ้าเช่นเดียวกับชั้นที่หกของนาซาริก”

“อะไรนะ! เจ้าบอกว่าท้องฟ้า?...แล้วยังไม่มีอะไรน่าสงสัยบ้างเลยรึ?”

“ไม่ขอรับ…ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยให้เห็นเลย แล้วก็นอกจากนาซาริกนี้แล้ว กระผมก็ไม่เห็นสิ่งก็สร้างอื่นเลยขอรับ”

“งั้นเหรอ…เป็นอย่างงั้นเหรอ…”

จะพูดอะไรดี? ดูเหมือนว่าโมมอนกะไม่อาจปักใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทว่าภายในใจเขาก็รู้ว่ามีโอกาสที่จะเป็นไปได้

เซบาสเตียนยังคงนิ่งเงียบรอรับคำสั่งเพิ่มเติมจากเขา โมมอนกะมองไปยังสายคาดป้องกันข้อมือซ้าย อีกภายในยี่สิบนาที เหล่าการ์เดี้ยนคนอื่นจะมาถึง ถ้านี่คือผลที่ได้จากการสำรวจก็มีเพียงคำสั่งเดียวที่เขาจะต้องสั่งออกมาในกรณีนี้
“จงกลับมาภายในยี่สิบนาทีที่อารีนาที่ซึ่งการ์เดี้ยนทั้งหมดรออยู่ แล้วจงเล่าทุกสิ่งที่เจ้าเห็น และปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

“น้อมรับบัญชา”

“จงรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนกลับมาด้วย”

หลังได้รับการตอบรับ โมมอนกะก็ได้ยกเลิก “เมสเสจ” เพื่อตัดการติดต่อ ระหว่างที่โมมอนกะนึกเรื่องที่ได้ทราบล่าสุดเขาก็ต้องถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าแฝดทั้งสองยังคงจ้อมมองมาที่เขาอยู่

ตอนนี้เขาก็ได้แสดงถึงพลังของไม้เท้าไปแล้ว ก็ควรให้ทั้งสองได้ลองทดสอบประสิทธิภาพของมันดูบ้าง โมมอนกะยังคงถือไม้เท้าเอาไว้แม้จะยังลังเลว่าควรเลือกใช้เวทย์บทไหนดี
ภายในไม้เท้าแห่ง Ainz Ooal Gown นั้นซุกซ่อนมอนสเตอร์เอาไว้นับไม่ถ้วน และหากเขาต้องการก็สามารถใช้ [การอัญเชิญฉับพลัน] เรียกพวกมันออกมาได้ นี่เป็นลูกเล่นเล็กๆที่แสนวิเศษจริงๆ

[อัญเชิญไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัล]

หลังผ่านการไตร่ตรองโมมอนกะก็เลือกที่จะใช้คาถาที่ซ่อนอยู่ในอัญมณีธาตุไฟ [อัญเชิญไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัล]
เหมือนตอบรับความคิดของโมมอนกะหินที่ห้อยอยู่ภายในปากงูก็สั่นไหว และเกิดพลังอันรุนแรงแผ่ออกมา โมมอนกะชูไม้เท้าแห่ง Ainz Ooal Gown ขึ้นบังเกิดลูกบอลแสงส่องสว่างเบื้องหน้า ซึ่งลูกบอลแสงนั้นก็สร้างลูกบอลแสงขนาดใหญ่อีกอันที่มีเปลวเพลิงวนรอบ คลื่นเปลวเพลิงหมุนวนเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เกิดทอร์นาโดเพลิงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสี่เมตร สูงหกเมตร

ความร้อนจากเปลวเพลิงได้แผ่กระจายโดยรอบ เมื่องชำเลืองมองเขาก็เห็นร่างอันสูงใหญ่ที่สืบเชื้อสายจากมังกรอยู่ตรงหน้าออร่า กับ มาเร่คลื่นความร้อนได้กระทบกับผ้าคลุมของโมมอนกะก่อให้เกิดเสียแตกปะทุดังขึ้น หากจะว่าไปมันสามารถทำให้เกิดการเผาไหม้ได้เลย แต่ทว่าโมมอนกะนั้นมีความต้านทานไฟอย่างสมบูรณ์ซึ่งข้ามผ่านจุดอ่อนดั้งเดิมของอันเดด นั่นทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบอะไร

หลังจากนั้นไม่นานทอร์นาโดเพลิงขนาดมหึมาที่สามารถหลอมโลหะ และกลืนกินแสงสว่างได้กลายมาสู่รูปร่างแบบมนุษย์

ไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัล– สามารถกล่าวได้ว่าในอยู่ในกลุ่มมอนสเตอร์สายเอเลเมนท์ชั้นสูงแล้ว ตัวมันยังมีระดับเลเวลที่แปดสิบห้า หรือมากกว่านั้น และเช่นเดียวกับมูนไลท์วูล์ฟ โมมอนกะรู้สึกได้ถึงการเชื่อมต่ออย่างน่าประหลาดใจระหว่าเขากับเอเลเมนท์ธาตุไฟนี้

“ว๊าว…”

ออร่าจ้องสิ่งที่ปรากฎอย่างจริงจัง ขณะที่น้ำเสียงของเธอบอกถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ตัวเธอนั้นไม่สามารถที่จะอัญเชิญเอเลเมนทัลชั้นสูงได้ด้วยเวทย์ของเธอเอง ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของออร่าแสดงออกถึงความยินดีเหมือนกับเด็กที่ได้รับของขวัญวันคริสต์มาส

“…เจ้าอยากจะลองสู้กับมันไหมละ?”

“หือ”

“อื่อ ฮื๊อ?”

หลังจากที่ตกตะลึกได้สักพัก ออร่าก็ได้ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มของเด็กอันไร้เดียงสา สำหรับเด็กแล้วรอยยิ้มของเธอค่อนข้างจะ...- ไม่สิมันไม่ใช่ค่อนจะแต่ว่ามันช่างป่าเถื่อนอย่างที่สุด แต่ทันทีที่เธอตัวตัวแมร์ที่อยู่ข้างๆ รอยยิ้มของเธอก็กลับมาแบบเด็กน้อยอีกครั้ง
“จริงเหรอฮะ?”

“ไม่มีปัญหา จะทำลายมันทิ้งก็ได้นะ”

โมมอนกะยักไหล่ขณะบอกว่าไม่มีปัญหา ด้วยพลังของไม้เท้าเขาสามารถอัญเชิญไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัลได้วันละตน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมื่อหมดวันเขาก็สามารถอัญเชิญได้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เพราะเหตุนี้ถึงมันจะถูกทำลายก็ไม่ได้เสียหายอะไรนัก

“อ่า หนูเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการ…”

“แมร์”

มือข้างหนึ่งของออร่าได้คว้ามมือของแมร์ไว้โดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหลบหนีไปได้ รอยยิ้มของออร่าทำให้แมร์เหมือนถูกแช่แข็ง สำหรับโมมอนกะแล้วนั่นเป็นรอยยิ้มที่น่าเอ็นดู แต่ในสายตาของคู่แฝดมันตรงข้ามกับคำว่ายิ้มไปไกลเลย สีหน้าของแมร์ตอนนี้เหมืนอกับถูกน้ำแข็งปกคลุมใบหน้า

แมร์ถูกลากมายังเบื้องหน้าของไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัล ดวงตาของเขาเกลือกกลิ้งไปทั่วโดยเฉพาะที่โมมอนกะเพื่อขอความช่วยเหลือ เขารู้สึกมีความหวังเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานแต่นั่นก็แค่ชั่วครู่เมื่อได้ยินที่โมมอนกะกล่าวต่อมาเขาก็เหมือนดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวในทันที

“เอาละ ทั้งสองลองไปเล่นกับเจ้านั่นหน่อยแล้วกัน แต่ถ้าเกิดบาดเจ็บขึ้นมาอย่ามาโทษข้าละ”

“โอเคฮะ-”

ออร่าส่งเสียงตอบรับ ขณะที่แมร์ก็ตอบมาอย่างท้อแท้จนแทบไม่ได้ยินเสียง โมมอนกะรู้สึกว่าแมร์จะไม่ขุ่นเคืองใจกับเขาในเรื่องนี้ อันที่จริงเขาอยากลองทดสอบการเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับเอเลเมนทัลนี้ ซึ่งก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงสั่งให้ฝาแฝดต่อสู้กับไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัล
เมื่อเผชิญหน้ากับคลื่นความร้อนอันรุนแรงจากเอเลเมนทัลธาตุไฟ ออร่า กับ แมร์ก็ร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูตรงหน้า

ออร่าจู่โจมโดยการใช้แส้ ขณะที่แมร์ใช้เวทย์มนตร์จู่โจมศัตรู

“ดูเหมือนทั้งคู่จะจัดการได้สบายๆเลยนะ”

ระหว่างที่โมมอนกะหันเหสายตาจากการปะทะเบื้องหน้า เขาก็เริ่มคิดถึงว่าต่อไปควรทำการทดสอบอะไรดี เวทย์มนตร์ และการใช้ไอเทมก็ได้รับการยืนยันแล้ว ถ้าอย่างนั้นต่อไปเขาควรทดสอบอุปกรณ์สวมใส่ดู ที่สำคัญก็พวกม้วนคาถา, ไม้เท้า, คฑา และอุปกรณ์สวมใส่อื่นๆ พวกไอเทมเวทย์อย่างม้วนคาถานั้นจะถูกทำลายหลังการใช้งาน ขณะที่คฑา และไม้เท้าสั้นต้องได้รับการเก็บประจุเวทย์ก่อนใช้งาน

โมมอนกะนั้นมีไอเทมเวทย์จำนวนมากเนื่องด้วยลักษณะนิสัยของเขาที่ชอบเก็บสะสมมากกว่าใช้งานพวกมัน การที่เขารู้สึกเสียดายเขาจึงไม่เคยใช้ไอเทมเรียกใช้ทั้งหลายเลย แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับบอสทั้งหลายเขาก็ไม่อยากที่จะใช้ไอเทมฟื้นฟูขั้นกลางเลย นั่นไม่อาจว่าเขาเป็นลักษณะที่รอบคอบได้ แต่ต้องว่าเขานั้นขี้เหนียวอย่างที่สุด ทำให้ตอนนี้ไอเทมต่างๆที่สะสมไว้จำนวนมาก

ในตอนที่เขาอยู่ในอิกดราซิล โมมอนกะจะเก็บไอเทมไว้ในกล่อง แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนเสียละ?

โมมอนกะเรียกหน้าต่างที่ใช้เปิดกล่องไอเทมในหัว และมือของเขาก็ยื่นไปในอากาศ จากนั้นที่ส่วนมือของเขาก็เหมือนกับแยกจากตัว และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เหมือนกับว่าหน้าต่างได้เปิดออกแล้วมือของโมมอนกะได้ข้ามผ่านมันไป จากเดิมที่ตรงหน้านั้นว่างเปล่าก็บังเกิดช่องว่างที่ภายในเต็มไปด้วยคฑาที่สวยงามเรียงรายอยู่ รูนี้เชื่อมโยงกับกล่องไอเทมของอิกดราซิลอย่างแน่นอน

ระหว่างที่ขยับมือ ไอเทมในช่องว่างก็เปลี่ยนไปซึ่งมีทั้ง ม้วนคาถา, ไม้เท้าสั้น, อาวุธ, ชุดเกราะ, เครื่องประดับ, หินมีค่า รวมไปถึงเวชภัณฑ์ และไอเทมเวทย์ประเภทเรียกใช้ซึ่งทั้งหมดนั้น….มีมากจนยากจะคาดเดาจำนวนได้

โมมอนกะอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ด้วยสิ่งนี้แม้ว่าทุกคนในนาซาริกจะเป็นศัตรูกับเขา โมมอนกะก็สามารถรับรองความปลอดภัยของตัวเองได้แล้ว

ระหว่างมองไปยังการต่อสู้ของออร่า กับ แมร์อย่างเฉยเมย โมมอนกะก็เริ่มสรุปข้อมูลที่เขามีทั้งหมด
NPC ที่เขาพบเจอมานั้นเป็นโปรแกรมใช่ไหม?
คำตอบคือไม่ พวกเขาต่างมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์จนแยกกันไม่ออกเลย โปรแกรมไม่มีทางจะแสดงอารมณ์ต่างๆออกมาได้ ทำให้สรุปได้ว่าด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พวกนี้กลายเป็นเหมือนมนุษย์ไปแล้ว

แล้วโลกนี้มันที่อะไรกันแน่?
อันนี้เขาไม่ทราบ จากที่เวทย์ในอิกดราซิลสามารถใช้ที่นี่ได้แม้พอจะกล่าวได้ว่านี่คือโลกของเกมแบบอิกดราซิล แต่จากการพิจารณาของเขามันยังมีส่วนที่น่าสงสัย มันไม่มีลักษณะเหมือนกับว่าอยู่ในเกมเลย ตกลงแล้วเขาติดอยู่ในเกม หรือ หลงมายังโลกอื่นกันแน่? น่าจะเป็นสักข้อ ต่อไปอาจจะแปลกสักหน่อยที่ตั้งคำถามแบบนี้

แล้วต่อไปเขาต้องทำตัวอย่างไรในอนาคต? (In what state of mind show he face the future? ตรงนี้มึนมากครับใครช่วยได้ช่วยหน่อย จมน้ำตายแล้ว)
เขาต้องยืนยันให้แน่ว่าอะไรในอิกดราซิลที่มีผลกระทบกับโลกแห่งนี้บ้าง ถ้ามอนสเตอร์ในนาซาริก และเหล่า NPC มีพื้นฐานมาจากข้อมูลอิเล็กโทรนิกจากอิกดราซิล เขาก็จะไม่มีศัตรูในนี้

ปัญหาคือว่าหากมีข้อมูลอื่นที่นอกเหนือจากข้อมูลอิเล็กโทรนิกมาเกี่ยวข้องละ ถ้าอย่างนั้นเขาอาจต้องมีท่าทีที่แตกต่างเพื่อเจอกับพวกนั้น โดยสรุปคือเดิมทีเขามีสถานะที่สูงสุดในที่แห่งนี้ และต้องวางตัวแบบราชาให้เห็น – ถ้าต้องทำเบบนั้น – เขาต้องวางตัวให้เหมาะสมกว่านี้

แล้วต่อไปเขาควรทำอะไรดีในอนาคต?
เขาควรจะรวบรวมหลักฐานต่างๆ แม้ว่ายังไม่แน่ในโลกนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้เขาเหมือนนักเดินทางที่ไม่ประสีประสา ดังนั้นเขาต้องระมัดระวังในการรวบรวมข่าวสารทั้งหลาย

แล้วถ้าหากนี่เป็นต่างโลก เขาควรหาทางกลับโลกเดิมดีหรือไม่?
เขายังสงสัยอยู่ ถ้าเขามีเพื่อนในโลกเดิมเขาควรจะกลับไป หรือถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็สมควรที่จะกลับไปยังบ้าน หากมีครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือแฟนสาว...
แต่ว่าเขาไม่มีคนเหล่านี้ที่รอคอยการกลับมาของเขา

ชิวิตของเขาวนเวียนอยู่แค่ทำงานให้บริษัทแล้วกลับบ้าน หลังกลับบ้านก็ล๊อกอินเข้าอิกดราซิล แล้วรอสมาชิกที่เหลือล๊อกอินตามมา เขากลัวเหลือเกินว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีอีกแล้วในอนาคต ถ้าอย่างนั้นเขาจะกลับบ้านไปทำไมละ?

แต่ว่าถ้าพอมีวิธีให้กลับไป เขาก็ควรจะลองหาทางดู การมีตัวเลือกนั้นย่อมดีกว่าเพราะข้างนอกนี่อาจเหมือนนรกเลยก็ได้

“ต่อไปควรจะทำอะไรดีละ…”

คำกล่าวที่เดียวดายของโมมอนกะก้องกังวาลไปในอากาศ


Part 4

ร่างอันใหญ่โตของไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัลค่อยๆหลอมละลายหายไปกับสายลม ทำให้คลื่อนความร้อนที่แผ่ออกมาในอากาศก็ค่อยๆจางหายไป

จากการหายไปของเอเลเมนทัลธาตุไฟนี้ทำให้โมมอนกะรู้สึกได้ถึงอำนาจในการควบคุมได้หายไปพร้อมกับมัน แม้ว่าเจ้าไพรมอลไฟร์เอเลเมนทัลจะมีพลังทำลายที่รุนแรง และทนทานเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าการโจมตีด้วยไฟอันร้ายกาจของมันก็ไม่บังเกิดผล เมื่ออยู่ต่อหน้าออร่าที่มีความคล่องตัวสูงมาก สำหรับเธอแล้วเจ้าก้อนไฟนี้เป็นเป้าขนาดใหญ่ง่ายต่อการโจมตีเป็นอย่างยิ่ง

โดยปกติออร่าควรจะได้รับบาดเจ็บบ้างจากการโจมตีแต่เมื่อมีแมร์ที่เป็นดรูอิดอยู่ด้วยเรื่องเช่นนี้จึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ อันที่จริงระหว่างการต่อสู้แมร์ได้ร่ายมนตร์สนับสนุนออร่ามาตลอดอย่างการเพิ่มพลังให้กับเธอ และลดค่าสถานะของคู่ต่อสู้ ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมทั้งการโจมตี และการป้องกัน ซึ่งต้องบอกว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันนั้นโมมอนกะก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างการต่อสู้นี้ กับ ในเกม เพราะว่าตอนนี้คือต่อสู้จริงๆ

“ช่างตื่นเต้นเร้าใจจริงๆ…ทั้งสอง…ทำได้ดีมาก”

เมื่อได้รับการชื่นชมอย่างไม่แสแสร้งจากโมมอนกะ เด็กน้อยทั้งสองก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา:
“ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับคำชมฮะ ท่านโมมอนกะ จะว่าไปก็นานามากแล้วที่พวกเราไม่ได้ออกแรงแบบนี้!”
ทั้งสองเช็ดเหงื่อที่ที่เปื้อนใบหน้าออกไป ถึงอย่างนั้นจากที่ทั้งสองได้ผ่านการออกแรงอย่างหนักทำให้ตอนนี้เหงื่อนั้นชะโลมทั่วผิวสีดำจางๆให้เห็น
โมมอนกะค่อยๆเปิดกล่องไอเทม และหยิบเมจิกไอเทมออกมา – [กาน้ำไร้ขอบเขต]
ในอิกดราซิลมีค่าความหิว และกระหายอยู่ แต่ที่ว่ามานี้ไม่ส่งผลอะไรต่ออันเดดอย่างโมมอนกะทำให้เข้าไม่เคยได้ใช่ไอเทมนี้เลย อย่างมากก็ใช้เทเข้าปากเท่านั้น รูปร่างของกาน้ำเหมือนแก้วใสที่ภายในเต็มไปด้วยน้ำสะอาด เมื่อเจ้าของต้องการน้ำเย็น หยดน้ำจำนวณมหาศาลก็พรั่งพรูเข้ามาในกาน้ำ
เขาหยิบแก้วที่สวยงามออกมาสองใบ แล้วเทน้ำลงไปก่อนจะยื่นให้ฝาแฝด:
“ออร่า มาเร่เข้ามาเอาน้ำสิ”
“หือ? นี่เป็นฝีมือของท่านเหรอฮะ ท่านโมมอนกะ…”
“ใช่แล้ว เวทย์ของข้าสามารถเสกน้ำออกมาได้”

เมื่อมองไปยังออร่าที่โบกมือไปมา และเมร์ที่ยังสั่นหัวไม่หยุด โมมอนกะก็ยิ้มออกมา:
“ไม่ต้องห่วงแค่นี้สบายมาก อีกอย่างพวกเจ้าสู้ได้ดีมาก นี่คือค่าตอบแทนทีข้ามอบให้”
“ว้าว อ๊า---”
“วู๊ว โอ๊--”

ทั้งออร่า กับ แมร์ต่างยื่นมือที่สั่นเทาไปรับถ้วยด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจากความเขินอาย:
 “ขอบคุณฮะ ท่านโมมอนกะ!”
“ทะ ท่านโมมอนกะรินน้ำให้หนูด้วย!”

นี่มันสำคัญขนาดทำให้ทั้งสองดีใจขนาดนี้เลยหรือ?
ออร่าเลิกปฎิเสธแล้วยื่นมือทั้งสองรับแก้วพร้อมดื่มมันหมดในครั้งเดียว เธอกรอกน้ำทั้งหมดผ่านผ่านลำคอ แล้วไหลลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ขณะที่แมร์ใช้มือทั้งสองข้างประคองแก้วน้ำเอาไว้แล้วค่อยๆจิบทีละน้อย ลัษณะนิสัยที่แตกต่างของทั้งสองถูกแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

ระหว่างที่มองทั้งสองโมมอนกะก็ลองเอามือมาสัมผัสที่คือ สำหรับเขาแล้วยังรู้สึกถึงสัมผัสของผิวหนังหลงเหลืออยู่
ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีทั้งความรู้สึกกระหาย หรืออยากนอนหลับเลย ถึงการเป็นอันเดดจะหมายถึงว่าคุณจะไม่เหลือความรู้สึกเหล่านี้ แต่เขาที่เคยเป็นมนุษย์แล้วพบว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรอย่างอื่นแล้วก็ยังอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นแค่เรื่องอำกันเล่นเท่านั้น
โมมอนกะยังคงสัมผัสร่างกายของตัวเองไปเรื่อยๆซึ่งไม่มีทั้งผิวหนัง, กล้ามเนื้อ, หลอดเลือด, เส้นประสาท ตลอดจนอวัยวะต่างๆ ส่วนที่เหลืออยู่คือกระดูกเท่านั้น ถึงเขาจะรู้ดีแต่ก็ยังไม่อยากยอมรับมันนัก ผลคือเขาคอยสัมผัสร่างกายของตัวเองอยู่เป็นระยะ
ระบบรับสัมผัสดูจะแย่ลงเมื่อเทียบกับตอนเป็นมนุษย์ มันเหมือนเวลาสัมผัสสิ่งของแล้วมีผ้าบางๆคั่นกลางอยู่ แต่ในทางตรงข้ามสัมผัสด้านการรับฟัง และการได้ยินดูจะแหลมคมขึ้น
เมื่อมีคนมองมายังร่างที่มีเพียงกระดูก เขาย่อมคิดไปว่ามันต้องเปราะบางเป็นแน่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกระดูกทั้งหมดนี้แข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก
นอกเหนือจากนี้การที่เขาเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนอย่างพลิกโฉมทำให้อารมณ์เรื่องความพอใจ และความต้องการแปลกไปจากเดิม มันเหมือนกับว่านี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับร่างนี้ บางที่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สติหลุดไปเสียก่อนตอนที่ร่างกายเขาถูกเปลี่ยนไปเป็นโครงกระดูกก็น่าจะมาจากความเป็นไปได้นี้
“จะเอาอีกไหม?”

โมมอนกยก [กาน้ำไร้ขอบเขต] ขึ้นมาถามเด็กน้อยทั้งสองว่าต้องการน้ำดื่มอีกไหม

“อุ-ขอบคุณฮะ! ผมดื่มพอแล้วฮะ!”
“งั้นเหรือ? แล้วเจ้าละแมร์? จะเอาน้ำอีกไหม?”
“เอ๋! อุ... อุ... หนู...หนูพอแล้วขอรับ ตอนนี้หนูไม่หิวน้ำแล้วฮะ”

โมมอนกะพยักหน้ารับ แล้วนำแก้วทั้งสองใบเก็บกลับเข้าสู่กล่องไอเทมอีกครั้ง
ทันใดนั้นออร่าก็กระซิบออกมา:
“ผมคิดว่าท่านโมมอนกะจะดูน่ากลัวกว่านี้ซะอีกฮะ”
“อาห์? งั้นเหรอ? แล้วเทียบกับตอนนี้...”
“ตอนนี้ดีกว่ามากเลยฮะ! ดีกว่ามากๆเลย!”
“งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน”

เมื่อฟังคำตอบที่ตื่นเต้นของออร่า โมมอนก็ก็อดจะตอบรับอย่างแปลกใจไม่ได้

“ท่านโมมอนกะไม่ได้ ใจดีแค่กับพวกเราใช่ไหมฮะ~~”

เมื่อเจอกับคำถามของออร่า โมมอนกะก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เขาก็เลยใช้วิธีลูบหัวออร่าแทน

“ฮิฮิฮิ”

ออร่าทำตัวเหมือนลูกหมาที่ค้นพบกับสิ่งที่โปรดปรานอันใหม่ ขณะที่แมร์ก็แสดงสีหน้าอิจฉาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น:
“หือ?” นี่เราเป็นคนแรกที่มาถึงสินะ?”

ถึงโทนเสียงจะเป็นลักษณะของผู้ใหญ่ แต่น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนอ่อนเยาว์มาก จากนั้นที่ตามมาคือเกิดเงาทอดยาวที่พื้น แล้วเงานั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนรูปทรงไปเป็นลักษณะประตูพร้อมร่างๆหนึ่งที่ผุดออกมา

ร่างนั้นอยู่ในชุดราตีสีดำที่ดูสบายตา ส่วนของกระโปรงฟูฟ่อง ขณะที่ส่วนท่อนบนของกระโปรงประดับด้วยลูกไม้ที่ทำจากสายริบบิ้น และสวมทับด้วยเทลเลอร์แจ๊คเก็ต ที่มือของเธอสวมถุงมือยาวที่ปัดลายลูกไม้ซึ่งปกปิดร่างกายของเธอจนแทบไม่มีส่วนใดของร่างกายเผยออกมาให้เห็น
สำหรับใบหน้าที่แววาวเหมือนฉาบด้วยขี้ผึ้งของเธอหากจะให้บรรยายคงบอกได้แค่เพียงว่า ‘เป็นตัวแทนของความงาม’ ด้วยเส้นผมสีเงินซึ่งถูกมัดเป็นทรงหางม้า ทำให้เปิดเผยใบหน้าของเธอจนมองเห็นดวงตาสีดำที่น่าพิศมัย และดูเย้ายวนอย่างเด่นชัด

จากรูปลักษณ์เธอน่าจะอยู่ในช่วยวัยประมาณสิบสี่ หรือน้อยกว่า ลักษณะเหมือนเด็กน้อยทำให้เกิดการจับคู่กันระหว่างความน่ารัก และความงาม ยิ่งขับเน้นความงดงามให้มากยิ่งขึ้น ส่วนหน้าอกถูกดันจนตั้งชูชัน แต่กระนั้นก็ดูจะไม่ค่อยสมกับวัยนัก

“…การเคลื่อนย้ายพริบตาถูกห้ามอย่างเด็ดขาดในนาซาริกนี้ แล้วยังเรื่องที่เธอถูกห้ามใช้ [พอร์ทัล] อีก? เธอก็หัดเดินมาอารีนาเองได้แล้วแชลเทียร์”
เสียงอันหงุดหงิดรำคาญดังเข้าสู่โสตประสาทของโมมอนกะ โทนเสียงที่เย็นชาที่ได้ฟังไม่เหมือนกับลักษณะของลูกสุนัขเชื่องๆก่อนหน้า แต่กลับแสดงถึงความเป็นปรปักษ์อย่างเห็นได้ชัด
แมร์เริ่มสั่นกลัว และรีบถอยห่างออกจากพี่สาวออกมา อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของออร่าแบบ 180° ของออร่านี้ก็สร้างความประหลาดใจให้แก่โมมอนกะเช่นกัน

หญิงสาวที่ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายขั้นสูงสุดในการเดินทางมาที่แห่งนี้มีนามว่าแชลเทียร์ ซึ่งเธอไม่แม้แต่จะเหลือบมองออร่าที่ตอนนี้แสดงสีหน้าอันดุร้ายอยู่ข้างกายของโมมอนกะ แต่กลับเดินตรงมาหาเขาโดยตรง

ยิ่งเข้ามาใกล้เขาก็ได้กลิ่นหอมยั่วยวนแผ่ออกจากตัวเธอ
“…เหม็นอะ”

ออร่าสบถออกมา พร้อมกับกล่าวแดกดัน “นี่มันกลิ่นของพวกอันเดดนี่เอง อย่างว่าเจ้าพวกนี้มันก็เหมือนกับเนื้อเน่าๆนี่เนอะ”

บางทีจากที่เห็นโมมอนกะยกแขนขึ้นมาดมโดยสัญชาติญาณทำให้ชาลเทียร์ขมวดคิ้ว และกล่าวอย่างไม่สบอรมณ์:
“…ที่เจ้าพูดออกมาช่างน่ารังเกียจเสียจริง อีกอย่างนายท่านโมมอนกะก็เป็นอันเดดเหมือนกันรู้ไว้ซะบ้าง”
“ทำไมเหรอ? นี่เธอพูดอะไรสิ้นคิดแบบนั้นละแชลเทียร์? ทำไมคิดว่าท่านโมมอนกะเหมือนพวกอันเดดทั่วไปด้วยละ? ท่านน่ะก้าวข้ามขอบเขตของเผ่าพันธุ์อันเดดไปแล้ว บางทีอาจข้ามระดับของเทพเจ้าอันเดดไปแล้วด้วยซ้ำ”

โมมอนกะได้ยินเสียง “อ่า”และ “เอ่” จากแชลเทียร์ กับ แมร์ตอบรับคำกล่าวของออร่า ถึงตอนนี้จะยังไม่เป็นที่ชัดเจนนัก แต่ที่อิกดราซิลเขาก็เป็นแค่อันเดดธรรมดาเท่านั้น…ก็เขาว่าบางทีอาจระดับสูงกว่าซักหน่อย แต่โดยสรุปคือไม่มีอันเดดชันสูง หรือเทพเจ้าอันเดดในวงศ์วานอันเดดอย่างที่กล่าวมา

“แต่ว่าท่านพี่ หนูว่าที่พี่พูดไปก็ออกจะแรงไปหน่อยนะ”
“โอ๊ งั้นเหรอ? งั้นเอาใหม่ละกัน *แค่กๆ*เอาละ …งั้นเอาเป็นนี่มันกลิ่นมันเหมือนเนื้อที่กำลังเน่าเป็นไง?”
“ก็…ก็น่าจะดีกว่าละฮะ”
หลังตอบรับความพยายามครั้งที่สองของออร่า แชลเทียร์ก็ยื่นมือที่บอบบางออกไปสวมกอดที่ศีรษะของโมมอนกะ:
“อาห์ นายท่าน ผู้นำเพียงหนึ่งเดียวของเรา โอห์ นายท่านที่รักยิ่ง”
เธอเผยอริมฝีปากสีแดงออกมา เผยให้เห็นลิ้นที่เปียกชุ่มภายใน ซึ่งมันเธอใช้มันเลียวนรอบริมฝีปากอันอวบอิ่ม การเคลื่อนไหวของมันดูราวกับว่ามันมีชีวิต พร้อมกันนั้นก็มีกลิ่นหันหมอกรุ่นให้ได้กลิ่นออกมาจากของเธอนี้

แม้ว่าเธอจะแบบอย่างของความงามอันน่าหลงไหล และไม่อาจมีใครเทียบได้ แต่จากรูปลักษณ์ตามวัยของเธอทำให้คนที่เห็นอดยิ้มในความขัดแย้งนี้ไม่ได้ ความสูงของเธอนั้นน้อยเกินไป แม้ว่าเธอจะพยามยามยื่นแขนออกมาโอบกอดที่คอ ลงท้ายมันก็ดูเหมือนการห้อยโหนบริเวณคอแทนเสียอย่างนั้ น เนื่องจากโมมอนกะไม่ค่อยสันทัดกับการรับมือผู้หญิงนัก การกระทำของเธอมันเลยเหมือนการยั่วยุอารมณ์อย่างมาก ตอนนี้เขาอยากจะถอยหนีออกมา แต่ท้ายสุดเขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่นิ่งๆไม่เคลื่อนตัวหนีไปไหน

นี่เธอมีนิสัยแบบนี้อย่างนั้นเหรอ? ความคิดเช่นนี้ค่อยๆผูดขึ้นมาในหัว เมื่อลองนึกย้อนกลับไป เขาก็นึกได้ว่าหญิงสาวถูกสร้างโดยสมาชิกอย่างคุณเปลูชิโน ซึ่งการที่เธอมีนิสัยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็ในเมื่อคนสร้างเป็นผู้หลงใหลใน H เกม มากกว่าผู้ใด เขายังภูมิใจบอกกับคนอื่นอีกว่า “ H เกมน่ะมันก็คือชีวิตของชั้นเลย”
แชลเทียร์ บลัดฟอลเล่น ตัวละครที่ถูกสร้างโดยคนไม่ได้ความคนนั้น
เธอคือการ์เดี้ยนประจำชั้นที่หนึ่งถึงสามของมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้ เธอผู้ซึ่งเป็น “สายเลือดแท้แห่งวงศ์วานแวมไพร์” และยังเป็นผลงานชิ้นเอกของผู้หลงใหลใน H เกม การตั้งค่าทั้งหมดถูกเติมเต็มโดยผู้สร้างที่ใส่ทุกของภาพพจน์/บทบาท ใน H เกมลงไป

“…หัดเก็บอารมณ์ซะบ้าง…”
เป็นครั้งแรกที่แชลเทียร์มีปฎิกริยากับเสียงคำรามอันดังของออร่า แล้วหันมาเยาะเย้ย:
“อาร๊า เจ้าตัวเล็กอยู่ด้วยหรือนี่? เรามองไม่เห็นเจ้าก็เลยนึกว่าเจ้าไม่อยู่ซะอีก”

โมมอนกะไม่คิดจะไปแทรกการสนทนาของทั้งสอง ซึ่งตอนนี้หน้าของออร่านั้นสั่นไปหมดแล้ว ขณะที่แชลเทียร์ก็ทำเป็นไม่สนใจท่าทางนั้นแล้วหันไปกล่าวกับแมร์:
“มันคงยากนะสำหรับเจ้าที่ต้องมีพี่สาวที่ไม่ปกติแบบนี้ น่าจะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าจะรีบไปให้ห่างเธอให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นสักวันเจ้าต้องกลายเป็นอย่างเธอแน่ๆ”

สีหน้าของแมร์เปลี่ยนในทันใดเพราะรู้ว่าตัวเองตอนนี้ถูกแชลเทียร์ใช้เป็นตัวจุดชนวนกับพี่สาว
แต่ออร่ากลับเพียงยิ้มตอบมา---
“หนวกหูน่า ยัยนมเก๋”
---และแล้วระเบิดก็หย่อนลงกลางวง
“…นี่แกพูดเหี้-ยอะรไรมาฟะ---!”

อา ภาพลักษณ์ของเธอไม่เหลือแล้ว---โมมอนกะนึกขึ้นมา แชลเทียร์ในที่สุดก็เผยธาตุแท้ออกมาต่างจากการพูดเสแสร้งก่อนหน้านี้

“แค่มองใครๆก็รู้แล้ว-ไอ้รูปร่างแบบนั้นน่ะมันไม่ปกติหรอก แล้วนี้เธอเสริมไปกี่ชั้นละ หือ?”
“หวา-หวา”

แชลเทียร์ออกอาการกระวนกระวายอย่างไปรอบๆอย่างควบคุมไม่ได้ โดยพยายามปิดร่างกายส่วนที่ดูไม่สมจริงนั้น ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งออร่าก็ฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย:
“แผ่นเสริมนั้นมันสูงใหญ่มากสินะ…เพราะงั้นเวลาเดินเลยชอบเคลื่อนไปมาใช่ไหมละ?
“กึ๊ก!”

เมื่อถูกเอานิ้วจิ้ม แชเลเทียร์ก็ส่งเสียงแปลกกระหลาดออกมา

“ตรงเป้าเลยละสิ! ยังไงก็ซ่อนไม่ได้นานหรอกเน้ออออ~!!! เพราะกังวลมากเลยล่ะสิ ถึงไม่ยอมเดินมาแต่ใช้ [พอร์ทัล] แทน หาว่าไง -- ”
“หุบปากไปเลย! ไอ้เตี้ย! แกมันก็แบนราบยังกะลู่วิ่งเครื่องบินซะอีก” อย่างน้อยเราก็...เราก็มีมากกว่าแกนั่นแหละ!”

แชลเทียร์พยายามสวนกลับอย่างเต็มที่ แต่ว่าออร่ากลับยิ่งเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นเช่นนี้แชลเทียร์ต้องก้าวถอยอย่างหวาดกลัว โดยสัญชาตญาณเธอรีบเอามือปิดส่วนหน้าอกเอาไว้อย่างน่าสงสาร
“…ผมน่ะเพิ่งจะ 76 เอง เพราะงั้นยังมีเวลาอีกมาก ไม่เหมือนเธอหรอก อันเดดน่ะหมดอนาคตแล้ว โอ้ ช่างน่าสงสารจริงๆ – อย่างเธอน่ะไม่มีแม้แต่โอกาสแตกเนื้อสาวเสียด้วยซ้ำ”

แฃลเทียร์ได้แต่ส่งเสียงคร่ำครวญออกมาพร้อมถอยหนี ลักษณะอาการไม่อาจโต้แย้งเผยออกมาให้เห็น เมื่อเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายออร่าก็ยิ่งเผยรอยยิ้มอันน่าหวาดหวั่นออกมาอีก:
“เอาจริงๆนะ ผมก็ค่อนข้างพอใจกับหน้าอกในตอนนี้เหมือนกัน! -พู่ฟ”

โมมอนกะเชื่อว่าเขาได้ยินเสียงมาจากตัวของแชลเทียร์เมื่อฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดจากกัน

“ไอ้ปีศาจเหม็นตัวจิ๋ว! – ตอนนี้สายไปสำหรับการสำนึกแล้ว-!”

ควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากถุงมือของแชลเทียร์ ออร่าก็หยิบแส้ออกมาเตรียมพร้อม ขณะที่แมร์ได้แต่มองไปมาอย่างกระวนกระวาย
ภาพตรงหน้าดูเหมือนเป็นเรื่องที่คุ้นตา ทำให้โมมอนกะลังเลว่าควรเข้าไปหยุดทั้งสองดีหรือไม่

ผู้สร้างของแชลเทียร์ อย่างเปลูชิโน และผู้สร้างออร่า กับ มาเร่คือ Whitebrim ซึ่งทั้งสองเป็นพี่น้องกัน และชอบส่งเสียงเอ็ดตะโรแบบตอนนี้ ยิ่งมีฉากหลังที่ทั้งสองกำลังส่งเสียงดังทำให้โมมอนกะนึกถึงความทรงจำที่เกี่ยวกับเพื่อนในอดีตขึ้นมา

“หนวกหูจริงๆ”
ระหว่างที่โมมอนกะตกอยู่ในห้วงวันวาน ร่างของสื่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ก็พูดออกมาด้วยโทนเสียงแบบมนุษย์ ซึ่งดูไม่เหมาะกับรูปลักษณ์ที่เห็น เสียงที่ฟังดูไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งสองหยุดการทะเลาะกัน แล้วมองไปยังต้นเสียงหลังจากไม่ได้สังเกตการมาถึงของผู้มาใหม่ ทั้งสองก็พบว่าเจ้าของร่างที่ดูน่าพิศวงที่มาพร้อมกับความหนาวเย็น
ด้วยร่างมหึมาขนาด 2.5 เมตร ภาพที่เห็นคือแมลงที่เดินสองขา หากจะว่าไปเจ้าปีศาจตนนี้เป็นการผสมกันระหว่างตั๊กแตนตำข้าว กับ มด  หางของมันมีความยาวเป็นสองเท่าของขนาดตัว และร่างกายก็ปกคลุมไปด้วยหนามแหลมที่เหมือนแท่งน้ำแข็ง อีกทั้งยังมีกรามที่แข็งแรงที่สามารถตัดแขนของคนได้อย่างง่ายดาย
มือสองข้างนั้นถือไว้ด้วยฮัลเบิร์ด(ง้าว)สีเงิน ขณะที่มือที่เหลืออีกสองข้างถือคทาที่ส่องแสงสีดำ กับฝักดาบที่โค้งงอซึ่งน่าจะเป็นของบรอดซอร์ด
ด้วยร่างกายสีฟ้าซีด ลมหายใจอันเยือกแข็ง เกราะกระดูกหนาซึ่งมีประกายผงเพชรเปล่งประกายออกมา ไหล่ และหลังนั้นดูราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้
เจ้าของร่างนี้คือการ์เดี้ยนประจำชั้นห้าแห่งนาซาริก “ไอซ์รูลเลอร์” โคไคทัส
เมื่อเขาเอาฮัลเบิร์ดกระแทกกับพื้นก็ทำให้พื้นที่รอบๆค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็ง

“รู้สึกพวกเธอจะเกินเลยกันแล้วนะ…”
“ก็เจ้านี่มันเริ่มก่อนนี่…”
“ไม่ใช่นะ-”
“วู๊ อาห์….”
แฃลเทียร์ และออร่าต่างจ้องตากันอย่างไม่ไม่มีใครยอมใคร ขณะที่แมร์ก็ยังคงกระวนกระวายต่อไป
สุดท้ายโมมอนกะก็รู้สึกตัว และได้ใช้น้ำเสียงที่ต่ำในการเตือนทั้งสอง:
“…แชลเทียร์ ออร่า หยุดทะเลาะกันได้แล้ว”
ทั้งสองต่างสั่นกลัวด้วยความตกใจ ก่อนจะโค้งศีรษะลง:
“ขอประทานอภัยนายท่าน”

โมมอนกะผงกหัวรับการขอโทษจากทั้งสองก่อนจะเอ่ยปากกล่าวต่อมา:
“มาแล้วสินะ โคไคทัส”
“นี่เป็นคำสั่งจากท่านโมมอนกะ แน่นอนว่าผมต้องมารีบมาในทันที”

ควันสีขาวพวกพุ่งออกมาจากปากของโคไคทัส ตามมาด้วยเสียง *ปาจิ* *ปาจิ* ซึ่งเป็นเสียงของอากาศเย็นที่แตกตัว ความเย็นนี้มากพอจะเทียบได้กับเปลวไฟของไพรมัลไฟร์เอเลเมนทัล เมื่อต้องอยู่ภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง เช่น อาจถูกน้ำแข็งกัดได้ แต่ว่าโมมอนกะนั้นไม่รู้สึกอะไรเลย ซึ่งมาจากที่ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างมีความต้านทานไฟ, น้ำแข็ง และกรด ทำให้ไม่เกิดปัญหาจากการโดนทำร้ายจากสิ่งเหล่านี้
“หลังๆมานี้ไม่มีผู้บุกรุกมาเลย ว่าไงช่วงนี้ได้ผ่อนคลายมากไหม?”
“แน่นอนครับท่าน-”

ขารกรรไกรของเขาขยับส่งเสียง *กะกะกะ* เหมือนเสียงขู่ขวัญของตัวต่อ แต่โมมอนกะสำหรับโมมอนกะเขาว่าโคไคทัสกำลังหัวเราะอยู่

“—ก็ว่าไปนั่น อันที่จริงตัวผมยังมีอะไรที่อยากทำอยู่เลยยังพักผ่อนไม่ได้ครับ”
“โอ๊? เจ้ามีสิ่งที่อยากทำอยู่รึ? แล้วจะบอกข้าได้ไหมว่าคืออะไร?”
“ ได้ครับท่าน ตอนนี้ผมอยากฝึกฝนตนเอง ที่จริงก็ทำอยู่ทุกที่ ทุกเวลาอยู่แล้ว ”

ถึงรูปร่างของเขาจะได้บ่งบอกอะไร แต่ตัวโคไคทัสอยู่ในคลาสของนักรบ ทั้งลักษณะนิสัย และการตั้งค่านั้นถูกออกแบบมาได้สอดคล้องเป็นอย่างดี หากว่าเหล่าการ์เดี้ยนถูกจัดอันดับโดยความสามารถในการใช้อาวุธ และการเขาโจมตีละก็ อาจกล่าวได้ว่าเขานั้นไม่เป็นสองรองใครเลย

“ทั้งหมดนี้เจ้าทำเพื่อข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าช่างมุ่งมั่นดีมาก”
“เพียงได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ก็นับว่าคุ้มค่ากับความพยายามของผมแล้ว โอ้ เดมิเอิร์จ กับ อัลเบโด มาถึงแล้ว ”

เมื่อมองตามโคไคทัสไปยังทางเข้าอารีนา จะเห็นเงาสองสายปรากฎขึ้น ผู้ที่เดินนำมาคือ อับเบโด ส่วนคนที่ตามหลังนั้นดูลักษณะเหมือนผู้ดูแล เมื่อมาถึงในระยะห่างที่เหมาะสม อัลเบโดก็ยิ้ม และโค้งคำนับไปยังโมมอนกะ

ชายหนุ่มที่ด้านหลังก็โค้งอย่างสง่างามเช่นเดียวกัน:
“ต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ทุกท่านรอนาน”

เขาเป็นชายหนุ่มสูงเมตร ผิวคล้ำดำของเขาดูแล้วมาจากการที่ต้องโดนแดดเป็นเวลานาน ใบหน้าแบบชาวเอชีย และผมสีดำที่ถูกหวีเรียบเข้าทรง ภายใต้แว่นทรงกลมนั้นมีดวงตาที่หรี่จนเหมือนกับว่าไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ อันที่จริงมันเหมือนกับเขาไม่ได้ลืมตาเลยด้วยซ้ำ ร่างของเขาสวมทับด้วยชุดสูทแบบอังกฤษ แน่นอนว่าต้องผูกเนคไทด้วย ดูๆไปเขาเหมือนกับนักธุรกิจ หรือ นักกฎหมายมือฉมัง ถึงอย่างนั้นแม้เขาจะแต่งตัวเหมือนสุภาพบุรุษ เขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ที่ด้านหลังมีหางสีเงินที่ถูกห่อหุ้มด้วยแผ่นโลหะ และที่ส่วนปลายมีหนามแหลมแตกออกมาหกอัน รอบตัวมีเปลวเพลิงสีดำเปล่งแสงเป็นพักๆ ชายผู้นี้คือ ‘อินเฟอร์นอล พริซัน ครีเอเตอร์’ เดมิเอิร์จ การ์เดี้ยนประจำชั้นที่เจ็ดแห่งนาซาริก ซึ่งตำแหน่งที่ถูกตั้งไว้ของปีศาจตนนี้คือ “ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันของ NPC”

“เอาละดูท่าทุกคนจะมาพร้อมกันแล้วสินะ”
“-ท่านโมมอนกะขอรับ กระผมว่าดูเหมือนยังมีอีกสองท่านที่ยังมาไม่ถึงนะขอรับ”
เสียงนุ่มลึกที่ดูฉลาดหลักแหลม ชวนฟังดังออกมา
คำพูดทุกคำของเดมิเอิร์จนั้นเป็นทักษะติดตัวพิเศษ ซึ่งก็คือ [มนตร์แห่งการครอบงำ] ด้วยสิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่จิตใจอ่อนแอกลายมาเป็นตุ๊กตาชักใยของเขา แต่ก็เช่นเคยทักษะนี้ไม่มีผลกับผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ การที่ทักษะจะได้ผล ผู้ที่ฟังต้องมีเลเวลที่ 40 หรือน้อยกว่า ดังนั้นสำหรับผู้ที่อยู่ที่นี่เสียงที่ได้ยินจึงเป็นเพียงเสียงที่ฟังรื่นหูเท่านั้น

“ไม่จำเป็น การ์เดี้ยนอีกสองคนมีหน้าที่ในสถานการณ์พิเศษเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้สองคนนั่น ”
“ทราบแล้วขอรับ”
“…ดูเหมือนสหายของกระผมไม่ได้มาด้วยนะขอรับ”

เมื่อได้ฟังทั้งแชลเทียร์ และออร่าต่างตัวแข็งอย่างฉับพลัน แม้แต่อัลเบโดยังดูเกร็งขึ้นมา

“…อย่างว่าขอรับเขาไม่ได้แค่ช่วยปกป้องกระผม…แต่ยังต้องดูแลฟลอร์บางส่วนด้วย”
“จริงทีเดียว”


แชลเทียร์ฝืนยิ้มออกมา และออร่าก็ทำเช่นเดียวกัน ในขณะที่อัลเบโดก็พยักหน้าไม่หยุด

“…จ้าวเเห่งความหวาดกลัว เอาละทางที่ดีก็น่าจะส่งข่าวให้แอเรียการ์เดี้ยนด้วย บอกให้อาคาเรีย กับ เจเลนเต้ ไปแจ้งข่าวกับแอเรียการ์เดี้ยนด้วย งานนี้ให้ฟลอร์การ์เดี้ยนทั้งหมดรับผิดชอบด้วย”

ภายในมหาสุสานแห่งนาซาริก การ์เดี้ยนถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท
ประเภทแรก คือ ที่อยู่ตรงหน้าของโมมอนกะในณะนี้ ซึ่งจะมีหน้าที่รับผิดชอบแต่ละชั้น หรือมากกว่านั้น นั่นก็คือ ฟลอร์การ์เดี้ยน อีกประเภท คือ การ์เดี้ยนที่รับผิดชอบพื้นที่บางส่วน หรือพื้นที่พิเศษของแต่ละชั้น พูดง่ายๆก็คือ แอเรียการ์เดี้ยนถูกควบคุมโดยฟลอร์การ์เดี้ยนอีกที และจะมีหน้าที่ปกป้องพื้นที่เฉพาะส่วน ซึ่งมีจำนวนมาก ทำให้พวกนี้มีความสำคัญไม่มากนัก โดยปกติเมื่อกล่าวถึงการ์เดี้ยนในนาซาริกก็จะหมายถึงฟลอร์การ์เดี้ยนนั่นเอง

เหล่าฟลอร์การ์เดี้ยนทั้งหมดฟังคำสั่งของโมมมอนกะ และหลังจากที่เห็นว่าทั้งหมดพร้อมแล้ว อัลเบโดก็กล่าวเปิดงาน:
“ทั้งหมด แสดงความเคารพแก่ท่านผู้นำสูงสุด”

การ์เดี้ยนทั้งหมดต่างต่างโค้งศีรษะคำนับโดยที่โมมอนกะไม่มีโอกาสแทรกได้ ทั้งหมดต่างเข้ามาตั้งแถวโดยมีอัลเบโดอยู่หน้าสุดของเหล่าการ์เดี้ยน  สีหน้าของเหล่าการ์เดี้ยนตอนนี้ดูจริงจัง และเปี่ยมด้วยความเคารพ หากใครมาเห็นย่อมสังเกตได้ถึงบรรยากาศที่เคร่งเครียดในตอนนี้ และแล้วแชลเทียร์ก็ก้าวมาเบื้องหน้าเขา:
“การ์เดี้ยนประจำชั้นที่หนึ่ง สอง และสาม แชลเทียร์ บลัดฟอลเลน มารายงานตัวต่อนายท่านแล้ว”
เธอคุกเข่าลง แล้วเอามือข้างหนึ่งทาบไว้ที่บริเวณหน้าอก พร้อมแสดงความเคารพอย่างสูงสุด

หลังได้รับการแสดงความเคารพอย่างเป็นพิธีการเยี่ยงกษัตริย์แล้ว โคไคทัสก็ก้าวมาเบื้องหน้าเป็นรายต่อไป:
“การ์เดี้ยนประจำชั้นที่ห้า โคไคทัส มารายงานตัวต่อนายท่านแล้ว”
เช่นเดียวกับแชลเทียร์ เขาได้คุกเข่าลงเบื้องหน้าโมมอนกะในท่าทางแบบพิธีการ
จากนั้นต่อไปคือตาของแฝดดาร์คเอลฟ์:
“การ์เดี้ยนประจำชั้นที่หก ออร่า เบลล่า ฟิโอร่า มารายงานตัวต่อนายท่านแล้ว”
“เช่น…เช่นเดียวกันการ์เดี้ยนประจำชั้นที่หก มาเร่เบลโล ฟิโอร่า มารายงานตัวต่อนายท่านแล้ว”

ดังเช่นคนอื่น ทั้งสองต่างคุกเข่า และแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมที่สุด แชลเทียร์, โคไคทัส, ออร่า และมาเร่นั้นมีขนาดตัวที่ต่างกัน ดังนั้นระยะของทั้งหมดย่อมต่างกัน แต่ว่าตำแหน่งที่วางหัวเข่าทั้งหมดนั้นเป็นระเบียนอย่างเห็นได้ชัด

จากนั้นเดมิเอร์จก็ก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม:
“การ์เดี้ยนประจำชั้นที่เจ็ด เดมิเอร์จ มารายงานตัวต่อนายท่านแล้ว”

เดมิเอิร์จเข้ามาแสดงความเคารพด้วยน้ำเสียงอันสุขุม และท่าทางอันสง่างาม ต่อจากนั้นก็ถึงคราวของอัลเบโดเป็นคนสุดท้ายที่ก้าวออกมา:
“ผู้บัญชาการการ์เดี้ยน อัลเบโด มารายงานตัวต่อนายท่านแล้ว”

โมมอนกะยิ้มให้กับอัลเบโดที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเช่นเดียวกับการ์เดี้ยนคนอื่น อย่างไรก็ตามอัลเบโดก็ยังคงกล่าวรายงานต่อไปขณะที่ยังก้มหน้าอยู่ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนแก่โมมอนกะ:
“นอกจากการ์เดี้ยนประจำชั้นที่สี่ การ์กันทัว และ การ์เดี้ยนประจำชั้นแปด วิกทิม การ์เดี้ยนทั้งหมดได้มาแสดงความเคารพ…ตามบัญชาของนายท่าน พวกเราพร้อมที่จะบุกน้ำลุยไฟโดยไม่ลังเลเพื่อท่านหากแต่เพียงท่านจะบัญชา”

เมื่อเห็นทั้งหกต่างก้มหัวให้ โมมอนกะดูจะไม่สามารถกล่าวอะไรต่อไปได้ ลำคอของเขาส่งเสียง *เค๊อะ* ออกมา ความกดดันอันไม่ปกติได้ถาโถมเข้ามา
ความกดดัน…บางทีอาจมีเพียงโมมอนกะที่รู้สึกเช่นนี้
---ชั้นไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
ภาพแบบนี้บางทีอาจเกิดเพียงครั้งหนึ่งในชีวิต ในหัวของโมมอนกะนั้นสับสนไปหมด ทำให้เขาใช้งานทักษะพิเศษโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งมันได้เปล่งออร่าที่ส่องสว่างแบบเดียวกับแสงอันเจิดจ้าออกมา
โดยที่ไม่มีเวลาสำหรับการยกเลิกทักษะ โมมอนกะพยายามค้นไปในความทรงจำเกี่ยวกับภาพยนต์ และทีวีซีรีย์ ที่มีฉากแบบนี้ เขาต้องการอย่างยิ่งที่จะเจอภาพยนต์ที่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้

“เงยหน้าขึ้นได้”

*ซ่า~~* ทั้งหมดต่างเงยหน้าขึ้นเนื่องจากทุกอิริยาบถต่างทำได้อย่างเป็นระเบียบจนโมมมอนกะอยากจะถามไปว่ามีการซ้อมล่วงหน้ากันมาก่อนหรือไม่

“เอาละ…อย่างแรกข้าขอบใจพวกเจ้าทุกคนที่มาตามคำเรียกของข้า”
“โปรดอย่าได้กล่าวคำขอบคุณเลยท่านโมมอนกะ พวกเราล้วนแล้วแต่เป็นข้าทาสอันภักดีของท่าน และมีเพียงท่านเท่านั้นที่เป็นผู้นำสูงสุดของพวกเรา”

ดูเหมือนว่าไม่มีการ์เดี้ยนคนไหนมีท่าทีปฎิเสธคำกล่าวของอัลเบโด เมื่อมองไปยังยังใบหน้าที่จริงจังของการ์เดี้ยน โมมอนกะรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอจนเขาอยากจะสำลักออกมา แรงกดดันจากการเป็นผู้นำนี้ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกบีบอัดอย่างแรง คำสั่งของเขาจะเป็นตัวกำหนดอนาคตในการข้างหน้าซึ่งทำให้เขาลังเลว่าควรทำอะไรต่อไปดี มหาสุสานแห่งนาซาริกนี้อาจล่มสลายได้เพียงแค่การตัดสินใจของเขา – ความรู้สึกไม่สบายใจนี้เกิดขึ้นมาภายในจิตใจของเขา

“…การที่ท่านโมมอนกะจะรู้สึกลังเลนั้นดิฉันทราบดี เพราะเมื่อเทียบกับท่านโมมอนกะแล้วความสามารถของพวกดิฉันไม่อาจเทียบได้กับเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเลย”

อัลเบโดหยุดยิ้ม และกล่าวอย่างเทิดทูน และเปี่ยมไปด้วยความเกรงขาม:
“ตราบเท่าที่ท่านโมมอนกะสั่งมาไม่ว่าภารกิจนั้นจะยากสักเพียงใด ดิฉัน – ไม่สิเหล่าฟลอร์การ์เดี้ยนทั้งหมดพร้อมทำตามแม้ว่าต้องสละชีพของพวกเราก็ตาม พวกเราขอปฏิญาณว่าจะไม่สร้างความอับอายให้แก่เหล่าผู้สร้างอันยิ่งใหญ่ทั้งสี่สิบเอ็ดแห่ง Ainz Ooal Gown”

“นี่คือคำสาบาน!”

เหล่าฟลอร์การ์เดี้ยนที่เหลือต่างขานรับอัลเบโดสะท้อนดังก้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงที่เปล่งออกมาทั้งหมดทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ตามไม่มีทางที่ผู้ใดจะสามารถหยุดความภักดี และแนวแน่ที่ทั้แข็งแกร่งดังเพชรของทั้งหมดได้

ช่วงเวลาทองอันรุ่งโรจน์ยังไม่จางหายไป
ผลีกแห่งความอุตสาหะของทุกคนยังคงอยู่ งานชิ้นเอกที่พวกเขาสรรสร้างขึ้นยังอยู่ในโลกแห่งนี้…และโมมอนกะก็รู้สึกยินดีจากก้นบึ่งของหัวใจ
โมมอนกะเผยรอยยิ้มอันเบิกบานออกมา แม้ว่าใบหน้าที่เป็นกะโหลกจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสีหน้าได้ แต่ว่าดวงแสงสีภายในเบ้าตานั้นเปล่งประกายเจิดจ้ารุนแรง ความวิตกกังวลทั้งหมดถูกพัดหายไป โมมอนกะได้กล่าวออกมาแบบอย่างที่ประธานควรจะพูด:
“การ์เดี้ยน พวกเจ้าล้วนยอดเยี่ยมอย่างที่สุด ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าต้องเข้าใจความมุ่งหมายของข้า และสามารถทำภารกิจที่รับมอบหมายได้ลุล่วง บางที่อาจมีบางสิ่งที่พวกเจ้าอาจยังไม่เข้าใจ แต่ข้าอยากให้พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ดี ตอนนี้ข้ามั่นใจว่ามหาสุสานแห่งนาซาริกนี้ถูกเคลื่อนย้ายโดยไม่ทราบสาเหตุมายังที่ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นที่แห่งใด”

เหล่าการ์เดี้ยนยังคงมีสีหน้าจริงจังโดยไม่มีทีท่าว่าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“แม้จะยังไม่ทราบถึงสาเหตุ แต่เดิมทีนาซาริกซึ่งควรตั้งอยู่ที่หนองบึงกลับถูกย้ายมายังทุ่งหญ้า พวกเจ้ามีใครทราบเกี่ยวกับปรากฎการณ์นี้บ้างไหม?”

อัลเบโดมองไปยังฟลอร์การ์เดี้ยนแต่ละคน เพื่อดูสีหน้าก่อนจะเอ่ยปากออกมา:
“ขอประทานอภัยค่ะ พวกดิฉันไม่ทราบอะไรเลย”
“ไม่เป็นไร อีกอย่างข้าอยากถามฟลอร์การ์เดี้ยนแต่ละชั้นหน่อย พวกเจ้าสังเกตเห็นความผิดปกติในชั้นของพวกเจ้าบ้างไหม?”

หลังได้ฟังคำถาม ฟลอร์การ์เดี้ยนแต่ละคนต่างก็ตอบออกมา:
“ชั้นเจ็ดไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ”
“ชั้นหกก็เช่นกันฮะ”
“ชะ-ใช่แล้ว อย่างที่คุณพี่บอกฮะ”
“ชั้นห้าก็เช่นกันครับ”
“ตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสาม ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติค่ะ”

“-ท่านโมมอนกะคะ ดิฉันขออนุญาตไปตรวจดูที่ชั้นสี่ กับ ชั้นแปด ในตอนนี้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นให้อัลเบโดรับงานนี้ แต่ให้ระวังที่ชั้นแปดด้วยละ ถ้ามีเหตุฉุกเฉินเจ้าอาจไม่สามารถรับมือมันได้”
อับเบโดแสดงความเคารพด้วยการโค้งคำนับแสดงว่าเข้าใจคำสั่ง จากนั้นแชลเทียร์ก็เสริมขึ้นมา:
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอรับหน้าที่ในการสำรวจด้านนอกเองค่ะ”
“ไม่ต้อง ตอนนี้เซบาสเตียนกำลังสำรวจด้านนอกอยู่”

สำหรับอัลเบโดที่อยู่ในตอนนั้นไม่ได้แสดงอาการใดออกมา แต่สำหรับเหล่าการ์เดี้ยนที่เหลือต่างแสดงสีหน้าตกใจอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้

ภายในมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้มี NPC 4 คน ที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีระยะประชิด ผู้ที่ชำนาญในการใช้อาวุธที่หลากหลาย และมีพลังทำลายล้างที่ทรงพลานุภาพ ได้แก่ โคไคทัส ผู้ที่อยู่ในชุดเกราะหนัก และมีพลังป้องกันอันโดดเด่นอย่าง อัลเบโด แต่ทว่าผู้ที่มีความสามารถในการสู้ประชิดตัวมากที่สุด และอยู่เหนือทั้งสองได้แก่ เซบาสเตียน นอกจากเขาแล้วก็มีอีกหนึ่งที่พอจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้

ไม่มีเหตุผลที่เหล่าการ์เดี้ยนคนอื่นจะไม่ตกใจ ในเมื่อนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างเซบาสเตียนผู้ไร้พ่าย ถูกส่งออกไปทำภารกิจง่ายๆอย่างการลาดตระเวน นี่แสดงให้เห็นว่าโมมอนกะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ในตอนนี้มากเพียงใด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทุกคนต่างรู้สึกถึงตึงเครียดขึ้นมา

“น่าจะได้เวลากลับมาแล้วนะ…”

ทันใดนั้นโมมอนกะก็เห็นเซบาสเตียนเดินเข้ามาหา เช่นเดียวกับการ์เดี้ยนคนอื่นๆ เซบาสเตียนได้มาคุกเข่าลงที่เบื้องหน้าของโมมอนกะ

“ท่านโมมอนกะ ขอประทานอภัยที่กระผมมาสาย”
“ไม่เป็นไร เอาละรายงานมาสิว่าเจ้าได้เห็นอะไรมาบ้าง”

เซบาสเตียนยกศีรษะขึ้นมา แล้วมองไปยังเหล่าการ์เดี้ยนที่เหลือ

“...ตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ข้าว่าให้ฟลอร์การ์เดี้ยนทั้งหมดอยู่ฟังด้วยน่ะดีแล้ว”
“รับทราบขอรับ อย่างแรกพื้นที่โดยในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรมีเพียงทุ้งหญ้าเท่านั้น ไม่สิ่งก่อสร้างของมนุษย์อยู่ในแถบนี้เลย ถึงจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่บ้าง แต่ไม่มีร่องรอยของมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวตขนาดใหญ่อยู่เลย”
“พวกสิ่งมีชีวตขนาดเล็กที่ว่านี่ใช่มอนสเตอร์หรือไม่?”
“ไม่ขอรับ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวตที่ไม่มีขีดความสามารถในการต่อสู้เลย”
“…เข้าใจละ แล้วทุ่งหญ้าที่เจ้าว่ามาไม่มีที่เป็นแบบหญ้าน้ำแข็งที่ใบคมกริบพร้อมจะบาดแวลาเดินผ่านเลยงั้นหรือ?”
“ไม่มีขอรับ มีเพียงหญ้าธรรมดาเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย”
“แล้วเจ้ายังไม่เห็นอะไรอย่างพวกปราสาทลอยฟ้าบนท้องฟ้าเลยรึ?”
“ขอรับ ไม่มีเลย ทั้งบนผืนฟ้า หรือผืนดินไม่มีทีท่าว่าจะมีมนุษย์อยู่เลย”
“อย่างงั้นหรือ มีแค่ท้องฟ้าธรรมดา…ดีมากเซบาสเตียน”

โมมอนกกะกล่าวให้กำลังใจเซบาสเตียนโดยที่เขารู้สึกท้อแท้เนื่องจากไม่อาจหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาได้ แต่ทว่าเขาก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในโลกจำลองของอิกดราซิล ถึงจะยังไม่รู้ว่าทำไมเขายังสวมใส่อุปกรณ์จากอิกดราซิล และใช้เวทย์ได้เหมือนเป็นเรื่องปกติ

โมมอนกะไม่ทราบเลยว่าทำไมเขาถึงหลุดมายังที่แห่งนี้ แต่ในตอนนี้เขาคิดว่าจะเป็นการดีหากเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนาซาริกนี้ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าพื้นที่แถบนี้มีใครดูแลอยู่ มันจะไม่เป็นที่สงสัยเลยหากมีคนเข้ามาต่อว่าในที่แห่งนี้ ไม่ใช่สิคงเป็นการดีหากจบลงแค่การต่อว่าเท่านั้น

“การ์เดี้ยนจงฟัง อย่างแรกข้าอยากให้ทุกคนเพิ่มระดับการระวังภัยในแต่ละชั้น เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉะนั้นจงอย่าประมาท หากว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาอย่าเพิ่งฆ่าให้จับเป็น แล้วพยายามอย่าทำร้ายพวกนั้นด้วยละ ในช่วงที่เราไม่รู้อะไรเช่นนี้ ข้าต้องขอรบกวนพวกเจ้าด้วย”

เหล่าการ์เดี้ยนต่างรับทราบคำสั่ง และโค้งรับ

“ต่อมา ข้าอยากรู้ว่าระบบบริหารจัดการในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง อัลเบโดตอนนี้ฟลอร์การ์เดี้ยนแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอย่างไร”

ในตอนที่อิกดราซิลยังเป็นเกมอยู่นั้น การ์เดี้ยนทั้งหมดต่างเป็น NPC ซึ่งได้แต่ทำตามคำสั่งที่โปรแกรมไว้ก่อนแล้ว พวกเขาไม่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และได้แต่เพียงปกป้องชั้นของตนเองเท่านั้น

“การ์เดี้ยนทุกคนต่างปกป้องชั้นของตัวเองตามการตัดสินใจของแต่ละคน แต่ปกติแล้วเดมิเอิร์จจะรับหน้าที่นี้ และทุกคนจะแลกเปลี่ยนข่าวสารกับเขา”

โมมอนกะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆอย่างพึงพอใจ:
“เยี่ยมมาก ในส่วนระบบรักษาความปลอดภัยของนาซาริกให้ดูแลโดยเดมิเอิร์จ ส่วนอัลเบโดก็ให้ดูแลเหล่าการ์เดี้ยน ทั้งสองคนให้เตรียมระบบการจัดการให้รัดกุมยิ่งขึ้นด้วยเข้าใจไหม”

“รับทราบค่ะ แต่ไม่ทราบว่าแผนการจัดการระบบนี่รวมชั้นที่แปด ชั้นที่เก้า และชั้นที่สิบด้วยไหมคะ?”
“ชั้นแปดมีวิกทิมอยู่แล้วไม่เป็นไรหรอก ไม่สิชั้นแปดให้เป็นเขตหวงห้าม คำสั่งก่อนหน้าสำหรับอัลเบโดให้ยกเลิกไป สั่งห้ามให้ใครเข้าไปยังชั้นแปดหากไม่ได้รับอยุญาต หลังจากข้าปลดผนึกแล้วจะมีทางเชื่อมโดยตรงระหว่างชั้นเจ็ด กับ ชั้นเก้า ในส่วนในของชั้นเก้า และส่วนของชั้นสิบให้นับรวมในแผนด้วย”
“ท่านมั่นใจหรือคะที่ทำเช่นนี้?”

อัลเบโดรู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก แม้แต่เดมิเอืร์จก็ยังเบิ่งตาด้วยความประหลาดใจแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความรู้สึกของทั้งสอง

“นี่มันดีแล้วหรือคะที่ให้เหล่าข้ารับใช้เข้าไปยังสถานที่ศักสิทธิ์ของท่านผู้นำสูงสุด? แล้วจำเป็นหรือคะที่ต้องทำถึงขนาดนี้?”

ข้ารับใช้ที่พูดถึงนี้ไม่ได้หมายถึงเหล่า NPC ที่ออกแบบโดยสมาชิกของ Ainz Ooal Gown แต่หมายถึงมอนสเตอร์ที่ทางเกมสร้างขึ้นมา เมื่อลองนึกดูแล้วนอกจากส่วนน้อยที่มีในชั้นเก้า และชั้นสิบไม่มีข้ารับใช้อื่นอยู่เลย
โมมอนกะกระซิบกับตัวเองด้วยเสียงอันเบา
อัลเบโดคิดว่าที่แห่งนั้นเป็นสถานที่อันศักสิทธิ์ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล
สาเหตุที่ชั้นที่เก้าไม่มีมอนสเตอร์อยู่เลยก็เพราะว่าหาก NPC ที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นที่แปดถูกปราบลงได้ โอกาสที่ทาง Ainz Ooal Gown จะพลิกกลับมาเอาชนะได้ก็แทบไม่เหลือแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็จะเล่นบทตัวร้าย แล้วไปรอการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายยังส่วนของท้องพระโรง

“…ไม่เป็นไร ช่วงนี้เป็นช่วงที่วิกฤติของพวกเรา ดังนั้นกำลังพลจึงสำคัญมากในตอนนี้”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติทั้งนิสัย และความสามารถอย่างดีที่สุด”

โมมอนกะพยักหน้ารับ แล้วก็เลื่อนสายตามายังฝาแฝด:
“ออร่า กับ แมร์…พวกเจ้ามีวิธีซ่อนมหาสุสานแห่งนาซาริกบ้างไหม? อย่างพวกเวทย์ลวงตา แค่คิดถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายข้าก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”

ออร่า กับ มาเร่หันมามองหน้ากันพร้อมกับที่พยาคิดหาหนทาง และสักพักต่อมาไม่นานแมร์ก็ตอบกลับว่า:
“จะ-จะใช้เวทย์หนูว่าดูจะยากไปหน่อยฮะ ในการซ่อนทั้งหมด…แต่เราอาจเอาพวกโคลนมาฉาบทับที่กำแพง แล้วเอาพวกต้นไม้ใบหญ้ามาปิดอีกที…”
“นี่เหมือนดิฉันได้ยินว่าจะให้เอาโคลนมาทำให้กำแพงของนาซาริกเปรอะเปื้อนอย่างนั้นสินะคะ?”

ด้านหลังของแมร์ได้มีคำถามจากอัลเบโดดังแทรกขึ้น แม้ว่าเสียงจะฟังดูนุ่มนวล อ่อนหวานแต่ทว่าน้ำเสียงที่แสดงออกมานั้นตรงข้ามกับที่กล่าวออกมาเลย
ไหล่ทั้งสองข้างของแมร์เริ่มสั่นเทา ถึงแม้เหล่าการ์เดี้ยนจะไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาแต่ทั้งหมดต่างแสดงท่าทีเห็นด้วยกับอัลเบโด
สำหรับโมมอนกะอัลเบโดดูจะจุ้นจ้านมากเกินไป เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดจะทำให้เกิดจลาจลได้เลย

“อัลเบโด…อย่ามาแทรก! ตอนที่ข้ากำลังพูดกับแมร์อยู่”

โมมอนกะพูดด้วยเสียงที่ต่ำจนเจ้าตัวยังประหลาดใจเอง

“ดิฉันขอประทานอภัยอย่างยิ่งค่ะ ท่านโมมอนกะ!”

อัลเบโดรีบก้มหน้าต่ำใบหน้าพร้อมใบหน้าที่ขาวซีดด้วยความกลัว (Albedo hung her head low, face frozen with gear) (ตรงนี้คิดว่าน่าจะเป็น fear มากกว่า) ส่วนการ์เดี้ยนที่เหลือต่างหยุดนิ่งเหมือนหินราวกับว่าคำกล่าวก่อนหน้านี้ส่งตรงถึงพวกเขา

จากที่เหล่าการ์เดี้ยนเปลี่ยนท่าทีโดยฉับพลัน ทำให้โมมอนกะคิดว่าตัวเองอาจทำเกินไปสักหน่อย และเสียใจที่ตัวเองเผลอตวาดออกไป แต่เขาก็ยังคงกล่าวต่อไปว่า:
“เจ้าสามารถซ่อนทั้งได้โดยใช้แค่โคลนปิดส่วนกำแพงเท่านั้นหรือ?”                   
“ชะ-ใช่ฮะ หากเพียงท่านโมมอนกะอนุญาต…แต่…”
“แล้วถ้ามองจากที่ไกลๆละ มันจะไม่ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างนั้นหรือ? เซบาสเตียนแถบนี้มีพวกเนินเขาอยู่บ้างไหม?”
“ไม่ขอรับ พื้นที่ทั้งหมดในแถบนี้ล้วนเป็นแค่ทุ่งหญ้า แต่ในที่แห่งนี้ก็มีช่วงเวลากลางคืนเช่นกัน ดังนั้นแล้วช่วงกลางคืนน่าจะพอหลอกคนอื่นได้นะขอรับ”
“เข้าใจละ…ถ้าจะแค่ซ่อนกำแพงความคิดของแมร์ก็นับว่าพอใช้ได้ ถ้าอย่างนั้นหากเราทำเนินดินโดยรอบเพื่อจะซ่อนตัวกำแพงละ?”
“ก็คงทำให้มองไม่เห็นได้ฮะ”
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นออร่า กับ มาเร่ให้ทั้งสองรับผิดชอบงานนี้ พวกเจ้าสามารถเอาไอเทมจากชั้นไหนก็ได้มาใช้ในงานนี้ สำหรับในส่วนที่มองจากด้านบน และส่วนที่ไม่อาจซ่อนได้ ให้รอจนกว่านี้จะเสร็จ แล้วค่อยใช้เวทย์ลวงตาทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นนาซาริกแห่งนี้จากด้านนอกได้”
“ระ-รับทราบขอรับ”

สำหรับตอนนี้เอาแค่ประมาณนี้ก่อน ถึงแม้ว่าจะมีอีกหลายอย่างที่ต้องนึกวางแผน แต่ก็ยังมีเวลาสำหรับเรื่องพวกนี้เพราะนับจากที่เรื่องต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้เวลานั้นผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

“เอาละสำหรับวันนี้ก็พอเท่านี้ก่อน ให้ทั้งหมดกลับไปพักผ่อนได้ แล้วค่อยเริ่มงานกัน เนื่องจากตอนนี้เราขาดข้อมูลที่เพียงพอเวลาจะทำอะไรให้พวกเจ้าคิดให้รอบคอบก่อนด้วยละ”

การ์เดี้ยนทั้งหมดก้มหัวลงแสดงอาการรับทราบ

“สุดท้ายข้ามีอะไรอยากถามการ์เดี้ยนทั้งหมดก่อน เริ่มจากแชลเทียร์ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไรละ?”
“ผลึกแห่งความงาม ท่านคือสิ่งที่งดงามที่สุดนับแต่กำเนิดโลกใบนี้ แม้แต่เหล่าอัญมณีอันเลอค่าก็ไม่อาจเทียบได้กับร่างสีขาวซีดของท่านได้เลย”
โดยไม่ลังเลแชลเทียร์ตอบกลับมาในทันที ซึ่งคำตอบของเธอแสดงถึงความรู้สึกของก้นบึ้งในจิตใจออกมาได้อย่างชัดเจน
“— โคไคทัส”
“ผู้ที่แข็งแกร่ง และทรงพลังยิ่งกว่าการ์เดี้ยนคนใด และเป็นผู้นำสูงสุดของมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้”
“— ออร่า”
“ผู้ที่สุขุม และเปี่ยมด้วยความเมตตา”
“— แมร์”
“ผะ ผู้ที่อ่อนโยนที่สุด”
“เดมิเอิร์จ”
“เพียบพร้อมไปด้วยการตัดสินใจอันแหลมคม และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ผู้ที่ไร้ซึ่งจุดด่างพร้อย”
“— เซบาสเตียน”
“ผู้ที่รวบรวม และดูแลพวกเราทั้งหมด อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยความเมตตา และพร้อมจะต่อสู้เคียงข้างโดยยังไม่ทอดทิ้งพวกเราจนถึงท้ายที่สุด”
“สุดท้ายอัลเบโด”
“ท่านผู้นำเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา นายผู้ยิ่งใหญ่ และผู้ที่ดิฉันรักมากที่สุด”
“… อย่างงั้นเหรอ เอาละข้าเข้าใจแล้วว่าพวกเจ้าต่างคิดอย่างไรกันบ้าง สำหรับความรับผิดชอบของเหล่าสหายในสมัยก่อนให้พวกเจ้ารับไปจัดการด้วย ในการข้างหน้าหวังว่าพวกเจ้าจะอุทิศตนต่อหน้าที่นี้”

หลังจากที่มองเหล่าการ์เดี้ยนที่ยังคงก้มศีรษะอยู่ โมมอนกะก็ใช้การเทเลพอร์ทออกจากอารีนา ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนจากอารีนาไปเป็นเหล่าโกเลมเวทย์ที่ตัง้เรียงรายระเบียบ เมื่อมองไปรอบๆจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเหล่าโกเลมโมมอนกะก็ถอนหายใจออกมา

“เหนื่อยเหลือเกิน…”

ถึงร่างนี้จะไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยได้ แต่ความเครียดที่อยู่ในใจมันทำให้เขารู้สึกเหมือนมีน้ำหนักมหาศาลกดทับที่บ่าทั้งสองข้าง

“…พวกนั้น…ทำไมพวกนั้นถึงตีค่าผมสูงเหลือกเกิน?”

อันที่จริงน่าจะสำคัญคนผิดแล้ว หลังจากได้ฟังเหล่าการ์เดี้ยนแสดงความรู้สึกออกมาเหมือนกับว่าพวกนั้นกำลังล้อเขาเล่น “ฮ่าฮ่าฮ่า” โมมอนกะหัวเราะเสียงดังพร้อมส่ายหัว จากที่พวกนั้นมองมาที่เขาดูเหมือนจะไม่ใช่การล้อเล่นเสียแล้ว
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ทั้งหมดนั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา

อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เหล่าการ์เดี้ยนคิดไว้พวกนั้นอาจผิดหวังก็เป็นได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้โมมอนกยิ่งรู้สึกเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่รวมปัญหาอื่นๆอีกทำให้โมมอนกะแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา
ถึงหัวกะโหลกจะแสดงความรู้สึกไม่ได้แต่ก็ยังสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เกิดขึ้น

“…แล้วนี่ผมจะทำอย่างไรกับอัลเบโดดีละเนี่ย…ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมคงไม่กล้าที่จะเจอกับคุณทาบูร์ลา สมารักดินา แน่ๆ”

สลับฉาก

อยู่ดีๆแรงกดดันที่พร้อมจะกดทับศีรษะของทั้งหมดลงสู่พื้นดินก็หายไปโดยไร้ร่องรอย แม้ทั้งหมดจะทราบดีว่านายเหนือของที่พวกเขาบูชาได้จากไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้น หลังจากผ่านไปได้สักพักใครบางคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา ทำให้ความตึงเครียดก็จางหายไปในท้ายที่สุด คนแรกที่ลุกขึ้นยืนคือ อัลเบโด แม้ว่ากระโปรงสีขาวของเธอจะเลอะฝุ่น เธอก็ไม่ได้สนใจแค่เพียงสะบัดออกเท่านั้น หลังจากที่อัลเบโดยืนขึ้นคนอื่นๆก็ค่อยๆลุกขึ้นตามอย่างเงียบๆ

“ทะ-ท่านพี่ เมื่อกี้น่ากลัวจังเลย”
“ใช่เลย นึกว่าจะถูกบดขยี้แล้วซะอีก”
“สมกับที่เป็นท่านโมมอนกะ แม้พวกเราเหล่าการ์เดี้ยนยังโดนกันมากขนาดนี้เลย”
“ถึงกระผมจะทราบว่าท่านนั้นแข็งแกร่งอย่างที่สุด เหนือกว่าพวกเราทั้งหมด แต่กระผมก็ไม่คาดว่าจะถึงขนาดนี้!”

เหล่าการ์เดี้ยนเริ่มเล่าความประทับใจต่อตัวโมมอนกะแก่กัน
แรงกดดันที่การ์เดี้ยนทั้งหมดรับรู้นั้นย่อมมาจากออร่าที่โมมอนกะปล่อยออกมา

ออร่าแห่งความสิ้นหวังที่ส่งผลกระทบทำให้เกิดสถานะพรั่นพรึง ซึ่งจะลดค่าสานะของผู้เล่น โดยปกติแล้วมันไม่น่าจะส่งผลต่อ NPC เลเวล 100 แต่เนื่องจากพรที่ได้รับเมื่ออยู่ใน Ainz Ooal Gown ทำให้ผลของมันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

“นั่นเป็นการแสดงถึงพลังที่แท้จริงของท่านโมมอนกะในฐานะผู้นำของพวกเรา”
“ถูกต้อง ก่อนที่พวกเรารายงานตัวท่านโมมอนกะก็ไม่ได้แสดงพลังออกมาเลย จนเมื่อพวกเราแสดงตนในฐานะของการ์เดี้ยน ท่านถึงได้แสดงเศษเสี้ยวของพลังออกมา”

“เพื่อตอบรับความภักดีของพวกเรา ท่านโมมอนกะถึงได้แสดงพลังที่แท้จริงของผู้นำออกมา”
“ถูกต้องที่สุด”
“ตอนที่ท่านอยู่กับพวกเรา ท่านไม่ได้ปล่อยออร่าของท่านออกมาเลย ท่านโมมอนกะช่างเป็นคนที่มีเมตตาอย่างมาก แล้วเมื่อตอนที่ท่านเห็นว่าเราหิวน้ำ ท่านยังแบ่งน้ำให้พวกเราอีกด้วย”

จากคำพูดของออร่า ทันใดนั้นก็เกิดความตึงเครียดขึ้นมาภายในห้อง และอัลเบโดคือผู้ที่แสดงอาการออกมามากที่สุด มือทั้งสองข้างของเธอเริ่มสั่นเทาไม่หยุดจนเหมือนกับเล็บของเธอจะแทงทะลุถุงมือออกมา

แมร์เบิ่งตากว้างพร้อมกับตัวสั่นเล็กน้อย:
“นะ-นั่นคือพลังที่แท้จริงของท่านผู้นำของมหาสุสานแห่งนาซาริก มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!”

ชั่วขณะนั้นบรรยากาศในห้องก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

“แน่นอย่างที่สุด เพื่อตอบรับต่อพวกเรา และแสดงถึงพลังของผู้นำ…สมแล้วที่เป็นผู้สร้างของพวกเรา และอยู่เหนือสุดของผู้สร้างทั้ง 41 แล้วยังเป็นผู้เดียวที่อยู่กับพวกเราจนถึงท้ายที่สุด ช่างเป็นนายเหนือที่เห็นเอาใจใส่พวกเราเหลือเกิน”

เมื่อฟังจากคำกล่าวของอัลเบโด เหล่าการ์เดี้ยทั้งหมดก็แสดงสีหน้าเลื่อมใสศรัทธาให้เห็น ขณะที่แมร์ดูจะมีสีหน้าที่โล่งใจแสดงออกมา

ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้เป็นสุขได้เท่ากับที่ได้เห็นพลังที่แท้จริงของเหล่าผู้สร้างทั้ง 41 ซึ่งเป็นผู้สร้างพวกเขาขึ้นมา และเป็นผู้ที่พวกเขาสาบานจะมอบความภักดีให้หมดใจ
ไม่เพียงการ์เดี้ยนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วย ความยินดีอันสูงสุดของพวกเขาทั้งหมดคือการได้ช่วยสนับสนุนเหล่าผู้สร้าง และได้แสดงความซื่อสัตย์ให้พวกเขารับรู้

นี่คือความต้องการพื้นฐานของทั้งหมด

สำหรับเหล่าผู้ที่มีเป้าหมายคือการได้รับใช้ผู้สร้าง สิ่งที่ได้เห็นมาย่อมทำให้พวกเขายินดีเป็นอย่างยิ่ง และแล้วเซบาสเตียนก็ได้ทำลายบรรยากาศอันน่ายินดี และผ่อนคลายนี้:
“ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวก่อน ถึงแม้ยังไม่ทราบว่าท่านโมมอนกะไปที่ใด แต่เป็นหน้าที่ของกระผมที่ต้องไปอยู่เคียงข้างท่าน”

ถึงแม้อัลเบโดจะแสดงสีหน้าอิจฉาออกมา เธอก็ปล่อยความรู้สึกนั้นไปแล้วกล่าวตอบ:
“แน่นอนเซบาสเตียน ขอให้ใช้ท่านโมมอนกะอย่างเหมาะสมที่สุด และอย่าได้สร้างความผิดหวังแก่ท่าน หากว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นให้รีบกลับมาแล้วแจ้งให้ดิฉันทราบ โดยเฉพาะหากท่านโมมอนกะเรียกตัวดิฉัน ให้ละมือจากทุกเรื่องแล้วรีบมารายงานดิฉันทันที!-- --”

แล้วเมื่อเดมิเอิร์จได้ยินประโยคถัดมาเขาก็แสดงสีหน้าหนักใจออกมา

“…หากท่านโมมอนกะต้องการเรียกดิฉันไปที่ห้องนอนละก็ ได้โปรดบอกท่านว่าดิฉันขอเวลาสักครู่เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม แต่หากท่านต้องการให้ดิฉันรีบไปในทันทีก็ไม่เป็นไร ดิฉันได้เลือกชุดที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมตลอดเวลาเพื่อตอบรับการเรียกหาของท่านโมมอนกะทุกเมื่อ สรุปก็คือดิฉันจัดลำดับความสำคัญเรื่องที่ท่านโมมอนกะเรียกตัวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด -- --”

“— กระผมรับทราบแล้วอัลเบโด เอาละเห็นทีกระผมต้องไปเสียที หากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานกว่านี้คงเป็นการเสียมารยาทต่อท่านโมมอนกะ ถึงการ์เดี้ยนทุกท่านกระผมขอตัวก่อน”

เมื่อกล่าวจบเซบาสเตียนก็รีบเดินออกไปจากอารีนา ก่อนที่อัลเบโดจะได้พูดอะไรอีก

“เอาละ…ตอนนี้เงียบดีแล้ว แชลเทียร์เป็นอะไรไหม?”
เมื่อได้ยินที่เดมิเอิร์จกล่าว การ์เดี้ยนทั้งหมดก็หันมามองที่แชลเทียร์ ก่อนที่จะเห็นว่าเธอยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น

“เกิดอะไรขึ้นแชลเทียร์?”

แชลเทียร์ค่อยๆยกศีรษะขึ้นตอบรับ
ดวงตาของเธอดูเหม่อลอยเหมือนคนเพิ่งตื่น

“…เกิดอะไรขึ้น?”
“หลังจากที่ได้เห็นความสง่างามของท่านโมมอนกะ เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก…สุดยอดข้างล่างนี่”

บังเกิดความเงียบขึ้นในทันใดเมื่อเธอกล่าวจบ

ทุกคนต่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี การ์เดี้ยนทั้งหมดต่างรู้ว่าผู้ที่คลั่งไคล้เรื่องสัปดนที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือแชลเทียร์ ผู้ที่เป็นเนโครฟีเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งหมดทำได้แค่เอามือตบหน้าผากอย่างเอือมระอา ถึงอย่างนั้นแมร์ก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ และแสดงอาการสับสบให้เห็น และในหมู่การ์เดี้ยนทั้งหมดก็มีผู้หนึ่งที่ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ

นั่นก็คืออัลเบโด ที่อุทานออกมาเสียงดังด้วยความริษยา:

“ยัยร่านนี่”

เมื่อได้ฟังคำยั่วยุ แชลเทียร์ก็เงยหน้าขึ้น และเผยรอยยิ้มอันยั่วยวนออกมา:
“อ๊า? การที่ได้รับรู้ถึงพลังของนายเหนือที่ทรงพลานุภาพนี่นับเป็นรางวัลที่ท่านโมมอนกะประทานมาให้ สำหรับคนที่ไม่เปียกนี้นับว่าต้องมีปัญหาแล้วละ? อย่าบอกนะว่าเธอทำตัวเป็นไร้เดียงสาไม่รู้สึกมีความต้องการบ้างเลย ยัยปลาดาวปากมาก”
“…แกยัยแลมเพท์รา”

ทั้งสองต่างจ้องกันโดยไม่มีใครยอมใคร ถึงเหล่าการ์เดี้ยนที่อยู่รอบๆจะรู้ว่าทั้งสองไม่มีทางลงมือต่อกัน แต่ทั้งหมดก็มองอย่างวิตกกังวล

“ท่านผู้สร้างเป็นผู้กำหนดความชอบของเรา รวมถึงรูปลักษณ์ของเราด้วย ดังนั้นแล้วเราไม่มีทางไม่พอใจแน่นอน”
“ดิฉันก็เช่นกัน”
แชลเทียร์ค่อยๆยกศีรษะขึ้น และทั้งสองก็ค่อยๆเดินแยกจากกันโดยสบตากันตลอดจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้ากัน

“อย่าคิดว่าเธอเป็นคนดูแลการ์เดี้ยนทั้งหมดแล้วจะสามารถอยู่เคียงข้างท่านโมมอนกะได้นะ อีกอย่างอย่านึกว่าเธอชนะแล้วล่ะ ถ้าเธอคิดอย่างนั้นละก็ทึกคนต้องหัวเราะกันจนฟันหลุดแน่”

“อาห์ แน่นอน ในเมื่อดิฉันมีแต้มต่อเหนือกว่าเยอะ ดิฉันก็จะใช้โอกาสที่มีเพื่อเอาชัยชนะอันสมบูรณ์แบบที่สุดมาครอง”

“…ชัยชนะอันสมบูรณ์แบบอะไร โปรดบอกเราบ้างสิ ท่าน-หัว-หน้า”
“ยัยร่านอย่างเธอ น่าจะเข้าใจดีนะว่าหมายถึงอะไร”

จนถึงตอนนี้แม้ทั้งสองจะทะเลาะกันอย่างรุนแรง แต่ทั้งคู่ก็ยังคงสบตากันตลอดโดยไม่มีการกระพริบตาแม้สักครั้ง

แส่บ! เสียงอัลเบโดกางปีกออกมาข่มขู่ และโดยไม่ยอมกันแชลเทียร์ก็เริ่มปล่อยควันสีดำออกมา

“อา – ออร่าปัญหาระหว่างผู้หญิงก็ควรปล่อยให้พวกผู้หญิงเขาจัดการกัน ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นไว้กระผมจะมาจัดการเอง ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ก็มาหากระผมได้นะครับ”
“เดี๋ยวเดมิเอิร์จ นี่นายกะโยนขี้ให้ผมงั้นเหรอ?”

เดมิเอร์จโบกมือไปมาแล้วทิ้งทั้งสองไว้เบื้องหลัง เช่นเดียวกับโคไคทัส และแมร์ที่หนีออกมา ในเมื่อไม่มีใครอยากจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้

“ที่จริง…มันจำเป็นขนาดต้องทะเลาะกันด้วยเหรอฮะ”
“โดยส่วนตัวกระผมค่อนข้างสนใจผลลัพธ์เหมือนกัน”
“ผลลัพธ์อะไร เดมิเอิร์จ?”
“ผลลัพธ์ที่จะกำหนดความแข็งแกร่งของกำลังพล และอนาคตของมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้”
“หมายความว่าไงฮะ”
“ก็…”

เพื่อที่จะตอบคำถามแก่มาเร่ เขาคิดที่จะถ่ายทอดความรู้เรื่องผู้ใหญ่ให้กับแมร์ที่ใสซื่อ แต่ก็ต้องยับยั้งชั่งใจไว้

แม้ว่าเดมิเอิร์จจะอยู่ในเผ่าพันธ์ปีศาจที่มีความโหดเหี้ยม เลือดเย็น ซึ่งพบได้ทั่วไปนอกนาซาริก แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกสร้างโดยผู้สร้างทั้ง 41 เช่นกัน เดมิเอิร์จเลือกที่จะจริงใจต่อพวกเขา และนึกเสมอว่าทั้งหมดเป็นสหายที่สำคัญยิ่ง
“ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ย่อมต้องการทายาทถูกไหม? ถึงท่านโมมอนกะจะอยู่กับพวกเราจนถึงเวลาสุดท้าย แต่หากวันใดท่านหมดความสนใจในตัวพวกเราแล้ว ท่านก็ย่อมจากไปเหมือนคนอื่นๆ เมื่อถึงเวลานั้นมันสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องมีทายาทให้พวกเรามอบความภักดีให้”

“แน่นอน แล้วใครคือทายาทของท่านโมมอนกะละฮะ?”
“การคิดแบบนั้นดูจะไม่เป็นการเหมาะสมนักนะ หน้าที่ของพวกเราคือต้องให้แน่ใจว่าพวกเราได้ปกป้องท่านโมมอนกะอย่างดีที่สุดเพื่อให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อไป และก็เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นถูกต้องไหม?”
เดมิเอิร์จก็ได้กล่าวขัดโคไคทัสขึ้นมา:
“แน่นอน กระผมเข้าใจดีโคไคทัส แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะคุณไม่ต้องการให้ท่านโมมอนกะหลงเหลือทายาทให้พวกเรามอบความภักดีให้อย่างนั้นหรือ?”
“ก็…ผมก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะมอบความภักดีแก่ทายาทของท่าน…”
และแล้วภาพทายาทของโมมอนกะก็ลอยเข้ามาในหัวของโคไคทัส
ไม่แค่สอนการใช้ดาบเพื่อป้องกันตัวเอง การฟังคำสั่งของนายน้อยที่เติบโตขึ้น

“…อาห์ มันช่างยอดไปเลย เป็นภาพที่สวยงามมาก…ท่านอาจารย์…ท่านอาจารย์…”

เมื่อมองดูโคไคทัสที่กำลังเพลิดเพลินไปกับจินตนาการที่ตัวเองกลายเป็นอาจารย์ให้กับทายาทของโมมอนกะ เดมิเอิร์จก็ไม่อาจรับได้ และต้องเบือนหน้าหนี:

“สรุปก็คือ ตามแผนการที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับนาซาริก กระผมสนใจเป็นอย่างยิ่งที่จะทราบว่าเด็กที่เกิดมาจะได้แค่ไหนกัน แล้วแมร์ละว่าอย่างไรบ้าง อยากจะมีลูกไหมครับ?”
“อือ? หือ?”

“ถึงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าขาดคู่ขา…ถ้าคุณเจอมนุษย์ ดาร์คเอลฟ์ หรือวู๊ดเอลฟ์ ช่วยจับมาให้กระผมจะได้ไหม?”
“เอะ? เอ๋?” แมร์พยักหน้าอย่างเร็ว: “ถะ-ถ้านี่เป็นการช่วยท่านโมมอนกะ…หนูจะช่วยด้วย แต่ว่าแล้วเด็กเกิดมาได้ยังไงเหรอฮะ?”
“ก็ถ้าถึงเวลาเมื่อไหรกระผมจะสอนคุณเอง หากคุณจะลองเรียนรู้ด้วยตัวเองบางทีท่านโมมอนกะอาจจะตวาดใส่คุณแน่ๆ ในการที่จะดูแลค่าใช้จ่ายของมหาสุสานแห่งนาซาริกในการจัดการเรื่องพวกนี้ เห็นทีจะต้องรักษาดุลยภาพเสียก่อน” (“Well, when it comes to that time I will teach you. If you decide to experiment on your own, Momonga-sama will probably scold you. Due to maintaining the Great Tomb of Nazarick’s operating cost, it should be better if we try to maintain the balance first.”) ตรงนี้เกือบจมน้ำเลย

“ชะ-ใช่แล้ว หนูได้ยินมว่าพวกข้ารับใช้ระดับล่างเวลาเกิดใหม่ต้องมีการคำนวณที่แม่นยำมาก…ถ้ามันมีการเพิ่มมากไปหนูอาจถูกดุได้ หนะ-หนูไม่อยากถูกท่านโมมอนกะดุ…”
“กระผมก็ไม่อยากทำให้ท่านโกรธเหมือนกัน…ถ้าหากว่าเราสามารถทำฟาร์มนอกนาซาริกนี้ได้ละก็…”
(ผู้แต่ง:สำหรับปีศาจ – ฟาร์มทาสเนื้อ)

ทันใดนั้นเดมิเอิร์จก็นึกอะไรได้ และหันไปถามคำถามที่ยังไม่มีใครถามแมร์มาก่อน:
“นึกๆดูแล้ว แมร์ทำไมคุณถึงใส่กระโปรงแบบผู้หญิงละครับ?”
เมื่อฟังคำถามของเดมิเอิร์จ แมร์ก็ดึงกระโปรงลงโดยพยายามปิดขาของเขาเอาไว้
“ก็เพราะท่าน Simmering Teapot ละฮะ เห็นท่านว่าแบบนี้เรียกว่า ‘แทรป’ หนูแน่ใจเลย”

“อา…ตกลงเป็นความคิดของท่าน Simmering Teapot สินะ เอาละสำหรับรูปร่างของคุณไม่น่าเป็นปัญหา…แต่ว่าพวกเด็กเขาแต่งตัวกันแบบนี้หรือครับ?”
“นะ-นี่หนูก็ไม่แน่ใจ”

ถึงแม้เหล่าผู้สร้างทั้ง 41 จะไม่อยู่แล้ว ทั้งหมดก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่พวกเขาได้สั่งไว้ ในหมู่ผู้ที่อยู่ในมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้ชุดของแมร์ก็ดูจะเหมาะสมที่สุด และมีเพียงผู้ที่มีสถานะ และตำแหน่งเทียบเท่าผู้สร้างเท่านั้นที่จะเปลี่ยนชุดของเขาได้

“…ถ้าอย่างนั้นไว้เราค่อยคุยกับท่านโมมอนกะเรื่องนี้อีกที บางทีพวกเด็กๆแถวนี้อาจแต่งตัวแบบนี้ก็ได้…โคไคทัสก็น่าจะตื่นจากโลกแฟนตาซีได้แล้ว”

“ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน…งดงามจริงๆ”
“งั้นก็ดีแล้ว…แล้วอัลเบโด กับ แขลเทียร์ เถียงกันเสร็จหรือยัง?”

ทั้งสองยังคงจ้องตากันอยู่ และผู้ที่ตอบคำถามของเดมิเอร์จก็คือออร่าที่กำลังเหน็ดเหนื่อยอยู่:

“ทั้งคู่…ทะเลาะกันจบแล้ว แต่ตอนนี้ก็กำลังเถียงกันเรื่อง…ใครจะเป็นภริยาหลวงกันแน่”

“สำหรับผู้ปกครองมหาสุสานแห่งนาซาริกการที่จะมีภริยามากกว่าหนึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก…ปัญหาเดียวคือใครกันที่จะได้เป็นภริยาหลวง” “For the ruler of the Great Tomb of Nazarick to have only one concubine would be strange. The only problem is who is qualified to be the legal wife…” (คิดว่าน่าจะเป็น wouldn’t มากกว่า)
“…ถึงเรื่องนี้จะน่าสนใจก็เถอะ แต่ตอนนี้เราต้องรีบจัดระเบียบพวกเราก่อน แชลเทียร์ยกเรื่องนี้ไว้ก่อน ตอนนี้เรามีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการนะครับ”
“เราไม่มีข้อโต้แย้ง อัลเบโดเรื่องนี้เราคงต้องถกกันอีกยาว”
“ก็ดี เอาละดิฉันจะขอเริ่มการพัฒนาแผนขั้นต่อไปเลย”

เมื่อเห็นว่าเธอกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง การ์เดี้ยนทั้งหมดต่างก้มหัวแสดงความเคารพแต่ไม่มีการคุกเข่าแต่อย่างใด

แม้ว่าพวกเขาจะให้ความเคารพอัลเบโดในฐานะผู้บัญชาการ แต่พวกเขาก็ไม่คุกเข่าให้เธอ ในช่วงที่มีการสร้างการ์เดี้ยนนั้นเหล่าผู้สร้างทั้ง 41 จัดลำดับอัลเบโดไว้สูงที่สุด และมอบอำนาจสั่งการการ์เดี้ยนทั้งหมดให้เธอ ตราบใดที่เธอเป็นผู้รับผิดชอบงานการ์เดี้ยนทุกคนจะเชื่อฟังคำสั่งจากเธอ และแสดงความเคารพอย่างมีมารยาท อัลเบโดก็ไม่ได้สนใจการปฏิบัติเช่นนี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว

“เรื่องแรก --”

6 ความคิดเห็น: