หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.2 Prologue


Prologue




ภายในห้องทำงานของโอเวอร์ลอร์ดแห่งมหาสุสานนาซาริกที่ถูกตกแต่งอย่างตระการตา
เครื่องใช่ทุกชิ้นในห้องนั้นถูกออกแบบมาดูให้ดูภูมิฐาน  เปี่ยมด้วยความแปลกใหม่ และมีรสนิยมเป็นอย่างยิ่ง พรมสีแดงเข้มที่ปูบนพื้นซึ่งจะเก็บเสียงของผู้ที่ก้าวผ่าน ธงหลากหลายรูปแบบถูกตกแต่งไว้ตามกำแพงห้อง



โต๊ะไม้สีดำที่ดึงดูดสายตาถูกจัดวางไว้ภายในห้อง โดยมีเจ้าของนั่งอยู่ที่เก้าอี้ซึ่งบุด้วยหนังสีดำทั้งหมด
ภายใต้ชุดคลุมยาวสีดำซึ่งดูราวกับจะกลืนกินแสงทั้งหมดที่ส่องผ่าน หากจะให้บรรยายลักษณะของบุคคลนี้ คำที่จะเรียกขานเขานั้นคือ ‘โอเวอร์ลอร์ดแห่งความตาย’
ส่วนของศีรษะที่เผยให้เห็นนั้นคือหัวกะโหลกที่ไม่มีเลือดเนื้อ ภายใต้เบ้าตาสีดำทั้งสองมีแสงสีดำเล็กๆลุกโชนภายในแสงสีแดงที่เปล่งประกายอยู่ด้านใน
เขาคนนี้คือโมมอนกะ แต่ในตอนนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ ไอร์ซ โอว์น โกว์น นามที่เอามาจากชื่อกิลล์ของเขาเอง
ไอร์ซยืนแขนที่มีเพียงกระดูก เผยให้เห็นแหวนทั้งเก้าวงที่นิ้วซึ่งส่องแสงสะท้อนจาก [Eternal Light]

“อือ อือ…แล้วต่อไปจะทำอะไรดีละ?”

'Dive Massively Multiplayer Online Role Playing Game' คือเกมอินเตอร์เน็ตที่ให้ผู้เล่นได้เข้าเชื่อมต่อเข้ามายังโลกจำลอง และสัมผัสประสบการณ์กับโลกของอิกดราซิล และในวันสุดท้ายของการทำการ ไอร์ซได้ถูกส่งตัวข้ามมิติมาอย่างไม่รู้เหตุผลอะไรเลย โดยมาในรูปของตัวละครในเกม นั่นก็คือร่างโครงกระดูกนี้ ซึ่งมันก็ผ่านมาได้ 8 วันแล้วนับแต่เหตุการณ์ที่ว่ามาได้เกิดขึ้น

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาได้สำรวจภายในฐานทัพของเขาอย่างมหาสุสานแห่งนาซาริก รวมไปถึงเหล่าข้ารับใช้ทั้งหลาย นั่นทำให้เข้าทราบว่าในโลกนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับในเกม และตอนนี้ไอร์ซก็พร้อมสำหรับการดำเนินการขั้นต่อไปแล้ว

“ความปราถนาของท่านจักเป็นไปตามที่ท่านต้องการค่ะ ท่านไอร์ซ”

หญิงสาวผู้งดงามซึ่งยืนเคียงข้างไอร์ซตอบกลับหลังได้ยินทีเขากล่าวถามออกมา

ภายใต้เสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์คือร่างของหญิงสาวที่งามสะพรั่ง รอยยิ้มของเธอนั้นราวกับเป็นรอยยิ้มของเทพธิดา ผมสีดำขลับนั้นดูตัดกับเสื้อคลุมสีขาวของเธอ นอกจากนี้ที่บริเวณเอวของเธอนั้นมีปีกเทวดาสีดำปกปิดส่วนขาเอาไว้

“งั้นเรอะอัลเบโด? ข้าพอใจกับความภักดีที่เจ้าแสดงออกมามาก”
ตัวหญิงสาวนั้นคือผู้ดูแลแห่งมหาสุสานนาซาริกซึ่งมีนามว่า ‘อัลเบโด’ และเธอคือผู้ดูแลเหล่า NPC ทั้ง 7 ซึ่งเป็นฟลอร์การ์เดี้ยนของนาซาริกแห่งนี้
เมื่อตอนที่ไอร์ซ และเหล่าเพื่อนร่วมกิลล์ได้สร้างมหาสุสานนาซาริกแห่งนี้ อัลเบโดถูกตั้งค่าให้เป็น NPC รับใช้ภายในสถานที่แห่งนี้ แต่เมื่อเธอมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา เธอก็ได้สาบานว่าจะภักดีต่อไอร์ซไปตลอด
ที่จริงนี่น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ทว่ามันก็เหมือนเป็นภาระอันหนักหน่วงสำหรับไอร์ซ ซึ่งเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนธรรมดาเท่านั้น
การจะต้องรักษาภาพพจน์นายเหนือระหว่างพบปะกับเหล่าบริวาร และความรับผิดชอบในการจัดการให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดในฐานะโอเวอร์ลอร์ด สิ่งเหล่านี้ทำให้เขากดดันเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งก็คือการที่เขาขาดข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้นั่นเอง

“…ถ้างั้น รายงานต่อไป?”
“นี่ค่ะ ท่านไอร์ซ”

เมื่อได้รับเอกสารเขาก็รีบอ่านมันทันที
รายงานฉบับนี้เป็นของการ์เดี้ยนประจำชั้น 6 นาม ออร่า เบลล่า ฟิโอร่า
ในรายงานแจ้งอย่างชัดเจนว่าไม่พบผู้เล่นจากอิกดราซิลเหมือนกับไอร์ซ หรือร่องรอยของพวกเขาเลย และจากการสำรวจที่ป่าขนาดใหญ่ใกล้กับมหาสุสานนาซาริก ทำให้ตอนนี้พวกเขาทำการบันทึกแผนที่ของพื้นที่จนถึงส่วนของเทือกเขาฝั่งตรงข้ามกับป่าได้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังสามารถระบุตำแหน่งของทะเลสาบได้อีกด้วย

ไอร์ซพยักหน้าอย่างโล่งใจ เมื่อทราบว่าไม่พบผู้เล่นคนอื่นซึ่งนับเป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุดสำหรับเขา
“เข้าใจแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ออร่า และทีมของเธอให้ดำเนินการต่อไปได้”

“น้อมรับบัญชาค่ะ”

เสียงเคาะประดูดังแทรกขึ้นมา ทำให้อัลเบโดมองไปที่ไอร์ซเพื่อสังเกตอาการ จากนั้นเธอก็โค้งรับ และเดินไปยังที่ประตู หลังยืนยันตัวตนของผู้มาเยือนแล้ว อัลเบโดก็กล่าวขึ้น:
“แชลเทียร์ต้องการเข้าพบค่ะท่าน”

“แชลเทียร์? งั้นไม่เป็นไร ให้เธอเข้ามา”

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากไอร์ซ เด็กหญิงวัยประมาณ 14 ปี ซึ่งสวมเสื้อคลุมฟูฟ่องสีดำก็ได้ก้าวเข้ามาในห้องอย่างผ่าเผย

ผิวของเธอนั้นขาวราวกับขี้ผึ้ง และการแสดงออกของเธอก็ดูสุภาพเรียบร้อยราวกับว่านี่คือความงามอันเลอค่าของโลกนี้ ผมสีเงินเรียบยาวแกว่งไปมาตามจังหวะการเดิน รวมไปถึงหน้าอกที่ดูไม่เข้ากับวัยของเธอซึ่งกระเพื่อมเป็นจังหวะเช่นเดียวกัน

เธอคือการ์เดี้ยนประจำชั้น 1 ถึง ชั้น 3 แวมไพร์สายเลือดแท้ ‘แชลเทียร์ บลัดฟอลเลน’

“ยินดีที่ได้พบค่ะ ท่านไอร์ซ”
“เช่นกันแชลเทียร์ แล้วเจ้ามีธุระอะไรที่มาในวันนี้ละ?”

“ดิฉันมาเพื่อยลโฉมหน้าที่งดงามของท่านไอร์ซค่ะ”

ส่วนที่เป็นหัวกะโหลกของไอร์ซนั้นไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ดวงไฟสีแดงที่เรืองแสงอยู่ในเบ้าตานั้นสั่นไหวชั่วขณะหนึ่ง

ตอนแรกเขาคิดจะออกคำสั่งให้เธอหยุดกล่าวคำชื่นชมที่ไร้สาระเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวออกมา ทางอัลเบโดนั้นตอนนี้ก็จ้องเขม็งไปที่แชลเทียร์ซึ่งดวงตาสีแดงเข้มของเธอตอนนี้ดูหยาดเยิ้มจากความตื่นเต้น นั่นทำให้รอยยิ้มของอัลเบโดแปรเปลี่ยนไป

ใบหน้าของเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับความงามที่ยังคงเฉิดฉายเช่นเดิม ทว่าใบหน้าของเธอในเวลานี้ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นการยิ้มได้เลย

ที่ปรากฎตอนนี้คือใบหน้าของปีศาจ

สำหรับไอร์ซแล้วเขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเนื่องจากสายตาของอัลเบโดนั้นจับจ้องไปที่แชลเทียร์ไม่ใช่ที่ตัวเขา

“ในเมื่อเจ้าพอใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไปได้สักทีแชลเทียร์ ตอนนี้ท่านไอร์ซกับดิฉันกำลังปรึกษาเรื่องอนาคตของมหาสุสานนาซาริกแห่งนี้ ถ้าอย่างไรก็อย่ามารบกวนการปรึกษาเรื่องสำคัญของพวกเรามากไปกว่านี้นะคะ”

“…การทักทายก่อนจะเข้าสู่ประเด็นเป็นมารยาทพื้นฐานนะคะ…พวกหญิงสูงวัยที่ผ่านช่วงเวลาทองมาแล้วนี่นับว่าน่าสงสารอย่างมาก บางทีพวกนั้นอาจกำลังวิตกกังวลเพราะว่าหมดอายุแล้วก็ได้ว่าไหมคะ?”

“…แล้วคุณว่าอาหารที่ใส่สารกันบูดมากจนไม่มีวันหมดอายุนี่มันก็ไม่ต่างกับยาพิษเลยจริงไหมคะ? หากจะให้เลือกแล้วอาหารที่หมดอายุก็ยังปลอดภัยอยู่ดีว่าไหมคะ?”

“…อย่าดูถูกอาหารเป็นพิษดีกว่านะคะ ยิ่งแบคทีเรียบางพวกก็แพร่พันธ์กันทางนี้เสียด้วยสิ”

“…แต่ที่สำคัญกว่าคืออะไรที่กินได้ว่าไหม หือ? ถ้าว่าไปแล้วพวกนั้นดูเหมือนตัวอย่างมากกว่า...จริงไหมคะ?”

“…ตัวอย่างอาหาร? ถ้าดิฉันจะฆ่าคุณคงได้สินะคะ”

“…ใครกันที่หมดอายุ? หือออออออออ”
หญิงงามสองคนต่างโต้เถียงกันต่อหน้าไอร์ซด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ มันเป็นความรู้สึกที่สามารถแช่แข็งได้แม้แต่ความรักที่ร้อนแรงนานนับอสงไขย
หลังจากพยายามจัดการกับเรื่องที่ประดังเข้ามาในหัวได้แล้ว ไอร์ซก็กล่าวออกมาก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มทวีความรุนแรงของศึกนี้ให้มากขึ้นไปอีก:
“พอได้แล้วทั้งสองเลย”

ทันใดนั้นสองสาวก็หันมาโปรยยิ้มที่เจิดจ้าแก่ไอร์ซในทันที
จากอารมณ์ที่ยากจะอธิบายก่อนหน้าได้หายไปแล้ว และทั้งสองได้กลับมาเป็นสาวน้อยที่ไร้เดียงสาซึ่งอยู่ในห้วงแห่งความรักอีกครั้ง

(ผู้หญิงนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ…ไม่สิ ต้องบอกว่าสองคนนี้ต่างออกไป…)

หลังจากกลายมาเป็นอันเดด ความรู้สึกที่รุนแรงทั้งหลายของไอร์ซจะถูกกดเอาไว้ แต่ถึงจะเป็นไอร์ซที่กลายเป็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้กับการเปลี่ยนสีหน้าที่รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์เช่นนี้
จะว่าไปแล้วสาเหตุที่ทั้งสองไม่ลงรอยกันก็เพราะว่าต่างคือศัตรูความรักของกันและกัน
อัลเบโด และแชลเทียร์ต่างตกหลุมรักไอร์ซในเวลาเดียวกัน ซึ่งหากเป็นชายหนุ่มทั่วไปแล้วคงจะมีความสุขอย่างมากที่ถูกสาวงามทั้งสองมารุมรัก
แต่สำหรับไอร์ซเขาไม่อาจรับความรักอย่างสุดใจนี้ได้
เนื่องจากแชลเทียร์เป็นพวกเนโครฟิเลียได้เคยเข้ามากระซิบที่ข้างหูของไอร์ซด้วยน้ำเสียงที่หวานหยาเยิ้มว่า: “โครงกระดูกเหล่านี้ช่างมีรูปทรงที่งดงามเหลือเกิน สมแล้วที่เป็นงานชิ้นเอกของท่านผู้สร้าง”
บางทีนี่อาจเป็นเสียงรำพันฝากรักที่แสนหวานจากแชลเทียร์ หรือไม่ก็เป็นการสรรเสิรญรูปร่างของไอร์ซ

ทว่าสำหรับไอร์ซนี่เป็นเรื่องที่น่าตระหนกเพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาถูกยกยอเรื่องหน้าตาของเขา ที่ถูกคือกระดูกของเขา
และนี่คือความทรงจำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง
หลังจากขจัดเรื่องไม่สำคัญเหล่านี้ไปจากหัวแล้ว ไอร์ซก็กล่าวขึ้น:
“ข้าจะถามอีกครั้ง แชลเทียร์ เจ้ามีธุระอะไรกับข้างั้นรึ?”

“ค่ะ จากบัญชาของท่าน ดิฉันมีแผนจะไปพบกับโคไคทัสหลังจากนี้ ซึ่งดิฉันคงไม่ได้กลับมาที่นาซาริกสักพัก ดังนั้นดิฉันจึงมาเพื่อกล่าวคำอำลากับท่าน”

ไอร์ซพยักหน้าเมื่อนึกขึ้นมาได้ถึงคำสั่งที่เขาได้มอบให้กับแชลเทียร์:
“ข้ารับทราบแล้ว แชลเทียร์ ระวังตัวระหว่างภารกิจ และจงกลับมาอย่างปลอดภัยละ”
“ค่ะ!”
แชลเทียร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงาน

“ตอนนี้เจ้าไปแล้วแชลเทียร์ แล้วก่อนจะไป ให้เจ้าบอกนาเบรัล หรือไม่ก็อินเซ็คท์ควีนให้เรียกเดมิเอิร์จมาหาข้าด้วย ให้บอกไปว่าข้าต้องการคุยเรื่องแผนขั้นต่อไปกับเขา”

“รับทราบค่ะ ท่านไอร์ซ”

2 ความคิดเห็น:

  1. แปลได้สนุกมากๆ ขอบคุณที่แปลให้อ่าน

    ตอบลบ
  2. ยอดเยี่ยมครับ อยากขอบคุณจากใจเลยครับที่แปล ถึงท่านจะเลิกแปลไปแล้วก็ตาม

    ตอบลบ