หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.1 Chapter 5


Chapter 5
Ruler of Death



Part 1

บัดนี้ไม่เหลือร่องรอยของการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลงเหลือบนทุ่งหญ้าอีกแล้ว
รอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตามใบหญ้าถูกปกปิดจากที่ดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้า และกลิ่นความเลือดก็ถูกพัดหายไปกับสายลม
ที่หลงเหลือบนทุ่งหญ้าคือร่างสองร่างที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ก่อนหน้า
ไนเจนหัวหน้าของหน่วยพิเศษอย่างหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายแห่งศาสนจักรสิเลียนจ้องมองคนทั้งสองตรงหน้าอย่างตกตะลึง


หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมแบบผู้ขับขานมนตรา สวมหน้ากากประหลาดที่ปิดบังใบหน้า และยังสวมถุงมือเหล็กเอาไว้ ชุดคลุมยาวสีดำของเขานั้นดูมีราคา และให้ความรู้สึกแบบผู้สูงศักดิ์
อีกหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำคลุมทั้งตัว ตัวเกราะดูอลังการ และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ของดาษๆราคาถูกที่หาซื้อได้ทั่วไปแน่ ลักษณะของมันเห็นได้ว่าต้องเป็นไอเทมเวทย์ที่ทรงพลังชิ้นหนึ่ง

กาเซฟที่บาดเจ็บอย่างหนัก และคนของเขาหายไป โดยมีคนทั้งสองมาแทนที่ นี่ต้องเป็นผลมาจากเวทย์เทเลพอร์ทเป็นแน่ แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเวทย์ใดกัน บุคคลปริศนาที่ใช้เวทย์ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักมาอยู่ตรงหน้า เขาต้องระวังตัวให้มาก
ไนเจนสั่งการให้เทวฑูตทั้งหมดถอยกลับมา โดยให้พวกมันรักษาระยะรอบตัวเขาไว้เพื่อป้องกันตัว ไนเจนสังเกตฝ่ายตรงข้าอย่างถี่ถ้วน แต่ตอนนั้นเองผู้ขับขานมนตรานั้นก็ก้าวออกมา:
“สวัสดี เหล่าผู้คนจากศาสนจักรสิเลียน ข้ามีนามว่า ไอร์ซ โอว์น โกว์น จะเป็นการให้เกียติแก่ข้าหากจะเรียกข้าว่าไอร์ซ”
แม้จะมีระยะห่าง และยังมีเสียงลมพัด แต่เสียงของเขาก็เปล่งออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน

ยังไม่ทันที่ไนเจนจะกล่าวตอบ ชายที่เรียกตัวเองว่าไอร์ซก็กล่าวต่อว่า:
“คนที่อยู่ข้างหลังข้า คือ อัลเบโด เอาละข้ามีข้อเสนอสำหรับทุกท่านที่นี่ หวังว่าทุกท่านจะพอมีเวลาสักเล็กน้อยสำหรับเรื่องนี้?”
เมื่อลองนึกดูแล้วไม่มีชื่อ ไอร์ซ โอว์น โกว์น ในหัวของเขาเลย เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นชื่อปลอม ดูเหมือนจะเป็นการดีกว่าหากจะลองฟังดูว่าชายคนนั้นต้องการกล่าวอะไร จะได้รวบรวมข้อมูลไปด้วยเลย เมื่อตัดสินใจได้ว่าเป็นการดีที่จะฟัง ไนเจนก็ยกคางขึ้นเป็นสัญญาณให้ไอร์ซกล่าวต่อไป
“เยี่ยม ขอบคุณที่สละเวลามาฟังสิ่งที่ข้าจะกล่าว อย่างแรกข้าอยากจะบอกให้รู้ก่อนว่าไม่มีทางเลยที่พวกเจ้าจะจัดการข้าลงได้”
คำกล่าวที่ไม่มีซึ่งความลังเล และเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง หรือ กล่าวไร้สาระ ชายคนที่เรียกตัวเองว่าไอร์ซมีความมั่นใจในความสามรถของตนอย่างแท้จริง
ไนเจนดูจะไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
ที่ศาสนจักรสิเลียน ไม่มีใครจะมาพูดอย่างนี้กับผู้ที่มีพลังอย่างเขา

“แกช่างสามหาวยิ่งนัก และแน่นอนว่าต้องมีค่าตอบแทนสำหรับคนเขลาอย่างแก”
“…สำหรับเรื่องนี้จะเป็นไปได้รึ? ข้าได้สำรวจการต่อสู้มาอย่างรอบคอบแล้ว และการที่ข้ามายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็หมายความว่าตัวข้ามีความมั่นใจในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยม แล้วเจ้ายังคิดว่าจะมาช่วยชายคนนั้นรึ หากข้าไม่เชื่อว่าข้าจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน?”

ใช่อย่างที่ว่ามา
หากเขาคนนี้เป็นผู้ขับขานมนตราที่อาศัยคาถาทั้งหลายละก็ ย่อมต้องมีวิธีการที่เหมาะสมสำหรับเขา ทั้งผู้ศรัทธา วอร์ล๊อก และจอมเวทย์ พวกเขาจะเลือกสวมเพียงเกราะเบา และส่วนใหญ่ก็เลี่ยงที่จะทำการต่อสู้ในระยะประชิด โดยอาศัยการใช้เวทย์ [ไฟล์ท] เพื่อทำการยิง [ไฟร์บอล] อย่างต่อเนื่องจากระยะไกล แต่ไอร์ซกลับเลือกที่จะมาเผชิญหน้าโดยตรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยเขาต้องมีพลังอำนาจในระดับหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเงียบไป ไอร์ซก็เริ่มกล่าวต่อ:
“ถ้าเข้าใจแล้ว ข้าก็มีคำถามที่อยากจะถามสักหน่อย พวกเทวฑูตที่อัญเชิญมา พวกเจ้าน่าจะใช้คาถาระดับ 3 [อัญเชิญเทวฑูต] ถูกไหม?”
นี่ช่างเป็นคำถามที่มีคมคายยิ่ง
ไอร์ซยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่สนใจท่าทางเหยียดหยามของไนเจน:
“มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ที่เจ้าอัญเชิญมาค่อนข้างเหมือนกับที่อยู่ในอิกดราซิล ข้าจึงสงสัยว่าชื่อจะเหมือนกันด้วยไหม ชื่อของมอนสเตอร์ในอิกดราซิลน่ะถูกตั้งตามชื่อในตำนาน ทั้งเทวฑูต และปีศาจมักจะเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ แต่ที่โลกนี้ไม่มีศาสนาคริสต์นี่ อย่างนี้มันก็ออกจะแปลกมากที่จะเรียกอัครเทวฑูตออกมาได้ นี่แสดงว่าในโลกนี้มีคนที่เหมือนกับข้าอยู่”
โดยไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกล่าวอะไร ไนเจนก็ตอบกลับอย่างขุ่นเคือง:
“หยุดพูดกับตัวเองได้แล้ว บอกมาว่ากาเซฟ สโตโลนอฟอยู่ไหน?”

“ในหมู่บ้าน”
“…อะไรนะ?”
โดยไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบ ไนเจนถึงกับสับสน และสรุปเอาว่าอีกฝ่ายต้องมีเหตุผลที่บอกเช่นนั้นออกมา:
“โง่มาก ถึงแกจะโกหก แต่การค้นหาอย่างง่ายๆที่หมู่บ้านก็จะ-------”

“ข้าไม่ได้โกหก ก็แค่ตอบคำถาม…แล้วการตอบตามตรงนี่ ต้องมีเหตุผลด้วยรึ”

“…นี่แกจะขอความเมตตางั้นเรอะ? หากแกช่วยประหยัดเวลาให้ข้า บางทีข้าจะลองคิดดู”

“เปล่า เปล่า เปล่า…อันที่จริง…ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าคุยกับคุณหัวหน้าอัศวิน…ช่างกล้าหาญมาก”
น้ำเสียงและท่าทางของเขาได้เปลี่ยนไป พร้อมกับมองไปที่ไนเจนที่ยังคงมีท่าทีเย้ยหยัน:
“เจ้ากล้ากล่าวอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะสังหารชาวบ้านทั้งหมด ที่ข้า ไอร์ซ โอร์น โกว์น ได้ช่วยเหลืออย่างลำบาก ไม่มีอะไรที่ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ไปมากกว่านี้แล้ว”
คลื่นลมอันรุนแรงได้พัดผ่านผ้าคลุมของไอร์ซ และพักผ่านไนเจน รวมถึงคนของเขา
มันออกจะประจวบเหมาะไปที่ลมจากทุ่งหญ้านั้นมาจากทางด้านไอร์ซ แต่ไนเจนก็รีบสลัดความเข้าใจผิดนี้ออกไปจากหัว แน่นอนว่าเขาต้องเข้าใจผิดไปเองแน่ ลมมันจะไปมีกลิ่นของความตายได้อย่างไรกัน
(It was just a coincidence that the wind from the grasslands came from Ainz direction, but Nigan quickly shook off the misconception appearing in his mind, surely he was just mistaken and the wind didn't smell of death.)

“…ปะ-แปลว่าแกไม่พอใจเรื่องนั่นเรอะ ผู้ขับขานมนตรา แล้วมันจะทำไมละ?
แม้เขาจะถูกขู่ให้กลัว แต่ไนเจนก็ยังคงไม่เปลี่ยนท่าทีดูถูกที่มี

ก็แล้วทำไมหัวหน้าหน่วยคัมภีร์สุริยันฉาย ผู้ที่ถือครองไพ่ตายแห่งศาสนจักรสิเลียน จะต้องมากลัวคำพูดของคนที่ไม่มีที่มาด้วยละ
ไม่ใช่แน่นอน
แต่ว่า

“ข้อตกลงที่ข้าพูดถึงก่อนหน้าก็คือ หวังว่าพวกเจ้าจะยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี หากเป็นเช่นนี้พวกเจ้าก็จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดยังไงละ แต่หากพวกเจ้าคิดจะต่อต้านซึ่งเป็นเรื่องที่เบาปัญญามาก พวกเจ้าก็ต้องจ่ายค่าชดใช้ด้วยการตายอย่างสิ้นหวัง และทุกข์ทรมาน”
ไอร์ซได้ก้าวต่อไปยังเบื้องหน้า
แม้จะเพียงแค่ก้าวเดียว แต่ไอร์ซที่ดูโฉดชั่ว ทำให้คนของหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายต้องถอยหนี
“อ๋า…”
เสียงแหบแห้งได้ดังขึ้นรอบตัวของไนเจน

นื่คือเสียงแห่งความหวาดกลัว
แม้จะมีท่าทางแบบนักสู้ที่น่าเกรงขาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไนเจนได้พบกับแรงกดดันที่รุนแรงเช่นนี้ นั่นทำให้เขารับรู้ถึงความกลัวของลูกน้อง
ถึงจะเป็นไนเจนผู้เจนสนามที่เคยผ่านศึกมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะพบประสบการณ์เฉียดตายหลายครั้ง หรือ สังหารผู้คนไปมากเท่าไร เขาก็ไม่เคยได้รับแรงกดดันที่น่าอึดอัดซึ่งผู้ขับขานมนตราที่ลึกลับอย่างไอร์ซเปล่งออกมา แล้วยิ่งพวกคนของเขาบางทีน่าจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันนี้มากกว่ามาก
ตกลงแล้วมันคือตัวห่าอะไรกันแน่?
จุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้ขับขานมนตรตรงหน้าคืออะไรกัน แล้วใครกันแน่ที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั่น?

ไอร์ซยังคงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกโดยไม่สนใจไนเจนที่เริ่มวิตกกังวล:
“เหตุผลที่ข้าไม่ได้โกหก ก็เพราะว่าจะจำเป็นอะไรที่ต้องไปโกหกคนที่กำลังจะตายละ”
ไอร์ซค่อยๆกางแขนออกมา และก้าวเดินต่อไปยังเบื้องหน้า ท่าทางที่แสดงออกดูเหมือนการสวมกวด แต่ลักษณะปลายนิ้วที่ดูแปลกตาทำให้ดูเหมือนอสูรเวทย์ที่เตรียมกระโจนเข้าหาเสียมากกว่า
ไนเจนรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง จากที่เขาเคยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาก่อน ทำให้เขารู้สึกได้ถึงลางแห่งความตายที่คืบคลานเข้ามา

“สั่งพวกเทวฑูตโจมตีเข้าไป! อย่าปล่อยให้มันเข้ามาได้!”

ไนเจนตะโกนสั่งการด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
แทนที่จะปลุกใจกองทหารของตน เขากลับกลัวการรุกคืบของ ไอร์ซ โอว์น โกว์น
อัครเทวฑูตแห่งเปลวเพลิงสองตนเมื่อได้รับคำสั่งจากไนเจน ก็เริ่มทำการจู่โจม พวกมันกระพือปีก แล้วมุ่งทะยานไปกับสายลม
เทวฑูตได้มุ่งตรงมายังไอร์ซ และแทงไปยังเขาอย่างไม่ลังเลด้วยคมดาบเปลวเพลิง
อัลเบโดที่อยู่ด้านหลังน่าจะก้าวมาขวางไอร์ซ นั่นคือที่ทุกคนคิดไว้ แต่ทว่าทั้งหมดต่างไม่อาจเชื่อสายตาของตัวเองได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด นี่มันตรงข้ามกับที่คาดไว้เลย

ใช่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ไอร์ซไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เขาปล่อยให้เทวฑูตแทงไปยังร่างของเขา เวทย์มนตร์ หลบหลีก ปัดป้อง หรือให้ผู้ติดตามมาปกป้อง ไม่มีอะไรที่กล่าวมาข้างต้นเกิดขึ้นเลย

ความประหลาดใจแปรเปลี่ยนเป็นความขบขัน
พวกเขาซึ่งทำการข่มขู่อยู่ตรงหน้า แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่การตบตาเท่านั้น ไม่ใช่ว่าอัลเบโดไม่อยากมาป้องกัน แต่อัลเบโดไม่อาจตามความเร็วของการโจมตีจากเทวฑูตทันเป็นแน่ หลังรู้ความจริง เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป

เหล่าผู้ติดตามล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอก จากที่เขาเกิดอาการวิตกกังวลโดยไม่อาจหาสาเหตุได้ก่อนหน้า ทำให้เขามองไปยังอัลเบโดอย่างไม่สนิทใจนัก:
“น่าอับอายจริงๆ ทำเป็นวางท่าใหญ่โตเพื่อตบตาพวกข้า…”
แต่ทันใดนั้นความสงสัยก็ผุดขึ้นมา
ทำไมร่างของไอร์ซยังไม่ร่วงไปสักที?
“…พวกแกทำอะไรกันอยู่? รีบสั่งให้เทวฑูตกลับมาได้แล้ว ถ้าดาบยังเสียบอยู่แบบนี้ร่างนั่นก็ร่วงลงหรอก”

“ตะ-แต่ว่าพวกเราออกคำสั่งไปแล้วนะครับท่าน”
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เจือปนความสงสัย นั่นทำให้เขาต้องมองกลับไปยังไอร์ซอีกครั้ง
เทวฑูตทั้งสองต่างกระพือปีกอย่างแรง ดูเหมือนกับผีเสื้อที่ติดอยู่กับใยแมงมุม
เทวฑูตค่อยเคลื่อนออกไปทั้งสองข้างด้วยท่าทางที่ดูแปลกตา แต่อันที่จริงต้องบอกว่ามันถูกดันออกไปเสียมากกว่า
และตัวการก็คือไอร์ซ ผู้ซึ่งถูกซ่อนอยู่หลังเทวฑูต ที่ตอนนี้มองเห็นได้ตรงกลางระหว่างเทวฑุตทั้งสอง
“ข้าไม่ได้บอกไว้ก่อนแล้วรึ? ไม่มีทางเลยที่พวกเจ้าจะจัดการข้าได้ พวกเจ้าน่าจะตั้งใจฟังที่คนอื่นบอกหน่อยนะ”

เสียงที่สงบนิ่งดังเข้าไปในหูของไนเจน
ตอนนี้ไนเจนกำลังงงงวยกับสถานการณ์ตรงหน้า

แม้เขาจะถูกเสียบทะลุทรวงอก และหน้าท้อง แต่ไอร์ซก็ยังคงยืนสงบนิ่ง
“เป็นไปไม่ได้…”
คนของเขากล่าวออกมาเหมือนกับที่ไนเจนคิดอยู่ จากที่คนทั้งหมดที่นี่มองเห็น คมดาบได้แทงทะลุร่างจนเกิดแผลฉกรรจ์ ถ้าอย่างนั้นทำไมไอร์ซจึงดูไม่มีท่าทีเจ็บปวดเลยสักนิด
และนั่นไม่ใช่เรื่องน่าตระหนกเพียงเรื่องเดียว
มือของไอร์ซได้จับที่บริเวณลำคอของเทวฑูตทั้งสองที่ตอนนี้หิ้วลอยยกสูงขึ้น
“เป็นไปไม่ได้…”

ไม่แน่ชัดว่าใครอุทานออกมา แม้ว่าของเทวฑูตจะเกิดจากเวทย์จากเวทย์อัญเชิญ แต่มันก็ไม่ได้มีน้ำหนักเบาเลย พวกมันมีน้ำหนักพอกับชายวัยฉกรรจ์ และนี่ยังไม่นับรวมชุดเกราะที่สวมใส่อีก ซึ่งมันไม่ใช่น้ำหนักที่จะยกขึ้นได้ง่ายๆด้วยมือเพียงข้างเดียว
แน่นอนว่าหากเป็นนักรบที่ฝึกฝนกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าดูแล้วไม่มีกล้ามเนื้อให้เห็นเลย เขาดูเหมาะกับผู้ที่ให้ความสนใจไปยังการศึกษา เพื่อเพิ่มพูนความรู้ และเวทย์มนตร์เสียมากกว่า และถึงแม้เขาจะใช้เวทย์เสริมความความแข็งแกร่งก็เถอะ หากว่ามันไม่พื้นฐานอะไรเลยก็ย่อมไม่อาจทำให้เกิดผลได้อย่างที่เห็ร
แล้วทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้? ถึงเขาจะถูกดาบเสียบอยู่ แต่กลับดูไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาเลย
“…ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ”

“ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนั้นแน่! ใครมันจะสบายดีอยู่ได้ถ้าโดนดาบแทงแบบนั้นกัน?”
เสียงตะโกนรับอย่างตะขิดตะขวงใจจากหน่วยพิเศษแห่งศาสนจักรดังก้องไปทั่ว แม้พวกเขาจะเคยผ่านเรื่องอันตราย และรอดชีวิตจากศึกนับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน แม้แต่ไนเจน และเทวฑูตที่ถูกอัญเชิญมาก็ไม่อาจยอมรับได้

น้ำเสียงที่เบื่อหน่ายซึ่งไม่มีวี่แววของความเจ็บปวดได้กระทบโสตสัมผัสของไนเจน และคนของเขาที่ยังงุนงงอยู่
“นี่คือทักษะหักล้างทางกายภาพรูปแบบติดตัวพิเศษระดับสูง มันก็จะกันดาเมจจากอาวุธระดับต่ำ และทำให้เวทย์ระดับต่ำบางชนิดไม่เกิดผล สรุปก็คือการโจมตีที่ต่ำกว่าระดับ 60 จะไม่มีผลเกิดขึ้น หรือจะบอกว่า การโจมตีระดับ 60 ขึ้นไปก็ยังทำให้ข้าบาดเจ็บก็ได้ มันเป็นทักษะแบบ 0 หรือ 1…ข้าไม่ได้คิดเลยว่ามันจะได้ใช้ประโยชน์ตอนนี้ เอาละ…เจ้าเทวฑูตนี่รู้สึกจะเกะกะทางจริงๆ”
ทันใดนั้นเองไอร์ซก็จับเทวฑูตที่ยังอยู่ในมือทั้งสองข้างของเขาอัดกระแทกลงกับพื้น ทำให้ผืนดินสั่นไหวพร้อมเกิดเสียงดังสนั่น ดูเหมือนพลังทำลายจากการกระทำนี้จะนอกเหนือสามัญสำนึกทั่วไปแล้ว
เทวฑูตที่ตายลงได้สายกลายเป็นบอลแสง แน่นอนว่ารวมไปถึงดายที่ยงคงเสียบคาที่ตัวของไอร์ซ
“หากข้ารู้ชื่อของเทวฑูตพวกนี้ บางทีข้าอาจเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงรู้วิธีใช้เวทย์จากอิกดราซิล…แต่เรื่องนี้เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน”
ไอร์ซที่ค่อยๆลุกขึ้นได้กล่าวเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้ออกมา
แต่นี่กลับยิ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวพละกำลังอันน่าอัศจรรย์นี้
ไนเจนกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
“เอาละรู้สึกว่าเกมนี้เริ่มจะน่าเบื่อแล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยังละ? ดูจากที่พวกเจ้าจะไม่ตอบรับข้อเสนอของข้า คงต้องถึงตาข้าบ้างแล้วละ”

หลังจัดการกับเทวฑูตแล้ว ไอร์ซก็ค่อยๆกางแขนออกอีกครั้ง เหมือนแสดงให้เห็นว่าเขามีอะไรอยู่ในมือ
ความรู้สึกน่าหวาดผวาได้ผ่านเข้ามา พร้อมกับไอร์ซที่กล่าวอย่างชัดเจนให้ทั้งหมดได้ยิน
“ตอนนี้ถึงตาของข้า ที่จะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด”
ราวกับถูกแทงเข้าที่ด้านหลัง ความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนสะอิดสะเอียน แม้แต่นักฆ่าที่มากประสบการณ์อย่างไนเจนก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ต้องหนี เมื่อไม่เห็นทางชนะศึกนี้ การต่อสู้กับไอร์ซมันอันตรายมากเกินไป
แต่ไนเจนก็พยายามไม่สนใจสัญชาตญาณของเขา ในเมื่อพวกเขาสามารถไล่ต้อนเหยื่ออย่างกาเซฟจนมุมได้แล้วด้วยกับดักที่เตรียมกันมา แล้วเขาจะปล่อยให้พวกนั้นหนีไปได้อย่างไรกัน?
หลังจากเพิกเฉยต่อสัญชาตญาณที่ร้องเตือน ไนเจนเรียกกำลังขวัญและออกคำสั่งเสียงดัง:
“เทวฑูตทั้งหมด โจมตี! ให้ไวที่สุด!”
ราวกับลูกกระสุนอัครเทวฑูตแห่งเปลวเพลิงพุ่งทะยานมาที่ไอร์ซ
“ช่างเป็นกลุ่มคนที่มีชีวิตชีวาจริงๆ…อัลเบโดอยู่เฉยๆ”
เสียงของเขานั้นสงบนิ่ง และเปี่ยมด้วยความมั่นใจ แม้เหล่าเทวฑูตต่างพร้อมใจกันโจมตีเข้ามา ตอนนี้ไอร์ซถูกล้อมโดยเหล่าเทวฑูต แต่ว่าเขากลับไม่มีท่าทีกังวลใจเลยสักนิด แม้จะไม่มีช่องว่างสำหรับหลบหนีเลย

เมื่อถึงตอนที่เขาจะถูกดาบแทงทะลุตัวนั้น ไอร์ซก็ได้ทำการร่ายมนตร์เสร็จเรียยร้อย

“[เนกาทีฟเบิร์ส]”

อากาศบริเวณรอบได้สั่นไหวอย่างรุนแรง
แสงสีดำได้สาดส่องไปทั่วรอบตัวของไอร์ซ นั่นเป็นเพียงชั่วพริบตา และผลลัพธ์ก็ปรากฎให้เห็นในทันที

“ปะ-เป็นไปไม่ได้…”
เสียงถูกส่งผ่านมาตามสายลม ภาพที่ปรากฎแก่สายตาพวกเขาเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
เทวฑูตทั้งสี่สิบตนถูกทำลายสิ้นหลังถูกปกคุลมโดยคลื่นสีดำทมิฬ
ศัตรูของเขาไม่ได้ใช้เวทย์ที่ลบล้างการอัญเชิญ เมื่อเทวฑูตกระทบถูกคลื่นสีดำนั้น พวกมันดูเจ็บปวดอย่างมาก กล่าวคือ ไอร์ซได้ร่ายมนตร์ที่ทรงพลังซึ่งได้กวาดล้างเหล่าเทวฑูตไปทั้งหมด
ไนเจนถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความพรั่นพรึง ในหัวของเขานึกถึงคำพูดของนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของราชณาจักร อย่างกาเซฟ สโตโลนอฟ

“…หึ แกต่างหากคือไอ้โง่ ในหมู่บ้าน…ยังมีคนที่แข็งกว่าข้าอยู่ เขาเป็นคนที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ แล้วเขาก็สามารถจัดการพวกแกทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว…คิดเรื่องที่จะฆ่า…พวกชาวบ้านที่เขาปกป้อง เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย…”
ภาพตรงหน้าได้ยืนยันคำพูดนั้นแล้ว
เท่าที่เขาทราบ สมาชิกของหน่วยที่แข็งแกร่งอย่างคำภีร์ทมิฬก็สามารถจัดการกับเทวฑูตจำนวนเท่านี้ได้ อาจเปรียบได้ว่าไอร์ซเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งในระดับนั้น แต่แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งเท่ากับหน่วยคำภีร์ทมิฬ แต่เขาก็ยังโอกาสชนะหากใช้ความได้เปรียบด้านจำนวนคน
แต่ในหมู่สมาชิกของหน่วยคำภีร์ทมิฬ จะมีใครสามรารถจัดการเทวฑูตทั้งหมดได้โวยมนตร์เพียงบทเดียวอย่างนั้นหรือ?

ไนเจนส่ายหัวไล่ความสงสัยออกไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตั้งคำถาม แม้จะรู้คำตอบแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นั่นทำให้ไนเจนล้วงเข้าไปที่กระเป๋า พร้อมกับความกล้าที่พรั่งพรูขึ้นมาจากไอเทมเวทย์ที่เขาเก็บไว้
เขามั่นใจว่าตราบเท่าที่เขามีไอเทมนี้ ทุกอย่างต้องเรียบร้อย
แต่ทว่าเหล่าลูกน้องของเขากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น และพยายามหาวิธีอื่น
“วะ ว๊ากกกกกกก!”
“นี่มันเกิดขึ้นได้ไง!”
“สัตว์ประหลาด!”

เมื่อเห็นว่าไม่สามรถใช้เทวฑูตได้ เหล่าลูกน้องของเขาก็ได้กรีดร้อง และเริ่มร่ายเวทย์ที่เชื่อมั่นออกไป
[คอนฟิวส์ฮิวแมนด์], [ค้อนแห่งการพิพากษา] [ไบลน์], [ฝนเปลวเพลิง] [โลงศพหยก], [ลำแสงศักสิทธิ์], [บลาสท์], [สทาแลกไมท์ แอสเซาท์], [โอเพ่นวาวด์], [พอร์ยซัน], [เฟียร์], [เคิร์ส]…

เวทย์ทั้งหลายต่างกระทบถูกไอร์ซ
แม้จะอยู่ท่ามกลางดงพายุเวทย์ แต่ไอร์ซก็ยังคงเยือกเย็นอยู่
“ช่างเป็นเวทย์ที่คล้ายกันจริงๆ…ใครเป็นคนสอนพวกนี้กัน? พวกคนของศาสนจักรสิเลียนเอง? หรือเป็นพวกอื่น? ดูเหมือนจะมีเรื่องให้ต้องค้นหามากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ”
ไม่เพียงแค่เขาจะจัดการเหล่าเทวฑูตได้ในคราเดียว แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับผลจากเวทย์ด้วย
ไนเจนตอนนี้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย
“อี๊!”

เนื่องจากไม่มีเวทย์ใดสามารถทำอะไรเขาได้ คนของเขาผู้หนึ่งก็กรีดร้องออกมา พร้อมกับหยิบลูกเหล็กสำหรับเครื่องเหวี่ยงกระสุนออกมา ไนเจนคิดว่าขนาดคมดาบของเทวฑูตยังไม่อาจทำอะไรเข้าได้ แล้วประสาอะไรกับลูกเหล็กละ? แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามสิ่งที่ลูกน้องกำลังทำ

ลูกบอลเหล็กที่สามารถป่นกระดูกของคนได้อย่างง่ายดายลอยตรงไปที่ตัวไอร์ซอย่างแม่นยำ

เสียงระเบิดดังขึ้นได้ยินทั่วกัน
อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
เมื่อเกิดการต่อสู้ ผู้ที่ทำการต่อสู้นั้นไม่อาจละสายตาไปจากเป้าหมายได้ แต่ทว่าอัลเบโดที่น่าจะยืนอยู่หลังไอร์ซกลับขึ้นมาอยู่ที่ด้านหน้าในชั่วพริบตา บริเวณที่เธออยู่ก่อนหน้าถึงกับเป็นลูกคลื่นจากแรงถีบซึ่งเป็นที่มาของเสียงที่ได้ยิน

ด้วยความเร็วที่ยากจะมองตามได้ อัลเบโดได้ยกขวนยาวที่ถือในมือขึ้น จนเกิดร่องรอยสีเขียวจางๆในอากาศ
จากนั้นชายที่ถือลูกบอลเหล็กก็ร่วงลงสู่พื้น
“…อะไรกัน?”
ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า คนที่น่าจะเป็นฝ่ายโจมตีกลับถูกจัดการลงเสียเอง
มีคนวิ่งไปสำรวจเพื่อนร่วมหน่วย และก็พบว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว คนที่วิ่งไปได้ตะโกนออกมาว่า:
“หะ-หัวของเขาถูกลูกเหล็กอัดเข้าใส่?”
“…อะไรนะ? ลูกเหล็ก...แต่นั่นจะใช่ลูกเหล็กที่เพิ่งโยนไปก่อนหน้างั้นเหรอ?”
ทำไมพวกเขาถึงได้ถูกฆ่าโดยลูกเหล็กที่พวกเขายิงออกไปเองเสียละ?
เมื่อเป็นเช่นนี้ สายลมก็ได้พัดพาคำพูดเข้าหูของไนเจน
“ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ดูเหมือนผู้ติดตามของข้าจะใช้เวทย์ไปสองบท ทั้งแอนติ-มิสไซน์ชิลน์ กับ รีเฟลกส์มิสไซน์ ในการส่งมันกลับไป ดูๆไปแล้วทางเจ้าก็ร่ายเวทย์ต้านทานการโจมตีระยะไกลสินะ แต่ว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งว่าการป้องกันก็ย่อมสามารถทะลวงเข้าไปได้ จริงไหม? ไม่ต้องประหลาดใจไปหรอก”

จากนั้นไอร์ซก็ละความสนใจจากไนเจนทันทีหลังอธิบายเสร็จ และหันมายังที่อัลเบโด:
“ถึงอย่างนั้นอัลเบโด เจ้าน่าจะรู้นะว่าการโจมตีจากอาวุธระยะไกลแบบนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก มันไม่จำเป็นจะ----”

“-----โปรดฟังก่อนค่ะท่านไอร์ซ หากพวกมันอยากจะท้าทายท่านโอเวอร์ลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งในระดับนึงเสียก่อน แต่การใช้ลูกเหล็ก…มันช่างหยาบคายยิ่งนัก!”

“ฮ่า ฮ่า เจ้าจะบอกว่าไนเจนกับพวกไม่มีค่าพอ ถูกไหม?”
“อือออ ! เฮ้! ศักดิเทพแห่งการสำรวจ! มานี่!”  (The *Principality of Observation คือลำดับขั้นของฑูตสวรรค์ซึ่งจัดอยู่ในลำดับที่สามจากล่างในทั้งหมดเก้าลำดับชั้น)
เมื่อได้รับคำสั่งจากไนเจน เทวฑูตบินอย่างข้าๆก็เริ่มเคลื่อนออกมา
ศักดิเทพแห่งการสำรวจเป็นเทวฑูตซึ่งสวมชุดเกราะทั้งตัว มือข้างหนึ่งถือค้อนศึกขนาดใหญ่ ส่วนมืออีกข้างถือโล่ห์กลม โดยมีผ้าคลุมยาวปิดส่วนขาเอาไว้

เทวฑูตที่แข็งแกร่งกว่าอัครเทวฑูต เหตุผลที่พวกเขาไม่ใช้งานมันจนะถึงบัดนี้ก็เพราะทักษะพิเศษของมัน ศักดิเทพแห่งการสำรวจก็ตามชื่อของมันที่จะช่วยเสริมการป่องกันให้กับมิตรในระยะสายตาของมัน พวกเขาจะสูญเสียความสามารถนี้หากว่ามันไม่ได้อยู่ที่ซึ่งเคยอยู่ ดังนั้นการให้ศักดิเทพแห่งการสำรวจอยู่เบื้องหลังนั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
แต่ในเมื่อคำสั่งให้เคลื่อนพลถูกสั่งออกมา แสดงให้เห็นว่าไนเจนนั้นไม่มีทางเลือกแล้ว ตราบใดที่ยังคงมีหาทางรอด แม้จะเป็นใบหญ้า เขาก็พร้อมจะคว้ามันมาใช้

“อยู่เฉยๆ อัลเบโด”
เทวฑูตที่รับคำสั่งได้มาปรากฎที่เบื้องหน้าไอร์ซในระยะที่ลมหายใจส่งถึงกันได้ จากนันมันก็ยกค้อนศึกที่เปล่งประกายขึ้น ขณะที่ไอร์ซได้กางมือซ้ายที่สวมถุงมือเหล็กเข้าปะทะ
แม้ว่าการโจมตีนี้ควรจะป่นกระดูกของเขาไปแล้ว แต่มือของไอร์ซก็ยังปลอดภัยดี และเขาก็ยังยืนรับการโจมตีที่ตามมาของเทวฑูตอย่างสงบ

“อ้อย อ้อย…ดูเหมือนจะถึงตาข้างละนะ เฮลไฟร์”
นิ้วมือขวาที่กางออกมา ลูกไฟขนาดเล็กที่ดูเหมือนพร้อมจะดับลงทุกเมื่อได้ผุดขึ้นมา จากนั้นลูกไฟก็ลุกไปติดยังตัวที่เปล่งประกายของเทวฑูต ซึ่งด้วยขนาดที่เล็กจิ๋วของมันทำให้ดูน่าขบขันไม่น้อย
แต่ทว่า
ทันใดนั้นร่างของศักดิเทพแห่งการสำรวจก็ถูกดูดกลืนด้วยเปลวเพลิงสีดำ เปลวไฟนั้นรุนแรงจนแม้กระทั่งไนเจนที่อยู่ห่างออกไปรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมา ซึ่งถึงกับทำให้เขาไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้
ภายในเปลวเพลิงสีดำที่ปะทุขึ้น ร่างของเทวฑูตก็ถูกหลอมจนไม่มีซากหลงเหลือให้เห็น จากนั้นเปลวเพลิงสีดำก็มอดหายไปหลังจากกลืนกินเป้าหมายเรียบร้อย
ไม่เหลือร่องรอยอะไรให้เห็น ภาพก่อนหน้าที่เทวฑูตที่กำลังต่อสู้ ถูกเผาไหม่โดยเปลวเพลิงสีดำ ทั้งหมดราวกับเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“ปะ-เป็นไปได้ยังไงกัน?”
“แค่ทีเดียว…”
“อี๊!”
“นะ-นั่นมันเป็นไปไม่ได้ อ๊ออออออา!”

ท่ามกลางความตื่นตระหนกนั้น ก็เสียงคำตามของไนเจนปนอยู่ด้วย
ไนเจนไม่รู้ว่าตัวเองตะโกนอะไรออกไปบ้าง เขาเพียงต้องการส่งผ่านสิ่งที่เขาคิดออกมาเป็นคำพูด แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงกลายเป็นการตะเบ็งเสียงขึ้นมาได้

ศักดิเทพแห่งการสำรวจนั้นเป็นเทวฑูตระดับสูง ซึ่งค่าการโจมตี ป้องกันเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนคือ 3 ต่อ 7
ในเหล่าศักดิเทพทั้งหมดที่เขาอัญเชิญได้จากเวทย์ระดับสูง ศักดิ์เทพแห่งการสำรวจนั้นช่วยเพิ่มค่าการป้องกันได้มากที่สุด
นอกจากนี้เมื่อรวมกับความสามารถติดตัวแต่กำเนิดอย่าง [เสริมความแข็งแกร่งสิ่งอัญเชิญ] เขาก็สามารถยกระดับความสามารถของสิ่งที่เขาอัญเชิญมาทั้งหมดได้ ดังนั้นแล้วจึงมีคนจำนวนไม่มากที่สามารถจัดการกับศักดิ์เทพแห่งการสำรวจของเขาได้
ในชั่วชีวิตของไนเจน เขาไม่เคยพบใครที่สามารถจัดการมันได้ด้วยมนตร์เพียงบทเดียว แม้จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขารู้จัด อย่างสมาชิกหน่วยคำภีร์ทมิฬซึ่งมีพลังกายเกือบจะถึงขีดจำกัดของมนุษย์ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่าไอร์ซ โอว์น โกว์น นั้นแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ไปแล้ว

“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร! เป็นไปไม่ได้! ไม่มีใครใช้เวทย์แค่บทเดียวในการจัดการเทวฑูตระดับสูงได้หรอก! แกมาจากไหน ไอร์ซ โอว์น โกว์น!? คนระดับแกไม่น่าจะไม่มีคนไม่รู้จัก! ชื่อที่แท้จริงของแกคืออะไรกันแน่!?”
โดยไม่สนการวางตัวให้ดูเยือกเย็นอีกต่อไป ไนเจนแผดเสียงออกมาโดยไม่สนใจว่าจะรู้ความจริงหรือไม่ก็ตาม
ทางด้านไอร์ซนั้นก็ค่อยๆยกแขนขึ้น ภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า ทำให้แขนทั้งสองข้างดูราวกับอาบด้วยเลือดทั่วไปหมด
“…ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? นี่เจ้าไม่รู้งั้นรึ? หรือนี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นของโลกนี้? แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าสามารถบอกกับพวกเจ้า”
ระหว่างรอคำตอบ เหล่าผู้ที่อยู่รายล้อมต่างปิดปากสนิท มีเพียงเสียงอันสดใสของไอร์ซเท่านั้นที่เปล่งออกมา
“ชื่อของข้าคือ ไอร์ซ โอว์น โกว์น และนี่ไม่ใช่ชื่อปลอมอย่างแน่นอน”
จากน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ และปิติยินดีซึ่งได้ยิน ไนเจนไม่อาจตอบอะไรกลับได้ เนื่องจากไม่เข้าใจสิ่งที่ไอร์ซบอกมา และนี่คือสถานการณ์ ณ ขณะนี้

ไนเจนกำลังกลัดกลุ้มเห็นได้จากลมหายใจที่สั้นของเขา
ลมที่พัดผ่านทุ่งหญ้าก็น่ารำคาญอย่างมาก เสียงเต้นของหัวใจเขานั้นดังอย่างเห็นได้ชัด เขาหายใจไม่เป็นระส่ำร่วกับว่าใช้พลังงานทั้งหมดติดต่อกันอย่างยาวนาน
แม้ว่าคำพูดบางคำจะลอยอยู่ในหัวเพื่อปลอบใจเขา แต่จากที่เห็นภาพฝ่ายตรงข้ามที่ถูกดาบแทงทะลุ หรือภาพที่เขาใช้เพียงเวทย์บทเดียวจัดการเทวฑุตจำนวนมาก ทั้งหมดนี้ต่างบอกไนเจนเรื่องเดียวกัน
นั่นมันสัตว์ประหลาดที่เหนือจินตนาการ ซึ่งเขาไม่อาจต่อกรได้
“หะ-หัวหน้า ระ-เราจะทำไงดี…”
“คิดเองสิฟะ! ข้าไม่ใช่แม่แกนะเว้ย!”

หลังจากร้องออกมา ไนเจนก็สังเกตเห็นได้ถึงความหวาดกลัวในแววตาของเหล่าลูกน้อง ซึ่งเขาต้องรีบแก้ไขโดยไว
การตื่นตระหนกเบื้องหน้าอสูรร้ายย่อมทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดขึ้นได้
ขณะนั้นดวงสุริยันก็ค่อยๆลาลับจากขอบฟ้า และความมืดก็ได้ก้าวเข้ามาแทนที่ ยามนี้ราวกับว่าความตายได้แผยอปากขึ้นพร้อมสำหรับการกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างลงไป ไนเจนในที่สุดก็หลุดจากความกลัวและสั่งการออกมาอีกครั้ง:

“ป้องกันข้าเร็วเข้า! ใครที่ยังอยากรอดอยู่ มายื้อเวลาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ด้วยมือที่สั่นเทาไนเจนหยิบคริสตัลออกมา ปกติแล้วคนของเขาเป็นพวกที่กระฉับกระเฉงว่องไว แต่เนื่องจากความกลัวพันธนาการพวกเขาเอาไว้ทำให้พวกเขาทำอะไรได้ช้าลง จากคำสั่งที่ต้องมาโล่ห์กันสัตว์ประหลาดตรงหน้า แม้พวกเขาจะไม่กลัวตาย แต่ว่าก็ยังต้องมีลังเลบ้าง ทว่าพวกเขาต้องทำเพื่อซื้อเวลาเอาไว้

ผนึกเวทย์ที่อยู่ในคริสตัลจะทำให้เขาอัญเชิญเทวฑูตที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ และเทวฑูตตนนี้แข็งแกร่งขนาดที่สามารถจัดการกับเทพมารที่เคยออกอาละวาดเมื่อสองร้อยปีก่อนลงได้
เทวฑูตที่มีพลานุภาพขนาดล้างเมืองได้
มันไม่อาจคำนวณได้เลยว่าต้องใช้ความพยายาม และทรัพย์สินจำนวนเท่าใดเพื่ออัญเชิญเทวฑูตนี้อีกครั้ง แต่ว่าสำหรับบุคคลปริศนาอย่าง ไอร์ซ โอว์น โกว์น แล้วนี่นับว่าคุ้มค่า ที่สำคัญกว่านั้นหากว่าเขาไม่ใช้แล้วมันถูกเอาไปละก็ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายกว่านี้มาก นี่เป็นเหตุผลที่ไนเจนใช้สนับสนุนตัวเขา
ไนเจนพยายามซ่อนความกลัวที่ว่าเขาจะต้องตายกลายเป็นเศษเนื้อเช่นเดียวกันคนที่เขาเคยสังหาร

“ข้ากำลังจะอัญเชิญเทวฑูตระดับสูงที่สุด พวกเจ้ารีบมาถ่วงเวลาไว้เร็วเข้า!”
จากคำอธิบายทำให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารีบดำเนินการอย่างว่องไว
ด้วยเปลวเพลิงแห่งความหวังที่ลุกโชนขึ้นของทั้งหมด ในฐานะศัตรูไอร์ซก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทว่าแทนที่เขาจะรีบทำอะไรสักอย่าง เขากลับยืนพูดกับตัวเองแทน:
“…หรือว่านั่นคือผนึกเวทย์คริสตัล…ดูจากแสงที่ออกมา นั่นน่าจะมีเวทย์ที่ทรงพลังถูกผนึกอยู่? ในอิกดราซิลก็มีไอเทมแบบนี้เหมือนกัน...นี่คงเป็นเวทย์ที่ใช้อัญเชิญเทวฑูต...เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นระดับเซราฟิม? อัลเบโด ช่วยใช้ทักษะพิเศษของเจ้าป้องกันข้าที ถึงดูแล้วไม่น่จะใช่เซราฟจากชั้นเอมพรีเอิน แต่หากว่าเป็นเซราฟระดับสูง เราก็คงต้องสู้อย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่เน่...บางทีมันอาจจะเป็นมอนสเตอร์ของโลกนี้ก็เป็นได้?”
 (Seraphim เทวฑุตชั้นสูงสุดจากเก้าลำดับชั้น, Empyrean สวรรค์ชั้นสูงสุดของทางกรีก โรมัน)
ระหว่างที่ไอร์ซคุยกับอัลเบโด ไนโจนก็ได้ดำเนินเพื่อทำลายคริสตัลให้เปิดออกด้วยมือของเขาส่งผลให้เกิดแสงสว่างจ้าพวยพุ่งออกมา

ราวกับดวงอาทิตย์ได้ลงมายังผืนพสุธา ทุ่งหญ้าได้ถูกย้อมเป็นสีขาว และก็มีกลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก
เทวฑูตในตำนาน ไนเจนกล่าวอย่างยินดี:
“ดูนี่! จงรับทราบถึงความเกรียงไกรของเทวฑูตระดับสูงสุด! ขัตติยเทพแห่งอำนาจ!”
ในหมู่ปีกจำนวนนับไม่ถ้วนมีปีกจำนวนมากที่เปล่งกระกายออกมา แผ่นจารึกที่สลักตราแห่งราชวงศ์ถูกถืออยู่ โดยที่ไม่อาจเห็นส่วนหัว และขาได้ แม้ว่ารูปลักษณ์จะดูแปลกตา แต่ผู้ที่ได้พบเห็นต่างก็รู้สึกได้ว่านี่คือผู้ที่อาศัยอยู่ในสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน เนื่องจากการปรากฎตัวอย่างกะทันหันของเทวฑูตบรรยากาศดูราวกับว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ร่างอวตารแห่งเทพยดาผู้ทรงพลานุภาพ ทำให้กำลังใจของทุกคนที่มอดดับได้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้กำลังใจของพวกเขาได้พุ่งทะยานถึงที่สุดแล้ว
คราวนี้แหละ พวกเขาต้องสามารถจัดการกับ ไอร์ซ โอว์น โกว์น ได้อย่างแน่นอน
คราวนี้ถึงตาของมันที่จะต้องหวาดกลัว
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังของพระเจ้า เขาจะได้รู้สึกถึงความโง่เขลาของตัวเอง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่กำลังดีใจอย่างออกนอกหน้า ไอร์ซก็พูดออกมาอย่างยากลำบาก:
“นี่…ไอ้นี่เรอะ? เทวฑูตเนี่ยนะ…? ที่ว่าจะมารับมือกับวิชาสังหารที่รุนแรงที่สุดของข้า?”
เมื่อเห็นไอร์ซที่กำลังงุนงงอยู่ ไนเจนที่เคยวิตกกังวลก็รู้สึกดีขึ้น และมีความสุขอย่างล้นเหลือ:
“ใช่แล้ว! ถึงแกจะกลัวมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว นี่แหละคือเทวฑูตขั้นสูงสุด ที่จริงการจะนำท่านมาใช้ที่นี่ดูจะสิ้นเปลืองมากไป แต่ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ามีค่าพอ”

“เป็นไปได้ยังไงกัน…”

ไอร์ซค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจับที่หน้ากาก ในสายตาของไนเจนแล้วนี่คือท่าทางของคนที่สิ้นหวัง

“ไอร์ซ โอว์น โกว์น พูดตามตรง แกเป็นคนที่น่านับยกย่องมากที่ทำให้ข้าต้องอัญเชิญเทวฑูตระดับสูงสุดนี้มารับมือ แกน่ะเป็นผู้ขับขานมนตราที่เก่งกาจมาก จงภูมิใจเสียเถอะ!”
จากนั้นไนเจนก็พยักหน้าอย่างแรงก่อนจะกล่าวต่อไป:
“โดยส่วนตัวแล้ว ข้าก็อยากได้เจ้ามาเป็นลูกน้อง เจ้าน่ะแข็งแกร่งมาก…แต่เสียใจด้วย ในเวลาเช่นนี้ข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ อย่างน้อยพวกข้าก็จะจดจำเจ้า ในฐานะผู้ขับขานมนตราที่ทำให้ข้าต้องอัญเชิญเทวฑูตขั้นสูงสุดออกมา”

ทว่าเสียงตอบกลับคำชื่นชมของไนเจนนั้นกลายเป็นเสียงที่เย็นยะเยือก:
“ช่าง…น่าเบื่อจริงๆ”
“ว่าไงนะ”
ไนเจนไม่รู้ว่าไอร์ซพูดอะไรออกมา สำหรับไนเจนการเผชิญหน้ากับเทวฑูตระดับสูงสุดไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะเอาชนะได้ ไอร์ซนั้นเป็นได้แค่เครื่องสังเวยเท่านั้น แต่ทำไมเขายังดูสบายใจได้มากขนาดนี้อีก
“การที่มาระวังตัวกับการละเล่นของเด็กๆอย่างนี้…ข้าต้องของโทษเจ้าอย่างยิ่งอัลเบโด ที่ต้องให้เจ้ามาใช้ทักษะพิเศษกับเรื่องแบบนี้”
“โปรดอย่างกล่าวถึงมันอีกเลยค่ะท่านไอร์ซ เพราะว่าพวกเราไม่รู้ว่าจะมีมอนสเตอร์แบบไหนที่โดนอัญเชิญมา มันก็จำเป็นที่เราจะต้องลดความเป็นไปได้ที่จะบาดเจ็บให้น้อยที่สุดค่ะ”

“งั้นเรอะ…? อือ ที่เจ้าว่ามันก็ใช่ แต่ข้าก็ไม่คิดนะว่าที่เจอมันระดับเท่านี้ ไม่ได้นึกเลยจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองที่ดูแคลนอย่างถึงที่สุด ไนเจนก็ไม่อาจอยู่เฉยได้อีก:
“แม้อยู่ต่อหน้าเทวฑูตขั้นสูงสุด พวกแกยังกล้าทำตัวแบบนี้อีกเรอะ!”
.
เมื่อเห็นไอร์ซยังคงพูดคุยเล่นกับอัลเบโด โดยไม่แม้แต่จะหันมามองที่เทวฑูตชั้นสูงตรงหน้า ทำให้ไนเจนไม่อาจควบคุมตัวเองจนต้องตวาดออกมา
ไนเจนรู้สึกราวกับว่าเรื่องที่ตัวเองได้เปรียบอย่างไม่อาจเทียบได้ และกำลังหลงระเริงอยู่นั้น แต่ทว่าความรุ้สึกเหล่านั้นก็หายไปอย่างฉับพลันโดยมีความกลัวเข้ามาแทนที่
เป็นไปได้หรือที่ไอร์ซ โอว์น โกว์น จะแข็งแกร่งกว่าเทวฑูตขั้นนสูงสุด?
“ไม่มีทาง! เป็นไปไม่ได้! เรื่องอย่างนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่! ไม่มีทางที่จะมีคนที่แข็งแกร่งไปกว่าเทวฑูตระดับสูงสุดไปได้! เทวฑูตนี้มีความสามารถพอที่จะจัดการกับเทพมารได้เลย! การเผชิญกับคนธรรมดา------ต้องเป็นการตบตาแน่! ใช่แล้วนี่มันการตบตาชัดๆ!”
ดูเหมือนว่าตอนนี้ไนเจนไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีกต่อไปแล้ว
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนที่แข็งพอที่จะจัดการกับเทวฑูตขั้นสูงสุดได้ไม่เพียงจะเป็นศัตรูกับศาสนจักรสิเลียน แต่ยังมาอยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้ด้วย

“จัดการเลย [เอ็กตรีม โฮลี่ สไตรค์]”
เวทย์ระดับเจ็ด ซึ่งอยู่ในขั้นที่มมนุษย์ไม่อาจก้าวถึงได้ แม้ในการประกอบพิธีขนาดใหญ่ของศาสนจักรก็ไม่อาจร่ายเวทย์นี้ได้ แต่สำหรับเทวฑูตขั้นสูงสุดอย่าง ขัตติยเทพแห่งอำนาจ ซึ่งสามารถร่ายมันได้ด้วยกำลังเพียงลำพัง นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเรียกมันว่าเทวฑูตขั้นสูงสุด
เวทย์ที่ไนแจนสั่งให้ร่ายนั้นคือเวทย์ระดับเจ็ด [เอ็กตรีม โฮลี่ สไตรค์] ซึ่งจัดว่าเป็นเป็นเวทย์ขั้นสุดยอด

“รู้แล้ว รู้แล้ว รีบๆร่ายเร็วเข้า ข้าจะอยู่นิ่งๆ พอใจไหมละอย่างนี้?”
ทว่าไอร์ซก็ยังคงจ้องมองอย่างสงบเหมือนรอข้ามถนน
ด้วยท่าทางเช่นนี้ทำให้ไนเจนหวาดกลัวอย่างยิ่ง
นี่เป็นถึงเทวฑูตขั้นสูงสุดที่สามารถจัดการกับเทพมารในตำนานได้ เทวฑูตซึ่งทรงพลังอย่างถึงที่สุด และนับว่าเป็นตนที่แข็งแกร่งที่สุดในทั้งทวีป ซึ่งไม่อาจถูกพิชิตได้

หากจะมีใครสามารถพิชิตมันลงได้
หากว่าผู้ขับขานมนตราที่ไม่มีที่มาตรงหน้านี้สามารถจัดการได้ละ นั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาต้องเหนือกว่าเทพมารอย่างแน่นอน
ไม่มีทาง ไม่มีใครที่ไม่อาจถูกจัดการได้หรอก
ราวกับตอบรับคำสั่งของผู้อัญเชิญ แผ่นจารึกในมือของขัตติยเทพแห่งอำนาจก็ได้แตกกระจากเป็นเสี่ยงๆ และชิ้นส่วนเหล่านั้นก็ค่อยๆมาลอยหมุนวนรอบตัวของมัน

“เข้าใจละ เจ้านี่สามารใช้ทักษะพิเศษได้หนึ่งครั้งในการอัญเชิญเพื่อเพิ่มความรุนแรงของคาถา ทักษะนี้ของขัตติยเทพแห่งอำนาจดูเหมือนจะเป็นแบบเดียวกับในอิกดราซิล…”

[เอ็กตรีม โฮลี่ สไตรค์]

คาถาได้ถูกปล่อยออกไป และสิ่งเดียวที่มองเห็นได้ตอนนี้คือลำแสงที่กำลังร่วงหล่นลงมา
พร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น แสงแห่งทวยเทพสีฟ้าขาวก็ได้พุ่งลงมารายล้อมตัวของไอร์ซที่ยกมือขึ้นบังแสงแทนร่ม
เวทย์ระดับเจ็ด ซึ่งเป็นระดับขั้นที่มนุษย์ไม่อาจจะครอบครองได้
มารร้ายต้องถูกกำจัดโดยพลังทำลายนี้ แม้แต่ผู้มีคุณธรรมหากโดนเข้าก็ไม่มีข้อยกเว้น ที่แตกต่างก็คือมันจะถูกทำลายล้างสิ้นไม่หลงเหลืออะไรให้เห็น หรือยังพอเหลือซากไว้ให้ดูต่างหน้าบ้าง เวทย์ขั้นเหนือมนุษย์นั้นช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง และมันคงจะแปลกหากไม่เป็นเช่นนั้น

แต่ทว่ามันกลับยังมีชีวิตอยู่
ไอร์ซ โอว์น โกว์น เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นไม่ได้ถูกกำจัด หรือล้มแน่นิ่งกับพื้น แต่ยังคงยืนสงบนิ่ง และส่งเสียงหัวเราะขบขันออกมา:
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สมกับที่เป็นเวทย์ที่เพิ่มความรุนแรงเฉพาะกับพวกมาร…นี่สินะความรู้สึกเจ็บปวด…เจ็บไหมหรือ? แน่นอน! แต่ถึงข้าจะเจ็บปวดบ้างก็เถอะ แต่ก็ยังคงมีสติ และไม่รู้สึกว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรเลย”

ลำแสงได้จางหายไป โดยไม่ไม่มีผลกระทบอะไรตามมา

“เยี่ยม ถือว่าจบการทดลองไปอีกอย่าง”
“ฟังดูเหมือนมันจะไม่เป็นอะไรเลย ไม่สิน้ำเสียงมันยังมีอาการอยู่บ้าง…”
ไนเจนคิดเรื่องนี้ และเผยรอยยิ้มอันแข็งกร้าวออกมา
ทว่ามีคนผู้หนึ่งที่กำลังโกรธจัดอยู่
“กะ-แก เจ้าเศษสวะ!”

อัลเบโดกรีดร้องดังลั่นราวกับว่าจะกรีดอากาศโดยรอบได้เลย:
“แกเจ้าพวกชั้นต่ำ! กะ-กล้าดียังไงมาทำอย่างนี้กับท่านไอร์ซผู้นำอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา! การที่ทำให้ท่านผู้เป็นที่เคารพเทิดทูน ท่านผู้เป็นดวงใจของข้าต้องเจ็บปวด ช่างไม่เจียมกะลาหัวเสียจริงๆ! ข้าไม่ทีทางยกโทษให้พวกแกแน่ พวกแกต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างทรมาณที่สุดจนเป็นบ้าไปเลย! เอากรดมากัดกร่อนแขนขาของพวกแก จากนั้นก็ตัดอวัยวะสืบพันธ์ออกมาไปเป็นอาหารหนู แล้วส่วนที่เหลือก็เอามาให้พวกกิน! จากนั้นก็ค่อยใช้เวทย์รักษาพวกแก! อ๊ากกกกกกกก! บัดซบ! บัดซบ บัดซบ บัดซบ บัดซบ หัวใจของข้าตอนนี้ราวกับจะระเบิดออกมาแล้ว!”

ร่างในชุดเกราะขยับมือไปมาไม่หยุด
ราวกับว่าโลกกำลังถล่มโดยมีที่แห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ออร่าที่น่าสะอิดสะเอียด และมุ่งร้ายได้พุ่งเข้าหาพวกเขารวกับพายุโหมกระหน่ำ ราวกับมีบางสิ่งกำลังสั่นไหวภายใต้ชุดเกราะสีดำซึ่งพร้อมร่างอันใหญ่โตที่จะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ ไนเจนนั้นตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็ทำได้เพียงยืนอึ้งเท่านั้น มีเพียงผู้เดียวในโลกที่จะหยุดอัลเบโดในตอนนี้ได้ ไอร์ซได้ยกมือขึ้น และกล่าวออย่างอ่อนโยน:
“พอแล้วอัลเบโด”
ด้วยคำพูดไม่กี่คำ อัลเบโดก็หยุดนิ่ง
“…ตะ-แต่ว่าท่านไอร์ซคะ เจ้าพวกชั้นต่ำพวกนั้น…”
“พอแล้วอัลเบโด…นอกเหนือจากเรื่องความอ่อนแอของเทวฑุตแล้ว ทุกอย่างล้วนอยู่ในการคาดการณ์ แล้วเจ้าจะต้องโกรธอะไรอีกละ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้อัลเบโดก็เอามือข้างหนึ่งมาทาบที่อก และโค้งคำนับ:
“…สมแล้วที่เป็นท่านไอร์ซ ท่านช่างเป็นผู้รอบคอบยิ่งนัก ดิฉันยอมรับอย่างยิ่งทั้งกายใจ”
“เปล่า เปล่า เปล่า อัลเบโดการที่เจ้าห่วง ถึงขนาดโกรธเพื่อข้า นั่นทำให้ข้าดีใจมาก แต่…ยังไงซะรอยยิ้มของเจ้าก็มีเสน่ห์กว่าเป็นไหนๆ”
“อุฮุ ------! มะ-มีเสน่ห์!-----ขอบคุณมากค่ะท่านไอร์ซ”
“เอาละ ดูเหมือนต้องให้พวกเจ้าคอยนาน ต้องขอโทษด้วย”
ไนเจนมองไปยังทั้งสองที่ยังคุยเล่นกันด้วยแววตาที่สับสน จากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกตัว และตะโกนออกมา:
“รู้แล้ว…ข้ารู้ตัวจริงของพวกแกแล้ว! เทพมาร! พวกเจ้าคือเทพมารแน่ๆ!”
ด้วยความรู้ของไนเจน ผู้ที่จะเทียบได้กับความแข็งแกร่งของเทวฑูตขั้นสูงสุดมีน้อยมาก
เทพทั้งหกที่ในเจนมอบความศรัทธาให้
มังกรที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธ์ ราชามังกร

สัตว์ประหลาดในตำนานที่สามารถทำลายเมืองได้ แลนด์ฟอล
และ เทพมาร
แม้จะได้ยินมาว่าเหล่าเทพมารล้วนถูกผนึดไว้โดยสิบสามวีรบุรุษ แต่จากความรู้สึกชั่วร้ายก่อนหน้า บางทีอาจทำให้เทพมารหลุดจากผนึกมาก็เป็นได้
ขณะเดียวกันไนเจนก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา หากว่านี่คือเทพมารละก็ ถ้าอย่างนั้นเทวฑูตขั้นสูงสุดก็มีโอกาสจะชนะได้

“อีกครั้ง! ยิงได้ [เอ็กตรีม โฮลี่ สไตรค์]”

ไอร์ซได้บอกว่าเขารู้สึกเจ็บ นั่นก็หมายความว่าเขาก็สามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้ แม้จะยากไปสักหน่อย
คำว่า “บางที” จำนวนนับไม่ถ้วน พาดผ่านเข้ามาในหัวของเขา หากว่าเขาไม่คิดเช่นนี้ ไม่แน่นว่าเขาต้องเป็นบ้าไปแล้วก็ได้

ทว่าไอร์ซไม่ยอมให้มีการโจมตีครั้งที่สองได้อีก

“…ครั้งนี้ตาข้าบ้างละนะ…จงรับรู้ถึงความสิ้นหวัง [แบล็กโฮล์]”
จุดดำเล็กๆได้ปรากฎที่ร่างอันส่องสว่างของขัตติยเทพแห่งอำนาจ จากนั้นมันก็ค่อยขยายขนาดขึ้นจนเป็นหลุมขนาดใหญ่
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนโดนดูดเข้าไปในหลุมนั้น
และแล้วแสงของขัตติยเทพแห่งอำนาจก็ได้ดับลง และบรรยายกาศอันเกริกเกีรยติโดยรอบก็ได้อันตธานหายไป
ที่หลงเหลืออยู่มีเพียงเสียงของจิ้งหรีดที่ และสายลมที่พัดผ่านทุ่งหญ้า ทันใดนั้นเสียงร้องคร่ำครวญก็ดังขึ้นทำลายความสงบ

“แกมันเป็นตัวอะไรกันแน่…”

ไนเจนต้องถามอีกครั้งอย่างไม่อาจคาดเดาได้
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อผู้ขับขานมนตรานาม ไอร์ซ โอว์น โกว์น มาก่อน…ไม่สิ ไม่มีทางที่จะมีใครสามารถจัดการกับเทวฑุตขั้นสูงสุดลงได้ ไม่มีทาง…”

ไนเจนส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน:
“ข้ารู้เพียงแค่แกทรงพลังยิ่งกว่าเทพมาร…นี่มันเกินไปแล้ว…ตกลงแกคือใครกันแน่…”

“…ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าคือ ไอร์ซ โอว์น โกว์น และตอนนี้ข้ายังไม่เป็นที่รู้จักนัก เราข้ามเรื่องพวกนี้ไปเลยแล้วกัน มาเข้าเรื่องกันดีกว่า และก็เพื่อไม่ให้พวกเจ้าทำอะไรเปล่าประโยชน์ ตอนนี้ข้าได้หยุดทักษะในการใช้เวทย์เทเลพอร์ทในแถบนี้ไปแล้ว แล้วอีกอย่างเหล่าข้ารับใช้ของข้าก็ซุ่มเตรียมโจมตีอยู่รอบๆ เพราะอย่างนั้นพวกเจ้าอย่าคิดหนีเลยจะดีกว่า”

ยามนี้ดวงตะวันได้ลาลับขอบฟ้า ทำให้พื้นที่โดยรอบค่อยๆถูกกลืนโดยความมืด
ไนเจนรู้ดีว่ามันจบสิ้นแล้ว เหมือนกับคนของเขาที่เสียขวัญกันหมดแล้ว ภาพของรูที่เกิดขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า
ระหว่างที่ไนเจนยังสับสนอยู่ ไอร์ซก็เฉลยออกมา:
“เฮ้ เฮ้…พวกเจ้าต้องขอบคุณข้านะ เหมือนว่าจะมีใครบางคนใช้เวทย์ลอบจับตาพวกเจ้าอยู่ แต่เพราะข้าก็อยู่ในรัศมีของเวทย์ด้วย ข้าก็เลยใช้เวทย์ แอนติ-อินฟอร์เมชั่น วอลล์ ยับยั้งมันไว้ ดังนั้นแล้วตอนนี้ไม่มีใครสามารถสังเกตการณ์ได้หรอก…อาห์ นี่ถ้าข้ารู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ ข้าคงเตรียมเวทย์สวนกลับขั้นสูงมาไว้แล้ว”

ด้วยคำพูดที่กล่าวออกมาทำให้ไนเจนเข้าใจในที่สุด
ทางศาสนจักรย่อมจับตาพวกเขาอยู่แน่นอน
“ถ้าเสริมพลังเข้าไปหน่อย ข้าสามารถใช้ [เบิร์ส] ในบริเวณกว้างได้ และบางทีอาจทำให้เจ้าพวกถ้ำมองได้รับบทเรียนสักหน่อย…ก็อย่างที่ว่ามา ตอนนี้เกมจบแล้ว”
เมื่อรับทราบข้อเท็จจริง ตอนนี้ไนเจนรู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง
ปกติพวกเขาจะอยู่ในสถานะตรงข้ามกับตอนนี้ แต่ทว่าไม่ใช่สำหรับเวลานี้ เพราะบัดนี้พวกเขาคือเหยื่อโดยสมบูรณ์
เวลานี้เขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ความกลัวของทุกชีวิตที่เขาได้พรากมันไปด้วยมือของเขา บัดนี้ความรู้สึกนั้นได้ย้อนกลับมายังตัวเขาเอง เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้เห็นความกลัวในตาของตัวหัวหน้าก็ยิ่งเสียขวัญอย่างมาก
พวกเขาพร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ

เขาอยากจะคุกเข่าร้องขอความเมตตา แต่ไอร์ซดูจะไม่ใช่คนที่จะมีความเห็นใจ ดังนั้นแล้วไนเจนจึงต้องกลั้นน้ำตา และพยายามหาทางเอาตัวรอด แต่ไม่ว่าจะคิดสักเท่าไร เขาก็ไม่อาจหาวิธีใดได้เลย วิธีเดียวที่เขานึกออกคือการร้องขอความเห็นใจจากไอร์ซ
“ระ-รอก่อน! ลอร์ดไอร์ซ โอว์น โกว์น...ไม่ใช่ ไม่ใช่ นายท่าน! โปรดรอก่อน พวกเรา... ไม่สิ ข้าน้อยอยากทำข้อตกลงกับนายท่าน! นี่ไม่ใช่เรื่องเสียหายสำหรับนายท่านเลย! หากท่านจะไว้ชีวิตของข้าน้อย ข้าน้อยสัญญาว่าจะเตรียมทองคำมากเท่าที่ท่านต้องการมาเสนออย่างแน่นอน!”
ในลายสายตาของเขาเห็นลูกน้องบางคนที่แสดงท่าทางประหลาดใจออกมา แต่มันไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของเขาเอง เรื่องอื่นมันไม่สลักสำคัญเลยสักนิด
อย่างไรเสียเขาก็สามารถหากองกำลังมาทดแทนได้ แต่ไม่ใช่สำหรับชีวิตของเขา
โดยไม่สนใจเสียงด่าทอที่อื้ออึง ไนเจนก็อ้อนวอนต่อไป:
“การจะทำให้ผู้ขับขานมนตราที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านพึงพอใจ ข้อน้อยทราบดีว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่ข้าน้อยให้คำมั่นเลยว่าจะเตรียมทองจำนวนมากจนทำให้ท่านพอใจได้! ตัวข้าดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศ แน่นอนว่าทางนั้นต้องพร้อมจ่ายเพื่อไถ่ตัวข้าน้อย! และแน่นอนว่าหากท่านต้องการอะไรอีก ข้าน้อยพร้อมเป็นธุระจัดหาให้! ขอร้องละนายท่าน! โปรดเมตตาด้วย!”
ไนเจนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากกล่าวทั้งหมดออกมา
“ว่า-ว่าอย่างไรนายท่าน? นายท่านไอร์ซ โอว์น โกว์น!”
อัลเบโดตอบกลับอย่างนุ่มนวลต่อใบหน้าที่วิงวอนของไนเจน:
“พวกเจ้าไม่ใช่ปฎิเสธข้อเสนอของที่เปี่ยมด้วยความเวทนาอย่างสุดซึ้งของท่านไอร์ซก่อนหน้ารึ?”
“นั่นมัน!”
“…ดิฉันเข้าใจดีว่าเจ้าต้องการบอกอะไร เพราะแม้จะรับข้อเสนอพวกเจ้าก็ต้องพบกับจุดจบอยู่ดี ดังนั้นตอนนี้เลยอยากร้องขอความเมตตาใช่ไหม?”
หมวกเหล็กสีดำสายไปมาช้าๆ ราวกับว่าไม่อาจทนได้อีกต่อไป:
“ดิฉันทราบดีถึงความสับสนในตอนนี้ ในเมื่อท่านไอร์ซผู้ถือครองอำนาจแห่งนาซาริกได้กล่าวมาแล้ว พวกเจ้ามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจงก้มหัวลง และรอรับความตายอย่าสำนึกเสียเถอะ”
บ้าไปแล้ว ยัยนี่มันบ้าไปแล้ว เมื่อนึกได้ไนเจนก็หันไปมองไอร์ซอย่างมีคาดหวัง
หลังฟังคำสนทนาอย่างเงียบๆ ไอร์ซทราบว่าพวกเขากำลังรอการตัดสินใจของเขา ยามนี้เขาได้ส่ายหัวพร้อมกล่าวออกมา:
“ให้…ให้เป็นเช่นนั้น อย่าขัดขืนโดยไม่จำเป็น จงหมอบราบลง และรอรับความตายเสียเถอะ เช่นนี้แล้ว ข้าจะได้ส่งพวกเจ้าไปโดยไม่เจ็บปวด”
Part 2

เมื่อเดินไปในทุ่งหญ้ายามค่ำคืน ดวงดาวที่สวยงามก็จะปรากฎให้เห็นเมื่อมองขึ้นไปด้านบน

ไอร์ซรู้สึกมีความสุขหลังจากเห็นภาพนี้เป็นครั้งที่สอง ขณะเดินเล่นอย่างเงียบๆในหมู่บ้าน
เขาออกจะทำเกินเลยไปในวันนี้
ด้วยเหตุที่มีอัลเบโดอยู่เคียงข้าง ไอร์ซไม่อาจจะทำตัวอ่อนแอให้เห็นได้ เจ้านายต้องดูดีเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้อง แม้ว่าเขาจะทำเกินไปบ้างในครั้งนี้ แต่เขาก็ยังสวมบทบาทของเจ้านายได้อย่างดีเยี่ยม
เขาไม่ทราบว่าเขาทำได้ดีสักเท่าไร แต่ตราบใดที่ไม่ทำให้อัลเบโดผิดหวังก็นับว่าใช้ได้แล้ว
ไอร์ซอาจเห็นใบหน้าใต้เกราะเหล็กของอัลเบโดอย่าง “แย่แล้ว ไอร์ซช่างดูดีเหลือเกิน หุหุหุ” นั่นทำให้เขาไม่ทราบว่าเธอคิดอะไรอยู่ และต้องมาทบทวนสิ่งที่ทำในวันนี้

“แต่ว่าท่านไอร์ซคะ ทำไมถึงต้องช่วยกาเซฟด้วย?”
ทำไม? อัลเบโดไม่อาจอธิบายได้ถึงความรู้สึกของเขาก่อนหน้า ดังนั้นเขาพยายามกล่าวกลบเกลื่อนเรื่องนี้:
“เราเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ ดังนั้นคนที่จะจบเรื่องก็ต้องเราถูกไหม?”
“แล้วทำไมถึงต้องให้ของขวัญมันไปอีกละคะ?”
“นี่สำหรับแผนการในอนาคต เราจะได้ประโยขน์หากว่าให้เขาพกมันไว้”
ไอเทมที่ไอร์ซมอบเป็นของขวัญให้กาเซฟนั้นคือแคชไอเทมจากอิกดราซิลซึ่งเขาอยู่เป็นจำนวนมาก เขาอาจจะไม่สามารถหามันมาเพิ่มได้อีก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากว่าจะให้เป็นของขวัญแก่กาเซฟ

ไอร์ซกลับดีใจเสียอีกที่สามารถลดจำนวนไอเทมนี้ลงไปได้
เพราะว่าเจ้าของรางวัลปลอบใจจากแคปซูลราคา 500 เยนจากตู้กดนี้ทำให้ไอร์ซนึกถึงวันคืนอันเสียเปล่า และแร้นแค้นยิ่ง หลังความพยายามนับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็ได้ไอเทมซุปเปอร์แรร์จากตู้กด แต่หลังจากเพื่อนในอดีตของเขา โยรุมากิ ลองเล่นเป็นครั้งแรกกลับกดได้ เรื่องนี้ยังเป็นแผลในใจของไอร์ซมาจนถึงทุกวันนี้
ไอร์ซเคยคิดจะเขวี้ยงพวกรางวัลปลอบใจพวกนี้ทิ้งหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อเขานึกถึงเงิน 500 เยน…เขาก็ไม่อาจทำได้
“มันจะไม่ไม่อาจกลับมาทำร้ายข้าได้ไม่ว่าไอเทมนั้นจะไปอยู่ที่ไหน หรือถูกใช้เมื่อใด”
“…ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดิฉันน่าจะเป็นการดีที่สุดนะคะ? ท่านไอร์ซไม่ต้องลดตัวลงไปช่วยเหลือพวกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำพวกนั้นหรอกค่ะ...พวกที่ล้อมกาเซฟก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลย นี่คือเหตุผลว่าทำไมดิฉันเสนอว่าท่านไอร์ซไม่ต้องลดลงไปจัดการเองหรอกค่ะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว…”
ไอร์ซซึ่งไม่ได้มีเครื่องวัดพลังได้แต่ตอบกลับมาเช่นนี้
ในอิกดราซิลนั้นสามารถจะตัดสินความแข็งแกร่งของศัตรูได้จากสีของชื่อที่แสดงออกมา นอกจากนั้นก็สามารถอาศัยข้อมูลจากเหล่าเพื่อนฝูง และกิลล์ออนไลน์เพื่อคำรวนระดับพลังของมัน
นี่ทำให้ไอร์ซอดรำลึกถึงความหลังไม่ได้
หากเขามีระดับเวทย์ชี้วัดข้อมูลมากสักหน่อยละก็ ไอร์ซอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าเวทย์นี้จะสามารถใช้กับที่นี่ได้ แต่หากว่ามันใช้ได้ เขาก็คงไม่ต้องมาระวังตัวแบบนี้

ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาเสียใจกับสิ่งที่เขาไม่มี ไอร์ซตัดสินใจเปลี่ยนบรรยากาศ:
“…ข้ารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอัลเบโดดี และข้าก็เชื่อใจเจ้า แต่ข้าอยากให้เจ้าเลิกคิดอย่างเด็กๆ และระลึกไว้เสมอว่าอาจมีศัตรูซึ่งแข็งแกร่งกว่าข้าปรากฎออกมาได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเวลานี้ที่เรายังไม่คุ้นชินกับโลกนี้ เราต้องยิ่งระวังตัว…นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงให้กาเซฟเป็นธุระให้กับเรา”

“ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ…มันเป็นหมากที่ใช้ตัดสินความแข็งแกร่งของศัตรู ช่างเป็นหน้าที่ที่เหมาะกับเผ่ามนุษย์อันต้อยต่ำยิ่งนัก”
เขาไม่อาจบอกได้ถึงความรู้สึกภายใต้หมวกเหล็ก แต่ฟังจากน้ำเสียงดูจะเริงร่าราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน
ในฐานะที่เคยเป็นมนุษย์ก่อนจะกลายมาเป็นอันเดด ไอร์ซมีความรู้สึกบ้างกับการที่อัลเบโดดูจะรังเกียจมนุษย์ ทว่าไอร์ซก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรืออ้างว้างในเรื่องนี้ เขาคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่เหล่าเผ่าพันธุ์ที่แปลกแยกจากมหาสุสานนาซาริกจะคิดเช่นนี้

“…ถูกแล้ว แต่ไม่ใช่แค่นั้น เหล่าคนที่ตกอยู่สถานการณ์คับขันอย่างสาหัสย่อมจะสำนึกบุญคุณต่อผู้ช่วยชีวิต และฝ่ายศัตรูก็เป็นหน่วยพิเศษซึ่งทางพวกระดับสูงของประเทศไม่อาจเปิดเผยเรื่องพวกนี้ได้แม้พวกมันจะหายสาบสูญ นี่คือสาเหตุที่ข้าเข้าไปยุ่งด้วย”
“อาห์…สมกับที่เป็นท่านไอร์ซ สายตาอันกว้างไกลของท่านที่เล็งเห็นก่อนจะจับกุมพวกมัน ช่างน่าประทับใจยิ่งค่ะ!”

ไอร์ซรู้สึกภูมิใจกับคำเยินยอของอัลเบโด การคิดแผนอันแยบยลโดบไม่มีอุปรรคในเวลาอันสั้น ดูเหมือนเขาจะมีความสามารถในการเป็นโอเวอร์ลอร์ดซ่อนอยู่ก็เป็นได้ แต่เสียงที่ไม่สบอารมณ์ของอัลเบโดก็ดังเข้าหูไอร์ซในขณะนั้น:
“…แต่ว่าท่านไอร์ซคะ ดิฉันไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรับดาบของเทวฑูตด้วยร่างอันน่าบูชานี้นะคะ?”

“งั้นเหรอ? ตอนที่เรามาหมู่บ้านคานี ก็ทดสอบกับพวกอัศวินด้านนอกแล้วนี่ว่าด้วยความต้านทานการโจมตีทางกายภาพขั้นสูงของข้าก็ยังทำงานได้ปกติดีนี่”

“ใช่ค่ะ อย่างที่ท่านว่ามา ดิฉันก็ได้เห็นด้วยตาของดิฉันเองแล้ว แต่ว่าถึงอย่างไรดิฉันก็ไม่อาจยอมให้พวกเทวฑูตชั้นต่ำใช้ดาบของพวกมันมาแทงทะลุร่างของท่านไอร์ซได้หรอกค่ะ”
“เข้าใจแล้ว เจ้าได้ปกป้องข้าในฐานะโล่ห์ แต่ข้ากลับไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเจ้า ข้ารู้สึกเสี----”
“ถึงแม้ท่านจะรู้ดีว่ามันไม่อาจทำร้ายท่านได้ แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกนะคะ ที่จะทนเห็นคมดาบเสียบทะลุร่างของคนที่ตัวเองรักได้”

ไอร์ซไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ จึงได้แต่เงียบทำเป็นไม่สนใจ และเดินต่อไปยังหมู่บ้าน โดยที่อัลเบโดก็ไม่ได้รุกต่อแต่อย่างใด และเดินตามอย่างเงียบๆ
ยามที่ทั้งสองได้ก้าวเท้าเข้ามายังหมู่บ้าน เดธไนท์ และพวกชาวบ้านก็เข้ามาห้อมล้อมทั้งคู่ไว้
หลังรับคำเยินยอ เสริญเสริญจากชาวบ้านแล้ว ไอร์ซก็เหลือบไปเห็นร่างของกาเซฟที่อยู่ในฝูงชน
“โอ้ ท่านหัวหน้าอัศวิน ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ท่านไม่เป็นอะไร ที่จริงข้าควรไปให้เร็วกว่านี้ แต่ไอเทมที่มอบให้ท่านต้องใช้เวลากว่าจะใช้งานได้ ต้องขอโทษอย่างยิ่งที่เกือบจะไปไม่ทันเวลา”
“อย่าวิตกไปเลย ข้าเสียอีกที่รู้สึกขอบคุณท่านอย่างยิ่ง ที่ข้ายังรอดมาได้ต้องขอบคุณท่านมาก…จริงสิ แล้วเกิดอะไรชขึ้นกับคนพวกนั้นละ?”
เมื่อสังเกตได้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ไอร์ซก็ลอบสำรวจตัวของกาเซฟ
ตอนนี้กาเซฟได้ถอดเกราะออกแล้ว และไม่ได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย
ใบหน้าของเขานั้นฟกช้ำ โดยครึ่งหนึ่งก็บวมปูดราวกับลูกบอลที่ผิดรูป แต่ทว่าแววตาของเขายังเปี่ยมด้วยพลังชีวิตอย่างล้นเหลือ
ไอร์ซละสายตาไปยังบางสิ่งที่ส่องประกาย และเขาก็ได้เห็นแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้งนางข้างซ้าย
เขาแต่งงานแล้ว ดีจริงที่ภรรยาของเขาไม่ต้องเศร้าเสียใจ ไอร์ซคิดคำนวณอย่างระมัดระวังก่อนจะตอบกลับ:
“ก็นะ ข้าไม่อาจจัดการพวกมันได้ เลยไล่พวกมันไปแทน”

นี่เป็นคำโกหก อันที่จริงทั้งหมดนั้นถูกส่งไปยังส่วนลึกของมหาสุสานนาซาริก กาเซฟกรอกตาสักครู่ และทั้งสองก็นิ่งเงียบจนทำให้เกิดบรรยากาศอันตึงเครียดระหว่างทั้งสอง
และผู้ที่เริ่มส่งเสียงทำความเงียบมาก่อนก็คือกาเซฟ:
“ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนการช่วยเหลือของมาสเตอร์โกว์นอย่างไรดี หากท่านได้มาเยือนเมืองหลวงของราชอาณาจักร โปรดแวะมายังบ้านของข้า แน่นอนว่าข้าจะเตรียมการต้อนรับใหญ่ไว้คอยท่าอย่างแน่นอน”
“เข้าใจแล้ว…ท่าทางสักวันข้าคงต้องรบกวนท่านแล้วละ”

“…มาสเตอร์โกว์น ข้าไม่รู้ว่าท่านมีแผนอะไร แต่ไม่ทราบว่าท่านต้องการเดินทางไปกับพวกเราไหม? พวกเราคิดว่าจะพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้สักระยะหนึ่ง”
“งั้นเหรือ ตัวข้าว่าจะไปจากที่นี่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้กำหนดจุดหมายไว้เลย”
“นี่ก็สายมากแล้ว การเดินทางตอนนี้ออกจะ…”
กาเซฟได้หยุดพูดระหว่างการสนทนาก่อนที่กล่าวต่อ:
“ต้องขอโทษอย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยสำหรับผู้แข็งแกร่งอย่างมาสเตอร์โกว์น หากว่าท่านได้แวะไปยังเมืองหลวงของราชอาณาจักร โปรดมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง ประตูบ้านของข้าพร้อมเปิดต้อนรับท่านเสมอ นอกจากนี้ข้าต้องขอขอบคุณสำหรับเครื่องสวมใส่ที่ของพวกอัศวินที่มาโจมตีหมู่บ้านนี้”

ไอร์ซพยักหน้า และคิดว่าเรื่องที่ควรทำในหมู่บ้านนี้หมดลงแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งเกิดขึ้นทำให้เขาอยู่ที่นี่นานเกินกว่าที่คาดไปมาก

“กลับกันเถอะ อัลเบโด”

ไอร์ซพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาซึ่งมีเพียงอัลเบโดเท่านั้นที่ได้ยิน เธอพยักหน้าอย่างมีความสุขในทันที ทั้งยังสวมชุดเกราะเต็มยศเช่นนั้นอยู่

3 ความคิดเห็น:

  1. เรียบเรียงความคิดเป็นอักษรไม่เก่ง บางท่านอาจจะเห็นเป็นสิ่งไร้ค่า แต่คำขอบคุณมันมาจากใจจริงๆ ขอบคุณ

    ตอบลบ
  2. ชาปเตอ 4 เสียครับ

    ตอบลบ