The Two Adventurers
Part 1
เมืองในเครือของราชอาณาจักรรี-เอซไทซ์แห่งนี้นั้นตั้งอยู่ระหว่างจักรวรรดิบาฮารูท และศาสนจักรสิเลียน และจากการที่มันถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองสามชั้นทำให้เมืองแห่งนี้เป็นที่รู้จักในนามของเมืองป้อมปราการจากลักษณะเด่นที่ปรากฎให้เห็นนี้ สำหรับพื้นที่ระหว่างแต่ละชั้นนั้นต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองทั้งสิ้น
ส่วนนอกสุดของกำแพงถูกใช้สำหรับทางการทหารของราชอาณาจักร รวมถึงเป็นที่เก็บอาวุทยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพอีกด้วย
ในส่วนในสุดนั้นเป็นของฝ่ายบริหารปกครอง ซึ่งในพื้นที่นี้จะมีคลังเก็บอาหารเฉพาะส่วน และถูกคุ้มครองอย่างหนาแน่นจากทหาร
สำหรับพื้นที่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองส่วนที่ว่ามาแล้วเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งจะว่าไปแล้วพื้นที่ส่วนนี้ดูจะเหมาะกับคำว่าตัวเมืองมากที่สุด
ภายในพื้นที่ส่วนนี้มีตลาดนัดอยู่จำนวนมาก ซึ่งในบริเวณที่มีพื้นที่มากที่สุดนั้นถูกเรียกว่าตลาดกลางโดยมีผู้คนจำนวนมากที่มาตั้งร้านขายของ ทั้งพืชผลทางการเกษตร เครื่องเทศต่างๆ และรวมไปถึงสินค้าต่างๆอีกหลากชนิด
ท่ามกลางฝูงชนที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาท่านจะได้ยินเสียงของเจ้าของร้านที่ตะโกนเรียกลูกค้า ภาพของแม่บ้านมีอายุที่กำลังต่รองราคาของสดกับพ่อค้าอย่างดุเดือด สำหรับเด็กๆต่างก็ถูกล่อลวงโดยกลิ่นหอมของน้ำผลไม้ บาร์บีคิว และเคบัฟเนื้อที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว
ภายในตลาดนัดแห่งนี้จะยิ่งคึกคักเป็นอย่างยิ่งในช่วงกลางวัน โดยบรรยากาศที่มีเสียงดัง และผู้คนเดินกันขวักไขว่อย่างเนืองแน่นจะมีไปจนกว่าจะถึงช่วงตะวันตกดิน ทว่าทันทีที่ร่างสองร่างได้ออกจากอาคารห้าชั้นเสียงที่ดังอื้ออึงไปทั่วก็ได้หยุดลง
สายตาของทุกคนตอนนี้ต่างจับจ้องไปยังร่างที่ยืนนิ่งของทั้งสอง
หนึ่งในนั้นเป็นหญิ่งสาวที่น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงยี่สิบปี ที่หางตาของเธอนั้นดูเป็นคมคาย เป็นประกายจากออบสิเดียน ผมที่หนาสีดำของเธอถูกรวบเป็นทรงหางม้า และยิ่งเมื่อรวมกับผิวที่ขาวราวหิมะที่เปล่งประกายเหมือนไข่มุกยามต้องแสงอาทิตย์
ส่วนที่ดึงดูดสายตามากที่สุดในตัวเธอก็คือบรรยากาศที่ดูมีสง่าราศีรอบตัว รวมไปถึงความงามอย่างสุดจะบรรยายทำให้ผู้คนต้องเหลียวหลังกลับมามองซ้ำ แม้ผ้าคลุมสีน้ำตาลที่เธอสวมอยู่จะเป็นของธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมันอยู่บนตัวเธอแล้วกลับทำให้มันดูหรูหราขึ้นมาในทันที
สำหรับคู่หูของเธอนั้นไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเพศอะไร เพราะว่าไม่มีส่วนใดเลยที่สามารถมองเพื่อจำแนกความแตกต่างระหว่างเพศของเขาได้
มีผู้คนบางส่วนในตลาดนัดที่หลุดปากออกมา: “นักรบทมิฬ”
จะว่าไปก็นับว่าเรียกได้เหมาะสมมาก เพราะภาพที่เห็นตอนนี้คือร่างของคนในชุดเกราะที่ปกปิดทั่วทั้งร่าง ในส่วนของชุดเกราะก็ดูมีสง่าราศี และยังตกแต่งด้วยลวดลายสีม่วงกับสีทอง บริเวณใบหน้าของเขานั้นไม่อาจมองเห็นได้จากรูเล็กๆของหมวกเหล็ก และเมื่อมองไปที่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดงที่กลางหลัง ก็จะพบกับดาบขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบสองเล่มที่ถูกเหน็บไว้ ซึ่งช่วยขับเน้นภาพลักษณ์ของเจ้าให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
และขณะนี้ทั้งสองกำลังมองไปรอบๆ โดยผู้ที่เริ่มก้าวเดินก่อนคือร่างที่อยู่ภายใต้ชุดเกราะ
ผู้คนเริ่มส่งเสียงพึมพำอีกครั้งหลังจากร่างของทั้งสองได้ห่างออกไป พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงในภาพที่ได้เห็นจากคู่หูที่พกอาวุธเมื่อสักครู่ ซึ่งนั่นไม่ได้มีความกลัว หรือวิตกกังวลเจือปนเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเหตุผลนั้นก็มาจากสถานที่ซึ่งทั้งสองได้ออกมาเมื่อสักครู่ก็คือ ‘กิลล์นักผจญภัย’ ซึ่งเป็นองกรณ์สำหรับผู้เชี่ยวชาญในการล่ามอนสเตอร์ โดยหลังจากที่เจ้าของร่างทั้งสองได้จากไปแล้ว ก็มีผู้คนที่พกอาวุธออกมาจากตัวอาคารเช่นกัน ในส่วนของผู้ที่มามุงดูต่างสังเกตเห็นเหรียญตราทองแดงที่อยู่ตรงบริเวณคอของทั้งสอง
การที่คู่หูนักผจญภัยเป็นจุดสนใจนั้นก็เพราะความงามของหญิงสาว และชุดเกราะที่ดูโดดเด่น
และตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินไปตามท้องถนนโดยไม่มีการพูดคุยใดๆกันเลย
บ่อน้ำที่อยู่ตามทางสะท้อนเป็นประกายจากแสงตะวัน ในส่วนของตัวถนนนั้นสร้างมาจากโคลน และทราย ซึ่งมีประสิทธิภาพด้อยถนนที่ปูด้วยหินทำให้ยากในการเดิน หากเดินไม่ระวังละก็คนที่เดินผ่านไปมาก็อาจจะลื่นล้มได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่านักผจญภัยคู่นี้ก็ยังคงเดินได้อย่างไม่ติดขัด และยังคงรักษาความเร็วได้เกือบจะเท่ากันอีกด้วย ดูเหมือนกับทั้งสองกำลังเดินบนถนนที่ปูด้วยหินอย่างไงอย่างนั้น
หญิงสาวที่มีฝีเท้าอันรวดเร็วเมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในบริเวณนี้ก็ได้กล่าวกับคนในชุดเกราะที่อยู่ข้างตัวว่า: “ไอร์ซ-ซะ---”
“ไม่ ตอนนี้ข้าคือโมมมอน และเจ้าก็ไม่ใช่แบทเทิลเมดนาเบรัลของมหาสุสานนาซาริก แต่เป็นคู่หูนักผจญภัยของโมมอนชื่อนาเบลต่างหาก”
คนในชุดเกราะ หรือก็คือไอร์ซ กล่าวแทรกหญิงสาวที่ชื่อนาเบรัล และนั่นทำให้เธอตอบกลับมา: “อ๋า! ต้องขออภัยอย่างยิ่งค่ะ โมมอนซามะ”
“ไม่ต้องเติมซามะให้ข้าหรอก ตอนนนี้เราทั้งคู่เป็นสหายนักผจญภัยทั่วไปเท่านั้น และการที่เจ้าเรียกซามะดูออกจะพิลึกเกินไป”
“ตะ-แต่! จะให้ดิฉันตีตนเสมอท่านผู้นำสูงสุดได้อย่างไรกันคะ?”
ไอร์ซทำมือให้นาเบรัลลดเสียงที่กระสับกระส่ายของเธอลง จากนั้นเขาก็จำยอมต้องตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่าย:
“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ตอนนี้ข้าคือนักรบทมิฬที่ชื่อโมมอน…ไม่สิต้องเป็นโมมอนที่เป็นแค่คู่หูของเจ้าต่างหาก เพราะอย่างนี้ไม่ต้องเติมซามะอีก นี่คือคำสั่ง”
หลังผ่านห้วงเวลาแห่งความเงียบงันไปได้สักพัก นาเบรัลก็ฝืนใจตอบกลับมา:
“เข้าใจแล้วค่ะโมมอนซะ-ซัง”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก นี่ละดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเติมท่านอะไรหรอก ถ้าเจ้ามาเรียกข้าแบบนนั้นตอนที่พูดถึงพรรคพวกละก็…จะให้ข้าทำตัวยังไง…แล้วคนอื่นจะต้องคิดว่าเราไม่ได้สนิทสนมกันอย่างที่ควรด้วย”
“แต่…นั่นมันเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างยิ่งนะคะ…”
ไอร์ซยักไหล่ไม่สนใจกับอาการติดอ่างของนาเบรัล:
“เราไม่อาจเปิดเผยตัวจริงของพวกเราได้ เจ้าเข้าใจเรื่องนี่ใช่ไหม?”
“เป็นอย่างที่ท่านกล่าวค่ะ”
“…แต่น้ำเสียงของเจ้า…เออ เอาเถอะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…ที่ข้าอยากจะบอกก็คือ เข้าเจ้าต้องระวังตัวทุกคำพูด และการกระทำเอาไว้ด้วย”
“…รับทราบค่ะ โมมอนซะ-ซัง แต่ตอนนี้ดิฉันอยากทราบว่าการเลือกดิฉันร่วมทางด้วยเป็นการดีแล้วเหรอคะ? ที่จริงท่านอัลเบโดที่ทั้งสุภาพอ่อนโยน และงดงาม น่าจะเหมาะสมกว่าดิฉันนะคะ?”
“อัลเบโดงั้นเหรอ….”
คำพูดของไอร์ซตอนนี้มีความรู้สึกอันหลากหลายปนเปกันไปหมดในตอนนี้
“เธอต้องคอยดูแลนาซาริกตอนข้าไม่อยู่น่ะ”
“ขออภัยที่ดิฉันอาจจะอวดดีไปบ้างนะคะ แต่ว่าท่านสามารถยกเรื่องการดูแลนาซาริกไว้กับท่านโคไคทัสได้ และการ์เดี้ยนทุกท่านก็คิดเหมือนกันหมด…หากพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของตัวท่านแล้ว การ์เดี้ยนที่เหมาะสมที่สุดก็น่าจะเป็นท่านอัลเบโดไม่ใช่เหรอคะ?”
ไอร์ซฝืนยิ้มให้กับข้อเท็จจริงที่นาเบรัลกล่าวออกมา
เมื่อตอนที่เขาแสดงเจตจำนงค์ที่จะมุ่งหน้าไปยังรี-เอซไทซ์ อัลเบโดคือคนที่คัดค้านอย่างมากที่สุด
นั่นก็เพราะ เธอรู้ตัวว่าเธอจะไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับเขานั่นเอง
ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่เขาถูกส่งตัวมายังโลกนี้ใหม่ๆ ไอร์ซได้ออกเดินทางโดยทิ้งหน่วยคุ้มกันเอาไว้ นั่นทำให้อัลเบโดตำหนิตัวเองที่ไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ผลก็คือไอร์ซไม่อาจปฎิเสธความเห็นของเธอได้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะว่าแผนการในครั้งนี้ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ทำให้เขาไม่อาจยอมได้อีก
ที่จริงแล้วจากตำแหน่งของเขาสามารถใช้การ ‘ออกคำสั่ง’ เพื่อให้เหล่าการ์เดี้ยนเชื่อฟังได้ แม้นั่นจะเป็นการฝืนความตั้งใจของการ์เดี้ยนก็ตาม แต่ว่าไอร์ซไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องดี เขาคงรู้สึกผิดอย่างมากหากจะต้องมาบังคับฝืนใจเหล่าการ์เดี้ยนที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าเพื่อนร่วมกิลล์
ไอร์ซพยาอย่างยิ่งที่จะเกลี้ยกล่อมพวกเขา และอัลเบโดก็คัดค้านอย่างสุดชีวิต ซึ่งพวกเขาก็ไม่อาจหาข้อตกลงที่เห็นชอบร่วมกันได้ และก็ไม่อาจตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่ได้ด้วย แต่ทว่าทันใดนั้นเอง เดมิเอิร์จได้เข้ามากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของอัลเบโด หลังจากนั้นเธอก็หยุดต่อต้านในทันที นอกจากนี้เธอยังกล่าวลาไอร์ซด้วยรอยยิ้มอันจริงใจอีกด้วย
จนถึงตอนนี้ไอร์ซก็ยังไม่รู้ว่าเดมิเอิร์จไปบอกอะไรกับเธอ และเขาก็รู้สึกไม่สบายใจกับการที่อัลเบโดเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลันนี้ด้วย
“…ที่ข้าไม่พาเธอมาด้วยก็เพราะไม่มีใครที่ข้าจะสามารถเชื่อใจได้เท่าเธออีกแล้ว ที่ข้าสามารถจากนาซาริกมาโดยไม่ต้องกังวลอะไร ก็เพราะการที่เธอยังดูแลที่นั่นอยู่”
“อย่างที่คิดเลยค่ะ! หมายความว่าท่านอัลเบโดคือคนที่ใกล้ชิดโมมอนซะ-ซังมากที่สุดใช่ไหมคะ?”
แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ไอร์ซก็พยักหน้าตอบคำถามของนาเบรัล
“ข้าก็กังวลถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น”
ไอร์ซยกถุงมือเหล็กข้างขวาขึ้นมา และมองไปยังนิ้วนาง:
“ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่ข้าก็ต้องทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การออกคำสั่งจากในนาซาริก นั่นจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้สำหรับโลกใหม่นี้ ข้าจึงจำเป็นต้องออกมาหาประสบการณ์ในโลกนี้ด้วยตัวเอง…บางทีอาจมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ แต่ข้าไม่อาจรู้สึกสบายใจได้กับเรื่องที่ยังไม่รู้อีกมากนี้”
คำกล่าวที่จริงจังลอดผ่านจากช่องของหมวกเหล็ก พร้อมกันนั้นนาเบรัลก็ตอบกลับมาทันที: “ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ตอนนี้เธอมีสีหน้าเหมือนกับเข้าใจเรื่องราวต่างๆดีแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่ไอร์ซถามกลับพร้อมความไม่สบายใจเล็กน้อยที่ก่อตัวขึ้น:
“ข้ามีคำถามจะถามเจ้าสักหน่อย…เจ้าคิดว่ามนุษย์จัดเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำรึเปล่า?”
“ถูกต้องแล้วค่ะ มนุษย์น่ะก็แค่สวะไร้ค่าเท่านั้น” คำตอบจากก้นบึ่งของใจนาเบรัลนั้นไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความลังเลแม้แต่น้อย ไอร์ซถึงกับต้องบ่นพึมพำออกมาเบาๆ “อาห์ เจ้าก็ด้วยงั้นรึ” แต่เนื่องจากเสียงของเขานั้นเบามาก ทำให้นาเบรัลไม่ได้ยินที่เขาบ่นออกมาเมื่อสักครู่ ซึ่งเขาก็ยังคงกล่าวต่อไปอีก: “อย่างว่านี่เป็นลักษณะนิสัยของเธออยู่แล้ว ก็เพราะอย่างนี้ข้าถึงไม่อยากเข้าเมืองของมนุษย์เลย ที่จริงข้าน่าจะเข้าใจลักษณะของผู้ติดตามให้ดีเสียก่อน”
และนี่ก็คือหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่พาอัลเบโดมาด้วย เธอนั้นตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่ามนุษย์คือ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ หากว่าไอร์ซพาคนอย่างเธอเข้าเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นละก็ หากเขาเผลอเมื่อไหร่คงจะได้เกิดทะเลเลือดขึ้นมาเป็นแน่ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อกันเล่นได้ ส่วนอีกเหตุผลก็คือ อัลเบโดไม่สามารถจะปลอมตัวได้ เธอไม่อาจซ่อนเขา และปีกของเธอได้นั่นเอง
ซึ่งเหล่านี้คือสาเหตุสำคัญที่เขาไม่อาจพูดออกมาได้
สำหรับพนักงานกินเงินเดือนธรรมดาทั่วไปอย่างไอร์ซแล้ว เขาไม่มีความมั่นใจในการบริหารจัดการองกรณ์จากการอ่านเอกสารที่ส่งมาเท่านั้น นั่นตอบคำถามที่ว่าทำไมเขาถึงต้องโยนความรับผิดชอบที่แสนหนักอึ้งในการขับเคลื่อนนาซาริกไปให้กับอัลเบโดที่เปี่ยมด้วยความสามารถ หากว่ามีลูกน้องที่มีความสามารถ การที่จะให้อิสระในการทำงานแก่เขาก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง นอกจากนี้หากผู้บริหารยื่นมือเข้ามายุ่งกับการดำเนินการโดยไม่จำเป็น ผลที่ตามมาก็ย่อมจะเลวร้ายอย่างไม่อาจคาดได้เลยทีเดียว
นอกเหนือจากนี้ อัลเบโดนั้นถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาด้วยคำว่า ‘ภักดี’ และ ‘รัก’ สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่ไอร์ซสามารถปล่อยให้นาซาริกอยู่ในมือของเธอได้อย่างสบายใจ
รักอย่างงั้นเหรอ…
ทุกครั้งที่อัลเบโดแสดงท่าทาง หรือกล่าวออกมาเป็นคำพูดในเรื่องความรักของเธอที่มีต่อตัวเขา ไอร์ซก็ต้องหวนคำนึงถึงตอนที่เขาเผลอแก้ไขการตั้งค่าของอัลเบโดเสียทุกครั้ง ในตอนที่เซิร์ฟเวอร์กำลังจะปิดตัวลง ไอร์ซได้ทำการแก้ไขข้อมูลตัวละครของอัลเบโดให้เกิดความรักอย่างสุดซึ้งต่อโมมอนกะ หรือก็คือไอร์ซนั่นเอง ในตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องถูกส่งตัวมายังต่างโลกเช่นนี้ เขาก็แค่อยากเล่นสนุกขำขันก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงก็เท่านั้น
คนอย่างเขานี่มัน
เมื่อยิ่งคิดทบทวนเรื่องนี้ให้มากขึ้นเท่าไร แม้ว่าอัลเบโดจะไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ว่า Tabula Smaragdina ที่เป็นเพื่อนของเขาจะคิดอย่างไรหากรู้ว่าไอร์ซได้ทำอะไรลงไป?
แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้? กับการที่ NPC ของตัวเองที่สร้างขึ้นมาถูกแก้ไขโดยเพื่อนของเขาเอง….
การที่เขาใช้ประโยชน์จาการที่อัลเบโดไม่มีวันหักหลังเขาแน่นอน เขาก็รู้สึกเกลียดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก
ไอร์ซสะบัดหัวไล่ความรู้สึกแย่ๆพวกนี้ออกไป หลังจากที่เขากลายเป็นอันเดดแล้ว อารมณ์ที่รุ่นแรงต่างๆนั้นถูกทำให้หายไป แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้สำหรับอารมณ์ในระดับนี้เหมือนกับตอนยังเป็นมนุษย์อยู่ ซึ่งว่าไปแล้วหากว่าเขากลายเป็นอันเดดที่แท้จริงแล้วละก็ เขาคงไม่รู้สึกผิดเช่นนี้หรอก
หลังจากถูกห้วงความคิดเบนความสนใจชั่วครู่ ไอร์ซก็หันกลับมายังนาเบรัลอีกครั้ง:
“…นาเบล ข้าจะไม่ห้ามเจ้าคิดเช่นนี้หรอกนะ แต่เจ้าต้องเก็บอาการเอาไว้ ที่นี่คือเมืองของมนุษย์ และเราไม่รู้เลยว่าจะเจอกับพวกที่เก่งกาจแบบไหนกัน เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจจากศัตรูโดยไม่จำเป็นจากความคิดของเจ้า”
นาเบรัลก้มหัวลงต่ำแสดงความเคารพอย่างที่สุดต่อไอร์ซ ทว่าเขากลับยื่นมือออกมาช้อนหน้าเธอขึ้นแล้วกล่าวเตือน:
“อีกอย่าง ข้าไม่แน่ใจว่าพวกมนุษย์จะรู้สึกเหมือนถูกข่มขู่…จากจิตสังหารของพวกเราระหว่างที่เกิดความคิดฆ่าฟัน หรือตอนต่อสู้ แต่ที่แน่ๆคือพวกเราเปล่งรังสีแบบนั้นออกมา เพราะอย่างนี้เจ้าจงอย่าทำอะไรโดยพละการหากข้าไม่ได้อนุญาต เข้าใจไหม?”
“รับทราบค่ะ โมมอนซะ-ซัง”
“ดีมาก…เอาละ ที่พักที่ได้ยินมาน่าจะอยู่แถวนี้นะ”
พร้อมกันนั้นไอร์ซก็มองไปรอบๆตัว
บริเวณนี้มีร้านรวงที่เปิดให้บริการอยู่หลายร้าน ซึ่งแต่ละร้านก็มีผู้คนมาใช้บริการกันให้เห็นประปราย เมื่อมองดูจากอีกฟากจะเห็นเหล่าคนงานที่สวมชุดกันเปื้อนกำลังขนสินค้ากันอย่างขะมักเขม้น
พวกเขาทั้งสองมองหาที่พักในย่านการค้าที่ขึ้นชื้อของพื้นที่นี้ โดยการเทียบเคียงภาพวาดในมือไอร์ซกับรูปที่แสดงในป้ายประกาศ เนื่องจากทั้งไอร์ซ และนาเบรัลไม่สามารถอ่านหนังสือของประเทศนี้ได้ ทำให้พวกเขาต้องใช้วิธีการเช่นนี้
และไม่นานนักทั้งสองก็พบกับภาพที่ค้นหา จากนั้นไอร์ซก็ตรงดิ่งไปยังที่หมายโดยมีนาเบรัลตามมาติดๆ
เมื่อเคาะเอาฝุ่นที่ติดกับบู๊ทเกราะแล้ว ไอร์ซก็ผลักประตูเข้าไปโดยใช้มือทั้งสองเปิดประตูอย่างพร้อมเพรียง
หน้าต่างของตัวอาคารถูกปิดเกือบหมด ทำให้ภายในมีเสียงเพียงเล็กน้อย สำหรับคนที่ยังเคยชินกับแสงที่สว่างด้านนอกอาจจะไม่สามารถปรับตัวได้ในทันที แต่นั้นไม่ใช่สำหรับไอร์ซซึ่งมีเนตรราตรี ทำให้แสงเพียงเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ด้านในนั้นเมื่อมองดูพบว่ามีพื้นที้ค่อนข้างมาก ชั้นแรกเป็นส่วนของห้องอาหารที่มีเคาร์เตอร์อยู่ด้วย ชั้นวางสองชั้นถูกตั้งไว้ด้านหลังเคาเตอร์โดยมีขวดไวน์จำนวนหนึ่งวางเรียงรายอยู่ ประตูที่อยู่ข้างเคาร์เตอร์ก็คงจะเป็นทางที่เชื่อมไปสู่ห้องครัว
ที่มุมห้องอาหารจะมีบันไดที่พาไปสู่ชั้นสอง จากข้อมูลจากพนักงานสาวก่อนหน้าในส่วนของชั้นสอง และชั้นสามนั้นจะเป็นห้องพัก ตอนนี้เมื่อมองไปรอบๆจะพบกับเหล่าผู้ที่ใช้บริการนั่งกระจายตามโต๊ะกินข้าวทรงกลม ซึ่งส่วนใหญ่ต่างก็แสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรออกมาให้เห็น
พวกเขาทั้งหมดต่างมองมาที่ไอร์ซราวกับกำลังประเมินเจ้าตัวอยู่ หนึ่งเดียวที่ไม่ได้สนใจไอร์ซเลยคือหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องซึ่งตอนนี้กำลังจ้องมองขวดที่วางอยู่บนโต๊ะ
ภาพภายในโรงเตี๊ยมนี้ทำให้ไอร์ซต้องเลิกคิ้วซึ่งไม่หลงเหลืออยู่แล้วใต้หมวกเหล็กขึ้น
ที่จริงเขาก็เตรียมใจไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ที่เขาเห็นนี่มันโสโครกกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ในอิกดราซิลนั้นมีสถานที่หลายแห่งที่สกปรก และน่าขยะแขยง ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในมหาสุสานแห่งนาซาริกก็มีอยู่ อย่างเช่นห้องโถงของจ้าวแห่งความหวาดกลัว หรือจะเป็นถ้ำยักษ์ของหนอนพิษ
แต่ความโสโครกของที่นี่นั้นต่างออกไป
เศษอาหารที่หล่นเกลื่อนกลาเต็มพื้น และของเหลวที่ไม่อาจบอกได้ซึ่งเจิ่งนองไปทั่ว คราบที่น่ารังเกียจตามผนัง และไอเทมปริศนาทรงลูกบาศก์ที่วางสุมที่มุมห้อง…
ไอร์ซถึงกับต้องถอนหายใจจากภายในก่อนที่จะมองไปรอบๆโรงเตี๊ยมแห่งนี้
และแล้วเขาก็พบกับชายที่สวมผ้าพันคอสกปรกไว้รอบคอ โดยที่แขนเสื้อทั้งสองถูกถกขึ้นจนมองเห็นแขนที่อัดแน่นด้วยมัดกล้ามซึ่งมีแผลเป็นจำนวนมากทั้งจากกรงเล็บของสัตว์ร้าย ตลอดจนคมอาวุธประทับอยู่
รูปลักษณ์ของเขานั้นก้ำกึ่งระหว่างคนเถื่อนกับสัตว์ร้าย รอยแผลเป็นบนตัวสามารถมองเห็นได้ทั้งที่บริเวณใบหน้า และศีรษะที่ล้านเลี่ยนของเขา
ดูไปแล้วเขาเหมือนกับยามประจำร้านมากกว่าเจ้าของร้านเสียอีก และตอนนี้เจ้าตัวที่ถือผ้าขี้ริ้วก็กำลังมองสำรวจไอร์ซโดยไม่มีท่าทีปิดบังเลย
“หาห้องเรอะ? กี่คืน? ชายเจ้าของร้านถามมาจากอีกฟากของห้องด้วยเสียงที่ดังราวกับระฆังชำรุด”
“เราอยากได้ที่พักสักคืนน่ะ”
เจ้าของร้านเมื่อได้ฟังก็กล่าวตอบอย่างห้วนๆในทันที:
“…ตราทองแดงงั้นเรอะ ห้องโถงรวมคิด 5 เหรียญทองแดงต่อคืน รวมข้าวโอ๊ต และผักเป็นอาหารให้ด้วย เพิ่มอีกเหรียญทองแดงถ้าต้องการเนื้อ แล้วก็ข้าวโอ๊ตเปลี่ยนเป็นขนมปังค้างคืนได้”
“ถ้ายังไงขอเป็นห้องเตียงคู่ก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็พ่นลมหายใจออกมา:
“…มีโรงเตี๊ยมทั้งหมด 3 แห่งสำหรับนักผจญภัยโดยเฉพาะ และที่นี่น่ะห่วยที่สุด…แล้วรู้ไหมว่าทำไมคนที่กิลล์ถึงได้แนะนำที่นี่ให้ละหือ?”
“ไม่รู้สิ ถ้ายังไงก็บอกให้ฟังหน่อยแล้วกัน”
ในการตอบคำถามของไอร์ซ เจ้าของร้านได้เลิกคิ้วขึ้น และแสดงการข่มขวัญออกมา:
“ใช้สมองสิเฟ้ย! หรือที่อยู่ในหมวกเหล็กนั่นจะกลวงไปแล้ว?”
แม้จะได้ฟังเสียงข่มขู่ที่ดังนอกเจ้าของร้าน ไอร์ซก็ยังคงเฉยอยู่ เขาทำใจให้เย็น ทำเป็นไม่เป็นใจเหมือนตอนรับมือกับเด็กที่ร้องไห้งอแงอยู่ ที่เป็นเช่นนี้ก็มาจากศึกเมื่อหลายวันก่อน
หลังจบศึก และได้รับข้อมูลจากเหล่าเชลย ไอร์ซก็เข้าใจถึงพลังอำนาจของตัวเอง ทำให้เขาไม่กระวนกระวายเมื่อถูกตะคอกใส่
นั่นทำให้เจ้าของร้านดูจะแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีของไอร์ซ:
“…แกกล้าดีนี่…นักผจญภัยส่วนใหญ่ที่พักที่นี่ก็เป็นพวกตราทองแดง หรือไม่ก็ตราเหล็กกันทั้งนั้น ซึ่งถึงแม้แกจะเจอกับใครคนอื่นเป็นครั้งแรกที่นี่ แกก็สามารถรวมทีมผจญภัยได้ถ้าระดับพวกแกใกล้กัน นี่แหละที่ว่าทำไมที่นี่ถึงเหมาะกับแกที่จะหาสมาชิกที่เข้ากับความสามารถของพวกแก…”
ดวงตาของเจ้าของร้านดูเปล่งประกายชั่วขณะหนึ่ง:
“แกน่ะจะไปนอนที่ห้องก็ได้ถ้าอยากนะ แต่แกจะไม่ได้สมาชิกร่วมกลุ่มถ้าไม่มาใช้พื้นที่ส่วนรวม แล้วถ้าแกจัดทีมได้ไม่ดีละก็ แกถูกมอนสเตอร์จัดการแน่ๆ พวกหน้าใหม่ที่ไม่มีสมาชิกจะได้รับคำแนะนำให้อยู่รวมกันในที่แบบนี้ เอาละข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้ายว่ายังจะเอาโถงรวม หรือเอาห้องเตียงคู่”
“เตียงคู่ ส่วนอาหารไม่เอาก็แล้วกัน”
“ชิ ไม่สนความหวังดีของข้าเลยนะ…หรือแกคิดว่าตัวแกมันพิเศษกว่าคนอื่น ดูเหมือนไอ้เกราะวิ๊งๆของแกจะไม่ได้เอาไว้แค่โชว์สินะ? เอาเถอะ ค่าพักคืนละ 7 เหรียญทองแดง แล้วจ่ายก่อนด้วย”
เจ้าของร้านยื่นมืออกมาเพื่อรับค่าที่พัก
ภายใต้สายตาทั้งหมดที่จับจ้องประเมินค่า ไอร์ซก็ก้าวเดินไปโดยมีนาเบรัลตามหลัง และทำใดนั้นเองก็มีเท้ายื่นออกมาขวางทางของไอร์ซ
และไอร์ซก็ตอบสนองโดยการหยุดลง จากนั้นก็เพียงแค่จ้องมองไปยังชายที่ยื่นเท้าออกมา
ชายคนดังกล่าวได้แสดงรอยยิ้มเยาะอันยียวนออกมา และคนอื่นๆบนโต๊ะก็ทำเช่นเดียวกันโดยทั้งหมดจ้องมายังไอร์ซ และนาเบรัลทั้งคู่
ในการนี้เจ้าของร้าน และลูกค้าคนอื่นๆก็นิ่งเฉย แลไม่ได้เข้ามยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด
แม้ท่าทางของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดต่างก็หวังจะได้เห็นการแสดงที่น่าตื่นตาที่จะเกิดขึ้น โดยมีบางคนที่พยายามเข้าชมอย่างใกล้ชิด
จะเอาสินะ…
ไอร์ซถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วก็เตะขาที่ขวางนั้นออกไปเบาๆ
ทันใดนั้นชายที่ถูกเตะขาก็ลุกขึ้นในทันทีราวกับรอเวลานี้มานานแล้ว และจากที่เขาไม่ได้สวมเกราะทำให้เมื่อมองที่ตัวชายคนนี้จะเห็นกล้ามเนื้อที่อัดแน่นจนโป่งพองออกมาใต้เสื้อเชิ้ตได้อย่างชัดเจน ที่คอของเขามีสร้อยที่แกว่งมาตามจังหวะการเดินของเขา ซึ่งมันดูเหมือนกับอันที่ไอร์ซสวมอยู่ จะต่างก็แค่ที่ชายคนนี้สวมอยู่ทำจากเหล็กขณะที่ของไอร์ซเป็นทองแดง…
“เฮ้ย เฮ้ย มันเจ็บนะเว้ย”
ชายคู่กรณีกล่าวคุกคมาไอร์ซอย่างฉุนเฉียว และค่อยๆเดินเข้าหาเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับตอนที่เขาลุกขึ้นถุงมือเหล็กก็ถูกสวมใส่มือ ทำให้มีเสียงของโลหะที่กระทบกันดังขึ้นเมื่อเขากำมือ
เมื่อลองเทียบดูแล้วชายคนนี้มีขนาดพอๆกับไอร์ซ และตอนนี้ทั่งสองก็ใกล้กันในระต่อยตี พร้อมกับที่สายตาของทั้งสองได้จับจ้องกันและกัน และผู้ที่เริ่มสัญญาณการวิวาทในครั้งนี้ก็คือตัวไอร์ซเอง”
“อ๋อ ท่าทางหมวกเหล็กนี่ทำให้ข้ามองไม่ค่อยสะดวกสินะ ข้าเลยไม่ทันสังเกตขาที่ขวางอยู่ หรือไม่แน่ว่าเพราะขามันสั้นมากข้าเลยมองไม่เห็นก็เป็นได้…ก็อย่างที่ว่ามาละ เจ้าจะพอให้อภัยข้าได้ไหม?”
“…ไอ้สัส”
จากการที่ถูกท้าทายโดยไอร์ซทำให้ชายตรงหน้าจ้องมองอย่างมาดร้าย ทว่าเมื่อเขาหันไปเห็นนาเบรัลที่ยืนอยู่ด้านหลังของไอร์ซ สายตาของเขาก็ถึงกับหยุดชะงักลงที่ตัวเธอในทันใด:
“แกมันก็แค่พวกแมลงหวี่แมลงวันละฟะ…แต่ข้าน่ะเป็นคนใจกว้าง ถ้าแกให้สาวน้อยข้างหลังมากับข้าสักคืนละ ข้าก็พอจะอภัยให้แกได้”
“หึ หึหึหึหึหึ”
เสียงหัวเราะที่ดูน่าขนลุกจากไอร์ซดังขึ้นพร้อมกับที่เขาห้ามไม่ให้นาเบรัลจัดการกับชายเบื้องหน้า
“…แกหัวเราะอะไรฟะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ว่าที่เจ้าพูดมาน่ะมันเป็นบทพูดคลาสสิกของตัวร้ายดาษๆเลย นั่นทำให้ข้าอดขำไม่ได้ ไม่ต้องสนใจหรอก”
“หือ?”
ตอนนี้ใบหน้าของคู่กรณีแดงฉานด้วยความเดือดดานอย่างถึงที่สุด
“โอ้ว ก่อนเราจะเริ่ม ข้าอยากถามอะไรหน่อย เจ้าน่ะแข็งแกร่งกว่า กาเซฟ สโตโลนอฟหรือเปล่า?”
“หือ? แกถามอะไรฟะ?”
“อย่างงั้นเหรอ เห็นท่าทางของเจ้าข้าก็ได้คำตอบแล้ว ข้าไม่อยากจะต้องออกแรงเล่นกับเจ้าเสียด้วย --- บินไปซะ”
ไอร์วคว้าไปยังที่อกเสื้อของชายตรงหน้าแล้วยกเขาขึ้นในพริบตา
ชายเคราะห์ร้ายไม่อาจหนีหรือต้านทานได้เลย เขาทำได้แต่เพรยงร้อง “เฮ้ย!” ตัวความตกใจ สำหรับเหล่าผู้ชมต่างก็ส่งเสียงร้องเอะอะกับภาพที่เห็น นี่แข็นของเขาต้องแข็งแรงขนาดไหนกันถึงจะยกชายฉกรรจ์ขึ้นมาได้ด้วยมือเดียว? ตอนนี้ทุกคนต่างนึกภาพถึงความแข็งแกร่งของไอร์ซที่สามารถทำเช่นนี้ได้
ระหว่างที่ชายซึ่งถูกยกขึ้นสูงได้แต่เตะขาไปมาอย่างสะเปะสะปะพร้อมตะโกนโหวกเหวก โดยที่เหล่าผู้ชมได้แต่อ้าปากค้าง ไอร์ซก็ได้โยนเขาลงมาอย่างนุ่มนวล
ทว่า ‘นุ่มนวล’ นั้นดูจะตรงข้ามเมื่อมาจากไอร์ซ
ชายคนดังกล่าวตอนนี้ถูกขว้างออกไปจนเกือบชนเพดาน ก่อนที่เขาจะลอยโค้งตกลงมากับพื้นอย่างรุนแรง
เสียงของร่างที่ตกลงมาปะทะกับโต๊ะ ทำให้ข้าวของบนโต๊ะถูกกระแทกจนแตกกระจาย และตัวโต๊ะก็หักพังลงมา พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดที่ดังก้องไปทั่วห้อง ตอนนี้ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เงียบสงัดราวโดยมีเพียงเสียงร้องครวญครางเท่านั้นให้ได้ยิน แต่ทันใดนั้น
“ว้ายยยยยย!”
หญิงสาวที่นั่งบนโต๊ะได้กรีดร้องออกมาจนเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น เสียงกรีดร้องนี้ราวกับว่าได้บังเกิดหายนะตกลงมาจากฟากฟ้า
แต่อันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติที่จะร้องออกมาเช่นนี้ ในเมื่อมีคนตกลงมาจากฟ้าอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ทว่านอกจากเสียงร้องอันตกใจที่ดังออกมาก็มีบางสิ่งปนอยู่ด้วย
“…แล้วพวกเจ้าที่เหลือจะเอายังไงต่อดี? จะเข้ามาหมดเลยก็ได้ จะได้ประหยัดเวลาข้าด้วย? ไอ้เรื่องต้องมาเสียเวลาแบบนี้มันแย่มาก”
ไอร์ซทำการท้ายทายเหล่าผู้ที่ร่วโต๊ะกับตัวคนที่ก่อปัญหา และเหล่าเพื่อนของชายคนดังกล่าวก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ของไอร์ซ โดยต่างได้ก้มหัวพร้อมกล่าวออกมา:
“อ่า? เอ๋? เพื่อนของเราต่างหากที่ไปก้าวร้าวกับนาย! พวกเราต้องขอโทษแทนมันด้วย!”
“...ได้ ข้าจะยกโทษให้ ที่จริงมันก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ข้ามากนักหรอก แต่ว่าพวกเจ้าก็จัดการเรื่องโต๊ะที่พังกับเจ้าของร้านด้วยละ”
“แน่นอน พวกเราจะจ่ายให้ทั้งหมดเลย”
เมื่อไอร์ซคิดว่าเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว และเตรียมจะจากไปก็มีคนมาหยุดเขาไว้ก่อน
“เฮ้ เฮ้ เฮ้!”
หลังจากที่หันกลับไป เขาก็พบกับหญิงสาวที่เพิ่งกรีดร้องอย่างน่าสงสารเมื่อสักครู่ได้เข้าหาเขาอย่างไม่ถือตัว
เธอเป็นหญิงวัย 20 หรืออาจจะอ่อนกว่านั้น ผมที่ดูรกรุงรังของเธอถูกตัดให้สั้นเพื่อให้คล่องตัว แต่ถึงจะอย่างไรก็เถอะผมของเธอมันก็ไม่ดูยุ่งเหยิงอยู่ดี หากจะให้พูดตรงๆก็คือมันเหมือนกับรังนกนั่นเอง
หน้าตาของเธอก็ไม่ได้ดูไม่ดี โดยหญิงสาวมีตาที่คม ซึ่งไม่ได้มีการประทินโฉมเพิ่มเติม และผิวที่กลายเป็นสีเหลืองอ่อนซึ่งเกิดจาการที่โดนแดดมาเป็นเวลานาน แขนที่แข็งแรงมีกล้ามเนื้อ และมือที่ด้านจากการเหวี่ยงดาบไปมา หากจะบอกถึงความประทับใจแรกในหัวคงไม่อาจใช้คำว่า ‘หญิงสาว’ แต่ต้องเป็น ‘นักรบเสียมากกว่า’
สร้อยที่มีเหรียญตราเหล็กถูกประดับบริเวณหน้าอกนั้นแกว่างไปมาอย่างแรงตามจังหวะการก้าวเดิน
“ดูที่นายทำลงไปสิ!”
“ทำไมเรอะ?”
“หือ? นี่นายยังไม่รู้เหรอว่าทำอะไรลงไป?”
หญิงสาวชี้ไปทางด้านโต๊ะที่เพิ่งพังลง
“เพราะนายโยนเจ้านั่นมาตรงนี้ โพชั่นของฉัน โพชั่นที่สำคัญของฉันเลยแตกเลย!”
“ก็แค่โพชั่น…”
“…นี่ชั้นอดข้าวเพื่อเก็บเงินซื้อมันเลยนะ แล้ววันนี้ชั้นก็เพิ่งซื้อโพชั่นนั่นมาด้วย แต่ว่านายกลับทำมันแตก! รู้รึเปล่าว่าโพชั่นนั่นน่ะจะช่วยชั้นให้ปลอดภัยในการผจญภัยที่อันตรายได้เลย แต่นายกลับมาทำลายความหวังอันสูงสุดของชั้น แล้วยังมีหน้ามาทำตัวแบบนี้อีกเหรอ? น่าโมโหชะมัด”
หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาใกล้ตัวไอร์ซเข้ามาอีก
ราวกับกระทิงคลั่ง ที่ส่งสายตากระหายเลือดจับจ้องมาที่ตรงหน้า
ไอร์ซเก็บอาการเหนื่อยหน่ายเอาไว้ เขาคิดผิดจริงๆที่โยนเจ้าบ้านั่นโดยไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะโยนไปลงตรงไหน แต่ไอร์ซก็มีเหตุผลที่จะไม่ยอมหญิงสาวง่ายๆ:
“…ถ้าอย่างนั้นก็ไปเก็บเงินจากทางนั้นสิ? ถ้าไม่ใช่ขาสั้นๆที่ยื่นออกมาของเจ้านั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นจริงไหม?”
ไอร์ซจ้องผ่านร่องหมวกเหล็กไปยังเหล่าเพื่อนของชายตัวต้นเหตุ
“อ่า มันก็จริง…”
“แต่ว่า…”
“เอาแบบนั้นก็ได้ ชั้นไม่สนหรอกว่าใครจะเป็นคนชดใช้ค่าโพชั่น…ราคาของมันก็ 1 เหรียญทอง กับอีก 10 เหรียญเงิน”
พวกคนกลุ่มนั้นต่างก้มหน้านิ่ง ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายให้ได้ และนั่นทำให้หญิงสาวหันมามองที่ไอร์ซอีกครั้ง:
“คิดไว้ไม่มีผิด พวกนั้นมันไม่มีเงินจ่ายหรอก ดูจากที่ดื่มกันก็รู้แล้ว ส่วนนายดูจากเกราะที่สวมนี่ ท่าทางจะพกโพชั่นใช่ไหม?”
ในที่สุดไอร์ซก็เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวถึงได้มาเรียกร้องโพชั่นกับเขา นี่ดูจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าหนักใจเหมือนกัน
หลังจากตรึกตรองสักครู่ ไอร์ซก็ปลุกใจตัวเอง แล้วกล่าวตอบ:
“ข้าก็พอมีบ้าง…แต่ที่เจ้าพูดถึงคือโพชั่นฟื้นฟูถูกไหม?”
“นั่นแหละ ชั้นนะต้องใช้ทุกหยาด---”
“รู้เเล้ว รู้แล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำก็ได้ งั้นข้าจะชดใช้โพชั่นให้เจ้าเองแล้วกัน”
ไอร์ซหยิบเอาโพชั่นเกรดต่ำออกมาแล้วยื่นให้หญิงสาว ซึ่งสีหน้าของเธอขณะที่หยิบโพชั่นอย่างลังเลนั้นดูมีไม่ปกตินัก
“…เรียบร้อยแล้วนะ?”
“เอ่อ ใช่ เรียบร้อยแล้ว”
หญิงสาวมีท่าทีเหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ไอร์ซก็เลือกที่จะไม่สนใจ ยิ่งสิ่งสำคัญตอนนี้คือ เขากำลังวิตกเรื่องที่นาเบรัลเริ่มจะคลั่งแล้ว
แม้ไอร์ซจะเตือนเธอแล้วก็ตาม แต่ทว่าดวงตาของนาเบรัลก็ดูจะเดือดดาลอย่างยิ่ง ตอนนี้คนจำนวนหนึ่งเริ่มรู้สึกไม่สบายใจหลังจากรับรู้ถึงท่าทางกระหายเลือดของเธอ
“ไปเถอะ”
ไอร์ซบอกกับนาเบรัลโดยใช้น้ำเสียงบอกใบ้ให้เธอเก็บยับยั้งตัวเองเอาไว้ พร้อมกับที่เดินไปยังเจ้าของร้าน จากนั้นเขาก็หยิบกระเป๋าหนังเล็กๆออกมา และหยิบเอาเหรียญเงินวางไปบนมืออันหยาบกร้านของเจ้าของร้าน
ตัวเจ้าของร้านหยิบเอาเหรียญเงินเก็บเข้ากระเป๋าอย่างเงียบๆ และหยิบเอาเหรียญทองแดงออกมาจำนวนหนึ่ง
“นี่เงินทอน 6 เหรียญทองแดง”
หลังจากที่เขาหยิบเหรียญทองแดงวางบนมือที่สวมถุงมือเหล็กของไอร์ซแล้ว เขาก็วางกุญแจเล็กไว้บนเคาร์เตอร์:
“ชั้นบน ห้องแรกทางขวา ส่วนพวกข้าวของก็เก็บที่ตู้หลังเตียงได้ แล้วก็ไม่ต้องให้ข้าเตือนนะว่าอย่าไปเข้าห้องคนอื่นโดยพละการ เดี๋ยวจะมีปัญาหาขึ้นมา แต่จะว่าไปก็เป็นวิธีที่ไม่เลวนะถ้าแกอยากให้คนอื่นรู้จักตัว ดูไปแกคงแก้ปัญหาได้หมดอยู่แล้ว แต่อย่าสร้างปัญหาให้ข้าก็แล้วกัน”
เจ้าของร้านกล่าวพร้อมจ้องไปยังชายที่ครวญครางอยู่บนพื้น
“ข้าเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นช่วยเตรียมของที่จำเป็นสำหรับการผจญภัยให้ข้าด้วย พอดีพวกข้าทำของพวกนั้นหาย แล้วทางกิลล์ก็บอกว่าทางนี้สามารถจัดเตรียมของให้ได้”
เจ้าของร้านมองไปยังชุดของไอร์ซ และนาเบรัล ก่อนจะจ้องที่กระเป๋าหนังของไอร์ซ
“เข้าใจแล้ว ไว้ข้าจะเตรียมของให้ก่อนอาหารเย็น แล้วแกก็เตรียมเงินไว้ด้วยละ”
“แน่นอน ถ้าอย่างนั้นนาเบรัล เราไปกันได้แล้ว”
ไอร์ซเดินขึ้นบันไดที่ทรุดโทรมไปกับนาเบรัลเพื่อที่จะตรงเข้าห้องพัก
หลังจากที่ไอร์ซขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว เหล่าเพื่อนของชายที่ถูกไอร์ซโยนก็รีบร่ายมนตร์รักษาในทันที และการกระทำของพวกเขาก็ราวกับว่าเป็นตัวกระตุ้ยให้ภายในห้องเกิดเสียงอึกทึกขึ้นมาอีกครั้ง
“…ดูเหมือนเจ้านั่นจะมีดีอย่างที่เห็นนะ”
“แน่นอน แรงแขนของเจ้านั่นมันบ้าไปแล้ว นี่มันฝึกยังไงถึงได้แบบนั้นเนี่ย?”
“ไม่มีอาวุธอื่นนอกจากดาบเล่มโตสองเล่มที่หลัง ดูท่าเจ้านี่จะมั่นใจมาก”
“ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อีกเนี่ย…ดูเหมือนจะมีคนที่ก้าวข้ามพวกเราอย่างเร็วอีกคนแล้วสิ!”
เสียงพูดคุยเหล่านี้มีทั้งการคร่ำครวญ ตกตะลึง รวมไปถึงความหวาดกลัว
ทุกคนต่างรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไอร์ซนั้นไม่ใช่นักผจญภัยธรรมดาทั่วไป
อย่างแรกเลยก็คืออุปการณ์ที่หรูหราของเขา ชุดเกราะแบบทั้งตัวนั้นไม่ได้มีราคาถูก ผู้ที่หมั่นผจญภัย และต้องมีประสบการณ์ระดับหนึ่งจึงจะสามารถมีไว้ใช้ได้ อย่างน้อยต้องเป็นคนที่ถึงระดับเงินเท่านั้นจึงจะมีกำลังทรัพย์ที่ได้จากภารกิจพอที่จะหามันมาครอบครองได้ แต่ก็มีบางคนที่ได้มีโอกาสครอบครองจากในสนามรบ หรือ จากในดันเจียน
นี่คือสาเหตุที่พวกเขาอยากรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของไอร์ซ
ทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นเพื่อน และคู่แข่งในเวลาเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงอยากจะรู้ถึงขีดความสามารถของเด็กใหม่ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ได้เกิดซ้ำไปมาทุกครั้งไป
และทั้งหมดที่อยู่ที่แห่งนี้ต่างก็เคยผ่านการรับน้องเช่นนี้มากันหมดแล้ว แต่ไม่มีใครเลยที่ผ่านมันมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหมายความว่าสองคู่หูระดับทองแดงนั้น…
ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงาน หรือ คู่แข่ง แต่ที่แน่ๆคือทั้งสองแข็งแกร่ง นี่เป็นความจริงที่ทั้งหมดได้รับทราบ
“แล้วเราจะเอายังไงกับสองคนนั่นดี?” “เราอย่าหวังเลยว่าจะจีบคนสวยนั่นอีก” “แต่ถ้าพวกนั้นมีกันแค่สองคน เราน่าจะให้ทั้งสองมาร่วมทีมกับเราได้นะ” “นี่นายเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า เราต่างหากที่จะเป็นคนชวนสองคนนั้นเข้ากลุ่มของเรา” “ชั้นสงสัยจังเลยว่าหน้าข้างใต้หมวกเหล็กนั่นเป็นยังไงกัน” “คืนนี้แหละข้าจะแอบฟังสองคนนั้นที่ห้องข้างๆ” “เขามีพูดถึงชื่อของ กาเซฟ สโตโลนอฟ ใช่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศตอนนี้ใช่ไหม? หรือว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้าอัศวินคนนั้น?” “เป็นไปได้ หน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ปล่อยให้ป็นหน้าที่ของสุดยอดการแอบฟังของข้าได้เลย”
ระหว่างที่เสียงสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องของคู่หูปริศนาอย่างกระตือรือร้น เจ้าของร้านก็เดินมายังนักผจญภัยคนหนึ่ง
นั่นก็คือหญิงสาวที่ได้รับโพชั่นจากไอร์ซ
หญิงสาวซึ่งมีนามว่าเวอริต้าได้เลื่อนสายตาที่จ้องมองขวดโพชั่นสีแดงจนตาแทบถลนไปยังเจ้าของร้านด้วยสีหน้าที่ไร้เรียบเฉย
“นี่มันโพชั่นอะไรกันละ?”
“แล้วชั้นจะรู้เรอะ?”
“…เฮ้ย นี่เธอไม่รู้เรอะ? ไม่ใช่เพราะรู้ราคาของโพชั่นนี่ เลยรีบรับมันไว้อย่างนั้นหรอกเรอะ?”
“บ้าเหรอ นี่ชั้นยังไม่เคยเห็นโพชั่นแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แล้วที่ลุงมานี่ก็เพราะลุงไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน เลยจะมาดูละสิ?”
และก็เป็นอย่างที่เวอริต้าคิดไว้
“แล้วโพชั่นนี่พอจะแทนอันที่แตกไปได้ไหมละ? ไอ้เจ้าโพชั่นที่แตกไปนั่นเป็นของจริงถูกไหม? อย่างนี้ก็มีสิทธิ์ที่เจ้าขวดนี้จะถูกกว่าของเธอก็ได้”
“ก็นะ…เหมือนกับเล่นพนันแหละ แต่ชั้นมั่นใจเลยว่ารอบนี้ชั้นแทงถูกแน่นอน เพราะมันมาจากนายชุดเกราะปิ๊งวับนั่นหลังจากรู้ราคาของโพชั่นนี้แล้วน่ะสิ”
“เข้าใจละ…”
“…ชั้นน่ะไม่เคยเห็นโพชั่นฟื้นฟูสีแบบนี้มาก่อนเลย ก็เลยคิดว่าน่ะจะเป็นแรร์ไอเทม ถ้าชั้นยังลังเลแล้วขอเปลี่ยนเป็นเงินแทนมันก็เหมือนกับออกจากถ้ำเสือมือเปล่าน่ะสิ ไว้พรุ่งนี้ชั้นจะเอามันไปประเมินราคาดูว่าจะมันจะมีค่าสักแค่ไหนกัน”
“โอ้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะจ่ายค่าประเมินให้เอง แล้วก็จะแนะนำที่ประเมินดีๆให้ด้วย”
“ลุง?”
เมื่อได้ฟังเวอริต้าก็ทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมา อันที่จริงเจ้าของร้านก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะมาช่วยเหลืออะไรแบบนี้แน่นอน แสดงว่าเขาต้องการอะไรสักอย่างแน่นอน
“เฮ้ย ไม่ต้องมองแบบนั้นเลย ข้าก็แค่อยากให้เจ้ามาบอกสรรพคุณของโพชั่นนั่นก็พอ”
“แค่นี้เหรอ?”
“เป็นข้อเสนอที่ดีใช่ไหมละ? แล้วก็ด้วยเส้นสายของข้า ไว้จะแนะนำเจ้ากับนักปรุงยาที่ดีที่สุดให้เลย คงรู้จัก ลิซซี่ บารีล นะ”
เวอริต้าต้องตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
รี-เอซไทซ์นั้นมีทหารรับจ้าง และนักผจญภัยหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้เหล่าผู้ค้าที่มีความสามารถด้านอาวุธ และเครื่องสวมใส่ต่างสามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ โดยที่ธุรกิจค้าโพชั่นฟื้นฟูจัดว่าเป็นตัวที่มีเงินสะพัดสูงที่สุด ทำให้ที่รี-เอซไทซ์มีนักปรุงยามากกว่าเมืองอื่นๆ
แต่ทว่าในหมู่นักปรุงยาทั้งหมดทั้งปวง ชื่อของ ลิซซี่ บารีล นับว่าเป็นอันดับหนึ่ง และในหมู่นักปรุงยาในเมืองนี้ เธอคือผู้ที่สามารถปรุงโพชั่นที่ยากจะปรุงออกมาเป็นจำนวนมาก ในเมื่อเจ้าของร้านพูดถึงชื่อ ลิซซี่ บารีล แบบนี้ เวอริต้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธอีกต่อไป
Part 2
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นพร้อมกับประตูไม้ที่ถูกปิดลง
ภายในห้องนั้นประกอบด้วยโต๊ะเล็กๆหนึ่งตัว และเตียงไม้สองเตียงที่มีตู้คั่นกลาง นอกจากที่เห็นนี้ก็ไม่มีเครื่องใช้ใดๆในห้องอีก นอกจากแสงอาทิตย์ และสายลมที่เล็ดรอดผ่านเข้ามาทางม่านบังแดด
ไอร์ซมองไปรอบๆห้องพร้อมความรู้สึกผิดหวังในใจ ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรว่าโรงเตี๊ยมแถบชานเมืองจะสะอาด และสะดวกสบายเหมือนในนาซาริก แต่เขาก็ยังอดรู้สึกรับไม่ได้อยู่ดี
“พวกมันกล้าเอาห้องแบบนี้ให้โมมอนซามะได้ยังไง”
“อย่าพูดแบบนั้นนาเบล เป้าหมายของพวกเราที่เมืองนี้คือเป็นนักผจญภัยที่มีชื่อเสียง ก่อนที่จะถึงจุดนั้น นับเป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะได้ลองใช้ชีวิตที่สมกับสถานะของเราตอนนี้”
ระหว่างกำลังปิดม่านบังแดดนั้น ไอร์ซก็ได้ตักเตือนนาเบรัลโดยไม่มีการพูดถึงความรู้สึกไม่พอใจของเขาเลย แสงที่ลอดผ่านช่องว่างของม่านบังแดดนั้นมีน้อยเกินกว่าจะให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับทั้งห้อง แต่ว่าทั้งไอร์ซ และนาเบรัลต่างไม่ได้มีปัญหาอะไรเนื่องจากทั้งคู่ต่างก็มีเนตรราตรีเหมือนกัน แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้วห้องนี้ออกจะมืดเกินไปที่จะมองเห็นได้
“เป็นนักผจญภัย…รู้สึกงานนี้จะไม่ได้เลิศเลอเหมือนที่ข้าจินตนาการไว้เลย”
นักผจญภัย
ไอร์ซนั้นมีความใฝ่ฝันถึงพวกเขาเหล่านี้อยู่บ้าง
เหล่าผู้ที่ค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ และออกเดินทางไปรอบโลก ไอร์ซนั้นมีความคาดหวังในอาชีพนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ตอนที่เล่นเกมอิกดราซิล แต่หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากหญิงสาวที่ให้ข้อมูลจากกิลล์แล้ว เขาก็ได้รับรู้ว่านักผจญภัยนั้นเป็นอาชีพที่น่าเบื่อ และจำเจอย่างยิ่ง
กล่าวโดยสรุปคือ นักผจญภัยก็คือ ‘ทหารรับจ้างที่รับมือกับเหล่ามอนสเตอร์’
มีบางส่วนที่ตรงกับสิ่งที่ไอร์ซวาดภาพเอาไว้ พวกเขามีการออกสำรวจซากของเมืองที่ถูกทำลายโดยเหล่าเทพมาร และยังมีการหาสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ในราชณาจักร แต่โดยทั่วไปแล้วงานของพวกเขาคือการจัดการกับมอนสเตอร์นั่นเอง
สำหรับมอนสเตอร์นั้นทั้หมดต่างมีความสามารถซึ่งเป็นเอกลักษณ์ นั่นทำให้มีความจำเป็นที่ผู้คนซึ่งมีทักษะที่หลายหลายต้องร่วมมือกันรับมือพวกมัน
เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว พวกเขาก็อาจเรียกได้ว่าเป็นฮีโร่ที่เป็นที่ต้องการของผู้คนที่มีให้เห็นบ่อยๆในเกม
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
ฝ่ายองกรณ์บริหารนั้นไม่ชอบกองกำลังที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของพวกเขา ต่อให้ไม่คำนึงถึงเรื่องฐานะทางการเงิน ฐานะทางสังคมของเหล่านักผจญภัยก็นับว่าต้อยต่ำอยู่ดี
สำหรับเหตุผลดึงตัวเหล่านักผจญภัยมาดูแลเองทั้งหมดนั้นก็คือ แทนที่จะต้องจ่ายเงินค่าจ้างจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ การเรียกใช้แรงงานจากกิลล์นักผจญภัยท้องถิ่นเป็นครั้งคราวดูจะเหมาะสมกว่ามากในแง่ธุรกิจ ในส่วนขององกรณ์ที่สามารถดูแลจัดการกิลล์นักผจญภัย หรือประเทศที่มีกำลังทหารเพียงพอในการกวาดล้างเหล่ามอนสเตอร์ สถานะของนักผจญภัยก็จะยิ่งต่ำลงไปอีกมาก
จากข้อมูลที่ได้รับมานั้น ทางศาสนจักรสิเลียนไม่มีนักผจญภัยอยู่เลย ส่วนทางจักรวรรดิบาฮารูธนั้นสถานะของนักผจญภัยยิ่งเลวร้ายลงไปมากเมื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์
ไอร์ซต้องขจัดความรู้สึกผิดหวังออกไปจากจิตใจ การที่ได้งานซึ่งใฝ่ฝันแล้วพบกับความจริงที่ว่ามันช่างแตกต่างจากสิ่งที่วาดฝันไว้เป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไป
หลังจากไอร์ซโบกมือเบาๆ ชุดเกราะสีดำสนิท และดาบเล่มยักษ์ทั้งสองเล่มที่กลางหลังก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เผยให้เห็นร่างโครงกระดูกที่ซ่อนอยู่ใต้เครื่องสวมใส่เวทย์
แว่นตากันแดดสีเทาที่เขาสวมมีลวดลายสีแดงที่ส่วนบน ที่หัวถูกสวมไว้ด้วยมงกุฎหนามที่ตกแต่งด้วยไพลิน
ตอนนี้เขาสวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวที่ทำจากผ้าไหมสีดำ และสวมกางเกงขาโป่ง ที่คาดที่เอวกับกางเกงคือเข็มขัดสีดำธรรมดาทั่วไป
หลังจากถอดถุงมือเหล็กออกแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นคือนิ้วที่มีแต่กระดูกซึ่งสวมแหวนไว้เกือบทุกนิ้ว เว้นแต่เพียงนิ้วนางของทั้งสองข้า
รองเท้าหนังสีน้ำตาลหยาบๆบัดนี้ถูกประประดาด้วยลวดลายสีทอง
ที่สวมอยู่ที่คอคือสร้อยที่ตรงกลางเป็นแผ่นเงินทรงกลมซึ่งมีภาพของสิงโตประดับอยู่ ที่ไหล่ทั้งสองข้างคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมสีแดง
เครื่องสวมใส่ของอิกดราซิลนั้นโดยปกติแล้วจะถูกติดตั้งโดยระบบไดรฟ์คริสตัลส่วนนอก ซึ่งทำให้ยากต่อการแต่งเครื่องสวมใส่ให้ดูดี และก็เนื่องจากที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะต้องมาสวมอุปกรณ์แบบจับฉ่าย ในการอัพเดทเวอร์ชั่นครั้งหนึ่งจึงได้มีการแก้ปัญหาเหล่านี้
โดยได้มีตัวเลือกในการตกแต่งหน้าตาของเครื่องสวมใส่โดยที่ไม่ส่งผลต่อค่าสถานะ
ส่วนของชุดเกราสีดำที่ไอร์ซสวมทับทั้งตัวนั้นมีความต้องการในการสวมใส่ และทักษะที่จำเป็นอย่างหนึ่งก็คือ [High-Level Item Creation]
ในตอนนี้ไอร์ซที่ไอร์ซสวมอยู่ประกอบด้ว[แว่นเล็งไม่พลาดเป้า], [มุงกุฎป้องกันจิต], [ชุดแม่ม่ายดำ], [เข็มขัดทมิฬ], [ถุงมือโละหะ], [ราชสีห์เนเมีย] และ [บูทแห่งความเร็ว]
การซื้อขายไอเทมในอิกดราซิลนั้นมักจะทำผ่านทางคอมพิวเตอร์โดยระบบส่งผ่านคริสตัล แต่เพื่อให้เครื่องสวมใส่ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้น ก็มักมีผู้เล่นที่ซื้อไอเทมมือสองมาใช้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นจากการที่ไอเทมนั้นถูกสร้างโดยผู้เล่นคนอื่น นั่นก็รวมถึงปัญหาชื่อไอเทมที่มีคำซึ่งถูกห้ามใช้ในเซิร์ฟเวอร์ หรือ ชื่อที่คุกคามบุคคลอื่น ตัวม๊อดนั้นทำให้สามาเปลี่ยนชื่อของไอเทมได้ แต่โดยทั่วไปแล้วไอเทมมักจะถูกตั้งชื่อตามที่ผู้สร้างต้องการ
ในส่วนของชื่อที่พิสดารนั้นมักไม่เป็นที่นิยมในตอนที่ต้องการจะขาย สำหรับค่าธรรมเนียมในการตั้งชื่อใหม่ก็ไม่ได้แพงอะไร แต่ก็มีส่วนน้อยที่อยากจะซื้อไอเทมมาแล้วต้องมาแก้ชื่อทีหลังอีก
ด้วยเหตุผลที่ว่ามาทำให้ผู้เล่นต่างทุ่มเทจิตวิญญาณลงไปในการตั้งชื่อเครื่องสวมใส่ที่ทำขึ้น โดยชื่อที่ใช้มักจะเอามาจากตำนานต่างๆ หรือไม่ก็ใช้เป็นภาษาอังกฤษกัน
และแน่นอนว่าราคาของเครื่องสวมใส่เหล่านี้ย่อมมีราคาสูงด้วยเช่นกัน
สำหรับการตั้งชื่อแหวนนั้นออกจะยุ่งยากเกินไป ดังนั้นแล้วการเรียก [แหวน1], [แหวน2], [แหวน3] ก็ไม่ใช่อะไรที่ดูแย่นัก นอกจากนี้ไอร์ซยังเคยเห็นคนที่ตั้งชื่อเป็น [แหวนนิ้วโป้ง], [แหวนนิ้วชี้] และ[แหวนนิ้วกลาง] มาแล้ว
เพื่อนของไอร์ซที่ชื่อ ทาเคะมิคาซูจิ มีทาชิสองเล่มไว้ใช้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม เขานั้นได้ตั้งชื่อทาชิรุ่นที่ 8 ของเขาอันหนึ่งไว้ว่า ‘ทาเคะมิซูจิ MK 8’
(ทาชิดาบชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นเหมาะสำหรับต่อสู้ในสนามรบที่ฝ่ายศัตรูสวมเกราะ)
ซึ่งมันก็เหมือนกับการตั้งชื่อผ้าคลุมสีแดงที่เขาสวมอยู่
เนื่องจากเขาได้ลอกเอาชื่อจากการ์ตูนดาร์กฮีโร่ของอเมริกามาใช้ ผ้าคลุมจึงถูกตั้งชื่อว่า [สปอร์นเคพ]
ทั้งหมดนี้ต่างเป็นไอเทมสวมใส่ระดับรีลิกทั้งสิ้น แต่เมื่อเทียบกับชุดหลักของไอร์ซแล้วพวกนี้ก็ยังมีระดับที่ต่ำกว่าอยู่ 2 ขั้น แต่ถ้าเขาเอาเครื่องสวมใส่ที่อลังการกว่านี้มาใช้ก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงเลือกที่จะใช้เครื่องสวมใส่ระดับนี้เท่านั้น
ในตอนที่ไอร์ซยืดไหล่เพื่อสัมผัสกับความสบายที่ได้ถอดชุดเกราะออก นาเบรัลก็ใช้โอกาสนี้ถามไอร์ซขึ้นมา:
“จะว่าไปแล้ว เราจะจัดการกับนังบ้านนอกนั่นยังไงดีคะ?”
“อาห์ หมายถึงผู้หญิงที่โพชั่นแตกเรอะ? ไม่ต้องทำอะไรหรอก ถ้าสิ่งสำคัญของข้าโดนคนอื่นทำเสียหาย ข้าก็อาจเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้เหมือนกัน…”
แต่เนื่องจากสภาพจิตใจของเขาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้ร่างนี้ ทำให้เขาหยุดพูดลงชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ:
“…ก็อาจเป็นอย่างที่ว่า แต่การมาต่อว่าข้าที่ประมาทก็เป็นเรื่องธรรดาอยู่แล้ว”
“แต่ว่าคนที่ต้องถูกตำหนิต้องเป็นเจ้ามนุษย์หน้าโง่ที่สร้างปัญหากับท่านผู้นำสูงสุดนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะมันก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอกค่ะ”
“ก็อาจเป็นได้ แต่ในเมื่อคนที่โยนเขาคือข้า ครั้งนี้ข้าก็จะเมตตาให้อภัยกับแม่สาวคนนั้น อีกอย่างที่พวกเราต้องทำให้สำเร็จในเมืองนี้ก็คือเป็นประชากรส่วนหนึ่งของโลกนี้ พร้อมกับสร้างชื่อเสียงให้กับโมมอน และนาเบล หากว่าคนอื่นรู้เรื่องที่พวกเราไม่จ่ายค่าเสียหายสำหรับโพชั่นนั่นอาจทำให้ชื่อของพวกเราด่างพร้อยก็ได้”
แม้นาเบลจะยังรู้สึกไม่ค่อยดี แต่เธอก็ยอมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“อีกอย่างพวกนั้นก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องอย่างพวกเราก็ควรไว้หน้าเธอบ้าง”
ไอร์ซกล่าวพร้อมกับจับโซ่ที่คอเล่น โดยพยายามไม่สัมผัสโดน [ราชสีห์นาเมีย]
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อาจจะเลียนแบบเหรียญตรานี้ขึ้นมา แต่นั้นอาจสร้างปัญหากับกิลล์นักผจญภัยก็เป็นได้
สิ่งที่ถูกห้อยอยู่กับโซ่ที่คอนั้นคือเหรียญตราทองแดง ซึ่งใช้เป็นแผ่นระบุตัวตนของเขา เจ้าแผ่นนี้ยังถูกใช้เพื่อบอกถึงความสามารถของนักผจญภัยอีกด้วย
ทองแดง, เหล็ก, เงิน, ทองคำขาว, มิธริล, โอริฮารูก้อน และอาดามันเทียม
แผ่นโลหะนี้ถูกใช้เพื่อบอกถึงระดับของนักผจญภัย โดยทองแดงคือระดับต่ำสุด และอาดามันเทียมคือระดับสูงสุด ระดับของนักผจญภัยที่สูงขึ้นย่อมทำให้พวกเขาสามารถเลือกงานที่ยากซึ่งจะมีค่าตอบแทนที่มากตามไปด้วย ระบบนี้ถูกจักตั้งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้นักผจญภัยเอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง
และในเมื่อเขาเพิ่งจะลงทะเบียนเป็นนักผจญภัย ไอร์ซจึงอยู่แค่ระดับเหรียญตราทองแดงซึ่งนับเป็นมือใหม่ ขณะที่หญิงสาวคู่กรณีครอบครองเหรียญตราเหล็ก การแสดงความเคารพต่อรุ่นพี่นั้นนับเป็นลูกเล่นอย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อที่จะได้อยู่ในสังคมได้อย่างสงบ
“แต่ไอร์ซ-ซามะ คะ ดิฉันไม่คิดว่าโลหะด้อยค่าอย่างอาดามันเทียมจะเหมาะกับท่านเลย บางทีมรกตวิญญาณ, ทับทิมทองคำ หรืออย่างโลหะสายรุ้ง พวกนี้น่าจะเหมาะกับท่านมากกว่า ของสำหรับสามัญชนพวกนี้ไม่เหมาะกับท่านอย่างยิ่งเลยนะคะ”
นาเบรัลเผลอพูดถึงโลหะชั้นสูงในอิกดราซิลออกมา นั่นทำให้ไอร์ซมองมาที่เธอด้วยสายตาอันคมกริบ พร้อมกับเอ่ยเตือน:
“นาเบรัล เพื่อความปลอดภัยในเมืองนี้ให้เรียกข้าว่าโมมอน”
“รับทราบค่ะ! โมมอนซามะ!”
“นี่เจ้ายังต้องให้ข้าเตือนซ้ำอีกงั้นเรอะ? เรียกข้าว่าโมมอน”
“ขะ ขออภัยอย่างสูงค่ะ! โมมอนซะ-ซัง”
“โมมอน-ซะซัง ฟังดูตลกนะว่าไหม? ช่างเถอะ ถ้าจะเรียกโมมอนมันยากมานักอย่างน้อยก็เรียกข้าว่า โมมอน-ซัง เข้าใจไหม?”
“รับทราบค่ะ โมมอน-ซัง”
นาเบรัลโค้งรับสุดตัวอีกครั้ง ขณะที่ไอร์ซต้องเอามือกุมหน้าตัวเอง
ถึงตอนนี้เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากให้เธอเรียกเขาว่า โมมอน-ซัง ช่างเป็นผู้ติดตามที่ไร้ประโยชน์เสียเหลือเกิน…เอาเถอะ เขาก็ไม่มีตัวเลือกอีกแล้ว ปล่อยๆมันไปก็แล้วกัน
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอธิบายถึงแผนการขั้นต่อไปเลยแล้วกัน”
“ค่ะ!”
นาเบรัลคุกเข่าข้างนึงลง พร้อมก้มหน้า แสดงท่าทางของข้ารับใช้ที่รอคำสั่งจากนายเหนือ
ตอนนี้ไอร์ซกำลังสับสนว่าควรทำอย่างไรดี อันที่จริงมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ในเมื่อพวกเขาก็ปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนอื่นๆก็คงต้องเอาไปนินทากันแน่หากได้เห็นภาพตรงหน้า
ทำไม…ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจเลยว่าเขาถึงต้องยืนกรานให้เธอเรียกเขาว่าโมมอน? เขาก็อธิบายไปแล้วก่อนจะมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วย...
ไอร์ซนั้นค่อยๆอธิบายให้เธอฟังอย่างช้าๆว่า:
“เรากำลังจะแสดงตัวเป็นนักผจญภัยในเมืองนี้ เหตุผลอย่างหนึ่งก็เพื่อรวบรวมข้อมูลของนักผจญภัยในโลกนี้ ที่ดูน่าจะเป็นคนที่มีฝีมือ และน่าจะเป็นผู้เล่นจากอิกดราซิลเช่นเดียวกับข้า หากว่าเราได้เหรียญตราระดับสูงมาแล้ว เราก็จะรับงานจากทางการได้ แล้วข้อมูลที่ได้ก็จะน่าเชื่อถือ และมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นก้าวแรกของพวกเราคือเป็นนักผจญภัยที่ประสบความสำเร็จให้ได้”
หลังจากเห็นท่าทางของนาเบรัลที่ดูจะเข้าใจแล้ว ไอร์ซก็สู่เริ่มชี้แจงถึงภารกิจต่อไป
“แต่ตอนนี้เรามีปัญหาอยูเรื่อง”
ไอร์ซได้หยิบกระเป๋าหนังที่ใส่เงินออกมาเปิดออก และเทสิ่งที่อยู่ภายในออกมาในมือ เหรียญจำนวนหนึ่งตกลงบนฝ่ามือของเขา และแน่นอนว่ามันไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากมาย
“เรากำลังถังแตก”
ในช่วงเวลาโต้เถียงก่อนหน้านี้ ไอร์ซมีหลายเหตุผลที่ทำการชดใช้หญิงสาวด้วยการให้โพชั่นแทน และเหตุผลหนึ่งก็คือการที่เขาไม่มั่นใจว่าจะมีเงินพอสำหรับแก้ปัญหานี้ได้ และมันคงดูไม่ดีนักหากเขาบอกว่าไม่มีเงินจะจ่าย
ตอนนี้ไอร์ซต้องทำการอธิบายให้นาเบรัลที่กำลังงงงวยเข้าใจก่อน:
“ที่จริงคือ เรามีก็มีเงินอยู่หรอก แต่เหรียญที่ข้ามีเป็นเหรียญทองจากอิกดราซิล และหากต้องจำเป็นจะใช้เหรียญทองพวกนี้ ข้าเห็นว่านั่นคือมาตรการท้ายสุด”
“ทำไมหรือคะ? ก็ในเมื่อเรายืนยันได้แล้วว่าเหรียญจากอิกดราซิลมีมูลค่าอย่างมากในที่แห่งนี้?”
“ก็ใช่ ที่หมู่บ้านคาร์นีพวกเราก็รู้แล้วเหรียญทองอิกดราซิลเหรียญหนึ่ง…เอ่อ ทองที่ใช้กันอยู่เรียกกันว่าทองปกติ และเหรียญอิกดราซิลหนึ่งเหรียญก็มีค่าเทียบเท่าเหรียญทองปกติสองเหรียญเลย แต่หากเราใช้เหรียญทองของอิกดราซิลที่นี่ละก็ เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีเราอาจทำให้บางคนในเมืองตื่นตัวขึ้น และอาจมีผู้เล่นของอิกดราซิลเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ ซึ่งก็เหมือนว่าเราประกาศตัวตนของพวกเราให้รู้กันทั่ว และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งจนกว่าเราจะรู้จักกับโลกใบนี้เพียงพอ”
“ผู้เล่น…หมายถึงพวกวายร้ายที่มีระดับเทียบเท่าไอร์ซ-ซามะ แล้วก็เป็นพวกที่เคยโจมตีนาซาริกในอดีตหรือคะ”
ไอร์ซถึงกับหน้าบึ้งเมื่อได้ยินที่นาเบรัลลเรียกเขา แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรโดยมาจากเหตุผลเช่นเดียวกับก่อนหน้า
“ถูกแล้ว พวกนี้เป็นกลุ่มที่เราไม่อาจประมาทได้”
เขา ไอร์ซ โออ์ล โกว์น ผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดที่เลเวล 100 ในอิกดราซิล ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผู้เล่นจะไปถึงระดับนี้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ที่เลเวล 100 ด้วยกันทั้งสิ้น
และในหมู่ผู้เล่นทั้งหลาย ไอร์ซคิดว่าเขานั้นจัดอยู่ในกลุ่มระดับกลางของพวกขั้นสูง เนื่องจากในเกมไอร์ซมุ่งมั่นในการเก็บอาชีพที่เหมาะกับอันเดด และผู้ขับขานมนตรา ทำให้เขาละเลยการพัฒนาทักษะด้านการต่อสู้ ด้วยการพึ่งพาเครื่องสวมใส่ระดับดิไวน์ และไอเทมที่ซื้อด้วยเงินจริง ทำให้เขาอยู่ระดับกลางค่อนสูง แต่เขาก็ยังไม่ลืมว่ายังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่อีกมาก
เขาจึงต้องหลบเลี่ยงไม่ได้ผู้เล่นคนอื่นจับได้ ซึ่งมีศัตรูอยู่มากที่ไอร์ซไม่สามารถเอาชนะได้ในการต่อสู้
ผู้เล่นนั้นเดิมทีก็คือคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นแล้วส่วนใหญ่ย่อมที่จะช่วยเหลือผู้คนในโลกแห่งนี้ และหากเหล่าผู้เล่นเหล่านี้ต้องมาเผชิญหน้ากับอัลเบโด และเหล่าผู้ติดตามอื่นๆซึ่งมีความคิดว่ามนุษย์คือเศษขยะโสโครก นั่นย่อมหมายถึงว่ามหาสุสานแห่งนาซาริก และทุกคนใน ไอร์ซ โออ์ล โกว์น จะกลายเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติ นี่คือเหตุผลที่เขาคิดว่าการพาอัลเบโดมาด้วยนั้นอันตรายอย่างยิ่ง
แต่เขาก็ไม่คิดว่านาเบรัลจะมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน
แม้ไอร์ซจะไม่ได้รู้สึกเป็นศัตรูกับมนุษย์ แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าพวกเขาเลยหากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขา แต่เขาต้องหลีกเลี่ยงที่จะแตกหักกับผู้เล่นคนอื่นด้วยเช่นกัน
“ว่าไปแล้วก็น่าเสียดายเหมือนกัน”
“เสียดายอะไรหรือคะ?”
“ก็เรื่องที่เจ้าไนเจนมันตายเร็วเกินไปน่ะสิ เจ้านั่นน่าจะเป็นคลังข้อมูลที่มีค่าอย่างมาก แต่ข้าดันไปจัดการมันหลังถามคำถามทั่วไปเสียก่อน”
สมาชิกของหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายกลุ่มเล็กๆถูกจับกุมที่หมู่บ้านคาร์นี จำนวนหนึ่งตายไประหว่างขั้นตอนการรีดข้อมูล และถูกใช้เป็นวัตถุดิบของไอร์ซในการใช้ทักษะพิเศษสำหรับการอัญเชิญอันเดด
เมื่อนึกถึงข้อมูลที่ได้จากการสอบสวน ไอร์ซก็อดจะจิกกัดตัวเองเสียไม่ได้:
“ผู้เล่นปกติ…ก็คงต้องช่วยเหลือมางศาสนจักรสิเลียนอยู่แล้ว”
ศาสนจักรสิเลียนนั้นเป็นประเทศทางศาสนา ซึ่งนับถือมหาเทพทั้งหก ที่ปรากฎตัวเมื่อหกร้อยปีที่แล้ว
จากที่หน่วยคัมภีร์สุริยันฉายบอกมา ศาสนจักรสิเลียนนั้นมีตัวตนเพื่อช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อ่อนแอให้สามารถเอาชัยเหนือเผ่าพันธุ์อื่นที่แข็งแกร่งกว่าได้ ซึ่งหมายถึงการที่มนุษยชาติจะต้องเข้มแข็ง และเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้ หากมีผู้เล่นซึ่งยึดติกับความเป็นมนุษย์ละก็ นั่นหมายความว่าพวกเขาย่อมเห็นด้วยกับคำสอนของทางศาสนจักรสิเลียน ประเทศที่มุ่งมั่นในเรื่องเช่นนี้
ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับโลกจริงที่มนุษย์นั้นคือเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนจุดสูงสุด ทว่าที่แห่งนี้พวกเขาถูกจัดเป็นเผ่าพันธ์หนึ่งในเหล่าเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแออย่างยิ่ง
มนุษย์สร้างเมืองขนาดมหึมาบนที่ราบ ทว่าการอาศัยอยู่ในที่ซึ่งเห็นเด่นชัดเช่นนี้ยิ่งทำให้มนุษย์นั้นถูกจัดการได้ง่าย
พื้นที่เปิดโล่งนั้นนับว่าเป็นที่อันตรายอย่างยิ่ง ศัตรูย่อมสามารถสังเกตเห็นพวกเขาได้ง่ายเนื่องจากไม่มีที่ให้หลบซ่อน ซึ่งเหตุผลที่พวกเขาต้องตั้งรกรากในที่เช่นนี้ก็มาจากการที่ไม่สามารถมองเห็นในความืด การขาดกำลังขา และความอดทน และเมื่อมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเลือกที่จะสร้างสังคม/อารยะธรรม ที่พวกเขาต้องการได้นั่นเอง
หลายเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง หรือที่มีอารยะธรรมที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์ ทว่าเผ่าพันธุ์เหล่านี้ก็ไม่อาจที่จะครอบครองดินแดนทั้งหมดได้ เนื่องจากว่าต้องต่อสู้กับ 8 ราชันย์ ซึ่งต้องการจะปกครองโลก นั่นทำให้มนุษย์ยังคงอยู่รอดจากสงครามมาได้ หากไม่เป็นเช่นั้นละก็ มนุษยชาติก็คงจะสูญสิ้นไปแล้ว
เป็นเรื่องปกติดที่ว่าคนทั่วไปย่อมต้องอยากที่จะช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกแห่งนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ไอร์ซไม่ อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับทางศาสนจักรสิเลียน เนื่องจากความกังวลเรื่องผู้เล่นคนอื่น
“สำหรับปัญหาเรื่องเงิน ข้าคิดว่าจะขายดาบของพวกสิเลียนที่อ้างว่าเป็นอัศวิน…แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องหางานให้ได้ก่อน”
“รับทราบค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็จะกลับไปที่กิลล์พรุ่งนี้สินะคะ”
“ถูกต้องแล้ว แล้วข้าก็อยากจะเดินชมรอบเมือง พร้อมเรียนรู้เรื่องต่างๆไปด้วย แต่นั่นไว้หลังจากที่เราหาเงินได้ก่อน”
“รับทราบค่ะ ในฐานะของหนึ่งในแบทเทิลเมด ดิฉันพร้อมช่วยสนับสนุนอย่างสุดความสามารถค่ะ”
“ดีมาก ข้าคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว นาเบรัล”
ไอร์ซรู้สึกพอใจอย่างยิ่งกับนาเบรัลที่โค้งสุดตัวให้กับตัว จากนั้นเขาก็ร่ายเวทย์เพื่อสร้างภาพลวงตา และเรียกชุดเกราะมาสวมอีกครั้ง
“ข้าจะไปสำรวจรอบสักหน่อย ส่วนเจ้าก็เตรียมพร้อมอยู่ที่นี่ละ”
“โปรดอนุญาตให้ดิฉันติดตามไปด้วยเถอะค่ะ”
“ไม่จำเป็น ข้าแค่เดินดูใกล้ๆนี่เท่านั้น แล้วถ้าเป็นไปได้ ข้าว่าจะแวะไปยังสุสานที่มีข่าวลือสักหน่อย…แล้วที่ข้าให้เจ้าอยู่ที่นี่ก็จะได้ป้องกันไม่ให้มีใครบุกรุกเข้ามาในนี้ได้ จงตื่นตัว และอย่าประมาทละ เราไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ยิ่งเราตอนนี้อยู่ในถิ่นของศัตรูยิ่งต้องระวังตัวให้มากเข้าไว้”
“รับทราบค่ะ”
“ในส่วนของรายงานข้าฝากเจ้าด้วยแล้วกัน”
หลังจากไอร์ซจากไป นาเบรัลก็ถอนหายใจอย่างหนักออกมา
จากนั้นเธอก็ทำการนวดที่หางตา ซึ่งจากเดิมที่เคยตั้งคมสันได้ลู่ตกลงแสดงอาการอ่อนล้า ตอนนี้เธอดูเหนื่อยอ่อนอย่างยิ่ง หากสังเกตุผมทรงหางม้าก็จะเห็นว่ามันดูซีดเซียว และแห้งเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเธอก็ยังจำคำสั่งจากนายเหนือที่เทิดทูนได้อยู่
นาเบรัลตั้งสมาธิอย่างเต็มที่ โดยพยายามที่จะสำรวจสถานการณ์ภายนอก ทว่าในฐานะผู้ขับขานมนตราแล้วเธอค่อนข้างจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกหัวขโมยนัก และเพื่อชดเชยจุดด้อยนี้ เธอจึงได้ใช้ทักษะที่เธอช่ำชองออกมา
“[หูกระต่าย]”
หลังจากร่ายมนตร์แล้ว หูกระต่ายแสนน่ารักคู่หนึ่งก็ผุดขึ้นมาที่หัวของนาเบรัล หูทั้งสองนั้นสั่นไปมาราวกับกำลังฟังเสียงรอบๆตัวเธอยู่
นี่คือหนึ่งในสามคาถากระต่าย ซึ่งถูกตั้งฉายานามโดยเหล่าผู้เล่นอิกดราซิลว่า ‘เวทย์กระต่าย’ สำหรับคาถาอีกบทก็คือ [ตีนกระต่าย] ซึ่งจะช่วยเพิ่มค่า โชค และสุดท้ายคือ [หางกระต่าย] ซึ่งจะช่วยลดความเป็นศัตรูต่อผู้ร่ายลง เมื่อมีการร่ายคาถาทั้งสามนี้พร้อมกันหน้าตาของผู้เล่นหญิงก็จะเปลี่ยนไป ทำให้เวทย์นี้เป็นที่นิยมอย่างมาก ทว่าเนื่องจากไม่มีความจำเป็นในการใช้คาถาอีกสองบทที่เหลือ นาเบรัลจึงไม่ได้ใช้มันในตอนนี้
ส่วนใหญ่แล้วเวทย์ของนาเบรัลจะค่อนข้างหลากหลายในเรื่องของการต่อสู้ แต่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เวทย์ที่ยกเว้น
หลังจากฟังเสียงโดยรอบแล้ว และมั่นใจว่าปลอดภัย เธอก็ทำการร่าย [Message] ทันใดนั้นเสียงหญิงสาวที่แสนอ่อนหวานก็ดังนั้นในหัวของนาเบรัล ราวกับว่าการติดต่อของเธอนั้นถูกคาดการณ์ไว้แล้ว
“นาเบรัล แกมมา เธอมีเรื่องจะรายงานดิฉันใช่ไหมคะ?”
“ค่ะ เป็นรายงานของห้วงเวลานี้ค่ะ”
ตอนนี้นาเบรัลกำลังสนทนาอยู่กับโอเวอร์เซียร์แห่งมหาสุสานนาซาริก อัลเบโด
หลังจากรายงานทุกเรื่องแล้ว นาเบรัลก็ได้กล่าวถึงเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการรับฟังในขณะนี้
“ไอร์ซ-ซามะได้มีการกล่าวถึงอัลเบโดซามะด้วยค่ะ ท่านได้กล่าวว่า ‘นอกจากเธอแล้ว ไม่มีใครที่ข้าจะเชื่อมั่นได้อีก’ ”
“อุฮุ--------!!”
เสียงกรีดร้องไม่เป็นภาษาดังขึ้นในหัวของนาเบรัล
“เยี่ยม เยี่ยม นาเบรัลเป็นเด็กดีมากเลยจ้ะ! จากนี้ก็ให้โฆษณาดิฉันแบบนี้ต่อไปนะ! นี่คือคำสั่งจากโอเวอร์เซียร์แห่งนาซาริกนะคะ!”
เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นที่หัวของนาเบรัล นี่มัน ‘เรื่องแบบนี้มันยังเป็นเรื่องที่จะเอามาสั่งกันอย่างนั้นหรือ?’ เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว ตอนนี้เป็นการแข่งขันเพื่อหาผู้ที่จะได้รับใช้โอเวอร์ลอร์ด เพราะอย่างนั้นคำสั่งแบบนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ระหว่างที่นาเบรัลกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ เสียงที่ตื่นเต้นของอัลเบโดก็ดังให้ได้ยินขึ้นมาอีกครั้ง:
“ตอนที่แชลเทียร์ออกไปทำภารกิจแบบนี้ ดิฉันขอใช้โอกาสนี้เป็นสะพานที่จะเชื่อมดิฉันกับท่านไอร์ซ! แม้จะเป็นการยาก แต่ว่าการรุกเข้าใส่เป็นระลอกก็ย่อมต้องเห็นผลในที่สุด! และเมื่อวันแห่งความรุ่งโรจน์นั้นมาถึง แชลเทียร์ก็จะต้องหลั่งน้ำตาด้วยความผิดหวังอย่างแน่นอน”
เสียงร้องตะโกนอันร่าเริงของอัลเบโดทำให้นาเบรัลถึงกับหน้านิ้วคิ้วขมวด แม้แต่นาเบรัลยังรำคาญกับเสียงรบกวนที่ได้ยินนี้
พร้อมกับเสียงร้องยินดี และเสียงเท้ากระโดดไปมา อัลเบโดก็พึมพำถึงแผนการ และเรื่องที่จะทำต่อไป ทันใดนั้นเองเธอก็กล่าวกับนาเบรัลอย่างสุขุมได้อีกครั้ง:
“ทำไมพวกเธอถึงได้ช่วยดิฉันละคะ? แล้วเหตุผลอะไรที่เธอถึงเลือกดิฉันแทนที่จะเป็นแชลเทียร์? มีอะไรที่เธออยากได้อย่างนั้นหรือคะ?”
“เป็นคำถามที่ธรรมดามากค่ะ หากถามว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะมานั่งเคียงข้างไอร์ซ-ซามะแล้วละก็ ระหว่างแชลเทียร์-ซามะ และ อัลเบโด-ซามะ ดิฉันขอตอบอย่างมั่นใจว่าต้องเป็นอัลเบโดซามะแน่นอนค่ะ”
“อุฮุ--------! ดีมาก ดิฉันไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่นึกอนาคตของนาซาริก น่าประทับใจมากค่ะ”
“นอกจากนี้ ยูริ-นี่ ก็ไม่ค่อยถูกกับ แชลเทียร์-ซามะ ด้วยค่ะ”
“โอ๋ว ยูริ อัลฟา ดิฉันเข้าใจแล้ว…ก็จริงนะคะ แล้วที่เหลือในทีมละคะว่าอย่างไร?”
ไม่เพียงแค่รองหัวหน้าอย่าง ยูริ อัลฟา แต่เหล่าเพื่อนสมาชิกทั้งหมดต่างก็ผุดขึ้นในหัวของนาเบรัลเช่นเดียวกัน:
“ยังไม่เป็นที่แน่ชัดค่ะ ลูปัส เรย์ทินา อยู่ฝั่งของอัลเบโด-ซามะ ส่วนโซลูชั่นอยู่ฝั่งแชลเทียร์ สำหรับอินเซคท์ควีน และชิซุ ยังไม่ทราบค่ะ บางทีทั้งสองคงยังลังเลอยู่น่ะค่ะ”
“มีทางที่จะดึงโซลูชั่นมาเป็นพวกเราได้ไหมคะ?”
“คงจะเป็นการยากค่ะ เนื่องจากรสนิยมของเธอค่อนข้างเหมือนกับ แชลเทียร์-ซามะ”
“โอ อย่างนั้นหรือคะ…ช่างเป็นงานอดิเรกที่เกรดต่ำจริงๆนะคะ”
นาเบรัลนั้นเห็นด้วยกับอัลเบโด เธอส่ายหัวไปมาเนื่องจากที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ถึงรสนิยมของ โซลูชั่น เอปไซลอน
นอกเหนือจากคนคนหนึ่งแล้ว เหล่ามนุษย์ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นเศษสวะ แต่เธอก็ไม่ได้มีความสุขในการทารุณพวกมัน ทว่าเธอก็สามารถสังหารพวกมันได้หากว่ามาขวางทางในการทำงานของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ฆ่าเพราะอยากจะฆ่าเลย
“ไม่มีทางเลือก ถ้าอย่างนั้นก็รีบดึงเหล่าสาวๆคนอื่นเข้ามาฝั่งเรานะคะ คนแรกก็คือ อินเซคท์ควีน แล้วก็ ชิซุ”
“ไม่น่ามีปัญหาค่ะ อีกอย่างโซลูชั่น และ อินเซคท์ควียต่างก็มองมนุษย์เป็นอาหารอยู่แล้ว หากเราดึงตัวอินเซคท์ควีนมาฝั่ง อัลเบโด-ซามะ ได้ละก็ โซลูชั่นก็น่ามาเป็นพันธมิตรกับเราเช่นเดียวกันค่ะ”
“เยี่ยมเลยค่ะ…ดิฉันเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรามาเปลี่ยนเรื่องกันดีกว่านะคะ…แล้วมีอะไรที่ท่านไอร์ซสุดที่รักของดิฉันทำอีกคะ ช่วยลงรายละเอียดให้ดิฉันหน่อยสิคะ?”
“ตามที่ต้องการค่ะ”
การติดต่อตามเวลากับอัลโดนั้นเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา และเมื่ออัลเบโดรู้ว่าไอร์ซ และ นาเบรัล นอนห้องเดียวกัน เธอก็หลุดเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา นั่นทำให้ต้องร่าย [Message] อีกสี่ครั้งเพื่อต่อเวลาการสื่อสาร นั่นทำให้ไอร์ซถึงกับหงุดหงิดเมื่อเขากลับมา แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
Part 3
อากาศโดยรอบตอนนี้เหมือนกับถูกย้อมด้วยหลากหลายเฉดสี จนเวอริต้าถึงกับทำเสียงฟุดฟิดเหมือนกับสุนัข
เธอไม่ได้เข้าใจไปเองที่ว่าอากาศตอนนี้มีกลิ่นเหมือนผัก กลิ่นเหล่านี้มาจากตัวยา และสมุนไพรหลากหลายชนิดที่วางกองอยู่ที่พื้น และกลิ่นนี้เองที่ทำให้เวอริต้ารู้ว่าเธอมาถึงที่หมายแล้ว
เวอริต้ามุ่งตรงต่อไปยังตำแหน่งที่กลิ่นมีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากสำรวจโดยรอบสักพัก เธอก็มาถึงหน้าสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
สิ่งก่อสร้างนี้มีการออกแบบที่แตกต่างจากทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด โดยปกติแล้วอาคารลักษณะนี้มักจะสร้างให้มีส่วนโกดังเก็บของที่ด้านหน้า และส่วนปฎิบัติงานที่ด้านหลัง แต่อาคารหลังนี้กลับออกแบบมาสำหรับใช้งานทั้งหลัง โดยไม่มีส่วนโกดังเก็บของเหมือนคนอื่น
ตามที่เห็นจากป้ายไม้ที่เขียนบอกตรงประตู และป้ายบอกที่ด้านนอก เธอมาถึงที่หมายแล้ว
กระดิ่งที่ถูกแขวนอยู่ตรงประตูส่งเสียงดังกังวาลที่ดูขนหัวลุก ขณะที่เธอเปิดประตูเข้าไป
เธอได้เข้ามายังห้องโถงที่ดูใช้สำหรับรับแขก ซึ่งมีม้านั่งสองตัวหันหน้าชนกันอยู่กลางห้อง ตู้หนังสือถูกวางไว้ตรงกำแพง และไม้ประดับถูกวางไว้ตรงมุมห้อง
เมื่อเวอริต้าก้าวเข้ามาในห้องก็มีเสียงร้องทักดังขึ้นในทันที:
“ยินดีต้อนรับ!”
เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของชายหนุ่ม แต่ก็ฟังดูอ่อนวัยเกินกว่าจะเป็นหนุ่มเต็มตัว
เธอมองไปรอบๆ และพบกับเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดทำงานที่เปราะเปื้อนไปด้วยยางพืชจนดูมอมแมมไปหมด และมันยังส่งกลิ่นอันรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วอีกด้วย
ใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยผมยาวสีบลอนด์ที่ปรกลงมา ทำให้ยากจะบอกอายุของเขาได้ แต่เมื่อดูจากส่วนสูง และเสียงแล้ว เขาก็น่าจะยังเป็นวัยรุ่นอยู่
แม้เขาจะดูเป็นเด็ก แต่เวอริต้าก็รู้จักเขา นอกจากยายของเด็กหนุ่มนี้แล้ว เขาก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงของ รี-เอซไทซ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากพรสวรรค์ของเขา
“…คุณเอนฟรี บารีล?”
“ครับผม ใช่แล้วครับ”
เด็กหนุ่มนามเอนฟรีพยักหน้ารับแล้วเอ่ยถาม:
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”
“อ๋า ใช่แล้ว รอเดี๋ยวนะ”
เวอริต้าหยิบเอากระดาษที่พับอยู่ซึ่งได้รับจากเจ้าของร้าน จากนั้นก็นำมันให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า
เอนฟรีเมื่อได้รับแล้วก็คลี่กระดาษมาอ่านทันที
“เข้าใจแล้วครับ…ถ้าอย่างนั้น ไม่ทราบว่าจะเอาโพชั่นที่ว่ามาดูหน่อยได้ไหมครับ?”
เอนฟรีรับโพชั่นที่เวอริต้ามอบให้ แล้วหยิบมันมาดูในระดับสายตาซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใต้เส้นผมของเขา
ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไปในทันที
เมื่อเอนฟรีปัดผมไปด้านข้าง เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ซึ่งในอนาคตมั่นใจได้เลยว่าใบหน้านี้จะทำให้หญิงสาวหลายรายต้องมาหลงเสน่ห์ของเขา
นอกจากตาที่แหลมคมแล้ว บรรยากาศแบบเด็กๆก็ยังรู้สึกได้จากใบหน้าที่เห็นนี้ เมื่อดูจากลักษณะการพูดจาของเขาแล้ว ทำให้ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะมีตาลักษณะนี้ ที่กำลังสว่างไสว เปล่งกระกายด้วยความตื่นเต้น
เอนฟรีเขย่าโพชั่นไปมาหลายรอบก่อนจะพยักหน้า:
“ต้องขอโทษด้วย แต่ที่นี่คงไม่สะดวกเท่าไหร่ ถ้ายังไรเราเปลี่ยนที่คุยดีกว่านะครับ?”
เวอริต้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ และตามเอนฟรีไปยังห้องที่ข้าวของกระจัดกระจายเต็มห้อง แต่เธอก็ได้แต่คิดในใจเนื่องจากการไม่มีความรู้ทางด้านนี้
บนโต๊ะนั้นวางไว้ด้วยขวดแก้วชมพู่, หลอดทดลอง, ที่กลั่น, ครกบดยา, บีกเกอร์, ตะเกียงแอลกอฮอล์, มาตรวัด, หม้อที่ดูแปลกตา และสารพันเครื่องมืออื่นๆอีกมาก นอกจานี้บนชั้นวางตรงกำแพงก็เต็มไปด้วยสมุนไพร และแร่หลายกชนิดเต็มไปหมด
กลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ฟุ้งกระจายทั่วห้อง ทำให้รู้สึกเหมือนกับเป็นอันตรายต่อร่างกาย
คนที่อยู่ในห้องได้จ้องมองมายังผู้ที่มารบกวนทั้งสอง
หญิงขราที่มีผมขาวยาวประบ่า ที่มือและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ตัวเธอส่งกลิ่นเหม็นเขียวที่รุนแรงกว่าที่ได้กลิ่นจากเอนฟรีเสียอีก
เอนฟรีเรียกหญิงชราทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง:
“ยาย!”
“มีอะไร ไม่ต้องทำเสียงดังก็ได้ หูชั้นยังได้ยินไม่หนวกหรอก”
เอนฟรีนั้นมียายคนเดียวที่เป็นญาติที่เหลืออยู่ และเธอก็ยังเป็นนักปรุงยาที่เก่งที่สุดในเมืองนี้ด้วย ซึ่งนั่นก็คือ ลิซซี่ บารีลนั่นเอง
“ดูนี่เร็วเข้า”
เมื่อรับโพชั่นจากเอนฟรีแล้ว สายตาที่จ้องมองมาของลิซซี่ทำให้เวอริต้าถึงกับสั่นเทากับการที่ได้เผชิญกับผู้ทรงภูมิที่เก่งกาจ
“โพชั่นนี่…ยายหนูเอามันมางั้นเรอะ…โพชั่นในตำนานนี้? ไม่น่าเป็นไปได้…โลหิตแห่งพระเจ้า? นี่ ตกลงนี่มันโพชั่นอะไรกันยายหนู?”
“เอ๋?”
เวอริต้าถึงกับต้องเบิกตากว้างพร้อมกับปากที่ไม่อาจหุบลงได้ นั่นมันที่ชั้นอยากจะถามต่างหาก นั่นคือสิ่งที่เธอคิด
“เหลือเชื่อจริงๆ…การที่โพชั่นแบบนี้มีตัวตนอยู่ ยายหนูได้มาจากไหนกัน? จากซากโบราณสถานงั้นเรอะ?”
“เอ๋? เอ่อ ไม่ใช่หรอกคือ...”
“ชักช้าจริงยายหนู แค่บอกมาก็พอ ว่าได้มันมายังไง! หรือว่าขโมยมา? หือออออ?”
ไหล่ของเวอริต้ากระตุกด้วยความตกใจ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่นี่ตอนนี้เหมือนกับเธอกำลังถูกสั่งสอนอย่างไงอย่างนั้น
“…ยาย อย่าทำให้เธอกลัวสิครับ”
“…นี่พูดอะไรออกมาเอนฟรี ชั้นไม่ได้ทำให้ยายหนูนั่นกลัวสักหน่อย…ใช่ไหม?”
ไม่ใช่เลย นี่คือสิ่งที่เวอริต้าอยากจะพูดออกมา แต่ก็ได้แค่กลืนมันกลับไป และเล่าเรื่องที่มาของโพชั่นที่หญิงสาวได้รับมา:
“อาห์ อืม คือชั้นได้มันเป็นค่าเสียหายจากคนคนหนึ่งน่ะ”
“…หือ?” นัยน์ตาของลิซซี่ตอนนี้ดูเครี่ยงเครียดอย่างมาก ”ทั้งที่มันมีคุณค่ามหาศาลขนาดนี้นะ…”
“เดี๋ยวก่อนยาย ขอผมถามหน่อย คุณเวอริต้าไม่ทราบว่าใครเป็นคนมอบโพชั่นนี้ให้กับคุณ? แล้วทำไมถึงให้ละครับ?”
เวอริต้าที่ได้รับความช่วยเหลือจากเอนฟรีก็เริ่มเล่าถึงที่มาของโพชั่นนี้ว่า เธอได้รับมาจากบุคคลปริศนาที่อยู่ในชุดเกราะทั้งตัว ลิซซี่ขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด:
“…ยายหนู รู้ไหมว่าโพชั่นน่ะมีทั้งหมดสามประเภทด้วยกัน?”
และยังไม่ทันที่เวอริต้าจะได้ตอบ ลิซซี่ก็กล่าวต่อไปในทันที:
“ชนิดแรกทำจากสมุนไพรเท่านั้น ประเภทนี้จะเกิดผลช้ามาก และก็ช่วยเสริมความแข็งแรงได้แค่ระดับความสามารถพื้นฐานของบุคคลเท่านั้น ผลที่ได้นับว่าน้อยมาก แต่พวกนี้ก็ราคาถูกที่สุด ชนิดที่สองทำจากสมุนไพร และเวทย์มนตร์ โพชั่นประเภทนี้จะแสดงผลได้เร็วกว่าแบบแรก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาสักพัก หากการต่อสู้จบลงแล้วยังพอมีเวลา พวกนักผจญภัยส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้โพชั่นฟื้นฟูแบบนี้กัน แล้วชนิดสุดท้ายคือโพชั่นที่สร้างจากเวทย์มนตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยการปรุงมันขึ้นมาจะต้องอัดมานาเข้าไปยังสารแปรธาตุ ซึ่งโพชั่นแบบนี้จะแสดงผลในทันที แต่ราคาของมันก็แพงมากด้วย เอาละ ตอนนี้ก็มาถึงที่ว่า โพชั่นที่ยายหนูเอามานี่เป็นแบบไหนกัน? ชั้นไม่เห็นส่วนผสมสมุนไพรปนอยู่เลย ก็น่าจะเป็นไปได้ว่าโพชั่นนี้ทำจากเวทย์ แต่ว่า----”
จากนั้นลิซซี่ก็ได้หยิบขวดที่บรรจุของเหลวสีฟ้าออกมา และยื่นไปให้เวอริต้า:
“นี่คือโพชั่นฟื้นฟูทั่วไป เห็นไหมว่าสีมันต่างกันยายหนู? ระหว่างการปรุงโพชั่นฟื้นฟูจะทำให้เกิดเป็นสีฟ้าแบบนี้ แต่โพชั่นของเจ้าน่ะมันเป็นสีแดง นั่นแสดงว่ากระบวนการผลิตโพชั่นของเจ้ามันต่างจากโพชั่นฟื้นฟูทั่วไป พูดให้เข้าใจง่ายๆเลยคือ โพชั่นอันนี้มันหายากมากถึงที่สุด และมันอาจปฎิวัติเทคนิกการปรุงกลั่นได้เลย…บางทีเรื่องนี้อาจยากไปสำหรับเจ้าที่จะเข้าใจนะยายหนู”
หลังจากลิซซี่อธิบายเสร็จแล้ว เธอก็ได้ร่ายเวทย์ในทันที:
“[วิเคราะห์ไอเทม], [ตรวจสอบการเสริมเวทย์]”
หลังจากร่ายเวทย์ทั้งสองบทแล้ว ลิซซี่ก็แสดงอาการตกตะลึง และหลงใหลคลั่งไคล้ออกมาให้เห็น
“หึหึหึ…ฟู่ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
…เสียงหัวเราะอย่างหลงใหลดังทั่วห้องเล็กๆนี้ ลิซซี่ค่อยๆเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แสนคลั่งไคล้ และน่าหวาดระแวงออกมา เวอริต้านั้นตอนนี้ตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของลิซซี่จนไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ถึงกระทั่งเธอไม่กล้าที่จะกระดิกนิ้วเสียด้วยซ้ำ
“หึหึหึ! อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด! ดูโพชั่นนี้ให้ดี เอนฟรี! นี่คือโพชั่นในระดับสูงสุด มันมาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว! มิติที่พวกเราเหล่านักปรุงยา นักเล่นแร่แปรธาตุ และทุกผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการปรุงโพชั่นไม่อาจเอื้อมไปถึงหลังจากการทดลองเป็นเวลายาวนาน!”
แก้มของลิซซี่นั้นแดงจัดจากความตื่นเต้นที่มากล้น และเสียงหายใจของเธอก็ดูไม่ดีเห็นได้จากที่เธอหอบไม่หยุด ทว่าโดยไม่หยุดพัก เธอได้ยื่นโพชั่นไปยังตรงหน้าของเอนฟรี:
“ปกติแล้วโพชั่นจะเสื่อมสภาพลงเรื่อย ถูกไหม?”
“ใช่แล้วครับ”
เมื่อเปรียบกับความตื่นเต้นของลิซซี่แล้ว น้ำเสียงของเอนฟรีดูจเยือกเย็นกว่ามาก แต่เวอริต้าก็สังเกตุได้ถึงความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่เธอรู้ได้เลยว่าตอนนี้เธอถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่เสียแล้ว โดยมาจากโพชั่นที่เธอนำมาถึงกับทำให้นักปรุงยาที่ยิ่งใหญ่ถึงกับตื่นเต้นขนาดนี้ได้
“โพชั่นที่ทำจากเวทย์ และผสมเข้ากับสารแปรธาตุ ซึ่งเจ้าสารแปรธาตุพวกนี้ทำมาจากแร่ธาตุก่อนจะเปลี่ยนแปรรูปผ่านการแปรธาตุ เพราะอย่างนี้ทำให้พวกมันจะเสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไป! และนั่นคือเหตุผลที่พวกเราต้องร่ายเวทย์ [Preserve]”
เมื่อถึงตรงนี้ลิซซี่ก็หยุดลงก่อนที่จะกล่าวสรุปออกมา “และนั่นคืออดีตก่อนเวลานี้”
ตอนนี้เวอริต้าดูจะเข้าใจคำพูดของลิซซี่บ้างแล้ว เธอจึงจ้องมองของเหลวสีแดงด้วยความตกตะลึง
“ขวดนี้! โพชั่นนี้! เรดโพชั่นนี้! จะไม่มีการเสื่อมคุณภาะแม้จะไม่ได้ร่ายเวทย์คงสภาพ นี่แหละคือโพชั่นที่สมบูรณ์แบบ! ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้ได้มาก่อน! ตามตำนานแล้ว โพชั่นฟื้นฟูที่แท้จริงก็คือ โลหิตแห่งพระเจ้า”
ลิซซี่เขย่าโพชั่นในมือ ทำให้ของเหลวสีแดงสดภายในกระเพื่อมไปมา
“แน่นอนว่ามันเป็นแค่ตำนาน ที่จริงมีเรื่องตลกในหมู่นักปรุงยาว่าโลหิตแห่งพระเจ้าที่จริงแล้วน่ะสีฟ้าด้วยซ้ำ”
จากนั้นลิซซี่ก็มองมายังโพชั่นในมือที่สั่นไหวจากมืออันสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นของเธอ:
“นี่น่าจะเป็นโลหิตแห่งพระเจ้าของจริง!”
ภายในห้องตอนนี้เงียบสงัด โดยมีลิซซี่ที่หอบไม่หยุดจนเอนฟรีต้องช่วยลูบหลัง และเวอริต้าที่ตะลึงจนพูดไม่ออก และในท้ายที่สุดความเงียบนี้ก็ถูกทำลายโดยลิซซี่:
“…ยายหนู เจ้ามาเพราะอยากรู้ประสิทธิภาพของโพชั่นนี้ใช่ไหม? เจ้านี่เทียบได้กับเวทย์ฟื้นฟูระดับสอง ถ้าไม่คิดถึงความหายาก และมูลค่าที่ไม่อาจประเมินได้แล้ว ราคาของมันก็อยู่ที่ 8 เหรียญทอง แต่ว่าหากเอามูลค่าที่ไม่อาจประเมิณได้มานับด้วย ราคาของโพชั่นนี้จะสูงพอสำหรับการเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาเลย”
ตอนนี้ทั้งตัวของเวอริต้านั้นสั่นไปหมด
เฉพาะมูลค่า และประสิทธิภาพของมันแล้วก็มากเกินกว่านักผจญภัยเหรียญเหล็กอย่างเวอริต้า ปัญหาที่เห็นได้ชัดเลยคือมูลค่าที่ยากจะประเมินของมัน ซึ่งทำให้แม้ลิซซี่ยังมองมาด้วยสายตาที่เฉียบคมราวกับว่าพร้อมหาโอกาสที่จะขโมยมันมาทุกเมื่อ
ทว่าเธอก็ได้เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ทำไมชายในชุดเกราะเต็มตัวถึงได้มอบโพชั่นนี้ให้เธออย่างง่ายดายเช่นนี้? ตกลงแล้วบุคคลภายใต้เกราะนั่นคือใครกัน?
พร้อมกับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาภายใน ลิซซี่ก็ได้เอ่ยขึ้นมา:
“ยายหนูสนใจจะขายโพชั่นนี้ให้ทางเรารึเปล่า? ชั้นจะให้ราคาอย่างงามเลย เอาสัก 32 เหรียญทองเป็นยังไง?”
ดวงตาของเวอริต้าถึงกับยิ่งเบิกโพลนมากยิ่งขึ้น
จำนวนเงินที่เสนอมานั้นมากเงินกว่าที่เวอริต้าจะคาดถึง หากไม่ได้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยละก็ จำนวนเงินนี้สามารถเลี้ยงครอบครัวสามครอบครัวได้ถึงสามปีเลยทีเดียว
ตอนนี้เวอริต้ากำลังลังเลอย่างหนัก เธอรู้แล้วว่าโพชั่นนี้มีมูลค่าอย่างมาก แต่มันเป็นทางเลือกที่ถูกหรือไม่หากเธอจะขายมันตอนนี้ในราคา 32 เหรียญทอง? โอกาสที่จะได้ชั่นแบบนี้อีกนั้นน้อยมาก
แต่เธอจะมีโอกาสรอดชีวิตกลับไปหรือไม่หากว่าเธอปฎิเสธข้อเสนอนี้?
เมื่อเห็นเวอริต้าที่กำลังลังเลอยู่ ลิซซี่ก็ส่ายหัวไปมาพร้อมยื่นข้อเสนอใหม่ให้
Part 4
เช้าวันถัดมาไอร์ซ ซึ่งตอนนี้เรียกตัวเองว่าโมมอน ได้เปิดประตูกิลล์เข้ามา
หลังจากเข้ามาในตัวอาคารแล้ว เขาก็ไปยังที่เคาเตอร์ซึ่งมีหญิงสาวสามคนนั่งรับรองเหล่านักผจญภัยด้วยรอยยิ้ม นอกจากนี้ภายในนั้นยังพบนักรบในชุดเกราะเต็มตัว, ผู้คนที่ดูกระฉับกระเฉงซึ่งสะพายธนู และสวมชุดเกราะอ่อน, บางคนก็อยู่ในชุดนักบวชซึ่งประดับด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนา…และยังมีผู้ขับขานมนตราซึ่งถือไม้เท้าในชุดคลุมยาว
ที่ด้านซ้ายนั้นมีประตูขนาดใหญ่ ขณะที่ด้านขวามีบอร์ดข้อความตั้งอยู่ โดยบนกระดานมีแผ่นหนังสัตว์จำนวนมากแปะอยู่ซึ่งเมื่อวานเขาไม่เห็นพวกมัน และตอนนี้ก็มีกลุ่มนักผจญภัยที่ยืนพูดคุยกันอยู่หน้ากระดานนั้น
จากที่รู้สึกรำคาญกับภาพตรงหน้า และแผ่นหนังที่ติดอยู่ ไอร์ซได้มุ่งตรงไปยังที่เคาเตอร์
มีหลายคนมองไปยังเหรียญทองแดงที่คอของไอร์ซ และเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างดูถูก ซึ่งเป็นบรรยกาศแบบเดียวกับที่เมื่อวานนี้ในโรงเตี๊ยม
ไอร์ซมองสำรวจเหล่านักผจญภัยด้วยหางตา เขามองเห็นเหรียญตราที่คอซึ่งทำจากเงิน และทอง โดยไม่เห็นเหรียญทองแดงเลยสักอัน นั่นทำให้ไอร์วที่กำลังเดินไปที่เคาเตอร์รู้สึกเป็นส่วนเกินของที่แห่งนี้
กลุ่มนักผจญภัยต่างถอยห่างออกมาให้พนักต้อนรับสาวได้ทำหน้าทีของเธอ และเมื่อไอร์ซก้าวมาถึง เขาก็เอ่ยปากออกมา:
“ขอโทษที่รบกวน แต่ข้ามองหาภารกิจอยู่น่ะ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นโปรดเลือกแผ่นหนังจากกระดานตรงนั้นได้เลยค่ะ”
ไอร์ซพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ และในเวลาเดียวกันราวกับว่าต่อมเหงื่อของเขาได้กลับมาทำงานอีกครั้ง เมื่อเขาเดินไปยังกระดานที่ติดแผ่นป้ายหนังอยู่ เขาก็ฝ่าฝูงคนเข้าไปพร้อมกับผงกหัวขอโทษไปด้วย
ว่าแล้วข้าอ่านไม่ออก
กฎข้อหนึ่งในโลกนี้คือภาษาพูดนั้นถูกแปลให้สื่อสารกันได้ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่รวมถึงภาษาเขียนด้วย
ครั้งสุดท้ายที่เขามายังกิลล์ เขาได้รับความช่วยเหลือจากพนักงานต้อนรับหญิง ทำให้เขาด่วนสรุปเอาเองว่าครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขาอยากจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ก็ลงไปกลิ้งกับพื้นเสียตอนนี้เลย แต่เขาก็ยังยั้งใจไว้ทัน พร้อมกับรู้สึกดีใจที่ร่างกายเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ ไอร์ซก็เริ่มเค้นสมองหาทางออก
คนที่อ่านออกเขียนได้ในที่แห่งนี้มีไม่มากนัก แต่มันคงดูไม่ดีแน่หากคนอื่นรู้ว่าเขาอ่านหนังสือไม่ได้ นั่นจะยิ่งทำให้เขาโดนดูถูกมากยิ่งขึ้น
ไอร์ซเขานั้นได้มอบเครื่องมือแปลภาษาทั้งหมดให้เซบาสเตียนไปแล้ว และเขาก็ไม่ได้เรียนเวทย์ประเภทนี้เลยในอิกดราซิล ปกติแล้วเขาจะใช้ม้วนคาถาแทนเวทย์ที่ไม่มีประโยชน์พวกนี้
การที่เขาไม่ได้เตรียมตัวทั้งที่เขาอ่านหนังสือของโลกนี้ไม่ได้ ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว และการมานั่งเสียใจนั้นมันไม่ช่วยอะไรได้หรอก
ในส่วนของนาเบรัลนั้นก็อ่านไม่ออกเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้วเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก
แม้ในหัวของเขาจะมีแต่ความคิดในแง่ร้าย แต่ในฐานะผู้นำสูงสุดของนาซาริกแล้ว เขาต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่น่าอับอายทั้งหมด
หลังเตรียมพร้อมแล้ว ไอร์ซก็ฉีกเอาแผ่นหนังออกมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะกลับไปยังที่เคาเตอร์อีกครั้ง:
“ข้าจะรับงานนี้แล้วกัน”
พนักงานต้อนรับดูฉงนกับกับแผ่นหนังที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่เธอยิ้มอย่างงุ่มง่ามออกมา:
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ภารกิจนี้สามารถรับได้เฉพาะนักผจญภัยระดับมิธริลเท่านั้น…”
“ข้ารู้แล้ว ถึงได้เลือกงานนี้ไงล่ะ”
หลังจากได้ยินที่ไอร์ซตอบกลับมาอย่างสงบ และดื้อดึงแล้ว พนักงานต้อนรับก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“อือ แต่ว่า…”
“ข้าจะรับภารกิจนี้”
“หือ? แต่ถึงคุณจะต้องการแบบนั้นนะคะ แต่ตามกฎแล้ว...”
“กฎพวกนั้นมันไร้สาระ ข้าจะไม่เรื่องไร้สาระพวกนั้นซ้ำๆเพื่อให้ได้เลื่อนระดับหรอกนะ”
“แต่ถ้าภารกิจล้มเหลวล่ะคะ จะมีหลายชีวิตนี่ต้องสูญเสียนะคะ”
คำยืนยันของพนักงานต้อนรับนั้นมีน้ำหนักอย่างมาก จากระบบที่พัฒนาขึ้นมาของกิลล์ และการรวมทีมเพื่อประสิทธิภาพของนักผจญภัย
“อื่มมม”
หลังได้ฟังน้ำเสียงที่สบประมาทของไอร์ซแล้ว เหล่านักผจญภัย และพนักงานต้อนรับต่างแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน เจ้าหน้าใหม่นี่มาเล่นตลกกับกฎที่พวกเขายึดมั่นกันมานาน ไอร์ซคิดว่าการแสดงท่าทีของพวกเขาเหล่านี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ร่างของไอร์ซที่เป็นอันเดดนั้นไม่อาจรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ สุสุกิ ซาโทรุ หลงเหลือไว้ ทำให้ไอร์ซถึงกับอยากโค้งขอโทษเป็นอันมาก
สุสุกิ ซาโทรุ เกลียดพวกคนที่ ‘ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป และยังปฎิเสธคำสั่งสอนของคนอื่นอีก’, ‘พวกคนที่ขาดสามัญสำนึก’
และตอนนี้ไอร์ซก็ทำตัวแบบประเภทหลังเสียด้วย นั่นทำให้เขาอยากให้ใครสักคนมาฟาดเขาสักที
แต่ไอร์ซไม่อาจถอยได้แล้วในตอนนี้ แม้เขารู้สึกว่าควรจะขอโทษ แต่เขาจำเป็นต้องทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นแล้วไอร์ซจึงได้เผยไม้เด็ดออกมา
“คนที่ข้างหลังข้านี่เป็นสมาชิกของข้า แล้วเธอก็เป็นจอมเวทย์ขั้นสามอีกด้วย”
แม้บรรยากาศจะยังมาคุอยู่ แต่สายตาทุกคนตอนนี้ต่างจับจ้องไปยังนาเบรัลด้วยความประหลาดใจ ในโลกนี้ผู้ขับขานมนตราที่บรรลุถึงขั้นสามนั้นถือว่าเข้าสู่ขอบเขตของมาสเตอร์แล้ว
เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? สายตาทั้งหมดจับจ้องไปยังไอร์ซ และเซ็ตเกราะที่ดูภูมิฐานของเขา พร้อมกับสงสัยถึงความจริงในคำพูดของเขา
เครื่องสวมใส่ของนักผจญภัย และความสามารถของเขานั้นเกี่ยวพันกัน ยิ่งนักผจญมีความสามารถมากเพียงใด เครื่องสวมใส่ก็จะยิ่งดีมากเท่านั้น เมื่อดูจากสมาชิกหญิงของเขา และชุดเกราะที่โอ่อ่าของไอร์ซแล้ว ทำให้คำพูดของเขาดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
เมื่อสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสายตาที่มองมา ไอร์ซก็ปลุกใจตัวเอง พร้อมกับไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
“สำหรับตัวข้าแล้ว ข้าเป็นนักรบที่มีความสามารถเทียบได้กับนาเบล ข้ายืนยันได้เลยว่างานระดับนี้สำหรับพวกข้ามันก็เหมือนไปเดินเล่นที่สวนเลย”
เมื่อเปรียบกับตอนนี้ ความตื่นตกใจของพนักงานต้อนรับ และเหล่านักผจญภัยนั้นดูจะลดลงไปมาก และไอร์ซก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไป
“เราไม่ได้มาเป็นนักผจญภัยเพื่อจะรับงานง่ายๆ แล้วรับเศษเหรียญทองแดงสักหน่อย ข้าต้องการท้าทายกับภารกิจระดับสูงต่างหาก หากใครสงสัยในความสามารถของพวกเราละก็ เราก็พร้อมจะแสดงให้เห็นอย่างนี้แล้วเจ้าจะให้เรารับภารกิจได้หรือยัง?”
ที่ทีไม่เป็นมิตรก่อนหน้าค่อยๆลดลง และแทนที่ด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘เขาพูดถูกแล้ว’ หรือไม่ก็ ‘เข้าใจแล้ว’ เหล่านักผจญภัยที่ให้ความสำคัญกับความสามารถต่างเข้าใจในคำกล่าวของไอร์ซ
แต่สำหรับพนักงานต้อนรับนั้นมันต่างออกไป:
“…ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่าทางเราไม่อาจให้คุณรับงานนี้ได้ ตามข้อปฎิบัติของเราค่ะ”
อาการโค้งขอโทษของพนักงานต้อนรับทำให้ไอร์ซต้องแสดงท่าทางแห่งชัยชนะในใจ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้…ข้าก็บังคับเจ้าเกินไป ต้องขอโทษด้วย” ไอร์ซก้มหัวลงเล็กน้อยแสดงอาการขอโทษ
“ถ้าเป็นอย่างนี้ เจ้าช่วยหาภารกิจที่ยากที่สุดของระดับเหรียญทองแดงให้หน่อยได้ไหม แล้วมันมีอันที่ไม่ได้แปะไว้ที่บอร์ดด้วยไหม?”
“อาห์ เข้าใจแล้วค่ะ มีภารกิจอื่นที่คุณน่าจะรับได้”
พนักงานต้อนรับลุกขึ้นา ขณะที่ไอร์ซก็ร่ำไห้ยินดีกับชัยชนะในครั้งนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา:
“ไง สนใจจะมาช่วยภารกิจของเราพวกเราไหมล่ะ?”
“หือ?”
เขาเผลอที่จะส่งเสียงคำรามระวังตัวออกมาไม่ได้ และเมื่อไอร์ซหันไปมองด้านหลัง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ เขาก็เห็นกลุ่มนักผจญภัยจำนวนสี่คนที่มีเหรียญตราสีเงินส่องประกายที่ลำคอ
ไอร์ซถึงกับบ่นในใจออกมา ‘ทำไมต้องตอนนี้’ จากนั้นเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับพวกเขา:
“’งานงั้นหรือ…แล้วมันคุ้มค่าไหมล่ะ…?”
“แน่นอน พวกเราคิดว่ามันคุ้มค่าแน่”
ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าตอบกลับ ชุดที่เขาสวมเป็นเกราะห่วงโซ่ ซึ่งมีวงแหวนจำนวนมากถักร้อยติดกัน ซึ่งมักจะสวมทับชุดเกราะหนัง หรือไม่ก็เชิ๊ตห่วงโซ่ นั่นทำให้ชายคนนี้ดูน่าจะเป็นนักรบ
เขาควรจะรวมกลุ่มแล้วร่วมงานกับพวกเขาดีไหม? เขาน่าจะตัดสินใจหลังจากฟังข้อเสนอของทางนั้นเสียก่อน แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าหากเป็นเช่นนั้นพนักงานต้อนรับจะยังยินดีช่วยเลือกงานให้เขาอีกหรือไม่
แต่ในทางตรงข้ามการรับงานกับสมาชิกกลุ่มนี้ ย่อมช่วยสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา และทำให้ไอร์ซได้รับข้อมูลที่เขาต้องการก็ได้
หลังจากไตร่ตรองแล้ว ไอร์ซก็ค่อยๆพยักหน้า:
“ตอนนี้ข้าก็กำลังหางานที่เหมาะสมกับข้าอยู่พอดี ถ้าอย่างนั้นเรามาร่วมมือกันก็ดี แต่ก่อนอื่นข้าคงต้องถามเรื่องรายละเอียดของงานก่อนนะ”
หลังได้รับคำตอบรับ ชายหนุ่มก็กล่าวกับพนักงานต้อนรับให้เตรียมห้องสำหรับพวกเขา
ห้องนั้นดูคล้ายห้องประชุมทั่วไป โดยมีโต๊ะไม้อยู่ตรงกลางห้อง และมีเก้าอี้ล้อมรอบ ซึ่งแต่ละคนก็นั่งที่เก้าอี้ติดกันไปจนครบ
“ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง”
ไอร์ซนั่งลงตามคำเชิญ พร้อมกับนาเบรัลที่นั่งลงข้างๆเขาอย่างเงียบๆ
ชายหนุ่มในกลุ่มยังดูอายุไม่มากกัน พวกเขาดูไม่เหมือนว่าอายุถึง 20 แต่ก็ไม่มีลักษณะแบบเด็กๆแสดงออกมาให้เห็น กลับกันพวกเขาให้ความรู้สึกมีอายุมากกว่าวัยของพวกเขาเสียอีก
ถึงแม้พวกเขาจะนั่งติดกัน แต่เมื่อดูจากท่าทางของแต่ละคนแล้วต่างก็สามารถหยิบอาวุธออกมาได้ทุกเมื่อ
นี่อาจเป็นพฤติกรรมที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็เกิดจากประสบการณ์เฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำให้พวกเขาเป็นเช่นนี้
“ก่อนจะพูดเรื่องงาน เรามาแนะนำตัวกันก่อนดีกว่า”
ชายที่ดูเหมือนนักรบกล่าวในฐานะตัวแทนของทั้งหมด
เขาเป็นชายหนุ่มที่มีผมสีบลอนด์ และนัยน์ตาสีฟ้า ซึ่งเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไปในราชอาณาจักร เขามีใบหน้าที่ไม่โดดเด่นแต่ก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายในตัว
“ยินดีที่ได้รู้จัก ผมคือหัวหน้าของ ‘กลุ่มดาบดำ’ ปีเตอร์ มอร์ก ส่วนนี่คือเรนเจอร์ของทีมเรา ลูคลูเธอร์ บอลบู”
ชายหนุ่มผมบลอนด์ในชุดเกราะหนังพยักหน้าตอบรับ ตาสีน้ำตาลที่หรี่เหมือนไม่ได้ลืมตานั้นแฝงด้วยความร่าเริง และร่างที่สูง โปร่งของเขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนแมงมุม ซึ่งเหตุที่ร่างของเขาดูผอมบางก็มาจากการกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปจนหมดสิ้น
“ต่อไปคือผู้ขับขานมนตราของเรา และยังเป็นเสนาธิการของทีมอีกด้วย จอมเวทย์ นินยา”
“ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
เขาเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม แล้ว เขามีผมสีน้ำตาล และตาสีฟ้า และดูจะบรรลุนิติภาวะ แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังมีความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่
ผิวของเขานั้นดูซีดไม่เหมือนสมาชิกคนอื่นในทีมที่มีสีแทน และเขายังเป็นคนที่หน้าตาดีสุดในกลุ่มอีกด้วย แม้จะไม่ใช่ลักษณะแบบหนุ่มหล่อ แต่ก็ดูเป็นแบบคนเจ้าสำอาง และเมื่อเทียบกับคนอื่นในทีมแล้วเสียงของเขาก็สูงกว่าคนอื่นอีกด้วย
ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นดูเหมือนใส่หน้ากากเอาไว้ ไม่ต่างจากรอยยิ้มจอมปลอมเลยสักนิด
และเมื่อดูเครื่องแต่งกายเทียบกับเพื่อนคนอื่นในทีมที่สวมพวกชุดเกราะแล้ว เขาสวมเพียงเสื้อหนังเท่านั้น ในตอนนี้หากมีใครลองมองไปใต้โต๊ะก็จะพบพบกับไอเทมที่ดูแปลกตาจำนวนมากที่ห้อยรอบเข็มขัดของเขาเต็มไปหมด ซึ่งรวมไปถึงขวดที่มีรูปทรงแปลกตา และข้าวของจากไม้ที่ดูพิลึก
เมื่อนึกถึงที่เขาได้ชื่อว่า ‘จอมเวทย์’ เขาก็น่าจะคล้ายกับไอร์ซ ซึ่งเป็นผู้ขับขานมนตราประเภทที่เน้นความรุนแรง
“…ปีเตอร์ ถ้ายังไงอย่าพูดถึงชื่อเล่นนั้นระหว่างแนะนำตัวได้ไหม มันน่าอายนะ?”
“เอ๋? แต่มันเท่ห์ไปเลยนะ”
“นายมีขื่อเล่นด้วยเหรอ?”
ไอร์ซถามโดยที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และลูคลูเธอร์ก็เป็นคนอธิบายให้ฟัง:
“เขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถแฝงน่ะ ใช่ไหม ‘ผู้ขับขานมนตราอัจฉริยะ’ คนดัง”
“โอ๋ว”
ไอร์ซรู้สึกประทับใจ จนเผลอส่งเสียงออกมา ‘ความสามารถแฝง’ เป็นข้อมูลที่เขาได้มาหลังจากทรมารสมาชิกหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายไปสามรายจนตาย และนั่นทำให้เขาตื่นเต้นมากที่ได้เจอกับของจริงตรงหน้า
ทางด้านนาเบรัลนั้นเพียงทำเสียง ‘หึ’ ด้วยอาการดูแคลน แต่โชคดีที่ไม่มีใครในกลุ่มได้ยินทำให้ไอร์ซโล่งอกไป ระหว่างการเจรจานั้นท่าทางที่ไม่เหมาะสมของลูกน้องย่อมส่งผลต่ออารมณ์ของหัวหน้าด้วย แน่นอนว่าไอร์ซก็โกรธขึ้นมาบ้าง แต่มันคงไม่ดีถ้าจะเอาเรื่องนี้มาพูดในตอนนี้ ไอร์ซจึงยังคงรักษาท่าทีของตัวเองต่อไป
“มันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่ว่าความสามารถแฝงของผมมันตรงกับของระบบก็เท่านั้น”
“โอห์”
ตอนนี้ไอร์ซยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เขาเขยิบเข้าไปใกล้และตั้งใจฟัง
‘ความสามารถแฝง’ เป็นทักษะที่คล้ายกับศาสตร์การป้องกันตัว พวกมันมีทักษะพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของโลกนี้ โดยไม่เคยมีให้เห็นในอิกดราซิลมาก่อน ซึ่งคนหนึ่งในสองร้อยจะได้รับทักษะพิเศษนี้ ทำให้ความสามารถแฝงไม่ใช่สิ่งที่หาได้ยากนัก แต่ทักษะพิเศษนั้นก็มีหลากหลายชนิด และประเภท ซึ่งก็มีทั้งที่ประเภทที่ทรงพลัง และอ่อนด้อย
อย่างเช่นการพยากรณ์อากาศในวันรุ่งขึ้นซึ่งมีโอกาสถูกถึง 70%, การเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเวทย์อัญเชิญ, ทักษะที่ช่วยในการปลูกพืชให้โตเร็วกว่าปกติ, การใช้เวทย์มังกรซึ่งของอดีตกาลได้ และอื่นๆอีกมาก
เนื่องจากพลังนั้นถูกมอบให้ตั้งแต่เกิด ทำให้ไม่มีโอกาสจะเปลี่ยนมันได้ และก็มีหลายคนที่ไม่อาจใช้พลังเหล่านี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น คนที่มีความสามารถแฝงในการเสริมความแรงของเวทย์สายทำลายล้าง แต่เจ้าตัวกลับไม่สามารถใช้เวทย์ได้ ดังนั้นแล้วความสามารถแฝงนี้ก็นับว่าสูญเปล่าไป
มีเพียงผู้โชคดีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้ความสามารถแฝงได้เต็มประสิทธิภาพ นอกจากกลุ่มคนที่มีความสามารถแฝงที่ทรงพลังแล้ว ความสามารถแฝงที่สามารถใช้ตัดสินการใช้ชีวิตได้นั้นนับว่าหายากมาก
สำหรับนักรบอย่าง กาเซฟ สโตโลนอฟแล้ว เขาไม่ได้มีความสามารถแฝงเลย
คนที่มีความสามารถแฝงทางด้านการต่อสู้มักจะเลือกเส้นทางนักผจญภัย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงได้เห็นคนจำนวนมากที่มีความสามารถแฝงในหมู่คนเหล่านี้ ซึ่งนับว่าเป็นผู้โชคดีที่ความสามารถแฝงที่อยู่กับพวกเขานั้นสามารถเอาไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ชั้นว่านะความสามารถแฝง ’พรสวรรค์เวทย์มนตร์’ น่าจะทำให้นายเรียนเวทย์ที่ต้องเรียนถึงแปดปีได้แค่ในสี่ปี? ชั้นก็ไม่ใช่ผู้ขับขานมนตราเละยไม่แน่ใจว่ามันยอดเยี่ยมแค่ไหนกัน”
จากที่ไอร์วนั้นก็อยู่ในคลาสที่มีความเกี่ยวข้องด้านเวทย์มนตร์ ทำให้เขาสงสัย และต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลนี้ การได้ครอบครองทักษะซึ่งไม่มีในมหาสุสานนาซาริกนี้ย่อมส่งผลดีต่อกิลล์เขาเป็นอย่างมาก หากเขาสมารถขโมยทักษะนี้มาได้ เขาก็ไม่กลัวเลยที่จะเสี่ยงแม้จะต้องสร้างศัตรูก็ตาม
ทักษะที่ช่วยลดเวลาในการเรียนรู้น่าจะจัดอยู่ในประเภทคาถาก้าวข้ามระดับอย่าง [ความปรารถนาถึงดวงดาว]
ระหว่างนั้นทั้งสองก็ยังคงพูดคุยต่อไป โดยไม่ได้สังเกตุท่าทางคุกคามของไอร์ซภายใต้หมวกเหล็ก:
“…ผมก็แค่โชคดีที่ได้ทักษะนี้มาตั้งแต่เกิด มันทำให้ผมเข้าใกล้ความฝันไปอีกก้าวหนึ่ง หากว่าไม่ใช่เพราะทักษะนี้แล้ว ผมก็คงเป็นคนธรรมดาที่วุ่นวายไปทั้งชีวิตแน่ๆ”
เสียงที่แผ่วเบานั้นแฝงด้วยความกลัดกลุ้ม และซึมเศร้า นั่นทำให้ปีเตอร์ต้องหาทางเปลี่ยนบรรยากาศโดยการพูดออกมาในน้ำเสียงที่ต่างออกไป:
“ถึงอย่างนั้น นายก็เป็นคนดังที่ครอบครองความสามารถแฝงของเมืองนี้อยู่แล้วนี่?”
“แต่ก็ยังมีคนที่มีชื่อเสียงกว่าผมอีกนะครับ”
“หัวหน้าของ ‘บลูโรส’ งั้นเหรอ?”
“คนนั้นก็มีชื่อเสียงครับ แต่ที่ผมพูดถึงคือคนในเมืองนี้”
“นายหมายถึงบารีลงั้นเหรอ!”
ชื่อที่ถูกกล่าวนั้นดังมาจากชายคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้แนะนำตัว ไอร์ซที่ได้ยินชื่อนี้ก็เกิดความสนใจจึงเอ่ยถามออกมา:
“…แล้วเขาครอบครองความสามารถแฝงแบบไหนกันล่ะ?”
ทั้งสี่เมื่อได้ยินต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจให้เห็นอย่างชัดเจน
ไอร์ซเผลอหลุดถามออกมาด้วยความสงสัย และความต้องการครอบครองทักษะเหล่านี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับนาซาริก ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจที่เผลอถามออกมา และบอกกับตัวเองให้หาแก้ข้อผิดพลาดนี้
แต่ก่อนที่ไอร์ซจะได้กล่าวอธิบาย คนในกลุ่มก็ได้สรุปเอาเองว่า:
“เข้าใจแล้ว ทั้งที่แต่งตัวด้วยชุดเกราะที่ฉูดฉาดแบบนี้ แล้วยังมีสาวงามเคียงข้าง ที่พวกเราไม่รู้เรื่องของนายเลย เพราะนายมาจากที่อื่นถูกไหม?”
การช่วยเหลือทำให้ไอร์ซรีบพยักหน้ารับทันที:
“ใช่แล้ว พวกเราเพิ่งมาถึงนี่เมื่อวานนี้เอง”
“โอห์ แสดงว่านายไม่รู้สินะ? เขาน่ะเป็นคนดังของเมืองนี้เลย แต่ท่าทางชื่อเสียงของเขาจะยังไปไม่ถึงเมืองอื่นสินะ?”
“ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน ถ้ายังไงพวกนายช่วยบอกเรื่องของเขาให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
“เขาชื่อ เอนฟรี บารีล เป็นหลานของนักปรุงยาที่มีชื่อเสียง ความสามารถแฝงของเขาคือทักษะที่ทำให้เขาสามารถใช้ไอเทมเวทย์ได้ทุกชนิด ไม่ใช่แค่ม้วนคาถาของเวทย์ต่างๆ แต่ยังรวมถึงไอเทมที่บังคับใช้เฉพาะเผ่าอีกด้วย แล้วไอเทมติดตัวก็ไม่น่าจะมีข้อยกเว้น”
“…โอ๋ว”
ไอร์ซพยายามระงับความกลัวในน้ำเสียงแล้วส่งเสียงออกมา
เขาสามารถใช้ความสามารถได้ถึงขั้นนั้นเลยงั้นรึ? [ไม้เท้าแห่งไอร์ซ โออ์ล โกว์น ] ที่มีข้อจำกัดอย่างมาก และเป็นไอเทมที่มีแค่กิลล์มาสเตอร์เท่านั้นที่ใช้ได้ แล้วยังเลเจนนารี่ไอเทมอีก เจ้าคนที่ว่านี้สามารถใช้พวกมันได้หมดเลยงั้นหรือ? หรือว่าจะมีข้อจำกัดบ้าง?
เขาต้องระวังคนผู้นี้ให้ดีเสียแล้ว แต่คุณค่าในฐานะตัวหมากของเขาก็นับว่าสูงมาก
นาเบรัลก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เธอขยับปากไปใกล้กับหูของไอร์ซที่ใต้หมวกเหล็ก และกล่าวออกมาอย่างระมัดระวังว่า:
“ดิฉันคิดว่าชายคนนั้นเป็นตัวอันตรายนะคะ”
“…ข้ารู้ การมาที่เมืองนี้นับว่าเป็นตัวเลือกที่ถูกแล้ว”
“คุณโมมอน มีอะไรงั้นเหรอ?”
“อ๋อ เปล่าหรอก ไม่มีอะไรหรอก แต่จะว่าไป ทางนายจะช่วยแนะนำเพื่อนคนสุดท้ายให้หน่อยได้ไหม?”
“ได้เลย นี่ดรูอิดทีมเรา ไดน์ วู๊ดวันเดอร์ เขาใช้เวทย์รักษา เล้วก็เวทย์ควบคุมธรรมชาติได้ แล้วยังมีความรู้เรื่องสมุนไพรอีกด้วย ถ้านายรู้สึกไม่สบายก็บอกเขาได้เลย เขามียาที่ช่วยอาการปวดท้องได้ดีเลย”
“ขอฝากตัวด้วยนะ!”
ชายที่กล่าวทักทายมานั้นมีหนวดที่ยาวรอบปาก และเมื่อรวมกับร่างที่ใหญ่โตของเขาแล้วทำให้ดูเหมือนกับพวกคนเถื่อน แต่เขาก็ยังดูอ่อนกว่าไอร์ซอยู่ดี
ตัวเขานั้นมีกลิ่นของหญ้า ซึ่งน่าจะมาจากตรงกระเป๋าคาดเอวของเขา
“งั้นต่อไปตาก็ทางนี้บ้าง นี่คือนาเบล และข้าโมมอน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เอาละ ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองคน คุณโมมอนให้เรียกพวกเราด้วยชื่อได้เลย ขอโทษที่ต้องรีบเข้าประเด็น แต่เรามาคุยเรื่องงานกันเลยดีกว่า ถึงจริงๆแล้วจะบอกว่าเป็นงานก็ไม่ถูกนักละนะ”
“หมายถึง…”
เมื่อได้ยินเสียงที่ยังสับสนของไอร์ว ปีเตอร์ก็ยกมือหยุดเขาก่อน ตอนนี้เขาอยากให้ไอร์ซถามคำถามทีหลัง
“งานของเราก็คือ การล่ามอนสเตอร์รอบๆเมือง”
“งานกวาดล้างมอนสเตอร์งั้นเหรอ…?”
นี่คืองานสินะ แล้วที่ว่าไม่ใช่งานเพราะข้อบังคับบางข้องั้นหรือ? ไอร์ซอยากจะถามออกมา แต่หากนี่เป็นเรื่องที่เข้าใจกันทั่วไปแล้ว มันก็คงเป็นปัญหาแน่หากคนอื่นคิดว่าเขานั้นเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงจะไม่ถามอะไรที่อาจเกิดปัญหาได้
“แล้วมอนสเตอร์แบบไหนที่เราจะไปกวาดล้างกันละ?”
“อาห์ มันก็ไม่ใช่การออกกวาดล้างมอนสเตอร์หรอกที่จริง เราก็แค่ออกล่ามอนสเตอร์ แล้วทางเมืองก็จะจ่ายค่าจ้างตามความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ผ่านทางกิลล์ แล้วงานแบบนี้ที่ประเทศขของคุณโมมอนเรียกว่าไงกันละ”
ตกลงคือแบบนี้นี่เอง
ในที่สุดไอร์ซก็เข้าใจแล้วว่าทำไมปีเตอร์ถึงบอกว่ามันจะเรียกว่างานก็ไม่ถูกนัก ตามความเข้าใจเกมอิกดราซิลแล้ว การทำแบบนี้เรียกว่าการ ‘ฟาร์มมอนสเตอร์’
“นี่เป็นสิ่งที่เราใช้หาดำรงชีวิตกัน”
ดรูอิดที่ชื่อไดน์กล่าวแทรกด้วยเสียงต่ำของเขา และลูคลูเธอร์ก็เข้าร่วมด้วยอีกคน:
“ไม่ใช่แค่สำหรับดำรงชีวิต แต่มันยังเป็นการลดอันตรายให้กับผู้คนรอบๆนี้ด้วย แล้วยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับพ่อค้าเร่ร่อน ทำให้การเก็บภาษีเป็นไปอย่างเรียบร้อยอีก ไม่มีใครเสียอะไรเลยกับที่พวกเราทำ”
“ประเทศ และกิลล์ส่วนใหญ่ก็ทำเช่นนี้ แต่มันก็ไม่เคยถูกพูดมาก่อนจนเมื่อ 5 ปี ที่แล้ว ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอครับ?”
ทุกคนในทีมต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับที่นินยากล่าวออกมา การแลกเปลี่ยนความเห็นของพวกเขาทำให้ไอร์วไม่มีโอกาสจะเข้าร่วมได้เลย มันคงดูประหลาดมากหาว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับประเทศนี้ นั่นทำให้ไอร์ซเลือกที่จะปิดปาก และนั่งฟังเพียงอย่างเดียว
“ทั้งหมดนี้ เราต้องขอบคุณในสติปัญญาของราชีนีทองคำ”
“ถึงจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดี แต่ท่านก็อยากจะจัดการปัญหาพวกนี้แม้จะต้องยกเว้นภาษีของนักผจญภัยก็เถอะ”
“โอห์ ท่าทางเธอจะเอาใจใส่นักผจญภัยมากเลยนะ”
“ใช่แล้ว กับองกรณ์ติดอาวุธที่ไม่ได้สาบานว่าจะภักดีต่อประเทศ แล้วยังอาจถูกมองว่าเป็นศัตรูได้อีก แม้แต่ทางจักรวรรดิก็ยังไม่ใจกว้างแบบนี้เลย”
“ราชินีท่านทรงพระปรีชายิ่ง ท่านเสนอร่างกฎหมายต่างๆที่ดีออกมา…ถึงส่วนใหญ่จะโดนตีกลับก็เถอะ”
“ชั้นอยากแต่งงานกับสาวสวยแบบนั้นจัง”
“งั้นนายก็จะลุยงาน แล้วก็เป็นพวกชนชั้นสูงงั้นเหรอ?”
“อ๋า ไม่มีทาง อย่างชั้นน่ะไม่เอาด้วยกับชีวิตที่ไม่มีอิสระแบบนั้นหรอก”
“ผมว่าการเป็นชนชั้นสูงมันก็ไม่เลวนะครับ กฎของทางราชอาณาจักรก็อนุญาตให้ขุนนางดูแลประชาชน และก็สั่งให้พวกเขาทำอะไรก็ได้ตามใจชอบด้วย”
ความบ้าคลั่งอย่างแรงแฝงอยู่ในรอยยิ้มของนินยา ไอร์ซถึงกับต้องยกคิ้วที่ไม่เหลือแล้วของเขาขึ้นใต้หมวกเหล็ก ขณะที่นาเบรัลก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ จากนั้นลูคลูเธอร์ก็จงใจพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย:
“โว้ว ปากนายนี่ยังกัดเจ็บไม่เปลี่ยนเลยนะ นายนี่เกลียดพวกขุนนางจริงๆ”
“ผมพอรู้จักพวกขุนนางที่มีเกียรติบางคย แต่เพราะไอ้หมูตอนนั่นมันมาแย่งพี่สาวของผมไป ผมเลยอดที่จะเกลียดพวกนั้นไม่ได้”
“…รู้สึกเราจะออกนอกประเด็นไปมากแล้วนะ! มีเรื่องที่เราไม่ควรจะมาพูดต่อหน้าคุณโมมอน กับ คุณนาเบล ที่จะมาสู้ไปกับพวกเราหรอกนะ”
เพื่อให้กลับเข้าสู่ประเด็นอีกครั้ง ปีเตอร์จึงได้กระแอมออกมา:
“เอาละ ที่พวกเราจะทำก็คือออกสำรวจในบริเวณรอบๆ เพราะมันใกล้กับพื้นที่บุกเบิกใหม่ ซึ่งน่าจะมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่ ไม่ทราบคุณโมมอนไม่พอใจอะไรรึเปล่า?”
ปีเตอร์หยิบแผ่นหนังออกมาวางลงบนโต๊ะ ซึ่งมันเป็นแผนที่ของพื้นที่ใกล้เคียงนี้ ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้าน ป่าไม้ และลำธารถูกกาเครื่องหมายเอาไว้
“ปกติแล้วพวกเราจะออกสำรวจแถบทางใต้นี้”
จากกึ่งกลางแผนที่ เขาได้ลากนิ้วไปยังป่าทางใต้
“เราจะมุ่งไปที่การล่ามอนสเตอร์บริเวณป่าใกล้กับชายแดนศาสนจักรสิเลียน มอนสเตอร์ที่สามารถใช้อาวุธโจมตีระยะไดลได้ก็มีแค่พวกกอบลินเท่านั้นที่ต้องระวัง”
“แต่รางวัลที่ได้จากการจัดการพวกมอนสเตอร์ที่อ่อนแอก็น้อยไม่ใช่หรือ”
ไอร์ซอดสงสัยไม่ได้ถึงท่าทีที่ดูเฉื่อยแฉะของกลุ่มนี้
เท่าที่ไอร์ซรู้มา กอบลินในอิกดราซิลนั้นมีหลายชื่อเรียก และระดับก็มีตั้งแต่ 1 ไปจนถึง 50 ความแตกต่างด้านพลังของมันก็ค่อนข้างกว้างมาก ทำให้ไม่อาจคิดว่ากอบลินนั้นเหมือนกันหมด ไม่อย่างนั้นอาจต้องประสบกับหายนะก็เป็นได้
หรือท่าทีผ่อนคลายของพวกนี้มาจากที่มั่นใจว่าพวกกอบลินระดับสูงจะไม่โผล่ออกมาแน่นอน หรือกอบลินในโลกนี้มันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก?
“…ไม่เคยมีกอบลินที่แข็งแกร่งโผล่มามั่งเหรอ”
“ก็มีนะพวกกอบลินที่เก่งๆน่ะ แต่พวกนี้ไม่ได้อยู่ที่ป่าที่พวกเราจะไปกันหรอก พวกนั้นมักจะเป็นตัวหน้าเผ่า แล้วพวกนี้ก็ไม่ได้ยกกำลังมาทั้งเผ่าหรอก”
“พวกกอบลินรู้ว่าที่ไหนที่มีคนอยู่เยอะ พวกมันยังรู้ด้วยว่าการยกกำลังมาจู่โจมอาจหมายถึงสิ้นเผ่าได้ ยกเว้นแต่กอบลินที่ทรงพลัง และฉลาดเท่านั้นแหละ”
“คุณนาเบลใช้เวทย์ระดับ 3 นี่ งั้นก็คงไม่มีปัญหาถ้าพวกเราต้องเจอกับพวกมันว่าไหม?”
“เข้าใจล่ะ แต่ข้าก็ยังสงสัยอยู่บ้าง พวกกอบลินที่สามารถใช้เวทย์ขั้น 3 ได้ก็มีเหมือนกัน แล้วพวกนายพอจะยกตัวอย่างบอกได้ไหมว่ามอนสเตอร์แบบไหนที่เรากำลังจะไปเจอ?”
สมาชิกกลุ่มดาบดำต่างหันไปที่นินยา และเมื่อเข้าใจที่เพื่อนๆต้องการจะสื่อ เขาก็ทำตัวเหมือนเป็นอาจารย์ที่กำลังสอนบทเรียน และเริ่มกล่าวอธิบาย:
“ที่พวกเราจะเจอก็เป็นพวกกอบลิน และหมาป่าของพวกมันน่ะครับ ส่วนมอนสเตอร์อื่นๆ ไม่เคยมีบันทึกว่ามีพวกที่แข็งแกร่งออกมาให้เห็นในแถบนั้น พวกที่น่าจะอันตรายที่สุดแนวทุ่งราบก็น่าจะเป็นออเกอร์นะครับ”
“เราจะไม่เข้าป่ากันงั้นเหรอ?”
“ครับ เพราะในป่ามันอันตรายเกินไป พวกทาก และแมลงกระโดดน่ะจัดการได้ง่าย แต่แมงมุมเพชฌฆาตที่ปล่อยใยลงมาจากยอดไม้ แล้วก็พวกงูป่าที่ลอบจู่โจมจากด้านค่อนข้างจะจัดการยากสักหน่อย”
เพราะอย่างนี้สินะ
ไอร์ซพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขาออกล่าพวกมอนสเตอร์ที่หลงออกจากป่ามายังทุ่งราบนี่เอง
“แผนของเราก็แบบนี้แหละคุณโมมอน คิดว่าไง? ยังอยากร่วมมือกับพวกเราไหมล่ะ?”
“…ตกลง ขอฝากตัวด้วยก็แล้วกัน ว่าแต่…ก่อนหน้านั้น เราจะมาตกลงเรื่องค่าตอบแทนกันก่อนดีไหม?”
“อาห์ ใช่แล้ว ค่าตอบแทนมันสำคัญมากนี่นะ โดยข้อปฏิบัติแล้ว ทีมของคุณโมมอนจะร่วมมือกับทีมของเรา ถ้าอย่างนั้นเราก็จะแบ่งครึ่งเงินที่ได้กัน”
“ดูจากจำนวนสมาชิกแล้ว การแบ่งแบบนี้ดูจะมีน้ำใจมากนะว่าไหม”
“แต่ทีมของคุณโมมอนก็ต้องจัดการกับมอนสเตอร์ให้ได้ครึ่งหนึ่งที่เราเจอด้วยนะ พวกเราใช้เวทย์ได้แค่ถึงขั้น 2 เท่านั้น เมื่อนึกแล้วก็เป็นการแบ่งที่ยุติธรรมดี”
ไอร์ซแสร้งทำเป็นพิจารณาสักพักก่อนจะพยักหน้าตกลง:
“งั้นก็ตกลง หวังว่าจะเป็นการร่วมมือที่ดี ในเมื่อเราก็ต้องทำงานด้วยกันแล้ว ข้าจะให้ทุกคนเห็นหน้าก็แล้วกัน”
ไอร์ซถอดหมวกเหล็กออกมา จากนั้นสมาชิกทั้งสี่ในทีมต่างก็มองมาด้วยความประหลาดใจ
“ผม และตาสีดำเหมือนกับคุณนาเบลเลย ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้เป็นคนที่นี่สินะ ชั้นเคยได้ยินมาว่าคนที่เหมือนคุณโมมอน เห็นได้ทั่วไปทางใต้ แล้วนี่นายมาจากที่นั่นใช่ไหม?”
“ถูกแล้ว พวกเรามาจากดินแดนที่อยู่ไกลมาก”
“เขาดูอายุเยอะกว่าที่คิดไว้นะ แก่พอที่จะเรียกว่า ‘ลุง’ ได้เลย” “นั่นเสียมารยาทนะ นักรบที่อยู่ระดับเดียวกับจอมเวทย์ระดับ 3 อย่างนาเบลก็ต้องอายุประมาณนี้อยู่แล้ว” “คุณนาเบลสุดยอดเลยครับ”
ไม่เพียงไอร์ซจะได้ยินที่ปีเตอร์พูดออกมา แต่เขายังได้ยินที่คนอื่นต่างกระซิบคุยกัน
ไอร์ซรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ถูกเรียกเป็นคนมีอายุ แต่ก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกหนุ่มๆเหล่านี้ ถ้าอายุสิบหกนั้นมากเพียงพอที่จะเรียกว่าโตแล้ว อายุอย่างเขาก็น่าจะเรียกว่าลุงได้อย่างไม่มีข้อกังขา
“เอาละตอนนี้ทุกคนก็เห็นหน้าข้อกันหมดแล้ว เราอาจเจอปัญหาที่ไม่จำเป็นถ้ามีใครรู้ว่าเป็นคนต่างถิ่น เพราะอย่างนั้นข้าขอสวมหมวกเหล็กปิดบังใบหน้านี้ต่อไปแล้วกัน”
ไอร์ซกล่าวพร้อมสวมหมวกเหล็กกลับดังเดิม
รอยยิ้มแห่งความปิติถูกเผยออกมาภายใต้หมวกเหล็ก เพื่อความปลอดภัยไอร์วได้ร่ายมนตร์ลวงตาไว้ก่อนแล้ว แม้จะเป็นเวทย์ระดับต่ำที่จะสลายไปหากถูกสัมผัสก็ตาม
“ในเมื่อเราจะไปออกล่าด้วยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมา ใครมีอะไรอยากจะถามพวกเราบ้างไหม?”
“ชั้นมี!”
หลังได้ยินที่ไอร์ซว่ามา ลูคลูเธอร์ก็ตะโกนเรียกขึ้นมาอย่างหนักแน่น:
หลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครนอกจากเขาที่จะถาม ลูคลูเธอร์ก็ถามนาเบรัลอย่างชัดเจนว่า:
“โปรดบอกความสัมพันธ์ของพวกคุณให้รู้ด้วยครับ!”
ทันใดนั้นความเงียบก็เกิดขึ้นในห้องทันที
ไอร์ซไม่รู้ว่าคำถามนี้มีอะไรแอบแฝงมาหรือไม่ ขณะที่ทางทีมของปีเตอร์ก็เข้าใจความต้องการของลูคลูเธอร์
“…เราก็แค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น”
หลังคำตอบของไอร์ซ คำถามถัดมาของลูคลูเธอร์ก็ได้ก่อให้เกิดความสับสนขึ้น
“ผมหลงรักคุณเข้าแล้ว! มันเป็นรักแรกพบอย่างแน่นอน! ได้โปรดคบกับผมด้วยครับ!”
ทั้งหมดต่างหันมามองที่ลูคลูเธอร์เป็นจุดเดียว ต่างรับรู้ว่าเขาไม่ได้เล่นตลกเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของกลุ่มแน่นอน ไอร์ซได้เลื่อนสายตาไปยังนาเบรัลที่กลายเป็นจุดสนใจ ซึ่งเธอก็สูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าวออกมา:
“หุบปาก เจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ (ไอ้หนอนแมลง) หัดเจียมตัวซะบ้าง หรืออยากจะให้ดิฉันกระชากลิ้นเน่าๆนั่นออกมาหากว่ายังไม่หุบปากอีก”
เสียงในตอนนี้ยิ่งเงียบเสียยิ่งกว่าที่เคยเงียบมาเสียอีก
“อาห์ คือว่า…”
ไอร์ซพยายามที่จะทำให้สถานการณ์เย็นลง แต่ว่าลูคลูเธอร์ก็เป็นฝ่ายที่พูดขึ้นมาก่อน: “ขอบคุณมากสำหรับการปฎิเสธอย่างตรงไปตรงมา! ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มจากเป็นเพื่อนกันก่อนก็แล้วกัน!”
“ตายไปซะเจ้าชั้นต่ำ ทำไมดิฉันต้องเป็นเพื่อนกับแกด้วย (ไอ้หนอนแมลงวัน)? อยากให้ดิฉันเอาช้อนควักลูกตาเน่าๆนั่นออกมามากสินะคะ?”
ทั้งหมดต่างถอนสายตาออกจากคู่กัดตรงหน้า ตอนนี้ปีเตอร์ และไอร์ซต่างโค้งขอโทษให้แก่กัน
“…เพื่อนของเราสร้างปัญหาให้คุณเหลือเกิน”
“ไม่หรอก ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอโทษ”
“เอาเป็นว่าเราต่างก็ไม่มีปัญหาดีไหม?”
ปีเตอร์กล่าวขณะมองไปทีทุกคน โดยทำเป็นไม่เห็นลูคลูเธอร์ที่เริงร่าอยู่ กับนาเบรัลที่แผ่รังสีอำมหิตออกมา
“ถ้าอย่างนั้นคุณโมมอน เราจะออกเดินทางเมื่อคุณพร่อม ส่วนพวกเราพร้อมทุกเมื่ออยู่แล้ว”
เมื่อโมมอนได้ยินคำว่า ‘เตรียมตัว’ ไอร์ซก็นึกขึ้นมาได้
เขาได้รับของใช้ที่จำเป็นไม่มากมาจากเจ้าของร้าน แม้ไอร์ซ และนาเบรัลจะไม่ต้องการเปลืองเนื้อที่ในการเก็บอาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่จำเป็น แต่คงเป็นที่น่าสงสัยหากว่าพวกเขาไม่ทานอะไรเลย ดังนั้นแล้วพวกเขาต้องเตรียมของกินติดตัวไปบ้าง
“ตกลง เราออกเดินทางทันที่ที่การเตรียมเสบียงเรียบร้อย”
“คุณต้องการแค่อาหารงั้นเหรอ? ถ้าไม่ได้มีร้านไหนที่คุณอยากอุดหนุนเป็นพิเศษ ไม่ลองซื้ออาหารแห้งจากเคาเตอร์ดูล่ะ? พวกเขาพร้อมเตรียมให้ได้เลยนะ”
“งั้นเหรอ? งั้นก็ดีเลย แสดงว่าเราพร้อมจะออกเดินทางได้เลยตอนนี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียงทั้งหมดต่างลุกออกจากห้องทันที
หลังกลับมาที่กิลล์ พวกเขาก็พบว่าจำนวนนักผจญภัยนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิม หลายกลุ่มนั้นยืนอออยู่ที่หน้าแผ่นหนังบนบอร์ด แต่ส่วนใหญ่แล้วต่างมุ่งความสนใจไปยังเด็กหนุ่มผมบลอนด์คนหนึ่ง
เด็กหนุ่มผมบลอนด์นั้นกำลังคุยกับพนักงานต้อนคนหนึ่ง โดยสองคนที่เหลือต่างก็ตั้งใจฟังเช่นกัน หากว่าก่อนหน้านี้ไอร์ซมีปัญหาเรื่องงานเป็นอย่างมาก ทว่าตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกกลับ 180 องศาเลยทีเดียว
ใบหน้าของพนักงานต้อนรับ ที่ถูกคือปากของเธอเป็นรูป O ไปแล้ว เป็นท่าทางถึงอาการตกใจอย่างมาก จากนั้นเธอก็มามายังที่ไอร์ซ
เกิดอะไรขึ้น?
ขณะที่ไอร์ซยังงุนงงอยู่ พนักงานต้อนรับก็ลุกขึ้น และเขามากล่าวว่า:
“มีงานที่ถูกระบุชื่อของคุณมาค่ะ”
คำกล่าวของเธอได้เปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบไปในทันที และไอร์ซก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมายังที่ตัวเขาด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง
สมาชิกของกลุ่มดาบดำต่างก็ตกตะลึงกันทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศตอนนี้ดูสับสนวุ่นวายอย่างน่าประหลาด นาเบรัลก็ขยับตัวเล็กน้อยเป็นการเตรียมพร้อมหากมีการต่อสู้เกิดขึ้น
สำหรับไอร์ซนั้นตอนนี้กำลังวิตกอย่างหนัก
ไม่ดีแน่ ท่าทางของนาเบรัลไม่ดีแล้ว จากสัญชาตญาณของนาเบรัล เธออาจปักใจเชื่อว่าสถานการณ์รอบตัวที่เปลี่ยนไปเป็นเรื่องไม่ปกติ และเตรียมตัวปกป้องไอร์ซในทันที แต่นั่นมันโจ่งแจ้งไปแล้ว หากใช้สามัญสำนึกไตร่ตรองดู การทำแบบนี้มันไม่สมควรอย่างยิ่ง
การป้องกันภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสุด แต่นี่มันจะสะเพร่าเกินไปแล้ว
ทำไมโง่อย่างนี้ อัลเบโดก็อีกคน พวกนี้คิดอะไรกันเนี่ย…บางทีพวกนี้คงไม่ได้ใช้สมองคิดเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกนี้ต่างก็เหยียดเผ่าพันธุ์มนุษย์กันทั้งนั้น เลยทำกับพวกนี้เหมือนบี้แมลงธรรมดาแค่นั้นเอง
เนื่องจากสมาชิกทั้งหมดของ ‘ไอร์ซ โออ์ล โกว์น’ ล้วนเป็นเผ่าเฮเทโรมอร์ฟิกกันหมด ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะมีทัศนคติแบบนี้ แต่อย่างน้อยก็ควรสนใจกาละเทศะบ้าง
ไอร์ซที่กำลังประสบปัญหาในตอนนี้อยากเหลือเกินที่จะไปถามเหล่าอดีตเพื่อนร่วมกิลล์ทั้งหลายว่า “ทำไมถึงสร้าง NPC แบบนี้กัน?” เรื่องการตั้งค่าตัวละครก็เรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีทักษะในการเข้าสังคมบ้าง แล้วก็น่าจะรู้จักการสังเกตุบรรยากาศบ้างว่าต้องทำตัวอย่างไรในเวลา, สถานที่ และสถานการณ์ต่างๆอย่างไร
ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมานั่งอธิบายกันแล้ว หากว่ามีคนเห็นนาเบรัลที่เตรียมพร้อมรบ คงไม่ต้องบอกเลยว่าจะวุ่นวายกันมากขนาดไหน
ไอร์ซรีบเอามือสับไปที่หัวนาเบรัลอย่างเร็ว โดยที่เขาก็ไม่ได้ใช้แรงอะไรมาก แต่การที่ถูกสับด้วยโลหะก็ดูจะทำให้เจ็บปวดไม่มากก็น้อย และเมื่อนาเบรัลที่ทั้งสับสน และตกใจมองมายยังไอร์ซด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ และหันไปคุยกับพนักงานต้อนรับ:
“ใครที่เป็นคนทำเรื่องมางั้นรึ?”
หลังจากเอ่ยปากแล้ว ไอร์ซก็ลอบตำหนิตัวเอง ก็เห็นอยู่ว่าคนที่กล่าวถึงก็คือเด็กหนุ่มตรงหน้านั่นเอง
“ค่ะ คนที่ทำเรื่องคือ คุณเอนฟรี บารีล ค่ะ”
ชื่อนี้เขาเพิ่งจะได้ฟังมาเมื่อสักครู่นี้เอง และระหว่างที่เขากำลังนึกอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็กล่าวออกมา:
“สวัสดีครับ ผมเองที่เป็นคนส่งคำร้อง”
เด็กหนุ่มพยักหน้าทักทายไอร์ซ ซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบรับ
“ส่วนเรื่องที่จะขอให้ช่วย----”
ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มกล่าวจบ ไอร์ซก็ยกมือขึ้นขัดเสียก่อน:
“ต้องขอโทษด้วย ข้าเพิ่งจะทำข้อตกลงรับงานอื่นมา คงจะรับงานนี้ไม่ได้”
ทันใดนั้นความกดดัน ณ ที่แห่งนี้ดูจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกของ ‘กลุ่มดาบดำ’ ต่างก็แสดงอาการตื่นเต้นออกมาให้เห็น
“คุณโมมอนนี่มันคำร้องแบบระบุชื่อเลยนะ”
อาการที่แสดงออกของปีเตอร์ทำให้ไอร์ซสงสัยเป็นอย่างยิ่ง การมีคำร้องแบบระบุชื่อมันน่าประหลาดใจขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ว่า----
“ก็ใช่ แต่ข้าควรจะรับผิดชอบกับงานที่ตกลงไว้ก่อนแล้วจริงไหม?”
คำตอบของไอร์ซนั้นดังขึ้นโดยเหล่านักผจญภัยที่อยู่รอบๆต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย อย่างไรก็ตามคำกล่าวด้วยความปรารถนาดีก็ดังขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน:
“ตะ-แต่…งานของพวกเรามันไม่ได้มีคำร้องมาเลยนะ แล้วเราก็ไม่มีรางวัลให้ถ้าหากไม่ได้เจอกับมอนสเตอร์อีกด้วย…”
ปีเตอร์กล่าวให้มูลอย่างตะกุกตะกักกับไอร์ซอย่างไม่มั่นใจ
ภารกิจที่มาจากเด็กหนุ่มซึ่งมียายที่มีชื่อเสียง และตัวเขาเองก็เป็นคนดังเช่นเดียวกันด้วย นี่มันโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากหากเทียบกับการตระเวนออกล่าเงินรางวัลจากมอนสเตอร์ นั่นอธิบายถึงท่าทีที่พลิกกลับของปีเตอร์ได้เป็นอย่างดี
ด้านไอร์ซที่ได้ตัดสินใจแล้วก็เอ่ยออมาอย่างนุ่มนวลว่า:
“…งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันปีเตอร์ ทางคุณบารีลก็ยังไม่ได้คุยเรื่องรายละเอียดของงานเลย ทั้งเรื่องเวลา และค่าตอบแทน ไว้ข้าจะตัดสนใจหลังจากได้ฟังรายละเอียดก็แล้วกัน”
“ชั้นไม่มีปัญหาหรอก ที่จริงก็อยากเริ่มงานตอนนี้เลย แต่เราก็รอได้วันสองวันแหละ”
“เอาแบบนี้ดีไหม หากจะให้เพื่อนๆจากกลุ่มดาบดำเข้าฟังเรื่องที่จะคุยกัน หากเราตกลงกันได้…ไม่สิ หากเราไม่สามารถตกลงกันได้ ก็ขอให้ข้ารับงานที่สัญญากับพวกเขาเอาไว้”
“เอ๋? จะดีเหรอคุณโมมมอนที่ให้เราเข้าฟังด้วยน่ะ?”
“ใช่แล้ว ข้าอยากฟังความเห็นของทุกคนเหมือนว่าเราเป็นกลุ่มเดียวกัน”
หลังได้รับการยินยอมจากสมาชิกกลุ่มดาบดำแล้ว ไอร์ซและคนอื่นๆก็กลับไปยังห้องที่เพิ่งออกมาเมื่อสักครู่
เวลานี้ทุกสิ่งดูจะเร่งรีบไปหมด
ไอร์ซแอบยิ้มเจื่อนๆอีกรอบ จากนั้นก็นั่งลงยังที่เก้าอี้ตัวเดิม โดยมีนาเบรัลนั่งข้างๆ ด้านเด็กหนุ่มก็นั่งห่างจากไอร์ซโดยมีเก้าอี้คั่นระหว่างทั้งสอง ส่วนกลุ่มดาบดำก็นั่งที่เดิมเหมือนกับไอร์ซ
และเสียงแรกที่กล่าวออกมาจากในกลุ่มก็คือเสียงของเด็กหนุ่ม:
“ที่จริงเจ้าหน้าที่ก็แนะพูดถึงผมมาแล้ว แต่ก็ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผม เอนฟรี บารีล เป็นนักปรุงยาของเมืองนี้ ส่วนรายละเอียดของงานก็คือ ผมมีแผนจะออกเดินทางไปยังป่าใกล้ๆนี้ อย่างที่ทุกท่านทราบ ในป่ามันค่อนข้างอันตราย ดังนั้นผมจึงอยากให้คุณช่วยคุ้มครอง และถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยรวบรวมสมุนไพรด้วยครับ”
“บอร์ดี้การ์ดสินะ เข้าใจล่ะ”
ไอร์ซพยักหน้ารับพร้อมกับกับนึกถึงความยากของงาน
ไอร์ซรู้ดีว่าเขานั้นแข็งแกร่ง และยิ่งมีนาเบรัลอยู่ด้วยแล้ว เขาย่อมสามารถจัดการกับมอนสเตอร์ที่จู่โจมมาได้อย่างสบาย ทว่าทั้งไอร์ซ และนาเบรัลทั้งคู่ต่างก็เป็นสายเวทย์ และยังไม่มีทักษะหรือสกิลประเภทป้องกันที่จะช่วยปกป้องคนอื่น ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ค่อยมั่นใจเรื่องการคุ้มกันนัก
“แน่นอนครับว่าค่าตอบแทนต้องสูง----”
“----โปรดรอสักครู่ งานคุ้มกันดูจะเหมาะกับพวกนายนะ ปีเตอร์สนใจจะมารับงานกับข้าแทนไหมละ?”
“เอ๋?”
“สำหรับการคุ้มกัน และรวบรวมสมุนไพร การมีเรนเจอร์อย่าง ลูคลูเธอร์ และดรูอิดอย่าง ไดน์ ช่วยน่าจะช่วยได้มากเลย”
“โอห์! คุณโมมอนนี่ตาแหลมมาก ดรูอิดจะมีจะใช้พลังได้อย่างเต็มที่ในป่า และยังทรงพลังกว่าเรนเจอร์แบบลูคลูเธอร์อีกด้วย”
เสียงต่ำที่หยิ่งทะนงของไดน์ทำให้ลูคลูเธอร์ดูจะไม่ค่อยพอใจนัก
“ที่พูดนี่หมายความว่าไงนะไดน์”
“ถ้าดูจากทักษะต่างๆของดรูอิดแล้ว นี่คือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฎิเสธได้! แล้วอย่าลืมว่าชั้นน่ะยังมีความรู้เรื่องศาสตร์แห่งยารักษาอีกด้วย!”
“หืม-----ปีเตอร์ชั้นเอาด้วยแล้วกัน แล้วเราจะได้เห็นดีกันว่าเทียบกับคุณท่านดรูอิดแล้วใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน”
“งั้นตกลงคือทุกคนเอาด้วยสินะ งั้นเราจะล่ามอนสเตอร์ที่เราเจอมาขึ้นเงินกับทางเมือง ถือว่าเป็นรายได้เสริมก็แล้วกัน ถ้ายังไงส่วนนั้นก็แบ่งให้กับคุณบารีลเท่ากับพวกเราทั้งหกด้วย ว่าไงปีเตอร์?”
“ถ้าคุณโมมอนว่างั้น เราก็เอาตามนั้นแล้วกัน”
“เอาละคุณบารีล ต้องขอโทษที่ให้รอนาน จะสะดวกไหมหากให้ทั้งหมดเข้าร่วมงานนี้ด้วย?”
“เข้าใจแล้ว ผมไม่มีปัญหาหรอกครับ ถ้างั้นก็ผมก็ขอฝากทั้งหมดไว้ที่ทุกคนด้วยนะครับ อาห์ แล้วก็เรียกผมแค่บารีลก็พอ”
จากนั้นกลุ่มของไอร์ซก็เริ่มแนะนำตัว โดยนาเบรัลก็จบการแนะนำตัวไปได้ด้วยดีแม้จะใช้สายตาที่ดูแคลนมองมาตลอด
“สำหรับแผนการนะครับ เราจะไปที่หมู่บ้านคาร์นีเพื่อใช้เป็นฐานก่อน จากนั้นจึงค่อยเข้าป่ากัน นี่เป็นปกติที่เราทำกันมา จำนวนวันที่จะใช้ในการรวบรวมสมุนไพรก็ขึ้นกับที่เราหามาได้ แต่อย่างมากก็อยู่ที่สามวัน โดยเฉลี่ยจากที่เคยมาก็ประมาณสองวันน่ะครับ”
“แล้วเราจะไปกันยังไงละ?”
“มีรถม้าไปครับ แต่ข้างในเรามีตู้เก็บสมุนไพรอยู่เต็มเลยไม่มีที่เผื่อให้เข้าไปนั่งได้นะครับ”
“เราจะหาเสบียงเพิ่มที่หมู่บ้านคาร์นี่ได้ไหม?”
“เรื่องน้ำดื่มไม่น่ามีปัญหา แต่เรื่องอาหารคงจะยากหน่อย คาร์นี่ไม่ใช่หมู่บ้านที่ใหญ่น่ะครับ”
สมาชิกของกลุ่มดาบดำต่างเริ่มถกเถียงถึงการเตรียมตัวที่จำเป็น และสอบถามบารีลอีกหลายคำถาม เมื่อเห็นเช่นนี้ไอร์ซจึงได้ถามออกมาบ้าง:
“ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม ไอร์ซก็ได้ถามคำถามแรกออกมา:
“ทำไมถึงเลือกข้าล่ะ? ข้าเพิ่งจะโดยสารรถม้ามาเมืองนี้เร็วๆนี้เอง ดังนั้นข้าเลยไม่รู้จักใครที่นี่ และข้าก็ไม่ได้โด่งดังอะไรด้วย แต่นายก็ยังเจาะจงตัวข้ามา แล้วยังเรื่องที่บอกว่า ‘ที่ออกไปรวบรวมตามปกติอีก’ นั่นหมายความว่านายก็ต้องเคยจ้างนักผจญภัยกลุ่มอื่นมาก่อนถูกไหม? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขางั้นรึ?”
สายตาที่จ้องมองภายใต้หมวกเหล็กนั้นกลับแหลมขึ้นมา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้เจาะจงตัวเขา หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยละก็ เขาคงต้องทำการแปลงโฉมใหม่ และดำเนินการด้วยแผนการใหม่
จากการสังเกตุอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากใบหน้าครึ่งหนึ่งของเด็กหนุ่มถูกผมปิดเอาไว้ทำให้เขาไม่อาจเห็นดวงตาได้อย่างชัดเจน เขาจึงไม่อาจอ่านถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเด็กหนุ่มได้
หรือเขาจะคิดมากไปเอง ขณะที่ไอร์ซรู้สึกสงสัยอยู่นั้น เอนฟรีก็ตอบกลับมา:
“อาห์ นักผจญภัยที่ผมเคยจ้างเป็นประจำเหมือนจะไปจากรี-เอซไทซ์แล้ว ผมเลยต้องหานักผจญภัยคนใหม่ ทีนี้…ผมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมจากลูกค้าที่มาที่ร้านน่ะครับ”
“เหตุการณ์ในโรงเตี๊ยม?”
“ครับ ผมได้ฟังมาว่ามีคนที่เหวี่ยงนักผจญภัยที่ระดับสูงกว่าหนึ่งได้ง่ายๆเลย”
“งั้นเรอะ…”
ตอนนั้นเขาอยากจะโชว์พลัง และสร้างชื่อเสียงของเขา อย่างนั้นเด็กหนุ่มนี่ก็มาติดเบ็ดงั้นเหรอ? พร้อมกับไอร์ซที่รู้สึกโล่งใจ เด็กหนุ่มก็ชี้มยังเหรียญทองแดงท่อกของไอร์ซ และกล่าวติดตลกมาว่า:
“อีกอย่างนะครับ นักผจญภัยเหรียญทองแดงค่าจ้างก็ถูกกว่าจริงไหมครับ? ถ้าทางว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีกนานเลยละครับ”
“ฮ่าฮ่า คงงั้นแหละ”
การจ้างพวกที่หน้าใหม่งั้นเหรอ ไอร์ซเข้าใจความคิดเช่นนี้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าความกังวลของเขาถูกขจัดออกไปแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่ติดใจเขาอยู่ หากว่าเป็นอย่างที่คิดละก็-----
ระหว่างที่ไอร์ซกำลังนึกอยู่นั้น คนอื่นก็ถามคำถามเอนฟรี โดยที่เอนฟรีก็คอยตอบคำถามไปเรื่อยๆ หลังแน่ใจว่าทุกคนหมดคำถามแล้ว เอนฟรีก็กล่าวออกมา:
“งั้นพอเราเตรียมตัวเสร็จแล้วก็เดินทางกันได้เลยนะครับ!”
Part 5
เวลานี้เป็นยามเที่ยงคืน ที่ความมืดได้คอบคลำทั่วที่เก็บศพขนาดใหญ่ของรี-เอซไทซ์
ร่างในชุดดำที่สวมฮู๊ดได้เคลื่อนกายอย่างเป็นเอกลักษณ์ โดยที่ไหล่ และเอวไม่ได้ขยับเลยราวกับวิญญาณที่ล่องลอยไปมา
ร่างนี้หลบหลีกแสงจากเวทย์ของที่เก็บศพอย่างแคล่วคล่อง และล่วงเข้าไปยังส่วนลึกของสถานที่
หลังจากเข้ามาถึงห้องพิธี เจ้าของร่างก็ได้ปลดฮู๊ดลง
และที่เผยโฉมให้เห็นคือหญิงสาววัยประมาณยี่สิบ ซึ่งอยู่ในช่วงเบ่งบานสูงสุดของวัย
รูปร่างที่อรชรของเธอให้ความรู้สึกงดงาม และปราดเปรียวเหมือนแมว เธออาจดูน่ารักทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่นั้นคือความดิบเถื่อนของพวกสัตว์กินเนื้อที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ
“ในที่สุดก็ถึงซะที”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ขณะที่เธอปัดผมม้าสีบลอนด์นั้น เธอก็เปิดประตูหินของห้องพิธีในเวลาเดียวกัน เสียงของโลหะที่ดังกระทบเล็ดลอดออกมาจากใต้เสื้อคลุมของเธอ ซึ่งน่าจะเป็นเสียงของเกราะห่วงโซ่
ภายในห้องพิธีนั้น ร่างของผู้ตายที่น่าจะอยู่บนแท่นหินได้อันตธานหายไปแล้ว และเหล่าของเซ่นไหว้สำหรับผู้วายชนม์ก็ไม่มีเหลือให้เห็นเช่นกัน
ที่แท่นหินนั้นเหมือนกับว่าถูกพรมด้วยน้ำหอมคละคุ้งไปทั่ว กลิ่นที่หอมฟุ้งนี้เมื่อหญิงสาวได้สูดเข้าไปดูจะทำให้เธอเคืองจมูกไม่น้อย
เธอจามออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงไปยังแท่นหิน
“ฮึ่ม-ฮืม-ฮึ้ม~ ฮื้ม~”
หญิงสาวฮัมในลำคอก่อนจะกดปุ่มที่ซ่อนอยู่ข้างใต้
เมื่อปุ่มถูกกดลง เสียงคลิ๊กก็ดังขึ้น จากนั้นฟันเฟืองก็เริ่มหมุนขยับ และในชั่วอึดใจ แท่นหินก็เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงเคลื่อนตัวนั้น บันไดสู่ห้องใต้ดินก็ถูกเผยออกมา
“จะเข้าไปละน้า”
หญิงสาวส่งเสียงออกมาอย่างสบายๆ ก่อนจะก้าวลงไปเบื้องล่าง หลังจากเดินวนไปมาสักพักเธอก็มาถึงพื้นที่ว่างขนาดใหญ่
ทั้งผนัง และที่พื้นเต็มไปด้วยดินโคลน ทว่ามันก็ถูกจัดด้วยเหล่าช่างจนมีความทนทานพอให้ที่แห่งนี้ไม่ถล่มลงมาง่ายๆ อากาศภายในก็ไม่ได้อับชื้นเลย มันค่อนข้างจะถ่ายเทได้ดีจากช่องระบายอากาศที่ติดตั้งไว้สักที่
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่เก็บศพ แต่ดูมีอาถรรพ์กว่ามาก
ม่านขนาดใหญ่ที่ดูแปลกตาถูกแขวนไว้บนผนัง คู่กับเทียนสีแดงทำจากโลหิตอยู่ถัดลงมา ก่อให้เกิดแสงสลัวๆ และกลิ่นเลือดที่ถูกเผาไหม้
เปลวไฟจากเทียนที่สั่นไหวไปมาก่อให้เกิดเงามืดนับไม่ถ้วน ภายในที่แห่งนี้มีถ้ำอยู่หลายจุด และทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยเหล่าอันเดดระดับต่ำ
หญิงสาวมองสำรวจไปรอบๆจนกระทั่งเธอถูกดึงดูดสายตาไปยังจุดหนึ่ง
“เฮ้ นายคนที่ซ่อนอยู่ตรงนั้นน่ะ มีแขกมาเยี่ยมแล้วน้า”
คนที่ซ่อนอยู่ตรงมุมมืดของห้อง และกำลังลอบจับตาเธอสะดุ้งขึ้น
“ฮาโหล เค้าจะมาหาคาจิ-จัง แหละ เขาอยู่ม้ายยย”
ชายที่ถูกเรียกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แล้วก็เริ่มตัวสั่นขณะได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงสาวที่ก้าวเข้ามา
“เอาละ เจ้าไปได้แล้ว”
เสียงที่ดังขึ้นเกิดจากชายอีกคนซึ่งโผล่ออกมาอย่างฉับพลัน โดยเขากล่าวกับชายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
ผู้ที่เผยโฉมออกมาเป็นชายร่างผอม
ดวงตาของเขานั้นซูบตอบ และผิวของเขาก็ดูจะไม่เหมือนคนที่สุขภาพดีนัก ทั่วทั้งต่างของเขานั้นยังไม่มีเส้นผมให้เห็นเลยสักเส้น ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งขนคิ้ว และขนตาของเขาก็ไม่มีให้เห็นเลย
รูปร่างของเขานั้นยากที่จะบอกอายุได้ แต่เขาก็ไม่น่าจะมีอายุมากนัก เห็นได้จากผิวที่ยังไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น
ชุดที่เขาสวมเป็นชุดคลุมสีแดงเข้ม และรอบคอก็ห้อยไว้ด้วยกระดูกของสัตว์เล็กๆที่ร้อยเข้าด้วยกัน มือทั้งสองข้างของเขานั้นเป็นเพียงหนังหุ้มกระดูก และในมือข้างหนึ่งที่มีเล็บที่สกปรกจนเหลือง มือข้างนั้นถือไม้เท้าสีดำเอาไว้ ทำให้เขาดูเหมือนกับอันเดดมอนสเตอร์มากกว่าจะเป็นคนเสียอีก
“ไฮ คาจิ-จัง”
น้ำเสียงที่สบายๆของหญิงสาวทำให้ชายที่ถูกเรียกต้องทำหน้าไม่พอใจออกมา
“เจ้าอย่าเรียกข้าแบบนั้นได้ไหม? มันเป็นการหมิ่นเกียรติของท่านซูรานอน”
ซูรานอน
องกรณ์ลับที่ชั่วร้าย และทรงอำนาจ ซึ่งมีหัวหน้าที่มีชื่อเสียงอันชั่วร้าย องกรณ์นี้ก่อตั้งโดยเหล่าผู้ขับขานมนตราระดับแนวหน้า และพวกเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังโศกนาฎกรรมจำนวนมาก และยังเป็นภัยคุกคามต่อประเทศโดยรอบอีกด้วย
“งั้นเหรอ…”
หญิงสาวดูจะไม่สนใจคำร้องขอทำให้เขายิ่งบึ้งตึงขึ้นไปอีก
“…แล้ว? เจ้ามาทำไมที่นี่? เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังใส่พลังเข้าไปในไข่มุกแห่งความตายอยู่ ถ้าเจ้ามีแผนที่จะสร้างปัญหาละก็ ข้าก็มีวิธีจัดการเจ้าเช่นกัน”
ว่าแล้วเขาก็หรี่ตาพร้อมจับไม้เท้าแน่น
“ใจร้ายจังอ่า คาจิ-จัง ที่เค้ามาก็จะเอานี่มาให้แหละ”
หญิงสาวเผยรอยยิ้มอันแสนน่ารัก พร้อมกับล้วงหาของบางอย่างจากใต้ผ้าคลุม หลังจากหาไอเทมได้สักพัก เธอก็หยิบเอาของออกมาไว้ในมืออย่างเบิกบาน
และที่เธอหยิบออกมาคือมงกุฎอันหนึ่ง
อัญมณีเล็กๆจำนวนมากถูกใช้ประดับตัวเรือนสีทอง ดูราวกับหยดน้ำบนใยแมงมุม มันเป็นงานศิลปะที่ปราณีตอย่างมาก และที่ตรงกลางตัวมงกุฎ บริเวณที่ตรงกับหน้าผากนั้นประดับด้วยอัญมณีขนาดใหญ่ที่ดูราวกับคริสตัลสีดำ
“นี่มัน!”
คาจิถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก
แม้เขาจะมองมันจากระยะไกล แต่เขาก็แน่ใจว่ามงกุฎที่เห็นนี้เป็นอันเดียวกับที่เขาเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว
“สัญลักษณ์ของเจ้าหญิงมิโกะ [มงกุฎแห่งปัญญา]! นี่มันหนึ่งในสมบัติประจำศาสนจักรสิเลียนไม่ใช่เหรอ?”
“ถูกต้องนะค้า พอดีเค้าเห็นเด็กน้อยน่ารักสวมมงกุฎแปลกนี่ แต่เค้าว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับเธอเลยหยิบติดมือมาด้วย แต่ว่านะ เค้าตกใจมาเลยอะ! อยู่ดีๆแม่หนูน้อยก็คลั่งขึ้นมาเฉยเลย แล้วก็นะเค้าเลยช่วยกระซวกไส้ออกมาเลย”
หญิงสาวหัวเราะอย่างร่าเริง
หากว่ามีใครถอด [มงกุฎแห่งปัญญา] ออก ผู้ที่สวมใส่คนปัจจุบันซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเฉลิมฉลองเทศกาลเวทย์แห่งศาสนจักรสิเลียน ตัวของเจ้าหญิงมิโกะก็จะต้องอยู่ในสถานภาพที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ไม่มีทางเลยที่หญิงสาวคนนี้ ซึ่งเป็นสมาชิกของหน่วยคัมภีร์ทมิฬจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา
ซึ่งหน้าที่ต่อจากนั้นของหน่วยคัมภีร์ทมิฬก็คือการส่งเจ้าหญิงมิโกะที่เสียสติไปพบกับพระเจ้าหลังจากมงกุฎถูกถอดออก เพื่อให้เจ้าหญิงมิโกะคนต่อไปมาแทนที่
“แต่ก็ช่วยไม่ได้อะนะ มันเป็นทางเดียวที่จะเอามันมาได้นี่ ไม่ใช่ความผิดของเค้านะ ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษคนที่สร้างมงกุฎขึ้นมาต่างหาก”
ไม่มีทางเลยที่จะถอดมงกุฎนี้ได้อย่างปลอดภัย เว้นแต่จะทำลายมัน
ตัวมงกุฎนั้นจะสะกดผู้สวมใส่ และเปลี่ยนให้ผู้สวมกลายเป็นไอเทมเวทย์ระดับสูง ดังนั้นแล้วย่อมไม่มีใครที่จะยอมทำเรื่องเสียหาย และทำร้ายผู้คนเช่นนี้หรอก
เว้นแต่พวกวิกลจริตเช่นนี้
“หืม ของที่เค้าขโมยติดมือมาตอนหักหลังหน่วยคัมภีร์ทมิฬเหมือนจะเป็นขยะอะนะ ที่จริงเค้าน่าจะเอาดิไวน์อาติแฟล็กของเทพทั้งหกมาดีกว่าน้า”
“เรียกนี่ว่าขยะ นั่นก็ออกจะ---”
คาจิเรียกหญิงสาวที่กำลังทำแก้มป่อง:
“แต่ก็เป็นขยะอยู่ดีแหละ? มีผู้หญิงแค่หนึ่งในหมื่นที่สวมไอเทมนี้ได้ แล้วก็นะ มันยากมากเลยอะที่จะหาคนที่เหมาะสมได้จากที่อื่นที่ไม่ใช่ศาสนจักรสิเลียน”
ศาสนจักรสิเลียนนั้นเป็นประเทศหนึ่งเดียวในภูมิภาคนี้ที่มีการลงทะเบียนประชากร โดยใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ทำให้สามารถค้นหาผู้ที่เหมาะสมกับมงกุฎได้โดยไว หรือหากจะพูดตรงๆก็คือง่ายต่อการหาเครื่องสังเวยนั่นเอง
หากไม่ใช้วิธีนี้การหาผู้ที่เหมาะสมก็ยากมากแม้จะใช้อิทธิพลของซูรานอนก็ตาม
“แต่ก็น้า จะให้ไปขโมยดิไวน์อาติแฟล็กก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก ก็มันมีเจ้าสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดในหน่วยคัมภีร์ทมิฬรักษาอยู่นี่ เจ้าคนที่ก้าวข้ามขีดจำกัดทางร่างกายของมนุษย์ไปแล้ว คนที่มีสายเลือดของเทพเจ้าทั้งหกไหลเวียนอยู่ ไอ้อวตารบัดซบนั่นอะ”
“กึ่งเทพ…เจ้านั่นแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ? ข้าเคยแค่ได้ยินเรื่องของมันจากเจ้าเท่านั้นเอง”
“เจ้านั่นอะนะเกินขอบเขตที่เรียกว่าแข็งแกร่งไปแล้ว นายน่ะไม่รู้หรอกเพราะข้อมูลนี้เป็นความลับมากๆเลยนี่น้า ถ้าใครเผลอรู้เข้าก็โดนสะกดจิตสอบสวนเลยแหละ หายนะชัดๆเลยเนอะ แล้วก็นะได้ยินมาว่าถ้าข่าวนี้รั่วออกไปละก็ สงครามกับพวกราชันมังกรเลือดบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ต้องเกิดขึ้นทันทีเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นนะศาสนจักรต้องเสียหายหนักแน่เลย ไม่แน่ว่าอาจจะล่มสลายเลยก็ได้ เค้าก็หวังว่านายจะทำเป็นไม่ยินที่พูดมาละน้า”
“ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้เลย”
“นายคิดแบบนั้นเพราะไม่เคยได้เห็นพลังนั่นนี่นา กลับมาเข้าประเด็นเถอะ คาจิ-เดล บาดานเทล ในฐานะของหนึ่งในสิบสองสมาชิกเสาหลัก นายจะร่วมมือกับชั้นไหม?”
ในตอนท้ายหญิงสาวก็เปลี่ยนน้ำเสียงที่พูดจากเดิม
“โอห์ ในที่สุดก็เผยตัวจริงออกมาซะทีสินะ? ขุนพลเงาของเอ็มเพรสออฟเทียร์...แล้วคราวหลังอย่าเรียกข้าด้วยคำว่า เดล อีกละ ข้าได้ทิ้งนามนั้นไปแล้ว”
“…งั้นก็อย่าเรียกชั้นว่าขุนพลเงาของเอ็มเพรสออฟเทียร์เหมือนกัน ตกลงนะ? เรียกชั้นว่า คลีเมนไทน์”
“…แล้วตกลง คลีเมนไทน์ มีอะไรให้ข้าช่วยละ?”
“ได้ยินมาว่าที่นี่มีคนที่มีความสามารถแฝงที่แสนโด่งดังใช่ไหม? บางทีเขาอาจสวมไอเทมนี่ได้น้า”
“…เข้าใจละ คนที่ลือกันนั่นสินะ แต่เจ้าเองก็ลักพาตัวคนแค่คนเดียวได้อยู่แล้วนี่?”
“ใช่แล้วละ แต่เค้าอยากให้ตอนที่ลงมือมันวุ่นวายมากๆด้วยนี่”
“งั้นเหรอ…การหลบหนีในความโกลาหลสินะ…”
“เค้าน่ะช่วยนายเรื่องพิธีกรรมได้น้า คิดว่าไงละ? เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวว่ามั้ย?”
คาจิเมื่อได้ยินก็กรอกตาไปมา และแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย:
“เยี่ยมไปเลย คลีเมนไทน์ ถ้าเจ้าร่วมมือละก็ เทศกาลแห่งความตายน่าจบลงก่อนตารางที่ตั้งไว้ซะอีก งั้นก็ไม่มีปัญหา ข้าพร้อมช่วยเจ้าอย่างเต็มที่เลย”
กำลังสนุก ขอบคุณครับ
ตอบลบ🏆เห็นsรีเวนจ์ Android Excellence 2021 🏆🎮เกม catapult เป็นเกมที่สนุก fun มาเริ่มเกมผจญภัยหนังสติ๊กกันเลย!. เลือกนกและไก่ของคุณ เกม Android ฟรี 2021 คุณสามารถเล่นเกมที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าเล็กน้อย เวลาที่ดีที่สุดผ่านเกมไก่
ตอบลบเกมนกบิน
https://play.google.com/store/apps/details?id=com.okpogame.hensrevenge&hl=th&gl=TH