Chapter 6
Epilogue
ภายในห้องของไอร์ซนั้นประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนอันหรูหรา พื้นถูกปูด้วยพรมสีแดงสด โดยปกติแล้วห้องนี้จะถูกปกคลุมด้วยความเงียบ แต่ว่าวันนี้มันกลับยิ่งเงียบไปกว่าทุกที แม้แต่เมดที่ดูแลห้องนี้ก็ไม่อยู่ในห้อง บุคคลที่อยู่ ณ ตอนนี้มีเพียงไอร์ซ และเดธไนท์ที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง
ในความเงียบอันแสนสงบนี้ เสียงนุ่มนวลราวกับน้ำผึ่งของอัลเบโดก็หลุดออกมาจากปาก:
“รายงานค่ะ ผู้นำของหน่วยคำภีร์สุริยันฉายแห่งสิเลียนได้ถูกนำตัวไปยังคุกน้ำแข็งแล้ว ข้อมูลต่างๆที่ได้มาจากนี้จะมาจากหน่วยพิเศษเป็นต้นไปค่ะ”
“ค่ะ นอกจากนี้ในจากรายงาน ทางเราได้ทำการตรวจสอบเหล่าเครื่องสวมใส่ที่ได้จากอัศวิน ไม่พบร่องรอยของการเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ หลังการตรวจสอบเครื่องสวมใส่เหล่านี้จะถูกส่งไปยังคลังสมบัติ”
“ให้นิวโรนิสจัดการต่อก็แล้วกัน แต่ข้ามีแผนจะทดลองกับศพด้วย…เจ้าได้ตระหนักเรื่องนี้หรือไม่?”
“…ดี ทำได้ดีแล้ว”
“สุดท้าย ในการป้องกัน และสอดส่องหมู่บ้าน ดิฉันมีแผนจะส่งปีศาจเงา 2 ตนไปดูแล ส่วนเรื่องของ กาเซฟ สโตโลนอฟจะจัดการอย่างไรดีคะ?”
“ขอบคุณสำหรับความพยายาม” หลังกล่าวจบ ไอร์ซมองไปยังใบหน้าของอัลเบโดที่จบการรายงาน รอยยิ้มของเธอแตกต่างไปจากรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่มีมาเล็กน้อย และดูเหมือนว่าตอนนี้เธอกำลังอารมร์ดีอยู่
“ปล่อยเรื่องของหัวหน้าอัศวินนั่นไปก่อน ที่สำคัญกว่านั้น หมู่บ้านนั่นจะเป็นสถานที่สร้างสายสัมพันธ์ ส่วนเรื่องของกาเซฟสักวันเราอาจต้องการความช่วยเหลือเขาก็ได้ ดังนั้นจะเป็นการดีหากเราไม่ให้เขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา”
“รับทราบค่ะ ดิฉันจะสั่งการลงไปให้ชัดเจน ขอจบการรายงานเพียงเท่านี้”
สาเหตุก็มาจากแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย ซึ่งเธอใช้มือขวาสัมผัสอย่างทะนุถนอม
แหวนที่กำลังส่องประกายนี้คือ แหวนแห่ง ไอร์ซ โอว์น โกวน์น
เขาควรจะพูดอะไรต่อไปดี? การใช้เวทย์เพื่อเปลี่ยนความทรงจำจะเป็นเรื่องสมควรหรือไม่?
เป็นการตัดสินใจของเธอเองว่าจะใส่มันที่นิ้วไหน แต่สาเหตุที่เธอเลือกสวมที่นิ้วนี่ก็เป็นที่แน่ชัดอยู่แล้ว
หากว่านี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของอัลเบโด เขาก็คงรู้สึกยินดีในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แต่หากความรู้สึกนี้เกิดจากการแก้ไขของไอร์ซ นี่ทำให้เขารู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง
“อัลเบโด…ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้าเป็นผลจากที่ข้าทำการแก้ไข นี่ไม่น่าจะใช่ความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้า ดังนั้น…”
ไอร์ซไม่อาจกล่าวต่อไปได้ เมื่อมองไปยังไอร์ซ อัลเบโดก็ถามกลับด้วยรอยยิ้ม:
ไอร์ซรอเธอกล่าวต่อ แต่ทว่าเธอเพียงพึมพำด้วยสีหน้าหดหู่:
“แล้วก่อนหน้าที่ทานจะแก้ไขดิฉัน ไม่ทราบว่าดิฉันเป็นเช่นไรหรือคะ?”
ยัยร่าน
ไอร์ซไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้อย่างไรดี อัลเบโดจ้องมองไอร์ซที่ภายนอกดูเยือกเย็น แต่กำลังสับสนอยู่ภายใน และเธอก็ได้เอ่ยขึ้น:
“ดิฉันคิดว่าตัวของฉันตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ท่านไอร์ซอย่าเสียใจไปเลยค่ะ”
“แต่ว่า…”
“แต่…? แต่ว่าทำไมละ?”
เขาไม่ได้ตอบกลับ แต่ว่าก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่อาจหยั่งถึงได้จากรอยยิ้มของอัลเบโด จากนั้นอัลเบโดก็กล่าวต่อไปยังไอร์ซที่นิ่งเงียบอยู่:
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…”
“นี่จะทำให้ท่านไม่สบายใจไหมคะ?”
ราวกับมีบรรยากาศอันลักลับถูกปล่อยออกมาจากตัวของอัลเบโดที่ทวนคำพูดของตัวเอง ไอร์ซได้พยายามอย่างและกล่าวออกมา:
เขาอ้าปากค้างอย่างโง่งมขณะที่มองใบหน้าอันงดงามของอัลเบโ คำพูดของเธอได้สลักลงในสมองของเขาแล้ว----แม้ตอนนี้จะไม่มีแล้วก็เถอะ------ทว่าไอร์ซก็เข้าใจถึงสิ่งที่เธอกล่าวมา และรีบตอบกลับอย่างร้อนรน:
“มะ-ไม่เลย เรื่องนั้นจะมาทำให้ข้าไม่สบายใจได้อย่างไรกัน”
เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่พอใจที่มีคนสวยอย่างอัลเบโดมาหลงรักหรอกนะ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีปัญหาสินะคะ?”
“…เอ๋”
นี่ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง
นี่คือสิ่งที่เขาคิด แต่ไอร์ซก็ไม่อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งเธอได้
“ไม่มีปัญหาสินะคะ?”
“ข้าได้แก้ไขข้อมูลของ ทาร์บูลา สมารักดินา รู้อย่างนี้แล้วเจ้าไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมรึ?”
“เราควรรวบรวมศพให้มากๆดีไหมคะ?”
“หากเป็นท่านทาร์บูลา สมารักดินา ดิฉันเชื่อว่าท่านย่อมต้องพร้อมกล่าวคำอวยพรด้วยความรู้สึกของพ่อที่มองลูกสาวซึ่งกำลังแต่งงานอย่างแน่นอน”
“…อย่าง อย่างงั้นรึ?”
นี่เขาเป็นคนอย่างงั้นเหรอ? ระหว่างที่ไอร์ซกำลังนึกอยู่ เสียงโลหะดังกระทบกันก็ดังขึ้นให้ได้ยิน
เมื่อมองไปยังต้นเสียง เขาก็พบกับดาบยาวอยู่ที่พื้น เดธไนท์ที่ถือดาบอยู่ได้หายไปแล้ว ร่างที่ถูกอัญเชิญได้จากไปแล้ว
“…เมื่ออัญเชิญด้วยวิธีการตามปกติ มันก็จะหายไปเมื่อถึงเวลา…จากที่ดาบของโลกนี้ยังอยู่ที่พื้น แสดงว่าหากใช้เครื่องสวมใส่เป็นสื่อกลางในเชื่อมต่อกับอีกโลกหนึ่งมันก็จะหายไปได้ แต่มันมันจะไม่หายไปเพราะเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้หากว่าอัญเชิญโดยใช้ศพงั้นหรือ? แบบนี้ถ้ามีศพมากๆละก็ นาซาริกก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”
“ดูเหมือนท่านจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีอะไรดีๆเกิดขึ้นงั้นหรือขอรับ?”
“…แต่เราก็ไม่อาจขุดหลุมศพจากหมู่บ้านนั้น เข้าใจไหม?”
“รับทราบค่ะ แต่เราคงต้องหาหนทางในการได้ร่างที่ยังสดใหม่อยู่ เอาละ ที่เดธไนท์หายไปน่าจะหมายความว่าทั้งหมดได้มารวมตัวกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นท่านได้โปรดให้เกียติแก่พวกเราด้วยการแสดงตัวของท่านที่ท้องพระโรงพร้อมกับเซบาสเตียนด้วยค่ะ ส่วนดิฉันต้องขอตัวไปก่อนนะคะ”
“เข้าใจแล้ว ตกลงตามนี่ อัลเบโด แล้วเจอกัน”
อัลเบโดเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ และระหว่างทางเธอก็เห็นเซบาสเตียนซึ่งเดินสวนมา
“เซบาสเตียน คุณมาได้ถูกเวลาเลยค่ะ”
“ท่านอัลเบโด ไม่ทราบว่าท่านโมมอนกะอยู่ที่ห้องหรือไม่?”
“ค่ะ อยู่ค่ะ”
อัลเบโดรู้สึกถึงความเหนือกว่าเมื่อเห็นว่าเซบาสเตียนยังเรียกไอร์ซว่าโมมอนกะอยู่
จากที่เห็นท่าทางของเธอ เซบาสเตียนก็ต้องเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น:
“ใช่แล้วค่ะ”
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งคุกเข่าแสดงความจงรักภักดี
เหตุผลที่อัลเบโดมีความสุขนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องชื่อเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงเรื่องที่เธอพูดคุยกับไอร์ซ เธอได้บอกเขาว่าต้องการแต่งงานด้วย และเขาก็ไม่ได้มีทีท่าปฎิเสธ หรือ รำคาญเลย
นี่มันหมายความว่า…
ท่าทางของอัลเบโดนั้นเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันจากท่าทางที่ดูสูงส่งกลายเป็นท่าทางที่ดูชั่วร้าย และยังมีรอยยิ้มตัณหากลับเผยออกมา ซึ่งนี่เป็นรอยยิ้มที่เธอไม่มีทางให้ไอร์ซมาเห็นอย่างแน่นอน
“หึหึหึหึหึ มันได้ผล มันได้ผลแน่ๆ ผู้ที่จะได้นั่งเคียงข้างท่านโอเวอร์ลอร์ดต้องเป็นดิฉัน แชลเทียร์ต้องยอมแพ้อย่างเดียวแน่นอน”
นี่คือความคิดอ่านในฐานะผู้หญิง ไม่ใช่ในฐานะผู้ดูแล พร้อมกันนั้นเธอก็กำหมัดแน่น:
“เลือดซักคิวบัสในตัวดิฉันมันเดือดพล่านแล้ว…”
ที่ท้องพระโรง
เซบาสเตียนได้เดินตามหลังไอร์ซที่มาถึงหลังสุดอย่างเงียบ
เหล่าผู้ที่อยู่ยังที่แห่งนี้ไม่ใช่ NPC ทั้งหมด แม้จะไม่ได้มีผู้มาแทนทั้งสองที่ไม่ได้ปรากฎตัว แต่ก็มีเหล่าข้ารับใช้ระดับสูงที่ถูกเลือกโดยฟลอร์การ์เดี้ยนมายังท้องพระโรงแห่งนี้
ทุกร่างที่อยู่ในโถงต่างหยุดนิ่งไม่ไหวติงถึงขนาดได้ยินเสียงหายใจของคนในโถง เสียงเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงฝีเท้าของนายเหนือของที่แห่งนี้ ไอร์ซ และผู้ติดตามอย่างเซบาสเตียน นอกจากนี้ยังมีเสียงของไม้เท้าแห่งไอร์ซ โอว์น โกวน์น ดังกระทบพื้นให้ได้ยินร่วมด้วย
ไอร์ซก้าวขึ้นไปที่บังลังก์ โดยมีเซบาสเตียนคุกเข่าอยู่ด้านหลังอัลเบโดที่ฐาน
ยามนี้ไอร์ซได้จ้องมองภาพจากเบื้องบนบัลลังก์ที่มองลงไปเบื้องล่าง
NPC เกือบทั้งหมดต่างมาร่วมกัน ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ที่แห่งนี้ดูเนืองแน่นไปหมด ราวกับกำลังมองเฮียคคิยะโคว (ขบวนร้อยอสูร) การที่สามารถสรรค์สร้างตัวละครได้หลากหลายเช่นนี้ ไอร์ซต้องอดที่จะชมเชยจินตนาการของเหล่าสมาชิกกิลล์จากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อมองไปยังฝูงชน ไอร์ซก็สังเกตว่ามี NPC บางตนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ โกเลมขนาดมหึมาอย่าง การ์กันทัว และการ์เดี้ยนประจำชั้น 8 อย่าง วิคทิม ย่อมไม่อาจออกจากที่สถิตย์ได้
ไอร์ซได้ร่ายเวทย์ที่จะทำลายไอเทมเวทย์ระดับที่กำหนด ทันใดนั้นธงประจำตัวผืนใหญ่ก็ร่วงลงมาจากเพดาน
แต่จะว่าไปแล้ว ที่ท้องพระโรงแห่งนี้นั้นมีเนื้อที่กว้างขวางมากจนภาพที่เห็นดูก็ไม่ค่อยจะเนืองแน่นสักเท่าไรนัก เขาเข้าใจดีว่าเหล่าบริวารไม่ต้องการให้ข้ารับใช้ระดับล่างเข้ามายังใจกลางของมหาสุสานแห่งนาซาริกอย่างท้องพระโรงแห่งนี้ แต่สำหรับไอร์ซแล้วเขาไม่คิดว่าต้องเข้มงวดถึงขนาดนั้นหรอก
แต่ช่างมันเถอะ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร ไอร์ซตัดสินใจว่าจะมาคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันหลัง จากนั้นเขาก็เริ่มกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ:
“ข้อต้องขอโทษที่เรียกพวกเจ้าทั้งหมดมากัน”
ไอร์ซกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ต้องการขอโทษจริงๆ นี่ก็สำหรับการแสดง แต่ถึงอย่างนั้นการขอโทษก็จำเป็น การเรียกรวมทั้งหมดมาในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของไอร์ซโดยลำพัง แต่มันก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารู้ว่าไอร์ซนั้นไว้ใจในตัวพวกเขา
“สำหรับเหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้ามานั้น อัลเบโดจะเป็นผู้อธิบายเอง แต่มีบางสิ่งที่สำคัญกว่าซึ่งข้าต้องบอกให้สมาชิกทั้งหมดของมหาสุสานแห่งนาซาริกนี้ทราบ----[High Level Item Destruction]”
สัญลักษณ์บนผืนธงเป็นของ ‘โมมอนกะ’
ระหว่างดื่มด่ำไปกับเสียงสรรเสริญของเหล่าบริวาร ไอร์ซก็คิดขึ้นมา:
“ข้าได้เปลี่ยนนามเรียกขานแล้ว และจากนี้ต่อไปเมื่อพวกเจ้าต้องเรียกข้าว่า…” ไอร์ซชี้ได้ชี้นิ้วออกไปทำให้สายตาทั้งหมดจ้องตาม “จงเรียกข้าว่า ไอร์ซ โอว์น โกว์น ----- หรือไอร์ซก็ได้เช่นกัน”
นิ้วของไอร์ซได้ชี้ไปยังผืนธงด้านหลังบังลังก์ซึ่งมีสัญลักษณ์ของกิลล์ ไอร์ซ โอว์น โกว์น ประทับอยู่ จากนั้นไอร์ซได้หยิบไม้เท้าขึ้นมาเคาะที่พื้น เรียกสายตาของทั้งหมดกลับมา
“ผู้ใดไม่เห็นด้วยจงแสดงตัวออกมา”
เมื่อมีมีผู้ใดไม่ยอมรับ อัลเบโดก็ก้าวมายืนเคียงข้างไอร์ซ และเผยรอยยิ้มออกมา:
“ในเมื่อบัดนี้ทุกท่านก็รับทราบนามของนายเหนือแล้ว ฮูเร่ ท่านไอร์ซ โอว์น โกว์น! ท่านโอเวอร์ลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่ ไอร์ซ โอว์น โกว์น สมาชิกทั้งหมดแห่งมหาสุสานนาซาริกขอสาบานว่าจะภักดีต่อท่านตราบชั่วนิจนิรันดร์”
จากนั้นเหล่าการ์เดี้ยนต่างโห่ร้องเป็นเสียงเดียวกัน:
“ฮูเร่ ท่านไอร์ซ โอว์น โกว์น! ท่านผู้นำของพวกเราโอเวอร์ลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่ ไอร์ซ โอว์น โกว์น! พวกเราขออุทิศทุกสิ่งแก่ท่าน และขอสายานว่าจะภักดีต่อท่านตราบชั่วนิจนิรันดร์!”
“ทรงพระเจริญท่านไอร์ซ โอว์น โกว์น! พวกเรารับทราบถึงความยิ่งใหญ่ และพลานุภาพอันไร้ผู้เปรียบของท่าน ไอร์ซ โอว์น โกว์น!”
เหล่า NPC และข้ารับใช้ต่างกู่ร้องสรรเสริญ ทำให้ท้องพระโรงดังกึกก้องไปด้วยเสียงแสดงความยินดี
เพื่อที่จะทำให้ชื่อนี้แพร่กระจายไปยังทุกคนบนโลกนี้ แม้เหล่าสมาชิกเก่าก่อนของ ไอร์ซ โอว์น โกว์น จะได้จากโลกอิกดราซิลไปแล้ว แต่บางทีพวกเขาอาจอยู่ที่โลกนี้เช่นเดียวกับไอร์ซ
‘สหายทั้งหลาย พวกนายจะคิดยังไงที่ผมขโมยเอาชื่อแห่งเกียตินี้มาใช้? พวกคุณจะยินดี? หรือจะไม่พอใจ? บอกมาเถอะหากว่ามีความเห็นยังไง บอกมาเถอะว่านี่ไม่ใช่ชื่อของผมเพียงคนเดียว แล้วผมจะรีบเปลี่ยนชื่อกลับไปเป็นโมมอนกะอย่างไม่ลังเลเลย’
“ถ้าอย่างนั้น---”
ไอร์ซมองไปยังเหล่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้า
“----ข้าจะขอประกาศเป้าหมายของข้าให้พวกเจ้ารับรู้” ไอร์ซหยุดพูดที่ตรงนี้ ทำให้สีหน้าของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างตึงเครียดขึ้นมา “ทำให้นาม ไอร์ซ โอว์น โกว์น เป็นตำนานที่จะสืบต่อไปชั่วนิรันดร์”
ไม้เท้าแห่งไอร์ซ โอว์น โกว์น ในมือขวาถูกกระแทกลงกับพื้น และดูเหมือนตัวไม้เท้าจะตอบรับกับไอร์ซทำให้คริสตัลบนตัวมันส่องประกายหลากสีอันงดงามออกมา
“หากว่ามีวีรบุรษมากมายละก็ เราจะไปแทนที่พวกมันให้หมด โลกนี้ต้องจารึกว่านาม ไอร์ซ โอว์น โกว์น คือวีรบุรุษที่แท้จริง! หากมีผู้ที่แช็งแกร่งกว่าพวกเราอยู่ที่โลกนี้ ข้าจะใช้วิธีที่นอกเหนือจากการใช้กำลัง หากต้องเจอกับจอมเวทย์ที่มีบริวารจำนวนมกา เราจะใช้วิธีการต่างๆเข้ารับมือ นี่คือขั้นตอนเตรียมการ เพื่อให้ทุกคนทราบว่า ไอร์ซ โอว์น โกว์น คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บัดนี้จงพร้อมฟันฝ่าไปด้วยกันเถอะ!”
นี่คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงต้องการให้ชื่อ ไอร์ซ โอว์น โกว์น ถูกจารึกเป็นตำนาน และเป็นชื่อที่ใครๆก็ต้องรู้จัก
ทั้งผืนแผ่นดิน ห้วงนภา และท้องมหาสมุทร เขาต้องการให้เหล่าผู้มีปัญญาทั้งหลายรับรู้
และนั่นจะทำให้นามนี้ไปถึงหูสหายของเขาหากว่าพวกเขาอยู่บนโลกนี้
เสียงที่ทรงอำนาจของไอร์ซดังทั่วทุกส่วนของท้องพระโรง
“และท่านไอร์ซยังกล่าวต่อไปอีก ‘การจะครองโลกก็น่าสนใจดีเหมือนกัน’ ดังนั้นสรุปก็คือ…”
ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างส่งเสียง และลดหัวลง เสียงที่ดังออกมานี้ราวกับบทสวดบูชา
และบัดนี้นายเหนือได้จากไปจากท้องพระโรงแห่งนี้แล้ว ทว่าความตื่นเต้นก็ยังคงไม่จางหายไปจากท้องพระโรงแห่งนี้
ทั้งหมดต่างถูกกระตุ้นโดยคำสั่งของโอเวอร์ลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่ และยิ่งตอนนี้เป็นการมอบหมายคำสั่งมาโดยตรงอีกด้วย
“ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นค่ะ”
ผู้ที่ก้มหัวลงสวดภาวนาทั้หมดต่างเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของอัลเบโด
“จากนี้ทั้งหมดจะต้องทำตามคำบัญชาของท่านไอร์ซที่กล่าวมา สำหรับเรื่องต่อไปจะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องประกาศให้ทราบกัน”
สายตาของอัลเบโดหยุดลงที่ผืนธงของไอร์ซ โอว์น โกว์น ที่อยู่หลังบัลลังก์ ซึ่งเหล่า NPC และข้ารับใช้ต่างก็มองตามไปยังผืนธงเช่นกัน
“เดมิเอร์จ ถ่ายทอดเรื่องที่ท่านให้กล่าวให้ทุกคนทราบด้วยค่ะ”
“รับทราบขอรับ”
เดมิเอิร์จ และคนอื่นๆยังคงคุกเข่าอยู่ ทว่าเสียงของเขาก็ดังชัดเจนสำหรับทุกคนที่จะได้ยิน
“ท่านไอร์ซได้กล่าวกับกระผมระหว่างที่ท่านมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนว่า ‘ไม่แน่ว่า การทีข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่จะครอบครองเจ้ากล่องอัญมณีที่ยังไม่มีเจ้าของนี้สินะ’ จากนั้นท่านก็ยังกล่าวอีกว่า ‘ไม่สินี่ไม่ใช่สิ่งข้าจะครอบครองไว้เพียงลำพัง บางทีข้าน่าจะใช้มันไปตกแต่งที่มหาสุสานนาซาริก ซึ่งเป็นของเหล่า Ainz Ooal Gown อย่างข้า และสหายทั้งหลาย’ คำว่ากล่องอัญมณีหมายถึงโลก และนี่คือความปรารถนาที่แท้จริงของท่านไอร์ซ”
เดมิเอร์จเผยรอยิ้มออกมา ทว่านี่ไม่ใช่รอยยิ้มอันนุ่มนวลแต่อย่างใด:
สายตาของทั้งหมดเปล่งประกายแหลมคมออกมา ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่
อัลเบโดค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ และมองไปยังใบหน้าของทุกคน
“เอาทุกสิ่งทุกอย่งในโลกนี้มามอบให้ท่านไอร์ซ โอเวอร์ลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่”
ซึ่งทั้งหมดต่างก็จ้องมองมาที่อัลเบโดกลับ ในเวลาเดียวกันนั้น ทุกคนต่างก็จ้องมองไปยังผืนธงของ ไอร์ซ โอว์น โกว์น ที่อยู่ด้านหลังของเธอ
“เมื่อได้ทราบถึงความตั้งใจจริงของท่านไอร์ซแล้ว การเตรียมตัวให้พร้อมก็คือการแสดงความภักดี และเป็นสิ่งที่บริวารที่ดีควรทำ ทั้งหมดต้องเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายแท้จริงของมหาสุสานแห่งนาซาริกคือการนำกล่องอัญมณี-----โลกนี้มอบให้ท่านไอร์ซ”
อัลเบโดยิ้มให้กับผืนธงทันทีที่หันมามอง
“ท่านไอร์ซคะ พวกเราตะต้องนำโลกนี้มามอบให้ท่านอย่างแน่นอนค่ะ”
พร้อมกันนั้นเสียงของพวกเขาทั้งหมดดังกึกก้องทั่วทั้งท้องพระโรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น