Volume 2 Chapter 02 - Journey
Part 1
เส้นทางที่ใช้เดินทางจากรี-เอซไทซ์ไปยังหมู่บ้านคาร์นีนั้นมีสองเส้นทางด้วยกัน หากว่าเป็นการเดินทางโดยมีรถม้าบรรทุกของมาด้วยหลังจากเดินทางขึ้นเหนือแล้ว ก็ให้ตรงไปยังทางด้านขวาโดยยึดแนวขอบของป่าเอาไว้ หรืออีกทางหนึ่งก็คือเริ่มเดินทางจากทิศตะวันออกจากนั้นก็มุ่งตรงไปยังทิศเหนือ ซึ่งในครั้งนี้เส้นทางที่ถูกเลือกก็คือเส้นทางหลักนั่นเอง
เนื่องจากการเดินทางโดยยึดแนวชายขอบของป่านั้นมีโอกาสที่จะพบเจอกับมอนสเตอร์ได้ เส้นทางนี้จึงเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายในฐานะของคนคุ้มกัน
ถึงอย่างนั้นทั้งหมดต่างก็ยังเลือกเส้นทางนี้ เนื่องจากที่ไอร์ซต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับปีเตอร์ว่าจะออกล่ามอนสเตอร์ด้วยกัน แม้การเลือกเข่นนี้ดูจะได้น้อยกว่าเสีย แต่ทั้งหมดก็ยังคงเลือกเส้นทางนี้โดยไม่หวาดหวั่นเพราะมีโมมอน กับ นาเบลร่วมทางไปด้วย ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากที่นาเบรัลได้แสดงให้เห็นว่าสามารถร่ายเวทย์ระดับ 3 อย่าง ‘ไลท์ติ้ง’ เมื่อตอนที่ทั้งหมดออกจากเมืองมาแล้ว
นอกจากนี้ว่าไปแล้วพวกเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าไปในตัวป่าอยู่แล้ว การเดินทางของพวกเขานั้นอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างผืนป่า และทุ่งกว้าง ดังนั้นแล้วมอนสเตอร์ที่จะพบก็ไม่น่าที่จะแข็งแกร่งมากนัก เมื่อดูจากความสามารถของคนในกลุ่มแล้วย่อมรับมือกับได้ไม่ยากเย็นอะไร กล่าวโดยสรุปก็คือ การเลือกเส้นทางนี้ที่อาจจะต้องพบเจอกับมอนสเตอร์นั้นทำให้เหล่าสมาชิกได้แสดงศักยภาพในการต่อสู้ของแต่ละคนให้ประจักษ์ และด้วยความเห็นนี้เองที่ทำให้ทั้งหมดตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ในการเดินทาง
หลังออกจากรี-เอซไทซ์ดวงอาทิตย์ก็ได้ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะ และตอนนี้พวกเขาก็มองเห็นป่าดึกดำบรรพ์ที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่นจากระยะไกล ต้นไม้ขนาดมหึมาที่แตกแขนงกิ่งก้านจำนวนมาก และใบไม้ที่แออัดกันจนแสงแดดไม่สามารถสาดส่องลงมายังผืนป่าด้านล่างได้ แสงที่เล็ดลอยออกมาเล็กน้อยนี้ทำให้เกิดภาพลวงตาว่าผู้ที่หลงเข้าไปได้ถูกดูดกลืนโดยความมืด ช่องว่างระหว่างต้นไม้นั้นก็ดูราวกับปากที่อ้าออกรอให้เหยื่อหลงเข้าไป สภาพแวดล้อมที่ชวนให้หวาดหวั่นนี้ทำให้ทางกลุ่มเกิดความไม่สบายใจขึ้น
ในการเดินทางนี้ทางกลุ่มได้ทำการวางรูปขบวนให้ล้อมรอบเกวียนเอาไว้ โดยคนที่บังคับเกวียนก็คือเอนฟรีนั่นเอง ส่วนเรนเจอร์อยางลูคลูเธอร์ถูกจัดให้อยู่หน้าขบวน ด้านซ้ายมีปีเตอร์ที่เป็นนักรบดูแล ส่วนด้านขวาเป็นหน้าที่ของ ดรูอิด ดาร์วิน และผู้ขับขานมนตรา นินยา ในส่วนของไอร์ซ และนาเบรัลนั้นรับผิดชอบในการระวังหลัง
เนื่องจากว่าทัศนวิสัยนั้นกว้างมากทำให้แต่ละคนไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ปีเตอร์ก็ดูจะเคร่งเครียดขึ้นมา:
“โมมอน จากนี้ไปเราจะเข้าสู่เขตอันตรายกันแล้ว เราไม่น่าจะเจอกับมอนสเตอร์ที่เกินจะรับมือ แต่เพื่อความปลอดภัยขอให้เตรียมพร้อมเอาไว้ด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
ไอร์ซพยักหน้ารับทราบพร้อมกับนึกอะไรขึ้นมา
หากนี่เป็นเกมละก็ มอนสเตอร์ที่จะเจอก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานที่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรที่จะโผล่ออกมา
เมื่อเอาการต่อสู้ที่คาร์เน่ที่เพิ่งจบในไม่กี่วันมาเป็นเกณฑ์แล้ว รวมกับข้อมูลที่รีดได้มาจากพวกหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายซึ่งถูกจับกุมมาแล้ว ไอร์ซนั้นมันใจว่าตัวเขานั้นแข็งแกร่ง แต่นั่นคือตัวเขาในฐานะผู้ขับขานมนตรา ไม่ใช่สำหรับตัวเขาในตอนนี้ที่อยู่ในชุดเกราะซึ่งสร้างมาจากเวทย์ แล้วยังไม่สามารถใช้เวทย์ส่วนใหญ่ของเขาได้อีกด้วย
ด้วยตัวเขาที่ถูกกดความสามารถเอาไว้นี้ยังควรจะเล่นบทบาทของผู้คุ้มกันที่เก่งกาจอีกดีหรือไม่? ไม่เพียงเท่านั้น การคุ้มกันนั้นไม่ได้มีเป้าหมายในการจัดการกับคู่ต่อสู้ แต่มันคือการปกป้องนายจ้างซึ่งก็คือเอนฟรีนั่นเอง เมื่อคิดได้เช่นนี้ไอร์ซก็อดรู้สึกกังวลใจขึ้นมาไม่ได้
เขามีแผนที่จะยกเลิกการใช้ชุดเกราะเมื่อถึงคราวคับขัน แต่หากเขาทำเช่นนั้น เขาก็ต้องสังหารเหล่าผู้ที่ร่วมทางกับเขามาให้หมด หรือไม่ก็จัดการกับความทรงจำของพวกเขา ซึ่งไอร์ซไม่ต้องการจะทำเช่นนั้นเลย
วิธีพวกนั้นมันยุ่งยากเกินไป
ไอร์ซหันหัวกลับไปมองยังนาเบรัลซึ่งพยักหน้ารับเมื่อเขาจ้องมาหา
พวกเขาได้มีการปรึกษากันก่อนหน้านี้ ซึ่งนาเบรัลนั้นสามารถใช้เวทย์ขั้นสูงได้อย่างจำกัด โดยขั้นสูงสุดที่ใช้ได้คือขั้น 5 และเขาก็หวังว่ามันจะช่วยจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และหากนั่นยังไม่อาจแก้ปัญหาได้ ไอร์ซก็จะยกเลิกการสวมเกราะ และลงมือต่อสู้อย่างเต็มความสามารถด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นคู่หูที่แลกสายตากันทั้งที่ไอร์ซยังคงสวมหมวกเหล็กอยู่ ลูคลูเธอร์ก็เข้าใจไปเอง และกล่าวแบบติดตลกด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้กับนาเบรัลออกมา:
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าไม่มีการลอบจู่โจมก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก แล้วยิ่งรวมกับที่ผมคอยสำรวจรอบๆนี้ ไม่มีทางที่ศัตรูจะลอบเข้ามาได้หรอก เพราะงั้น นาเบล-จัง ผมเก่งใช่ไหมละ?”
นาเบรัลไม่สนใจคำอธิบายที่จริงจังของลูคลูเธอร์และกล่าวออกมา:
“โมมอน-ซัง ขอฉันขยี้เจ้า…ชั้นต่ำนี่ได้ไหมคะ(ยุง)”
“ได้รับคำพูดที่แสนเย็นชาของนาเบล-จัง มาแล้ว!”
ทั้งหมดต่างยิ้มแหยๆให้กับลูคลูเธอร์ ซึ่งชูนิ้วโป้งขึ้นมาโดยไม่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดที่แสนโหดร้ายของนาเบรัลเลย ซึ่งทั้งหมดก็สรุปเอาว่านาเบรัลนั้นไม่ได้มองมนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ โดยจำกัดไว้สำหรับบางคนเท่านั้น
ไอร์ซปฎิเสธความต้องการีของนาเบรัลในทันทีพร้อมกับปวดกระเพาะที่ไม่มีอยู่แล้วในตอนนี้ พวกเขาต้องเดินทางกับมนุษย์ เขาจึงหวังให้เธออย่างน้อยช่วยเก็บความคิดเอาไว้บ้าง
เอนฟรีดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ผิดไป และกล่าวแทรกขึ้นมา:
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ จากที่นี่ไปที่หมู่บ้านคาร์นีพวกเราอยู่ในถิ่นของ ‘ราชันพิสุทธิ์แห่งพนา’ ที่เป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมากๆ ถ้าไม่โชคร้ายจริงๆละก็ไม่มีทางที่เราจะเจอกับมอนสเตอร์หรอกครับ”
“ราชันพิสุทธิ์แห่งพนา?”
‘ราชันพิสุทธิ์แห่งพนา’ เป็นมอนสเตอร์ที่สามารถใช้เวทย์ได้ และยังมีพละกำลังอันมหาศาลอีกด้วย โดยที่มันอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในป่า ทำให้มีคนจำนวนน้อยที่เคยพบเจอ แต่การมีตัวตนของมันนั้นถูกกล่าวถึงมานานแล้ว ถึงขนาดที่บางคนกล่าวว่ามันคือปลาเงินสี่ขาที่มีอายุหลายร้อยปี หรืออย่างสัตว์อสูรสีขาวที่มีหางเป็นงู
‘ข้าอยากเจอมันเหลือเกิน ถึงจะยังไม่มั่นใจว่าข่าวลือมันเป็นจริงแค่ไหน แต่ว่าตัวมันอาจจะมีสติปัญญามากจนทำให้มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ถึงขนาดได้ชื่อว่าราชันพิสุทธิ์แห่งพนาเลยทีเดียว ถ้าข้าจับมันมาได้ละก็…มันจะต้องช่วยทำให้นาซาริกแข็งแกร่งขึ้นได้มากแน่นอน’
ไอร์ซตอนนี้กำลังจินตนาการถึงรูปร่างของมอนสเตอร์ขึ้นมาในหัว
‘ถ้านึกถึงที่ถูกเรียกว่าราชันพิสุทธิ์แห่งพนาแล้ว มันก็คงมีรูปร่างเหมือนพวกสัตว์อย่าง…อย่างลิง…อาห์ อุรังอุตังแบบนั้น หรือว่าจะเป็นพวกคนป่า…หรือที่จริงเป็นนักปราชญ์? แล้วที่ว่ามีหางเป็นงู…มันจะเป็นมอนสเตอร์แบบไหนกันนะ?’
เมื่อนึกถึงมอนสเตอร์ลักษณนี้ในอิกดารซิล ในที่สุดไอร์ซก็พบคำตอบที่ตามหา:
‘มันคือนูเอะแน่ๆ! ...รูปร่างที่มีหัวเหมือนลิง ตัวเป็นทานูกิ แขน และขาแบบเสือ กับหางเป็นงู...ข้าไม่แน่ใจว่ามันเป็นมอนสเตอร์จากอิกดราซิลหรือไม่ แต่บางทีมันอาจถูกอัญเชิญมาเหมือนพวกเทวฑูตพวกนั้นก็เป็นได้’
ระหว่างที่ไอร์ซกำลังนึกถึงเกี่ยวกับนูเอะในอิกดราซิล ลูคลูเธอร์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้นาเบรัลอีกครั้ง:
“หืมมม นี่ถ้าผมทำงานนี้ได้อย่างไร้ที่ติ ไม่รู้ว่าคนน่ารักอย่างนาเบล-จัง จะมองผมเปลี่ยนไปไหมนะ?”
เมื่อได้ยินนาเบรัลก็เดาะลิ้นอย่างขนะแขยง
เมื่อเห็นลูคลูเธอร์ก็ตอบสนองโดยทำท่าทางเหมือนเจ็บปวดอย่างมาก ซึ่งก็ไม่มีใครเข้าไปปลอบเขาเลยสักคน ทุกคนต่างทำเหมือนกำลังดูละครตลกอยู่เท่านั้น
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผา คนในกลุ่มต่างก็พูดคุยกันไปเรื่อยๆระหว่างการเดินทาง น้ำจากหญ้าที่ถูกย่ำได้ชะโลมรองเท้าของพวกเขาจนมีกลิ่นอันโดดเด่นออกมา
เมื่อมองคนในกลุ่มที่เช็ดเหงื่อกัน ไอร์ซก็รู้สึกดีที่กับร่างกายที่เป็นอันเดดของเขาซึ่งทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบจากแดดที่แผดเผา และยังไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากที่ต้องสวมชุดเกราะหนัก
ตอนนี้มีเพียงลูคลูเธอร์ที่ยังทำตัวร่าเริง และกล่าวอย่างสนุกสนานขณะที่คนอื่นในกลุ่มต่างนิ่งเงียบกัน
“ทุกคน ไม่ต้องระแวงไปหรอก ตราบเท่าที่ผมคนนี้เฝ้าดูอยู่ ดูสินาเบล-จัง เชื่อใจผมมากเลย เห็นไหมว่าเธอสงบมากแค่ไหน”
“ไม่ใช่เพราะแก แต่เพราะมี โมมอน-ซัง อยู่ด้วยต่างหาก”
นาเบรัลทำหน้าบึ้ง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ยากที่จะควบคุม ไอร์ซก็เอามือมาวางลงที่บ่าของเธอ ทำให้ท่าทีเธอดูอบอุ่นขึ้นมาในทันที
เมื่อสังเกตุการตอบรับของทั้งสอง ลูคลูเธอร์ก็ถามออกมา:
“นี่ ตกลงแล้ว นาเบล-จัง กับ โมมอน-ซัง ทั้งสองคนเป็นคู่รักกันงั้นเหรอ?”
“คะ-คู่รัก? นี่แกพูดอะไรออกมา! นั่นนะสำหรับอัลเบโด-ซามะ!”
“นี่!” ไอร์ซตวาดออกมา “นาเบล เธอพูดอะไรออกมา!”
“อ๋า!”
พร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลน นาเบรัลรีบปิดปากของเธอในทันที จากนั้นไอร์วก็กระแอมออกมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก:
“…นี่ลูคลูเธอร์ ช่วยอย่าด่วนสรุปเอาเองได้ไหม?”
“…อา—ชั้นผิดเองแหละ ก็แค่ล้อเล่นน่า อ๋า------ หรือว่าโมมอน-ซัง จะมีคนสำคัญคนอื่นอยู่แล้ว”
ท่าทางโค้งขอโทษของลูคลูเธอร์นั้นเห็นได้เลยว่าเขาไม่ได้ตั้งใจขอโทษเลยสักนิด ทว่าไอร์ซก็ไม่ได้หัวเสียเหมือนก่อนหน้า
การเลือกนาเบรัลมาด้วยนี่มันช่างสิ้นคิดจริงๆ
แต่หากจะบอกว่าเขาเลือกคนผิด ไอร์ซก็ไม่ได้มีตัวเลือกนักในเมื่อเธอเป็นคนเดียวที่เขาพอจะพึ่งได้ เกือบทั้งหมดของ NPC ที่ถูกสร้างมาของไอร์ซ โออ์ล โกว์น ต่างก็เป็นเผ่าเฮเทโรมอร์ฟิก และมีส่วนน้อยที่สามารถพาเข้าเมืองมนุษย์ได้ นาเบรัลซึ้วทำตัวเหมือนกับว่าเป็นมนุษย์ หรืออย่างน้อยรูปร่างของเธอก็เป็นเช่นนั้น…แต่ไอร์วลืมนึกถึงเรื่องลักษณะนิสัยไปเสียได้
หากว่าไปแล้ว บางทีแบทเทิลเมดคนอื่น อย่าง ลูปัส เรย์ทิน่า เบต้า น่าจะเหมาะสมมากกว่า แต่มานึกได้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
เนื่องจากความสะเพร่าที่เกิดขึ้นทำให้นาเบรัลตอนนี้หน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ไอร์ซต้องตบไปที่หลังเธอเบาๆเพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง สำหรับผู้นำที่ดีแล้วต้องรู้จักให้อภัยความผิดพลาดครั้งแรกของลูกน้อง แต่หากเธอยังทำผิดแบบเดิมอีกละก็ เขาคงต้องลงมือจัดการดัดนิสัยเธอเสียบ้าง ในภารกิจนี้หากเธอยังคงหดหู่ หรือ นิ่งเงียบไปเพราะความผิดที่ก่อแล้วคงก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้
ที่สำคัญคือเธอแค่เพียงเอ่ยชื่ออัลเบโดขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งเขาไม่จำเป็นจะต้องจัดการกับความทรงจำ----คิดว่านะ
“ลูคลูเธอร์ หุบปากแล้วกลับไปทำงานได้แล้ว”
“เข้าใจแล้ว”
“โมมอน ทางเราต้องขอโทษด้วยที่เพื่อนของเราหยาบคายกับนาย มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยที่จะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น”
“ไม่เป็นไร ถ้าเขาเข้าใจว่าต่อไปควรทำตัวยังไง เราก็จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปก็แล้วกัน”
ทั้งสองต่างมองไปยังแผ่นหลังของลูคลูเธอร์ และได้ยินที่เขาบ่นพึมพำออกมา “ว๊า---นาเบล-จัง เกลียดผมเข้าแล้ว อุ เธอมองผมเลวร้ายเหลือเกิน” พร้อมกันนั้นหัวของเขาก็ตกลงด้วยความหดหู่
“เจ้าโง่นั่น…! ไว้ผมจะไปสั่งสอนเขาทีหลัง แต่ตอนนี้คงต้องทำเป็นไม่ได้ยินไปก่อน”
“เข้าใจแล้ว คงต้องฝากเรื่องนี้ไว้กับนายด้วย แต่ในเมื่อตอนนี้ลูคลูเธอร์กำลังระวังภัยอยู่ เราก็ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ไปแล้วกัน ส่วนข้ามีเรื่องอยากทำสักหน่อย”
“ไม่มีปัญหา ยังไงเขาก็ก่อปัญหาให้พวกนายอยู่แล้ว เพราะงั้นให้เขาทำงานแทนส่วนของพวกนายไปเลยก็แล้วกัน”
หลังจากปีเตอร์ยิ้มให้อย่างเข้าใจ ไอร์ซก็เดินไปทางนินยา และ ดาร์วิน จากนั้นเขาก็สลับตำแหน่งกับดาร์วินซึ่งตอนนี้เดินเคียงคู่กับนาเบรัล
“ข้าอยากจะถามคำถามเรื่องเวทย์มนตร์สักหน่อยได้ไหม”
หลังจากนินยาพยักหน้า ไอร์ซก็เริ่มสอบถาม ซึ่งเอนฟรีก็มองมาด้วยความสนใจในคำถามของไอร์ซ
“หากว่าตกอยู่ใต้มนตร์สะกด หรือ ถูกเวทย์มนตร์ควบคุมไว้ จากอีกฝ่ายที่จะล้วงความลับ ในการจะตอบโต้ มีเวทย์ที่จะสังหารคนที่ถูกเวทย์หลังจากที่เขาตอบคำถามไปไหม?”
“ผมไม่เคยได้ยินเวทย์แบบนั้นมาก่อนเลยนะครับ”
ไอร์ซหันกลับไปมองที่เอนฟรีจากใต้หมวกเหล็ก
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เวทย์ที่ใช้ตรวจสอบ หรือ เสริมพลังให้กับบางอย่างจะเริ่มทำงานหลังจากเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง แต่ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นหลังพูดหรอกครับ”
“…อย่างงั้นหรือ”
ไอร์ซรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ยินคำตอบที่เขาหวังเอาไว้
ดังนั้นแล้วปัญหาเรื่องที่จะใช้ประโยชน์จากพวกผู้ที่เหลือรอดของหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายก็ต้องพับไว้ก่อน
เหล่าผู้เหลือรอดนั้นมีน้อย แต่มันน่าเสียดายที่จะกำจัดพวกนี้ไป เพื่อที่จะเข้าใจถึงทฤษฎีทางเวทย์ที่ว่าทำไมเหล่าสมาชิกของหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายถึงได้หายไปหลังจากเสียชีวิต พวกเขาได้มีการตรวจสอบโดยวิธีชำแหละพวกนั้นทั้งยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็เป็นการเสียเวลาเปล่า เนื่องจากที่พวกนี้ตายกันง่ายเหลือเกิน เพราะงั้นแล้วจะไม่เป็นการดีกว่าหรือที่จะรีดข้อมูลจากพวกนี้แทน? การเสียคนไปคนหนึ่งนั้นทำให้เขาเสียโอกาสในการถามคำถามถึง 3 คำถามเลย
ในเรื่องนี้การสูญเสียไนเจนไปเป็นคนแรกนั้นนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด เพราะเขาได้เสียคนที่น่าจะมีข้อมูลที่เจาะลึกกว่าเรื่องพื้นๆทั่วไป
แต่ความผิดพลาดนี้สอนให้ไอร์ซรู้ว่าการใช้เพียงความรู้จากอิกดราซิลนั้นไม่เพียงพอสำหรับโลกใบนี้ ดังนั้นแล้วการตายของไนเจนจึงไม่นับว่าเป็นการเสียเปล่าสักทีเดียว มันจะเป็นการดีกว่าหากเขาจะมองโลกในแง่ดีโดยเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้
ระหว่างที่ไอร์ซถูกเรื่องข้างต้นหันเหความสนใจ นินยาก็เริ่มกล่าวต่อไป:
“ถึงอย่างนั้นก็นะครับ ความรู้เรื่องเวทย์มนตร์ของผมก็ค่อนข้างจำกัด พวกผู้ขับขานมนตราที่ได้รับการสนับสนุน และได้รับการศึกษาจากประเทศอาจจะสร้างเวทย์แบบนั้นขึ้นมาก็ได้ พวกพริสท์ของศาสนจักรสิเลียนจะได้รับการศึกษาเวทย์แห่งศรัทธาขั้นพื้นฐาน ส่วนทางจักรวรรดิก็มีโรงเรียนสอนเวทย์พื้นฐานของพวกมิสติก, วอร์ล็อก และก็ของจอมเวทย์, จอมคาถา เพราะอย่างนั้นเลยไม่น่าแปลกที่เมืองอื่นอย่างทางสาธารณะรัฐยากาแรนด์จะใช้เวทย์มังกรได้น่ะครับ”
“อย่างนี้นี่เอง จากการสนับสนุนของแต่ละประเทศ ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเวทย์แบบต่างๆออกมาให้เห็นสินะ”
จากข้อมูลที่เขาได้มาก่อนหน้า สาธารณะรัฐยากาแรนด์เป็นเมืองที่ถูกก่อตั้งโดยเหล่ากึ่งมนุษย์ โดยมีการเมืองแบบระบบรัฐสภา และผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดก็คือสมาชิกรัฐสภามังกรทั้งห้าซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นกลุ่มผู้คนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง สำหรับทางสาธารณรัฐนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นหอกข้างแคร่ของศานสนจักรสิดเลียนซึ่งมีนโยบายหลักเรื่องมนุษย์คือกลุ่มผู้มีอำนาจสูงสุด
ไอร์ซนั้นให้ความสนใจในประเทศนี้ แต่ตอนนี้เขาต้องวางรากฐานลงให้ได้เสียก่อนจึงไม่อาจแบ่งกำลังไปทำการสำรวจได้ แค่การทำตามแผนการในตอนนี้ก็ต้องใช้ทรัพยากรบุคคลของนาซาริกไปมากแล้ว
“ข้าขอถามอะไรอีกสักหน่อยจะได้ไหม?”
ไอร์ซได้เอ่ยถามคำถามอื่นๆให้นินยาฟัง และนั่นทำให้เขาพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ไอร์ซนั้นได้ถามนินยา และปีเตอร์ไปหลายเรื่อง ทำให้สมาชิกกลุ่มดาบดำมองมายังพวกเขาเหมือนจะบอกว่า “ยังคุยกันไม่เสร็จอีกเหรอ” เรื่องที่พวกเขาคุยกันก็มีตั้งแต่เรื่องคาถา, ศิลปะการต่อสู้, การผจญภัย และข่าวสารของประเทศเพื่อนบ้าน และอีกหลายเรื่อง
แม้ว่าคำถามเหล่านี้ต้องถามออกมาอย่างระมัดระวัง แต่ผลที่ได้ก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง นั่นทำให้ไอร์ซเชื่อมั่นว่าเขาได้เรียนรู้เรื่องราวของโลกนี้ไปหลายเรื่องเลยทีเดียว
แต่มันยังไม่เพียงพอสำหรับเขา หลังจากรู้เรื่องราวต่างๆมากขึ้น คำถามต่างๆก็ทยอยผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเวทย์มนตร์ โลกที่มีรากฐานทางเวทย์มนตร์นั้นมีความแตกต่างจากโลกที่เขาเคยอยู่มากจนทำให้ไอร์ซต้องประหลาดใจได้ทุกเมื่อ
สิ่งที่แตกต่างมากอย่างที่สุดคือเรื่องของอารยะธรรม แม้มันจะดูเหมือนกับช่วงยุคกลาง แต่มี่จริงแล้วดูเหมือนว่ามันจะห่างจากยุคปัจจุบันในโลกของไอร์ซเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น แล้วยังมีหลายสิ่งที่ปรากฎในยุคสมัยใหม่แล้ว โดยที่การพัฒนาต่างๆนั้นอาศัยเวทย์มนตร์เป็นฐานทั้งสิ้น
หลังจากเรียนรู้รื่องราวต่างๆ ไอร์ซก็ตัดสินใจรามือเรื่องการวิจัยเทคโนโลยีของโลกนี้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในการเปรียบเทียบโลกของเวทย์มนตร์กับโลกของวิทยาศาสตร์ ในโลกนี้มีเวทย์ที่ใช้ผลิตเกลือ น้ำตาล และพวกเครื่องเทศ นอกจากนี้ผู้คนยังใช้เวทย์เกี่ยวกับการเกษตรเพื่อฟื้นฟูแร่ธาตุในพื้นที่เพาะปลูกแทนที่จะใช้การปลูกพืชหมุนเวียน
และจะเชื่อหรือไม่ว่าน้ำทะเลที่นี่ไม่ได้มีความเค็มเลย รายละเอียดเหล่านี้มีต่างจากที่ไอร์ซคิดว่าเป็นความรู้ทั่วไปอย่างสุดกู่
ไอร์ซระมัดระวังตลอดเวลาที่พยายามเติมเต็มข้อสงสัยของเขา และเมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา:
“ตรงนั้นมีอะไรกำลังมา”
ลูคลูเธอร์กล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้น้ำเสียงของเขาจริงจังไม่เหมือนกับตอนที่พยายามจีบนาเบรัล เมื่อมองดูแล้วตอนนี้เขาเหมือนกับนักผจญภัยแนวหน้าผู้มากประสบการณ์
ทั้งหมดต่างชักอาวุธออกมาทันที และมองไปยังทิศทางที่ลูคลูเธอร์จ้องมองอยู่
“ตรงไหน?”
“นั่น อยู่ตรงนั้น”
ลูคลูเธอร์ชี้ไปยังชายขอบของป่าตอบคำถามของปีเตอร์ การมองไปตรงจุดนั้นค่อนข้างลำบากเนื่องจากมีต้นไม้บดบังสายตา และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆให้เห็น ทว่าไม่มีใครที่สงสัยในตัวของลูคลูเธอร์เลย
“เอายังไงกันดี?”
“อย่าไปหาเรื่องใส่ตัวเลย หากว่ามันยังอยู่ในป่า เราก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ!”
“น่าจะเป็นการดีถ้าเราจะยังทำตามแผนเดิม แล้วให้เอนฟรีหลบอยู่ด้านหลัง!”
ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังถกเถียงกันเสียงดัง ก็มีความเคลื่อนไหวขึ้นในป่า และแล้วมอนสเตอร์ก็เผยโฉมออกมาให้เห็น
สิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเด็กจำนวนสิบห้าตนเผยตัวออกมาโดยที่พวกมันนั้นล้อมยักษ์ใหญ่หกตนไว้ตรงกลาง
พวกที่มอนสเตอร์ตัวเท่าเด็กนั้นคือกึ่งมนุษย์ที่เรียกว่า กอบลิน
ใบหน้าที่บุบบี้ของพวกมันนั้นมีจมูกที่แบนราบอยู่บนหน้า ที่ปากขนาดใหญ่มีเขี้ยวโผล่ออกมาสองอัน ผิวของพวกมันมีสีน้ำตาลเข้ม และผมยุ่งสีดำของพวกมันเหมือนถูกชะโลมด้วยน้ำมันใส่ผม
เสื้อผ้าที่พวกมันสวมใส่นั้นดูโทรมมาก ทั้งยังมีสีน้ำตาลจากที่ถูกย้อมด้วยคราบสกปรก หนังสัตว์ที่ถูกฟอกแล้วถูกสวมใส่ทับด้านนอกเป็นเหมือนชุดเกราะ ที่มือของพวกมันถือไม้กระบอง และโล่ห์ขนาดเล็กเอาไว้
มอนสเตอร์พวกนี้เป็นการผสมกันระหว่างพวกลิงใหญ่ และมนุษย์ และยังถูกมองว่าชั่วร้าย
ส่วนพวกยักษ์ใหญ่นั้นมีความสูงราว 250-300 ซม.
พวกมันมีเขี้ยวที่แหลมคมยื่นออกมาจากปาก โดยมาพร้อมกับหน้าตาที่ดูไร้สมอง
กล้ามเนื้อที่แขนของพวกมันดูหนาราวกับต้นไม้ เนื่องจากที่พวกมันมีหลังที่โค้งงอทำให้แขนที่เปี่ยมด้วยมันกล้ามนั้นเกือบจะสัมผัสกับพื้นราบ ในมือของพวกมันถือลำต้นของต้นไม้ซึ่งกิ้งก้านถูกขจัดออกเรียบร้อยแล้ว เครื่องสวมใส่เดียวของพวกมันคือหนังสัตว์ที่ยังไม่ถูกฟอกซึ่งพันไว้ตรงรอบเอว พร้อมกับกลิ่นเหม็นที่โชยมาแต่ไกล
ผิวหนังของพวกมันมีตุ่มสีน้ำตาลไหม้ขึ้นเต็มตัว กล้ามเนื้อแผ่นอก และหน้าท้องของพวกมันนั้นดูจะหนามากจนฟันแทงไม่เข้า พวกมันดูทรงพลังราวกับกอริลล่า ซึ่งมอนสเตอร์กึ่งมนุษย์พวกนี้รู้จักกันในชื่อของ โอเกอร์
มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ต่างพกถุงโทรมๆติดตัวมาด้วย แสดงให้เห็นว่าพวกมันถูกใช้งานมาเป็นเวลานานมาก
พวกมอนสเตอร์ต่างมองมายังกลุ่มนักผจญภัยขณะกำลังก้าวเข้าสู่ท้องทุ่ง แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไป แต่ความมุ่งร้ายก็ถูกฉายออกมาผ่านใบหน้าอันอัปลักษณ์ของพวกมัน
“…จำนวนดูจะค่อนข้างเยอะ แต่ดูท่าเราคงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แล้ว”
“ใช่แล้ว นายพูดถูก กอบลิน และโอเกอร์พวกมันจะเข้าจู่โจมทันทีที่เจอกลุ่มคนจำนวนไม่มาก หรือจะบอกว่าพวกมันมีสมองพอจะที่จะเทียบกำลังรบโดยดูแค่จำนวนเพื่อให้ง่ายในการจู่โจมก็ได้”
จากประสบการณ์ของไอร์ซ เขาเข้าใจว่าโลกนี้ไม่เหมือนกับในเกม ทว่าเขาก็ยังต้องงุนงงกับความจริงที่เห็น
จากที่สังเกตุส่วนสูง และสีผิวของพวกมันแล้ว ใครๆก็บอกได้ว่าโอเกอร์ และกอบลินแต่ละตัวมีลักษณะที่แตกต่างกัน ซึ่งแปลว่าพวกมันมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทำให้เหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ที่แตกต่างกันยี่สิบเอ็ดชนิด
“ความจริงนี่มันต่างจากเกมขนาดนี้เลยเหรอ?”
เหมือนกับว่าเขาได้เข้าสู่สถานที่ใหม่โดยไม่มีคู่มือ และกำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่ไม่รู้จัก การเผชิญหน้านี้ทำให้ไอร์ซนึกถึงความรู้สึกที่เข้าได้รับตอนศึกที่หมู่บ้านคาร์นี เสียงของเขานั้นเบาพอที่จะไม่ทำให้คนรอบข้างได้ยินที่เขาพึมพำออกมา
“ถ้าอย่างนั้นโมมอน”
“…โอห์ ว่าไง?”
“พวกเราตกลงกันว่าจะแบ่งกันรับมือศัตรูที่เจอกันคนละครึ่ง แต่ตอนนี้จะเอายังไงดี?”
“เราจะไม่แบ่งเป็นสองทีม แล้วแยกกันโจมตีพวกมันสินะ?”
“มันคงไม่ดีแน่ถ้าพวกมันพุ่งเข้ามาทางเดียว นี่นาเบลใช้เวทย์อาณาเขตอย่างพวก “ไฟร์บอล” จัดการพวกมันได้ไหม?”
“ชั้นใช้ ‘ไฟร์บอล’ ไม่ได้ เวทย์ที่แรงสุดของชั้นคือ ‘ไลท์ติ้ง’”
ไอร์ซนึกขึ้นมาได้ว่านั้นข้อบังคับที่เขาให้ไว้กับเธอ
“’ไลท์ติ้ง’ เป็นเวทย์โจมตีทะลวงเป็นเส้นตรงถูกไหม?”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ล่อพวกมันเรียงแถวกันมา จะได้ให้เธอจัดการพวกมันไปเลยดีไหม?”
“แต่เราก็ต้องสร้างแนวป้องกันเพื่อต้านพวกมันเอาไว้…”
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ส่วนการปกป้องเอนฟรีทที่เกวียนขอให้ทุกคนรับหน้าที่นี้ได้ไหม?”
“โมมอน…”
“ถ้ากะอีแค่โอเกอร์เท่านี้ข้ายังจัดการไม่ได้ก็คงเป็นได้แค่พวกดีแต่ปากแล้ว คอยดูข้าเก็บกวาดพวกมันให้สบายใจเถอะ”
คำกล่าวอย่างมั่นใจของต่อกลุ่มดาบดำว่านี่คือแผนการที่ดีที่สุดแล้วทำให้พวกเขารู้สึกถึงปลอดภัยขึ้นมา
“เข้าใจแล้ว แต่พวกเราจะไม่รอเฉยให้พวกมันบุกเข้ามาหรอกนะ พวกเขาจะช่วยเท่าที่ทำได้จากตรงนี้ก็แล้วกัน”
“ต้องการให้ใช้เวทย์สนับสนุนนไหมครับ?”
“อาห์ ไม่จำเป็นหรอกสหายกลุ่มดาบดำ ใช้มันสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมของนายเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะทำตามที่นายต้องการ ทุกในเมื่อเราต้องรับศึกในสภาพที่อยู่ใกล้ป่าแบบนี้ พวกมันจะไม่หนีกันได้ง่ายๆเหรอ?”
“งั้นก็เอาแบบที่เคยทำกันไหม? พวกเราจะล่อมันออกมาห่างจากป่าเอง”
“เอาเลย! ในเมื่อโมมอนจะเป็นกองหน้ารับมือพวกมัน งั้นส่วนของการลอบโจมตีจะเอาไงดี ปีเตอร์?”
“ชั้นจะเปิดใช้งานทักษะกระบวนท่า [ฟอร์เทรส] แล้วตรึงพวกโอเกอร์ ดาร์วินให้ไปหยุดพวกกอบลิน นินยาร่ายเวทย์ป้องกันให้ชั้นด้วย แล้วจากนั้นให้เพ่งความสนใจไปที่การร่ายเวทย์โจมตี นอกจากนี้ถึงอาจไม่จำเป็นแต่ก็ให้ระวังความปลอดภัยของคุณนาเบลด้วย ส่วนลูคลูเธอร์ให้คอยจัดการพวกกอบลิน แล้วถ้ามีโอเกอร์หลุดมาได้นายต้องหยุดมันเอาไว้ หากเป็นกรณีนี้นินยานายจะต้องเป็นคนจัดการพวกกอบลินแทน”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ เมื่อดูจากการวางแผนของพวกเขาที่ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล แสดงถึงการประสานงานที่ยอดเยี่ยมของทีม
ไอร์ซนั้นได้แสดงความประทับใจของเขาต่อเรื่องนี้โดยการพ่นลมหายใจออกมา
ตอนนี้เขาหวนนึกถึงวันวานในอิกดราซิล ไอร์ซ และผองเพื่อนต่างร่วมออกล่าซ้ำไปด้วยการประสานงานของทีมอันสมบูรณ์แบบ ลาก, แทงค์, เลือกเป้าจู่โจม เพราะความที่ต่างก็รับรู้ถึงความสามารถของแต่ละคนเป็นอย่างดี ทำให้สามารถควบคุมการต่อสู้เป็นกลุ่มได้อย่างมีแบบแผน
“คุณโมมอน ต้องการให้ช่วยอะไรนอกจากเวทย์ไหม?”
“ไม่จำเป็นหรอก แค่พวกเราสองคนก็พอแล้ว”
“นั่นค่อนข้าง…มั่นใจมากเลยนะ”
ปีเตอร์เผยถึงความรู้สึกไม่มั่นใจออกมาในคำพูด หากคนที่ทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันล้มลงแล้ว ก็จะส่งผลต่อเนื่องกันเป็นโดมิโนทำให้ทั้งทีมประสบกับหายนะ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เขาเป็นห่วงอยู่
ถึงอย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่เกม และชีวิตของพวกเขาก็กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายในตอนนี้
“แล้วพวกนายจะได้เห็นเมื่อพวกเราลงมือ”
ไอร์ซจบการสนทนาด้วยประโยคต่อไปนี้
“ถ้าพวกนายพร้อมก็เริ่มได้เลย”
ลูคลูเธอร์ดึงสายธนูทดกำลังจนสุด และทันใดนั้นเสียงดีดของสายธนูก็ดังพร้อมกับที่ลูกธนูตกลงห่างจากตัวกอบลินที่อยู่ในทุ่งราว 10 เมตร
การโจมตีอย่างฉับพลันนี้ทำให้เหล่ากอบลินส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยลูคลูเธอร์
พวกมันต่างเย้ยหยันจากการยิงที่พลาดเป้านี้โดยไม่ได้นึกเลยพวกมันก็ไม่อาจจะทำอะไรกับเป้าหมายที่ห่างออกไป 120 เมตรได้เช่นกัน
จากที่มีจำนวนมากกว่า และถูกจู่โจมก่อนทำให้นิสัยอันดุร้ายของพวกมันถูกกระตุ้นขึ้น เหล่ากอบลินต่างกูร้องเสียงดัง และพุ่งตรงมายังลูคลูเธอร์อย่างไม่ลังเล โดยที่ด้านหลังของพวกมันมีพวกโอเกอร์ไล่หลังมา
ในหัวของพวกมันตอนนี้โล่งไปหมด เนื่องจากถูกความกระหายเลือดครอบงำจนไม่มีการตั้งขบวน หรือ ยกโล่ห์มาป้องกันตัวเองเลย
ลูคลูเธอร์ยิ้มออกมาหลังจากเห็นภาพเบื้องหน้า
“ดูนี่นะ---”
เขายิงธนูอีกครั้งในระยะห่าง 90 เมตร และครั้งนี้ลูกธนูได้พุ่งตรงเข้ากลางหัวของกอบลินตัวหนึ่งที่อยู่ค่อนไปทางด้านหลัง หลังจากโดนยิงมันยังฝืนก้าวได้อีกไม่กี่ก้าวก่อนจะล้มลง
ระหว่างนี้ระยะห่างของทั้งสองฝั่งก็ค่อยๆลดลง ทว่ามือที่จับคันธนูของลูคลูเธอร์ก็ดูไม่ได้เกร็งอะไรเลย เขานั้นเชื่อว่าจะต้องมีคนมาช่วยปกป้องเขา แม้ศัตรูจะอยู่เบื้องหน้าแล้วก็ตาม
“รีอินฟอร์ซ อาร์เมอร์”
ที่ด้านหลังลูคลูเธอร์ นินยาได้ร่ายเวทย์ป้องกันออกมา เมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนร่วมทีม ลูคลูเธอร์ก็ปล่อยลูกธนูออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้เขายิงในระยะห่าง 50 เมตร ซึ่งมันก็ยังเข้าตรงกลางหัวของกอบลินเช่นเดิม เมื่อถึงตอนนี้ปีเตอร์ และดาร์วินก็เริ่มลงมือบ้างแล้ว
พวกกอบลินนั้นมีความคล่องตัว ทว่าพวกโอเกอร์ก็มีช่วงก้าวที่ยาวมากทำให้ความเร็วของพวกมันนั้นไม่ต่างกันนัก หลังจากวิ่งมาเป็นระยะทาง 100 เมตรบนท้องทุ่ง เหล่าโอเกอร์ที่มีกำลังขาอันทรงพลังก็ได้ขึ้นมาอยู่ด้านหน้าโดยมีพวกกอบลินตามหลัง ระยะห่างขณะนี้ยังมากเกินกว่าที่จะใช้เวทย์ซึ่งกินวงกว้างจัดการกับเหล่ามอนสเตอร์พวกนี้
ทว่ามันก็เพียงพอสำหรับดาร์วินที่มีหน้าที่ตรึงโอเกอร์เอาไว้
“เนเทอร์ ไบล์น”
ดาร์วินร่ายเวทย์ออกมาทำให้หญ้าที่อยู่ใต้เท้าของโอเกอร์ส่ายไปมา จากนั้นก็กลายมาเป็นเถาวัลย์มัดพันตัวโอเกอร์เอาไว้ การพันธนาการด้วยเถาวัลย์อย่างเหนียวแน่นทำให้โอเกอร์ไม่อาจขยับไปไหนได้ ส่งผลให้มันขู่คำรามอย่างไม่พอใจ
ตอนนี้ไอร์ซได้เคลื่อนตัวออกไปเบื้องหน้าโดยมีนาเบรัลตามมาด้านหลัง
จังหวะก้าวเดินของพวกเขาเหมือนกับการเดินเล่นเสียมากกว่าการออกไปปะทะกับฝูงมอนสเตอร์เสียอีก
เมื่อโอเกอร์ตัวที่นำฝูงพุ่งเข้ามา ไอร์ซก็เอื้อมมือไปด้านหลัง และกุมด้ามดาบเอาไว้ ทางด้านนาเบรัลก็เอื้อมมือไปหลังผ้าคลุมและดึงดาบออกมา
ดาบสองเล่มถูกดึงวาดเป็นวงกว้างออกมายังเบื้องหน้าของไอร์ซ
แสงที่สะท้อนเข้าดวงตาทำให้เหล่าสมาชิกกลุ่มดาบดำต้องอ้าปากค้างอย่างตะลึง
ดาบทั้งสองเล่มในมือไอร์ซส่องสว่างเป็นประกายพร้อมกับขนาดที่ใหญ่กว่า 150 เมตร แทนที่จะเรียกว่าเครื่องมือสำหรับการสงคราม พวกมันดูเหมือนงานศิลปะราคาแพงเสียมากกว่า
ที่โกร่งดาบถูกแกะเป็นรูปงูสองตัวพันขดกัน ที่ปลายดาบนั้นโค้งออกเหมือนกับพัดที่คมกริบ
อาวุธแห่งวีรชน
ดาบทั้งสองในมือไอร์ซนั้นนับว่าคู่ควรกับดาบของวีรบุรษได้เลย
ท่าทางของเขาตอนนี้ทำให้กลุ่มดาบดำต้องหุบปากไม่ลงอีกครั้ง หากภาพก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกเกรงขามแล้ว ภาพในตอนนี้ถึงกับทำให้พวกเขาไม่อาจเปล่งเสียงใดๆออกมาได้
ยิ่งดาบยาวมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งหนักมากเท่านั้น แม้อาวุธนั้นจะถูกลงอาคมลดน้ำหนักแล้วก็ยังไม่ง่ายที่จะแกว่งมันไปมา พวกเขารับรู้จากการเดินทางสั้นๆนี้ว่าไอร์ซมีกำลังแขนอันน่าอัศจรรย์ ทว่าสามัญสำนึกของพวกเขาก็ไม่อาจยอมรับว่าจะมีใครที่กวัดแกว่งดาบขนาดมหึมานี้ไปมาได้อย่างง่ายดาย
ทว่า…
ทว่าไอร์ซกลับแกว่งมันไปมาราวกับว่าถือตะบองธรรมดาเท่านั้น ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพที่น่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“โมมอน…นายคือใครกันแน่…”
ปีเตอร์ได้กล่าวแทนทั้งหมดออกมา ในฐานะนักรบแล้ว เขาเข้าใจดีเลยว่าต้องมีกำลังแขนมากถึงเพียงใดจึงจะสามารถทำเช่นที่เห็นนี้ได้ เขาไม่รู้เลยว่าต้องฝึกฝนอีกมากเท่าไรจึงจะถึงระดับนี้ได้ นั่นทำให้เขาต้องตกตะลึงเป็นอันมาก เขารู้ดีว่าพวกเขานั้นอยู่กันคนละระดับ ทว่าภาพเบื้องหน้าทำให้ขาของเขาถึงกับสั่นอย่างหยุดไม่อยู่
แม้แต่พวกกอบลินที่โง่เง่าก็หวาดกลัวจากที่เห็น พวกมันลดความหุนหันลง และมุ่งตรงมายังปีเตอร์ และพรรคพวก
มีเพียงพวกโอเกอร์ซึ่งไร้สมองที่มั่นใจในกำลังแขนของพวกมันพุ่งตรงมายังไอร์ซ
เมื่อระยะห่างของทั้งสองลดลง โอเกอร์ที่นำหน้าก็ยกกระบองขึ้น
ดาบในมือไอร์ซนั้นมีขนาดใหญ่ แต่กระบองของโอเกอร์ก็มีระยะโจมตีที่มากกว่า เมื่อโอเกอร์เริ่มโจมตี ไอร์ซก็ได้เข้าสู่ระยะของมันแล้ว
ราวกับสายลม ไอร์ซวาดดาบอันใหญ่โตด้วยมือขวาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาภาพที่เห็นติดตานั้นมีเพียงแสงกระพิบของการฟันที่ดูราวกับว่าได้ฟันผ่าห้วงมิติ
ภาพการฟันนี้ติดตรึงใจทั้งหมดที่เห็นเป็นอย่างยิ่ง แม้จะได้เห็นตรงๆ ทว่าทั้งหมดต่างกีรู้สึกราวกับว่าเห็นความตายอยู่ที่เบื้องหน้า
ไอร์ซได้ปิดบัญชีลงในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เขาได้เบนเข็มจากโอเกอร์ตรงหน้าไปยังโอเกอร์ตัวอื่น ราวกับรอให้ไอร์ซจากไป ร่างส่วนบนของโอเกอร์ที่โดนฟันยังคงค้างติดกับท่อนล่างก่อนจะร่วงลงสู่พื้นโดยที่ส่วนล่างยังคงยืนอยู่ เลือด และเครื่องในได้กระจายทั่วโดยรอบ ทำให้เกิดกลิ่นคาวคละคุ้งไปทั่ว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าภาพทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา
การฟาดดาบเฉียงลงมานี้ได้ผ่าร่างตรงหน้าอย่างหมดจด
ทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้ยังคงอยู่ระหว่างการต่อสู้ ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างหยุดนิ่งราวกับเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้จากภาพอันน่าตื่นตะลึงตรงหน้า
สังหารในดาบเดียว แม้แต่ร่างอันหนาทึบของโอเกอร์ก็ไม่อาจหลุดรอดจากชะตากรรมที่ถูกผ่าครึ่งนี้ได้
“…เหลือเชื่อ”
ใครบางคนได้หลุดปากมาอย่างแผ่วเบา แม้อย่างนั้นทั้งหมดก็ต่างได้ยินเสียงที่หลุดออกมาเนื่องจากสนามรบที่เงียบสงบอยู่ในตอนนี้
“…นึกไม่ถึง เขาก้าวข้ามระดับมิธริลเข้าสู่โอริฮารูก้อน…ไม่สิหรือว่าจะเป็นระดับอาดามันเทียมแล้ว?”
การผ่าร่างโอเกอร์เป็นสองส่วนด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นักดาบที่มีความสามารถจำนวนหนึ่ง หรือผู้ที่มีอาวุธเวทย์ที่ทรงพลังก็อาจทำเช่นนี้ได้ แต่การถือดาบสองมือขนาดใหญ่ด้วยมือเพียงข้างเดียว มันทำให้กินแรงที่จำเป็นสำหรับการผ่าร่างศัตรูในดาบเดียว นี่คือสามัญสำนึกทั่วไป อาวุธสองมือมันก็บอกอยู่แล้วว่าใช้สำหรับถือด้วยมือทั้งสอง ประเด็นสำคัญของมันก็คือการใช้แรงฟัน และน้ำหนักของตัวดาบในการโจมตี ซึ่งนั่นไม่ได้รวมถึงการถือมันแกว่งไปมาด้วยกำลังแขนเพียงข้างเดียว
บางทีอาจจะเป็นที่ดาบของไอร์ซนั้นถูกลงอาคมด้วยเวทย์ที่ทรงพลัง หรือเป็นที่กำลังแขนข้างเดียวของไอร์ซที่ทรงพลังยิ่งกว่านักรบทั่วไปที่ใช้สองมือ หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง
โอเกอร์ที่เห็นภาพอันน่าตื่นตระหนกตรงหน้าได้หยุดนิ่งลงอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้มันแสดงท่าทางอันหวาดผวา และก้าวถอยห่างออกไป ไอร์ซได้ก้าวเข้าไปอย่างเร็วทำให้ระยะห่างนั้นหดสั้นลง
“อะไร? ไม่เข้าแล้วเหรอ?”
เสียงที่สงบนิ่งนี้ดังทั่วสนามรบ
เพียงคำถามง่ายๆนี้เพียงพอจะข่มขู่เหล่าโอเกอร์ที่ได้เป็นประจักษ์พยานถึงความแตกต่างของพลังระหว่างทั้งสอง
ไอร์ซก้าวเข้าใกล้โอเกอร์ตัวต่อไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นความเร็วที่คนซึ่งสวมเกราะไม่อาจจะทำได้
“ฮว๊ากกกกก---!”
โอเกอร์ได้แผดเสียงที่ก้ำกึ่งระหว่างเสียงกู่ร้อง กับ เสียงคร่ำครวญ พร้อมกับที่ยกกระบอกขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับไอร์ซที่กำลังจะโจมตี แต่ทุกคนในที่นี้ต่างรู้ดีว่ามันสายเกินไปแล้ว
ไอร์ซวาดดาบยักษ์ในมือซ้ายเป็นแนวระนาบเมื่อเขาเข้าสู่ระยะ
ร่างท่อนบนของโอเกอร์ลอยละลิ่วสู่ฟ้าก่อนจะตกลงมาห่างจากล่างท่อนล่างของมัน
นี่คือการฟันในแนวระนาบที่ผ่าร่างของโอเกอร์เป็นสองในดาบเดียว
“โมมอน…เขาเป็นมอนสเตอร์รึเปล่าเนี่ย…?”
ทั้งหมดต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็นอีกครั้ง โดยที่ไม่มีใครปฎิเสธข้อสงสัยของดาร์วิน
“…เอาละ ที่เหลือก็…”
ไอร์ซก้าวเข้าหาเหล่าโอเกอร์ที่แสนอัปลักษณ์ซึ่งแข็งทื่อไปหมด และพยายามหนีห่างออกไปให้ไกลที่สุด
พวกกอบลินที่หนีออกห่างแนวป้องกันของไอร์ซได้เข้าโจมตีปีเตอร์ และพรรคพวก สมาชิกกลุ่มดาบดำที่จ้องมองการต่อสู้ก่อนหน้าได้ตอบสนองต่อการโจมตีของกอบลิน และเริ่มเคลื่อนไหว
ปีเตอร์ยกบรอดซอร์ด และโล่ห์ใหญ่ขึ้น พร้อมกับเข้ารับมือกลุ่มกอบลินที่มุ่งเข้ามา เขาแทงดาบในมือออกไปส่งผลให้หัวของกอบลินลอยลิ่วสู่ฟ้า ปีเตอร์หลบเลือดที่พุ่งกระจายออกมา และเริ่มต่อสู้กับเหล่ากอบลิน
“เอาไปกินซะ!”
พวกกอบลินยิงฟันสีเหลืองของพวกมันพร้อมส่งเสียงครางในลำคอออกมา
ปีเตอร์ใช้โล่ห์รับกระบองของกอบลินอย่างแม่นยำ และอาศัยเวทย์รีอินฟอร์ซ อาร์เมอร์ในการรับการโจมตีของกอบลินตัวอื่นที่ทุบลงบนตัวเขา
“เมจิก แอร์โรว์”
กอบลินตัวที่จะมาเข้าทำร้ายปีเตอร์จากด้านหลังถูกยิงด้วยศรเวทย์สองดอกก่อนจะล้มลงสู่พื้น
กอบลินกว่าครึ่งที่เข้าล้อมปีเตอร์ได้พุ่งตรงมายังสมาชิกที่เหลือ 3 คน พวกมันต่างไม่สนใจที่ตัวนาเบรัลซึ่งยืนอยู่ข้างๆไอร์ซ ที่เปรียบเสมือนพายุแห่งความตาย
ลูคลูเธอร์เก็บธนูทดกำลังพร้อมกับหยิบเอาดาบสั้นออกมาจากเอว เขากับดาร์วินที่ถือคทาได้พุ่งเข้าไปยังเบื้องหน้านินยา
ทั้งลูคลูเธอร์ และดาร์วินร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี และจัดการกอบลินไปได้ 5 ตัว พวกเขาจัดการพวกมันตัวแล้วตัวเล่า แต่ว่าจากสถานการ์ตอนนี้ยังต้องใช้เวลาอีกมาก ลูคลูเธอร์แสดงอาการเจ็บปวดให้เห็นขณะพยายามอดทนกับอาการเจ็บที่ถูกระบองทุบตอนที่เขาแทงดาบสั้นไปที่ช่องว่างของเกราะหนังที่กอบลินสวม ทางด้านดาร์วินก็ถูกต่อยไปหลายหมัดทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ช้าลง ทว่าเขาก็ไม่ได้มีแผลร้ายแรงอะไร
นินยามองการต่อสู้อย่างตึงเครียด เขาต้องเก็บออมพลังเวทย์เอาไว้ หากว่าโอเกอร์ที่ถูกมัดด้วยเวทย์หลุดออกมา เขาต้องรับมือกับพวกมันในสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้นี้
ปีเตอร์นั้นรับมือกอบลินทั้งหกได้อย่างสูสีในศึกที่ตึงเครียดนี้
พวกเขาไม่ได้ถูกกอบลินทั้งสิบเอ็ดตัวเอาเปรียบนักเนื่องจากพวกกอบลินยังลังเลในการโจมตี หลังจากที่เห็นถึงการสังหารในดาบเดียวอันยอดเยี่ยมของไอร์ซ กำลังใจของเหล่ากอบลินนั้นตกลงอย่างมาก ทำให้พวกมันไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะหนี้หรือสู้ต่อดี
และราวกับจะทำลายขวัญของกอบลินให้หมดสิ้น ไอร์ซได้แกว่งดาบยักษ์ของเขาอีกครั้ง
เสียงของสายลมที่ถูกผ่าพร้อมกับเสียงของขนาดใหญ่ตกลงดังขึ้นติดต่อกัน
และเป็นอย่างที่ทุกคนคิดไว้ ร่างของโอเกอร์ที่ทอดล่างได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เหลือโอเกอร์เพียง 2 ตัวเท่านั้นที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตัวหนึ่งถูกหญ้ามัดตรึงไว้ ส่วนอีกตัวกำลังสั่นกลัวอยู่หน้าไอร์ซ
หวมกเหล็กของไอร์ซหันไปหาโอเกอร์ที่อยู่เบื้องหน้า และราวกับว่าโอเกอร์รู้สึกได้ถึงสายตาของไอร์ซที่จ้องมองผ่านช่องเล็กๆของหมวกเหล็กทำให้มันทิ้งกระบองลงกับพื้น และวิ่งหนีเข้าป่าพร้อมเสียงร้องที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ความเร็วของมันนั้นเร็วกว่าตอนที่มันเข้ามาโจมตีมาก แต่ทว่าไม่มีทางที่มันจะหลบหนีไปได้
“นาเบล จัดการ”
คำสั่งอันเย็นชาของไอร์ซดังจึ้น พร้อมกับนาเบรัลที่อยู่ด้านหลังพยักหน้ารับ
“ไลท์ติ้ง”
พร้อมกับเสียงฟ้าผ่า สายฟ้าที่รุนแรงจนทำให้อากาศถูกเผาไหม้พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า และได้เข้าชนกับโอเกอร์ที่พยายามหนี ซึ่งมันได้ทะลวงไปยังร่างโอเกอร์ที่ถูกหญ้ามัดไว้เบื้องหลังด้วยอีกตัว
และแล้วโอเกอร์ทั้ง 2 ตัว ก็ถูกจัดการลงอย่างง่ายดาย
“หนี!”
“หนีเร็ว รีบหนี!”
เหล่ากอบลินที่เห็นภาพตรงหน้ากรีดร้องอย่างสิ้นหวัง และพยายามที่จะหนี ทว่าปีเตอร์นั้นไวกว่า พวกกอบลินไม่เหลือทางรอดอีกแล้ว
ทั้งหมดที่เหลือได้จัดการกอบลินลงทีละตัว นินยาที่ไม่ต้องเก็บพลังเวทย์สำรองได้เข้าร่วมกับการล่าครั้งนี้ด้วย สุดท้ายเหล่ากอบลินก็ทอดร่างเป็นศพโดยไม่มีตัวไหนหนีรอดไปได้เลย
โดยมีกลิ่นเหม็นจากศพเป็นฉากหลัง ดาร์วินได้รักษาลูคลูเธอร์ และปีเตอร์ด้วย ‘ไมเนอร์ ฮีล’ ด้านนินยาได้หยิบเอามีดสั้นมาตัดหูกอบลินเก็บไว้
การเก็บหูพวกนี้คือหลักฐานในการรับรางวัลในการล่ามอนสเตอร์ แน่นอนว่าชิ้นส่วนที่เก็บอาจไม่ใช่หูก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของมอนสเตอร์ แต่สำหรับกึ่งมนุษย์อย่างโอเกอร์ และกอบลิน แล้วมักจะเป็นส่วนหูที่จะเก็บกัน
ดูแล้วนินยานั้นเชี่ยวชาญมากในการจัดการกับหูเหล่านี้ และตอนนี้เขาเห็นไอร์ซ กับ นาเบรัลกำลังมองรอบๆตัวโอเกอร์ราวกับมองหาอะไรบางอย่าง
“มีอะไรไหมครับ?”
เมื่อได้ยินที่นินยาถาม ไอร์ซก็เงยหน้าขึ้นมาตอบ:
“อาห์ ข้ากำลังคิดอยู่…ว่าบางทีพวกมอนสเตอร์นี้อาจให้ไอเทมอย่างคริสตัลก็ได้”
“…คริสตัลเหรอครับ? ผมไม่เคยได้ยินว่าโอเกอร์จะเก็บอัญมณีแบบนั้นกับตัวนะครับ”
“ก็จริง พอดีข้าคิดว่าบางทีอาจมีแรร์ไอเทมบ้างน่ะ”
“ครับ คงดีมากถ้าพวกโอเกอร์จะมีสมบัติให้บ้าง”
นินยาตอบกลับระหว่างที่เฉือนหูของโอเกอร์อย่างชำนาญ
“แต่ว่า…คุณโมมอนนี่เก่งมากเลยนะครับ ผมรู้ว่าคุณเป็นนักรบที่มั่นใจในความสามารถ แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะเก่งขนาดนี้”
เมื่อได้ยินที่นินยากล่าว ที่เหลืออีก 3 คน ซึ่งรักษาตัวเสร็จแล้วก็กล่าวกับไอร์ซ:
“มันช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน! ในฐานะที่เป็นนักรบเหมือนกัน มันเป็นแรงบันดาลใจอย่างมาก! นายทำยังไงถึงได้มีกำลังแขนแบบนี้ได้กัน?”
“ชั้นก็คิดไว้แล้วว่านายต้องรวยมากแน่ถึงได้อยู่กับนาเบล-จัง แต่ดาบนั่นมันมีค่ามากขนาดไหนกัน? ชั้นไม่เคยเห็นดาบที่มีมูลค่ามากขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ตอนนี้ชั้นรู้สึกอย่างสุดหัวใจเลยว่าที่นายไว้ที่กิลล์มันถูกต้องอย่างที่สุด นายอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของราชอาณาจักรได้เลย น่าประทับใจมาก”
นาเบรัลที่อยู่ข้างไอร์ซมีท่าทางดูภูมิใจอย่างมาก ขณะที่ตัวไอร์ซเพียงโบกมือไปมา:
“นั่นก็เกินไป ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น”
“โชคดี…”
กลุ่มของปีเตอร์ต่างยิ้มออกมาอย่างเคอะเขิน
“…หลังจบศึก ชั้นยอมรับอย่างสุดใจเลยที่คนเขาเคยบอกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”
“พวกนายซักวันก็เป็นเหมือนข้าได้อยู่แล้ว”
คำตอบของไอร์ซยิ่งทำให้รอยยิ้มดูเคอะเขินมากยิ่งขึ้น
กลุ่มของปีเตอร์พยายามอย่างมากเพื่อจะได้แข็งแกร่งมากขึ้น และไม่เคยใช้เงินรางวัลที่ได้มาอย่างสิ้นเปลือง พวกเขาเอามันทั้งหมดมาเสริมความแข็งแกร่งให้พวกเขาเอง เนื่องจากพวกเขาเป็นเช่นนี้ทำให้สามารถรักษาความสัมพันธ์ของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างนั้นแม้ว่าจะพยายามอย่างมากสักเพียงใด แต่พวกเขาก็นึกไม่ออกเลยจะไปถึงระดับของไอร์ซได้ สำหรับกลุ่มของปีเตอร์แล้ว ตำแหน่งของไอร์ซนั้นเป็นจุดสูงสุดที่มีคนจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นจะไปถึง
ทั้งหมดคิดเช่นนี้จากใจ
Part 2
แม้ตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า แต่คณะเดินทางก็ได้เตรียมการสำหรับทำที่พักกันแล้ว
ไอร์ซได้เอาหมุดไม้ที่ได้รับไปติดตั้งรอบๆที่พัก เนื่องจากว่าในการเตรียมที่พักนี้ต้องให้ครอบคลุมตัวรถม้าทั้งหมด ทำให้ต้องใช้พื้นที่ประมาณยี่สิบเมตร ซึ่งนับว่าค่อนข้างกว้างกว่าปกติทั่วไป
ระหว่างที่เขากำลังตอกหมุดลงทั้งสี่ด้าน และขึงเชือกเส้นเล็กสีดำเข้าด้วยกันให้เป็นทรงสี่เหลี่ยม จากนั้นเขาก็ผูกปมที่ตรงกลางเชือก และดึงมาไว้ที่หน้าเต็นท์ก่อนจะเอากระดิ่งอันใหญ่มาผูกติดไว้เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์เตือนภัย
ขณะที่ไอร์ซกำลังทำการตอกหมุดอยู่นั้น นาเบรัลก็เข้ามาทางด้านหลังของเขา
ตอนนี้นาเบรัลน่าจะยุ่งกับงานอยู่นี่ ถ้าเธอทำงานส่วนของเธอเสร็จแล้วก็คงดี แต่ถ้าหากที่เธอมานี่เพราะเรื่องของลูคลูเธอร์อีก เห็นทีข้าคงต้องพูดอะไรกับเธอสักหน่อยแล้ว
หลังจากตกลงใจแล้ว ไอร์ซก็หันมามองที่นาเบรัลที่พยายามข่มความเดือดดาลพร้อมกับพูดออกมาด้วยโทนเสียงที่ต่ำกว่าปกติ:
“โมมอน-ซัง ไม่น่าจะต้องมาทำงานจิปาถะพวกนี้เลยนี่คะ?”
ไอร์ซถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากเข้าใจถึงสาเหตุที่เธอโกรธ เขามองไปที่นาเบรัล แลบะกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน:
“ทุกคนก็ช่วยกันทำที่พักเห็นไหม มันคงจะไม่ดีหากว่าข้าจะนั่งอยู่เฉยๆคนเดียวถูกไหม?”
“แต่ท่านก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เหนือล้ำในการต่อสู้แล้ว? เพราะอย่างนั้นงานพวกนี้น่าจะเหมาะกับพวกอ่อนแอมากกว่านะคะ”
“อย่าพูดแบบนั้น ฟังนะ เราอยู่ในช่วงเปิดตัวในฐานะนักผจญภัยยอดฝีมือ แต่เราก็ต้องไม่ให้ภาพของเราดูเป็นคนจองหองเกินไป เธอต้องระวังตัวเรื่องท่าทาง และคำพูดให้ดีด้วย”
นาเบรัลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ดูจากสีหน้าแล้วเธอยังไม่พอใจอยู่ดี ที่เธอยอมทำตามอยู่ตอนนี้ก็เพราะนี่คือคำสั่งของไอร์ซนั่นเอง
เมื่อดูจากท่าทางของเธอแล้ว ความจงรักภักดีของเธอนั้นมีมากกว่าความไม่พอใจ แต่ในอีกด้านหนึ่งไอร์ซก็อดกังวลว่าเรื่องนี้อาจทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาก็ได้
เขานั้นกำลังเพลิดเพลินกับการออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งนี้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจสัมผัสได้จากโลกเดิม หรือในอิกดราซิล นั่นทำให้เขารู้สึกสดชื่นอย่างมาก แม้ว่ากิจกรรมกลางแจ้งนี้จะใช้เวลามาก แต่มันก็ทำให้ไอร์ซนึกถึงการผจญภัยไปยังสถานที่ซึ่งไม่รู้จักสมัยยังอยู่ในอิกดราซิล
หากว่ามหาสุสานนาซาริกไม่ได้ถูกส่งมายังโลกนี้ด้วยละก็ ด้วยเขาตัวเดียวคงจะใช้เวลาไปกับการเดินทางสำรวจโลกนี้ไปแล้วก็ได้
ร่างกายที่เป็นอันเดดนี้ไม่ต้องการสารอาหารตลอดจนอากาศหายใจ ดังนั้นด้วยขาทั้งสองข้างแม้จะขึ้นเขาสูง หรือเดินฝ่าลงไปในท้องทะเลลึก และเขาก็สามารถเพลินเพลินไปกับทิวทัศน์อันแปลกตาของโลกใบใหม่ด้วยวิธีเช่นนี้เอง
ทว่าสิ่งล้ำค้าที่เหล่าสหายของเขาทิ้งเอาไว้นั้นกำลังรับใช้เขาอย่างซื่อสัตย์ ดังนั้นแล้วไอร์ซจึงรู้สึกว่าเขาต้องทำหน้าที่โอเวอร์ลอร์ดแห่งมหาสุสานนาซาริกเพื่อตอบรับความภักดีที่ได้รับมา
จากนั้นไอร์ซก็ปล่อยให้ความคิดนี้ผ่านพ้นไป และกลับมาตั้งใจทำงานอีกครั้ง หลังจากตอกหมุดทั้งสี่ตัว และผูกเชือกเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับมายังที่เต็นท์
“ขอบคุณนะที่ช่วย”
“ไม่เป็นไร”
ระหว่างที่ลูคลูเธอร์พูดกับไอร์ซนั้นเขาไม่ได้หันมามองเลยสักนิด ถึงแม้จะดูเสียมารยาทไปบ้าง แต่ว่าตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการขุดหลุมเพื่อทำเตาไฟ
ทางด้านผู้ขับขานมนตราอย่างนินยาก็กำลังเดินรอบๆที่พัก พร้อมกับการร่ายเวทย์เตือนภัยที่เรียกว่า ‘อะลาร์ม’ ซึ่งจะช่วยเตือนคณะเดินทางเมื่อมีใครบุกเข้ามา แม้จะไม่ได้กินพื้นที่มากนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการเตือนล่วงหน้าแล้ว
เวทย์ที่เห็นนี้ไม่ได้มีอยู่ในอิกดราซิล และนั่นทำให้ไอร์ซกลอกตาไปมา
ที่จริงเขาได้มอบหน้าที่รวบรวมเรื่องเวทย์ต่างๆให้กับคนอื่นแล้ว แต่เมื่อเห็นมนตร์ที่แปลกตาตรงหน้า ในฐานะผู้ขับขานมนตราเขาก็อดจะสนใจไม่ได้
เวทย์ที่นินยาใช้นั้นมีกระบวนการทางเวทย์ที่คล้ายคลึงกับไอร์ซ และมีใกล้เคียงกับเวทย์ในอิกดราซิล เนื่องจากทักษะตัวตัวของเผ่าพันธ์อย่าง [ภูมิปัญญาแห่งอนาธการ] ทำให้เวทย์ที่ไอร์ซสามารถเรียนรู้ได้นั้นมากขึ้นกว่าปกติ
ตัวเขาจะสามารถเรียนเวทย์ที่ไม่ได้มีอยู่ในอิกดราซิลได้ไหม หากว่าเขาใช้พิธีกรรมโดยการสังเวยสิ่งมีชีวิต? หรือว่าจะมีวิธีอื่นอีก? ยังมีอีกหลายอย่างเหลือเกินที่เขาต้องเรียนรู้…
นินยาสังเกตเห็นไอร์ซที่จ้องมองมา แม้ตอนนี้ดูเหมือนระยะห่างของทั้งสองจะไม่มากเท่าที่พบกันตอนแรก แต่ว่าเขาก็ยังให้คงมีรอยยิ้มอันเสแสร้งประดับบนใบหน้าขณะเดินมาหาไอร์ซ:
“อาร้า ไม่ต้องมองขนาดนั้นก็ได้ครับ นี่มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“พอดีข้าสงสับเรื่องเวทย์มนตร์น่ะ ก็เลยสนใจที่นินยาทำอยู่”
“ไม่จริงมั้งครับ…ผมยังห่างไกลกับคุณนาเบลอีกมาก”
“แต่นายก็มีเวทย์ที่นาเบลไม่รู้นี่”
นาเบรัลก้มหน้าลงเล็กน้อย และไอร์ซก็ไม่พลาดที่จะเห็น แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ไอร์ซก็เห็นถึงความอิจฉาอย่างไม่ปิดบังของเธอ
“ข้าก็อย่างใช้เวทย์ได้อย่างนินยาเหมือนกันนะ”
“คุณโมมอนนี่โลภจังเลยนะครับ แค่คุณกับดาบของก็เก่งมากแล้ว นี้คุณยังอยากจะใช้เวทย์ได้อีก ที่ต้องบอกว่าคุณมีลักษณะของนักผจญภัยครบเลย จริงไหมครับ?”
“เวทย์มนตร์น่ะไม่ใช้อะไรที่จะเรียนกันได้แค่วันสองวันหรอกนะ อย่างแรกเลยก็คือต้องสามารถเชื่อมต่อกับโลกนี้ได้ ซึ่งก็มีคนแค่นิดเดียวเองที่ทำได้อย่างสบายๆ ที่เหลือน่ะต้องใช้เวลามากกว่าจะเข้าใจได้”
ลูคลูเธอร์ที่ยังง่วนอยู่กับการทำเตาไฟออกความเห็นทั้งที่ไม่ได้มองมา สำหรับนินยาตอนนี้แสดงท่าทางที่เอาจริงเอาจังพร้อมกับกล่าวว่า:
“ที่จริงนะครับคุณโมมอน ผมคิดว่าคุณน่ะไม่เหมือนคนอื่น คุณเหมือนกับให้ความรู้สึก…เหมือนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเลย”
หัวใจที่ไม่มีอยู่แล้วของไอร์ซตอนนี้เหมือนกำลังเต้นถี่อย่างรุนแรง ที่นินยาพูดออกมาค่อนข้างกำกวม แต่ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเขาเป็นอันเดด
ถึงแม้เขาจะใช้วทย์ลวงตา และเวทย์ต่อต้านการรับรู้ เวทย์ที่เขาไม่รู้จัก หรือ ทักษะเฉพาะตัวบางทีอาจมองเห็นตัวจริงของไอร์ซได้ ดังนั้นแล้วไอร์ซจึงได้กล่าวออกมาอย่างระวังตัว:
“…งั้นเหรอ? ข้าก็คิดว่าข้าน่ะแข็งแรง แต่ไม่น่าถึงขั้นเหนือมนุษย์นะ นายก็เห็นหน้าข้าแล้วนี่ ก็น่าจะรู้แล้วนะ จริงไหม?”
“ชั้นได้พูดถึงเรื่องหน้าตา…หลังจากได้เห็นถึงเก่งกาจของนายแล้วแล้ว ชั้นก็รู้เลยว่ามันเกินขอบเขตของคนธรรมดาไปแล้ว ยิ่งการที่สามารถจัดการกับโอเกอร์ได้ในดาบเดียว…เรื่องที่ว่าไม่ได้เกี่ยวกับหน้าแต่หมายถึงความสามารถ! อีกอย่างนายยังมีสาวสวยอย่างนาเบล-จังเคียงข้างอีกด้วยนี่สิ”
หากอย่างถี่ถ้วนจากที่ลูคลูเธอร์พูดมาแล้ว จะรู้ว่าเขาบอกเลยว่าใบหน้าลวงตาของไอร์ซนั้นไม่ได้หน้าตาดีเลย แต่ไอร์ซก็เห็นด้วยหลังจากนึกถึงใบหน้าของผู้คนที่เขาเคยพบ
ในโลกนี้มีคนหนุ่มสาวที่หน้าตาดีอยู่มาก และรูปร่างของคนที่เดินไปมาบนท้องถนนก็ดูดีอย่างมาก หลังจากได้สัมผัสแล้ว เขาก็รู้สึกว่าหน้าตาของเขาดูจะถูกลดเกรดลงสองขั้นเลยทีเดียว
“ตัดเรื่องหน้าตาออกไป ผมก็ว่าลูคลูเธอร์พูดถูกแล้ว คนที่ถูกเรียกเป็นวีรบุรษแน่นอนว่าต้องอยู่เหนือคนทั่วไปอยู่แล้ว ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ”
“ก็ยกยอกันเกินไป มาเรียกข้าว่าวีรบุรุษแบบนี้…มันออกจะให้เกียรติกันมากเกินไป”
ไอร์ซตอบนินยาโดยแกล้งทำเป็นกระดากอายขณะที่พยายามไม่ให้ตัวเองพ่นลมหายใจอย่างโล่งใจออกมา
“ถ้าไม่ลำบากอะไร คุณพอจะไปเจอกับอาจารย์ของผมไหมครับ? ความสามารถแฝงของท่านอาจารย์สามารถประเมินพลังเวทย์ของคนอื่นได้ ถ้าคุณมีคุณสมบัติด้านเวทย์มนตร์แล้วท่านอาจารย์ต้องบอกได้แน่นอน อีกอย่างท่านยังสามารถจำแนกประเภทที่เหมาะสำหรับเวทย์พื้นฐานได้อีกด้วยนะครับ”
“ข้าอยากอยู่เหมือนกัน…นั่นมันความสามารถแฝงแบบเดียวกับจอมเวทย์อันดับหนึ่งของจักรวรรดิใช่ไหม?”
“ครับ ความสามารถแฝงแบบเดียวกันเลย”
เนื่องจากเขาไม่อยากพลาดข่าวสารนี้ ไอร์ซจึงได้ถามเพิ่มเติมไปอีก
“…แล้วความสามารถนี้มันทำงานอย่างไรละ?”
“อา ตามที่ท่านอาจารย์ยบอกผมมา พวกเราผู้ขับขานมนตราจะมีบางอย่างที่เรียกว่าออร่าห่อหุ้ม ยิ่งมีความสามารถทางเวทย์มากเท่าใด ออร่าก็จะยิ่งเข้มข้นมากเท่านั้น ซึ่งความสามารถของอาจารย์ผมสามารถรับรู้ออร่าเหล่านี้ได้น่ะครับ”
“โอ๋ว…โอ”
ไอร์ซรีบบังคับตัวเองที่เผลอหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจออกมา เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัยเขาพยายามทำเสียงให้เหมือนการส่งเสียงตอบรับว่าเข้าใจธรรมดา
“ท่านอาจารย์ใช้วิธีนี้ในการรวบรวมเด็กที่มีพรสวรรค์ แล้วสอนพวกเขาน่ะครับ”
“และท่านอาจารย์ก็เป็นคนพบความสามารถของผมเช่นกันครับ” นินยากล่าวเสริม ระหว่างนั้นก็แสร้งทำตัวปกติทั้งที่ในใจเขากำลังก้นด่าไม่หยุด นี่มันแย่สุดๆ มีคนที่มีความสามารถแฝงยุ่งยากแบบนี้ด้วย
“แล้วอย่างแรกที่ต้องทำในการเรียนเวทย์คืออะไรละ?”
“คุณต้องหาอาจารย์ให้ได้ก่อนครับ”
“…อย่างนินยาใช่ไหม?”
“หืม-----ผมว่าหาคนที่เก่งกว่าผมดีกว่านะครับ แต่ว่าที่ราชอาณาจักรอาจารย์ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบสอนรับจ้างสอนกัน แล้วทางกิลล์จอมเวทย์ก็ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าเรียนได้ พวกที่เข้าไปเรียนได้ก็เป็นเด็กๆทั้งนั้น สำหรับคนที่มีอายุเท่าคุณโมมอนก็คงยากถ้าไม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ สำหรับทางจักรวรรดิทางนั้นมีสถาบันเวทย์ให้เรียน ส่วนของทางศาสนจักรค่อนข้างมีคุณภาพแต่เฉพาเวทย์สายศรัทธาเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าไปเรียนที่สถาบันเวทย์ของจักรวรรดิได้ไหม?”
“ผมคิดว่าคงยากนะครับ สถาบันเวทย์เป็นของทางรัฐ เลยอนุญาตเฉพาะประขากรของจักรวรรดิเท่านั้น...”
“งั้นเหรอ…”
“ส่วนเรื่องที่จะให้ผมสอน คงต้องขอโทษด้วยครับ ผมมีเรื่องที่ต้องทำ และไม่มีเวลาที่จะมาสอนคนอื่นด้วย”
นินยาแสดงแสดงสีหน้ามืดหม่นให้เห็น ซึ่งดูมากไปด้วยอารมณ์ด้านลบ นอกจากนี้ท่าทางต่อต้านของเขาก็แสดงออกมาให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน
ท่าทางจะไม่ดีซะแล้ว เห็นทีเรื่องนี้คงต้องพอแค่นี้แล้วสิ
เมื่อไอร์ซตัดสินใจได้ ลูคลูเธอร์ก็กล่าวขัดจังหวะความคิดของไอร์ซด้วยน้ำเสียงที่ดูสบายๆ:
“เฮ้---โทษทีที่ขัดจังหวะพวกนาย แต่อาหารพร้อมแล้ว ช่วยไปเรียกที่เหลืออีกสามคนมาทีสิ?”
“โมมอน-ซัง ให้เห็นเป็นหน้าที่ฉันเถอะค่ะ”
“หืมมมม----นาเบล-จัง จะไปเหรอ? มาปรุงอาหารกับผม แล้วมาสร้างความทรงจำแห่งรักกันดีกว่า?”
“ไปตายซะเจ้าชั้นต่ำ (ตะขาบบ้าน) จะให้ฉันเทน้ำมันเดือดๆเข้าปากเพื่อให้แกหยุดพูดเรื่องไร้สาระนี่ ดีไหม?”
“พอแล้วนาเบล มากับข้าแล้วกัน”
“ค่ะ! เข้าใจแล้ว!”
หลังจากขอบคุณนินยา ไอร์ซก็เดินไปยังสองหนุ่มที่ทำงานกันเงียบๆใกล้ๆกับเต็นท์
ปีเตอร์ และ ดาร์วิน ต่างกำลังตั้งใจซ่อมบำรุงอาวุธที่พวกเขาใช้กัน ทั้งลงน้ำมันป้องกันสนิม ตรวจสภาพ และอื่นๆอีกที่จำเป็น
ด้านชุดเกราะนั้นมีร่องรอยสึกที่เพิ่งเกิดขึ้น และดาบก็มีรอยบิ่นจากการปะทะกับอาวุธของกอบลิน พวกนี้ต้องได้รับการซ่อมบำรุงอย่างเร็วที่สุด และนั่นทำให้ไอร์ซลังเลที่จะเข้าไปขัดทั้งสองตอนนี้ เขาอยากไปบอกทั้งสอง รวมถึงเอนฟรีที่กำลังดูแลม้าอยู่ว่า อาหารเย็นนั้นพร้อมแล้ว
เมื่ออาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ทั้งคณะก็มาตั้งวงทานอาหารโดยมีอาทิตย์อัสดงสีแดงเป็นฉากหลัง
ชามของทุกคนเต็มไปด้วยบิสกิตที่โรยหน้าด้วยเบคอน และยังมีขนมปังปิ้ง รวมถึงมะเดื่อแห้ง กับวอลนัท และทั้งหมดนี้คืออาหารสำหรับค่ำคืนนี้
ไอร์ซจ้องไปยังบิสกิสเค็มในมือ เขาไม่ได้รู้สึกถึงอุณหภูมิเนื่องจากถุงมือเหล็กที่สวมอยู่ แต่เมื่อเห็นคนอื่นๆกินกันอย่างเร็วโดยไม่รอให้มันเย็น นั่นแสดงว่ามันคงอุ่นพอที่จะกินได้สบายๆ
เอาละ แล้วข้าจะทำยังไงดีต่อไป?
เนื่องจากที่ไอร์ซเป็นอันเดด ซึ่งไม่สามารถกินอาหารได้ แม้เขาจะปลอมแปลงหน้าตาด้วยเวทย์ลวงตา แต่ว่าทันที่เขาทานบิสกิตด้วยร่างโครงกระดูกนี้ ความลับต้องแตกในทันทีแน่
เขาไม่อาจให้ใครเห็นตัวจริงของเขาได้
ในโลกที่ไม่รู้จัก และอาหารที่ไม่คุ้นชิน แม้จะเป็นอาหารธรรมดา แต่ไอร์ซก็อดรู้สึกเสียดายที่ไม่อาจกินมันได้
แม้เขาจะไม่มีความต้องการอาหารหลงเหลืออยู่ แต่เขาก็ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเมื่อไม่สามารถท่านอาหารที่น่ากินหลากหลายชนิดที่อยู่ตรงหน้าเขาได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ไอร์ซรู้สึกเสียใจกับร่างนี้นับแต่เข้ามายังโลกนี้
“อ๋า---มีของที่นายไม่กินงั้นเหรอ?”
ลูคลูเธอร์กล่าวถามไอร์ซที่ยังไม่เริ่มตักอาหารเลยสักนิด
“ไม่ใช่หรอก ก็แค่ปัญหาส่วนตัวน่ะ”
“งั้นเหรอ? ยังไงก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ? แต่ตอนนี้ได้เวลาอาหาร นายน่าจะถอดหมวกเหล็กนั่นออกดีกว่ามั้ง?”
“…เป็นเหตุผลทางศาสนาน่ะ วันที่ข้าฆ่าตั้งแต่ห้าศพขึ้นไปจะไม่อาจกินข้าวร่วมกับคนอื่นได้”
“โอ๋…โมมมอนศาสนานายบแปลกดีนะ แต่ก็ไม่แปลกที่จะมีศาสนาแบบนี้ในเมื่อโลกเราก็กว้างซะขนาดนี้”
สายตาที่เพ่งมาด้วยความสงสัยดูจะลดลงหลังจากได้ฟังว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา
บางทีศาสนาในโลกนี้ก็คงเป็นปัญหาซับซ้อนอย่างหนึ่งสินะ
แม้ไอร์ซจะไม่ได้นับถือพระเจ้า แต่เขาก็อดจะขอบคุณไม่ได้ที่ทำให้เขาผ่านพ้นปัญหานี้มาได้ เพื่อจะเปลี่ยนเรื่องเขาจึงหันได้ไปคุยกับปีเตอร์:
“พวกนายเรียกตัวเองว่า ‘ดาบดำ’ แต่ข้าไม่เห็นใครที่ใช้อาวุธแบบที่ว่ามาเลยสักคนนี่”
สำหรับอาวุธหลักของสมาชิกแต่ละคน ปีเตอร์ใช้ดาบยาวที่ลงอาคมธรรมดา ลูคลูเธอร์ก็ใช้ธนู ส่วนดาร์วินใช้คทา ขณะที่นินยาใช้ไม้เท้า ซึ่งเมื่อดูแล้วจะเห็นว่าไม่มีใครเลยที่ใช้ดาบสีดำเป็นอาวุธคู่มือเลย อีกทั้งอาวุธหลักของปีเตอร์ และอาวุธรองของลูคลูเธอร์ต่างก็เป็นดาบที่ไม่ได้บ่งบอกถึง ‘สีดำ’ เลย
ที่เทคนิกที่จะใช้เปลี่ยนสีของโลหะโดยใช้ผงชนิดพิเศษ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตีดาบสีดำขึ้นมา แต่นี่มันไม่ปกติที่คนในกลุ่มไม่มีใครใช้ดาบสีดำเลย
“อ่า คำถามนี้สินะ”
ลูคลูเธอร์ยิ้มเจื่อนๆ ซึ่งบ่งบอกถึงอดีตอันน่าอาย โดยเฉพาะนินยาที่หน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอาย
“นั่นคือดาบที่นินยาตามหาน่ะ”
“อย่าขุดเรื่องนี้มาได้ไหมครับ ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลย”
“ไม่เห็นต้องอายเลย! คนเราต้องมีฝันที่ยิ่งใหญ่น่ะถึงจะถูก!”
“ปล่อยผมไปเถอะดาร์วิน ผมพูดจริงนะ”
กลุ่มดาบดำต่างหัวเราะกันอย่างขบขันกับที่ได้หยอกเย้านินยาซึ่งอายอย่างถึงที่สุดจนอยากจะมุดหัวหลบในรูสักแห่งแล้ว ดูเหมือนชื่อ ‘ดาบดำ’ จะเป็นความลับของคนในกลุ่มสินะ
“ ’ดาบดำ’ คือดาบที่เคยถูกใช้โดยหนึ่งใน’สิบสามวีรชน’ ”
ปีเตอร์กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้
พูดมาแค่นี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย…เท่าที่รู้สิบสามวีรชนคือวีรบุรษที่อยู่ในระดับที่สามารถปราบเทพมารที่บ้าคลั่งได้เมื่อ 200 ปี ก่อนสินะ ข้าไม่รู้ว่าวีรชนพวกนี้เป็นคนยังไง หรือมีเครื่องสวมใส่อะไรบ้าง…ข้าจะเสียหน้าไหมถ้าบอกว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้? หรือข้าควรทำเป็นรู้ดีละ?
ขณะที่ไอร์ซยังสับสนอยู่นั้น นาเบรัลก็กล่าวแทรกขึ้นมา:
“แล้วตกลงเรื่องมันยังไงกัน?”
เยี่ยม ไอร์ซทำท่าแห่งชัยชนะในใจ ขณะที่สมาชิกกลุ่มดาบดำดูจะชะงักงันไม่น้อย
การที่ไม่รู้ไอเทมเวทย์ที่พวกเขาใช้เรียกกลุ่มตัวเอง ดูเรื่องนี้จะกระทบกระเทือนพวกเขาไม่น้อย
“นาเบล-จัง ไม่เคยได้ยินสินะ เข้าใจละ คือถึงเขาจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบสามวีรชน แต่เขาก็ถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายจากที่คนอื่นเชื่อว่าเขาสืบเชื้อสายของปีศาจ เรื่องของเขามักจะถูกข้ามไปเมื่อมีการเล่าตำนานของเหล่าวีรบุรุษ...แต่เท่าที่พูดกันเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมากๆเลย”
“ดาบดำคือดาบทั้งสี่เล่มที่ถูกใช้โดย ‘ดาร์กไนท์’ แห่งสิบสามวีรชน ดาบเวทย์ [ชิลลิ่ง แลมพ์] สามารถปล่อยพลังงานความมืดได้ และแผลที่เกิดจากดาบกัดกร่อน [ครอกโคไดล์] จะไม่สามารถรักษาได้ ส่วนดาบแห่งความตาย [สเปซ] สามารถสังหารศัตรูได้เพียงแม้เพียงทำให้เกิดรอยขีดข่วยเท่านั้น และสุดท้ายดาบมาร [แมลลิส] ที่ไม่มีใครรู้ถึงความสามารถของมัน”
“โอ๋ว----”
ทุกคนต่างยิ้มเจื่อนๆกับท่าทางตอบสนองที่ดูจะไม่สนใจของนาเบรัล
ไอร์ซส่ายหัวไปมาพลางนั่งนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อได้ฟังถึงทักษะพิเศษเหล่านี้เขาก็มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากนึกอย่างถี่ถ้วนแล้ว ภาพของแวมไพร์ตนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว พวกทักษะพิเศษนี้มันเหมือนกับคลาส [เคิร์สไนท์] ของแชลเทียร์เลย
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเคิร์สไนท์คือพวกเขาเป็นพาลาดินที่ถูกสาป และมันเป็นอาชีพที่แข็งแกร่งอาชีพหนึ่งของอิกดราซิล ทว่าเนื่องจากมันมีจุดอ่อนอยู่มากเลยไม่เป็นที่นิยมนัก ทักษะบางอย่างที่เคิร์สไนท์สามารถเรียนรู้ได้นั้นรวมไปถึงการปล่อยคลื่นพลังความมืด การสร้างบาดแผลที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยเวทย์รักษาระดับต่ำ รวมถึงคำสาปแห่งความตาย และอื่นๆอีกที่ไม่ได้พูดถึง
ไอร์ซกลอกตาที่เหม่อลอยภายใต้หมวกเหล็กพร้อมคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ดาบดำที่ถูกพูดถึงต้องมีทักษะพิเศษเหมือนกับเคิร์สไนท์แน่นอน แต่บางทีอาจเป็นไปได้ว่าตัววีรชนนั้นคือเคิร์สไนท์เอง
หากเป็นเช่นนั้นละก็ การจะเป็นเคิร์สไนท์นั้นต้องมีเลเวลถึง 60 หรือก็คือ ‘ดาร์กไนท์’ ต้องมีเลเวลอย่างน้อยที่ 60 -----ไม่สิ
ถ้าดูจากทักษะที่เขามี อย่างน้อยต้องเลเวล 70 เป็นอย่างน้อย
เทพมารที่ต่อสู้กับวีรชนก็น่าจะมีเลเวลที่ใกล้เคียงกัน แต่จากที่ไนเจลของกลุ่มคัมภีร์สุริยันฉายอ้างว่า ขัตติยเทพแห่งอำนาจ สามารถจัดการเทพมารได้ อย่างนั้นก็แปลว่าเทพมาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพวกวีรชนน่ะสิ
เมื่อดูจากข้อมูลทั้งหมดที่เขามี อาจสรุปได้ว่าเทพมารไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไรนัก แต่การจะพิสูจน์เรื่องนี้ก็ต้องได้ดาบนั่นมา หรือไม่ก็ต้องได้เจอตัววีรชนนั่นเสียก่อน
ระหว่างที่ไอร์ซกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น เหล่าสมาชิกเดินทางก็เริ่มพูดคุยกัน ทำให้ไอร์ซรีบตั้งสมาธิไปที่การสนทนาของคนในกลุ่มเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสรวบรวมข้อมูลที่จำเป็น
“การหาคำตอบเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างแรก พวกอาวุธในตำนานดูจะมีอยู่หลายชิ้น และดูจะมีหลักฐานว่ามันมีอยู่จริง แต่ว่ามันจะยังอยู่ในยุคนี้หรือไม่นี่สิ”
“อาห์ แต่ก็มีคนที่หนึ่งในดาบดำแล้วนะ”
คำกล่าวของเอนฟรีเหมือนได้ทิ้งระเบิดลงกลางวง ทำให้กลุ่มดาบดำต่างหันมาที่เขาในทันใด:
“ขะ-เขาเป็นใครกัน!”
“หวา! เอาจริงดิ? แปลว่าตอนนี้เหลือแค่สามแล้วสิ!”
“เอ๋ อย่างนี้เราก็แบ่งให้ทุกคนในกลุ่มไม่ได้แล้วสิ…”
เอนฟรีเมื่อเห็นท่าทีของทุกคนจึงได้ตอบกลับอย่างระมัดระวัง:
“เอิ่ม มีกลุ่มนักผจญภัยที่เรียกตัวเองว่า ‘บลูโรส’ และหัวหน้าของพวกนั้นก็คือเจ้าของดาบนั่นน่ะครับ”
“โอห์ ถ้าเป็นกลุ่มนักผจญภัยระดับอาดามันเทียม ก็คงช่วยไม่ได้ละนะ”
“นั่นสิ แต่ยังไงก็ยังเหลือดาบอีกสามเล่มนี่ พวกเรามาพยายามให้มีความสามารถมากพอจะครอบครองที่เหลือกันเถอะ”
“ใช่แล้ว ในเมื่อมีให้เห็นหนึ่งแล้ว แสดงว่าที่เหลืออีกสามก็ต้องมีอยู่จริง หวังว่าที่เหลืออีกสามเล่มจะอยู่ในที่ลับที่ไม่มีใครหาเจอกว่าพวกเราจะไปถึงนะ”
“นินยา จดลงสมุดบันทึกเลย กันลืม”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะจดทันทีเลย แต่นั่นมันบันทึกส่วนตัวผมนะครับ ทำไมนายไม่จด หรือจำเอาเองล่ะ?”
“ยังไงการจดไว้มันก็ดีกว่าอยู่แล้วนี่!”
“มันเกี่ยวไหมเนี่ย? ดาร์วิน...”
“เห็นแบบนี้ก็เถอะเราก็มีเจ้านี่นะ”
“อะไรล่ะ?”
“นี่ไงโมมอน”
ปีเตอร์หยิบดาบสั้นที่มีอัญมณีประดับอยู่ตรงด้ามดาบ เมื่อเขาดึงมันออกมาก็ทำให้เห็นตัวดาบที่มีสีดำ
“ก่อนที่จะได้ของจริง เราคิดว่าจะใช้เจ้านี่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มก่อน…”
“จะเรียกกลุ่มเราว่า ‘คมมีดดำ’ แทน ‘ดาบดำ’ ก็ได้นะที่จริง ถึงงั้นก็เถอะไม่ว่ามันจะเป็นของจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้านี่ก็คือสัญลักษณ์ของกลุ่มเราอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!”
“เอ๋…ลูคลูเธอร์นายก็พูดอะไรเข้าท่าเป็นเหมือนกันนี่!”
กลุ่มดาบดำต่างระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน
เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากรอบข้าง ไอร์ซก็ได้เผยอยิ้มออกมา ความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อดาบสั้นนี้เหมือนกับที่เขามีต่อไม้เท้าสัญลักษณ์กิลล์เช่นกัน
และแล้วหัวข้อต่างๆที่เข้ากับบรรยากาศระหว่างทานอาหารก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ โดยที่กลุ่มดาบดำเป็นตัวหลักในการจุดประเด็น และพูดคุยกับไอร์ซ นาเบรัล รวมถึงเอนฟรีอย่างไม่หยุด
ถึงแม้ไอร์ซจะเข้าร่วมกลุ่ม แต่เขาก็รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างเขากับกลุ่มดาบดำ เนื่องจากไอร์ซนั้นขาดความรู้เกี่ยวกับโลกนี้ ทำให้เขาไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเอง นั่นทำให้เขาไม่ค่อยเข้าร่วมในการสนทนา และพูดน้อยจนทำให้การพูดคุยติดขัด
ด้านนาเบรัลนั้น เธอก็มักจะมีคำตอบแปลกๆออกมา ทำให้พวกเขาค่อยๆกันเธอออกจาการสนทนาไป
ขณะที่เอนฟรีดูจะรับมือกับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากเขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ และเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่าย นั่นทำให้เขาสามารถร่วมวงสนทนา และอ่านอารมณ์ของคู่สนทนาได้เป็นอย่างดี
(ช่างมัน ยังไงแต่ก่อนข้าก็มีเพื่อนคุยแบบนี้เหมือนกัน)
ไอร์ซคิดแบบเด็กน้อยที่ถูกขัดใจ ขณะที่มองคนในกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานภายใต้แสงจากกองไฟ
พวกเขานั้นสนิทสนมกันอย่างดียิ่ง สมกับที่เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาด้วยกัน เอนฟรีก็อดอิจฉาเมื่อมองไปยังทีมตรงหน้าไม่ได้
ไอร์ซนั้นก็หวนรำลึกถึงสหายร่วมกลุ่มในอดีต พร้อมกับกัดฟันอย่างอิจฉาภายใต้หมวกเหล็ก
----เขาก็เคยเป็นอย่างกลุ่มนี้ในอดีต
“…มิตรภาพของพวกนายดูท่าจะแน่นแฟ้นกันมาก แล้วนักผจญภัยคนอื่นๆเป็นเหมือนพวกนายรึเปล่า?”
“ก็เป็นไปได้ พวกเขาต่างก็ผ่านเรื่องดี และร้ายมาด้วยกัน ถ้าไม่สามารถเข้าใจกันได้แล้วพวกเขาจะร่วมงานกันได้ยังไง นั่นจะเป็นอันตรายเสียอีก และยิ่งอยู่กันนานๆ ความสัมพันธ์ก็ต้องแน่นแฟ้นอยู่แล้ว”
“ถูกต้องเลย แล้วยิ่งพวกเราไม่มีผู้หญิงอยู่ในทีมด้วย ชั้นเคยได้ยินมาว่าถ้ามีผู้หญิงในทีมละก็ต้องมีเรื่องมีราวในกลุ่มแน่ๆ”
“…ก็จริงนะครับ”
นินยาตอบกลับพร้อมยิ้มเจื่อนๆ:
“และลูคลูเธอร์ก็คงเป็นคนแรกที่ก่อปัญหาแน่ๆครับ แต่ที่จริงกลุ่มเราที่มารวมกันก็เพราะมีเป้าหมายเหมือนกันจริงไหมครับ?”
ปีเตอร์ และคนอื่นๆต่างพยักหน้ารับ
“…ใช่แล้วละ เมื่อทุกคนต่างคิดเหมือนกัน ความรู้สึกที่เกิดย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”
“เอ๋? คุณโมมอนก็เคยมีกลุ่มเหมือนกันเหรอครับ?”
ไอร์ซไม่รู้ว่าจะตอบเอนฟรียังไงดี แต่เขาก็ไม่อยากเปลี่ยนเรื่องด้วยข้ออ้างแปลกๆเช่นกัน
“พวกเรา…ไม่ใช่นักผจญภัยน่ะ”
ระหว่างที่เขากล่าวรำลึกถึงเหล่าสหายในอดีต น้ำเสียงของเขาก็เจือด้วยความเศร้าสร้อยอย่างชัดเจน แม้จเขาจะกลายมาเป็นอันเดดแล้ว เขาก็ยังมีความรู้สึกอยู่ และเหล่าสหายในอดีตก็คือเหล่าคนที่ไอร์ซคิดถึงมากที่สุด
เมื่อรับรู้ว่าไอร์ซมีเรื่องที่ไม่อยากจะพูด ทั้งหมดต่างก็ไม่กดดันเขา ทำให้สถานที่แห่งนี้ตกอยู่ในความเงียบงัน
มันเงียบสงบราวกับมีแค่เขาคนเดียวบนโลกนี้ จากนั้นไอร์ซก็เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และมองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีหมู่ดาวทอประกายสว่างไสว
“เมื่อตอนที่ข้ายังอ่อนแออยู่ ข้าถูกช่วยไว้โดยพาลินในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ในมือของเขามีดาบ และโล่ห่ข้างละอัน และเขาก็แนะนำข้ากับสมาชิกร่วมทีมคนอื่นอีก 4 คน เมื่อรวมข้าแล้ว พวกเราเป็นกลุ่มที่มีทั้งหมด 6 คน หลังจากนั้นไม่นานสมาชิกอีกสามคนซึ่งอ่อนแอเหมือนข้าก็เข้าร่วมกลุ่ม และพวกเราทั้งเก้าก็เป็นสมาชิกทีมเริ่มต้นของกลุ่ม”
“โอห์------”
เสียงอุทานของใครบางคนดังขึ้น ผสานไปกับเสียงจากกองไฟ ทว่าไอร์ซก็ไม่ได้หยุด และยังพูดถึงอดีตของ ‘สมาชิกเริ่มต้นทั้งเก้า’ แห่งกิลล์ ’ไอร์ซ โออ์ล โกว์น’
“พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ยอดเยี่ยม ทั้งพาลาดิน, ซอร์ดแดนเซอร์ พริสท์, จอมโจร…ทมิฬ, นิน…จอมโจรศาสตรคู่, จอมมนตรา, เชฟ, แบล็กสมิธ… พวกเราร่วมผจญภัยกันมานับไม่ถ้วน สำหรับข้าพวกเขาคือสหายที่ไม่อาจหาใครมาแทนได้แล้ว และจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เคยลืมวันเวลาเหล่านั้นเลย”
ต้องขอบคุณคนเหล่านี้ ที่สอนให้เขารู้จักคำว่าเพื่อน เขาเคยคิดว่าในโลกอิกดราซิล เขาก็คงถูกเพิกเฉยเหมือนโลกภายนอก แต่ว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาเป็นทีมที่เข้าขากันได้เป็นอย่างดี และพร้อมที่จะช่วยเหลือกันและกัน ระหว่างที่สมาชิกในทีมค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ได้พบกับประสบการณ์อันแสนมหัศจรรย์ พร้อมร่วมฟันฝ่าทั้งเรื่องทุกข์ และสุขมาด้วยกัน
นี่คือสาเหตุว่าทำไมกิลล์ ‘ไอร์ซ โออ์ล โกว์น’ จึงสำคัญมากสำหรับเขา แม้ว่าจะต้องเสียทุกอย่าง หรือจะต้องทำลายล้างโลกก็ตาม เขาก็ยังต้องการปกป้องตำนานนี้เอาไว้
‘สักวันคุณต้องได้พบกันเพื่อนอย่างพวกเขาแน่ครับ’
นินยาพูดปลอบไอร์ซนั่นกลับทำให้ไอร์ซตวาดกลับมาอย่างเกรี้ยวกราดในทันที:
“ไม่มีทาง”
น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยจิตมุ่งร้าย ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขาเองยังต้องตกใจ และทำให้เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ:
“…ขอตัวนะ… นาเบล เราไปกินกันทางนั้นแล้วกัน”
“ค่ะ ไปกันเถอะ”
“งั้นเหรอ…ถ้าเป็นเรื่องของศาสนาก็ช่วยไม่ได้แหละนะ”
แม้ปีเตอร์จะรู้สึกเห็นใจ แต่เขาก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยมกล่อมให้ไอร์ซอยู่ต่อ
และด้านนินยาแม้จะดูสลดใจ แต่ไอร์ซก็ไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาตอนนี้
ไว้ค่อยมาพูด ‘ข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ’ แค่นั้นคงพอ
จากนั้นทั้งสองก็ไปยังตรงมุมส่วนที่เชือกผูกอยู่เพื่อทานอาหารกัน
และเมื่อมีคนออกไปจากกลุ่ม พวกที่เหลือก็มักจะพูดถึงคนที่เพิ่งออกไป และยิ่งคนที่ถูกกล่าวถึงเป็นจุดสนใจของทั้งหมด การจะถูกกล่าวถึงเลยยิ่งเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากจบบทสนทนาเมื่อสักครู่ ทั้งหมดต่างก็นิ่งเงียบ มีเพียงเสียงสะเก็ดไฟจากกองไฟที่ปะทุดังขึ้นให้ได้ยิน และแล้วก็เป็นนินยาที่มองสะเก็ดไฟซึ่งเพิ่งดับลงกล่าวกับตัวเองขึ้นมา:
“…ผมคงพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดไปแล้วสินะครับ”
“เอาเถอะ ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นแบบนี้หรอก”
ดาร์วินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง ขณะที่ปีเตอร์พูดต่อไป:
“บางทีพวกเขาคงตายกันไปหมดแล้ว คนที่สูญเสียเพื่อนไปในการต่อสู้ก็มีท่าทางแบบนี้แหละ”
“เรื่องแบบนั้นมัน…ยากที่จะรับได้นะ ถึงเป็รพวกเราที่ใช้ชีวิตเสี่ยงกับความตายก็เถอะ การเสียเพื่อนร่วมทีมมันเป็นเรื่องที่…”
“ลูคลูเธอร์ นายพูดถูกแล้ว ผมไม่ระวังคำพูดเอง”
“นายไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่นายพูดไปแล้วได้ เพราะอย่างนี้เราต้องหาทางทำให้เขาไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พูดไปก่อนหน้า”
นินยาที่ยังคงเศร้าสลดอยู่ได้กล่าวรำพันออกมาอย่างแผ่วเบา: “ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของการสูญเสีย แล้วทำไมผมถึงได้ไม่เข้าใจเขาบ้าง?” ซึ่งคำถามนี้ไม่มีใครตอบกลับมาเลยสักคน
ท่ามกลางความเงียบนี้ สะเก็ดไฟก็ส่องสว่างขึ้นมาอีกหน
เพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่หนักอึ้งในตอนนี้ เอนฟรีได้กล่าวทำลายความสงบออกมา:
“…คุณโมมมอนวันนี้น่าทึ่งมากเลยนะครับ”
ราวกับรอให้มีคนพูดคำนี้มานาน ปีเตอร์ก็ตอบรับในทันใด:
“ใช่เลย ชั้นไม่เคยเห็นใครเยี่ยมเท่าเขามาก่อน ยิ่งตอนผ่าโอเกอร์เป็นสองท่อนในการโจมตีเพียงครั้งเดียว…”
“นั่นมันน่าอัศจรรย์มาก”
“เรื่องที่จัดการฌอเกอร์ในครั้งเดียวนี่น่าทึ่งมาก แต่เขาเก่งขนาดไหนเรอครับถึงผ่ามันเป็นสองส่วนในการฟันเพียงครั้งเดียวได้?”
กลุ่มดาบดำต่างมองหน้ากันเนื่องจากคำถามชวนงงของเอนฟรี
เด็กหนุ่มผู้มีชื่อเสียงอย่างเอนฟรี ไม่ได้เกิดมาพร้อมความสามารถแฝงเท่านั้น เขายังเป็นผู้ขับขานมนตราชั้นยอดอีกด้วย เขาเป็นคนที่มีความสามารถซึ่งพร้อมที่จะทำให้เขาเฉิดฉายได้อย่างแน่นอนในอนาคต ทว่าไม่มีนักรบที่มีความสามารถระดับเขาอยู่รอบตัวเขาเลย นั่นทำให้เขาไม่สามารถบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของไอร์ซในฐานะนักรบ
และผู้ที่อธิบายให้เอนฟรีฟังเข้าใจง่ายก็คือปีเตอร์นั่นเอง:
“ปกติแล้ว ดาบใหญ่มักจะใช้สำหรับสร้างบาดแผลจากแรงฟาด หรือ ทุบ แต่เขาใช้มันในการ ’ผ่า’ ศัตรู และมันก็ยากที่จะตัดร่างที่หนาแบบนั้นด้วยมือข้างเดียว…แต่เขาทำได้”
เอนฟรีดูจะประทับใจหลังจากที่ฟังคำอธิบายของปีเตอร์ แต่ดูเหมือนจะยังไม่มากเท่าที่ควร นั่นทำให้ปีเตอร์เอ่ยชื่อของคนคนหนึ่งขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบ:
“พูดอย่างเปิดอกเลยนะ ชั้นคิดว่าโมมอนน่ะอยู่ระดับเดียวกับหัวหน้าอัศวินของราชอาณาจักรแล้ว”
นั่นทำให้เอนฟรีถึงกับเบิกตาขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
ในที่สุดเขาก็รับทราบถึงระดับที่กลุ่มดาบดำพิจารณาไอร์ซแล้ว
“…หมายความว่าเขาอยู่ระดับเดียวกับนักผจญภัยอาดามันเทียม…ระดับสูงสุดของนักผจญภัย ที่จัดว่าเป็นตำนานมีชีวิต และถือว่าเป็นจุดสุดยอดของความแข็งแกร่งของมนุษย์ อย่างนั้นเหรอครับ?”
“ถูกต้องแล้ว”
ปีเตอร์พยักหน้ารับ และเมื่อเอนฟรีหันไปมองสมาชิกกลุ่มดาบดำที่เหลือ พวกเขาต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกันหมด
นั่นทำให้เอนฟรีไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาดี
อาดามันเทียมเป็นโลหะเวทย์ที่ถูกสร้างโดยกระบวนการขั้นสูง มันถือว่าเป็นยอดปีระมิดของนักผจญภัย และคนจำนวนไม่มากที่ไปถึง ทั้งราชอาณาจักร และจักรวรรดิมีแค่สองกลุ่มเท่านั้นที่ไปถึงระดับนั้นได้
ความสามารถของพวกเขานับว่าอยู่จุดสูงสุดของมวลมนุษยชาติ และจัดได้ว่าเป็นวีรบุรุษเลยทีเดียว
และไอร์ซก็เป็นผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับคนเหล่านั้นได้
“สุดยอด…”
คำพูดที่กล่าวมานี้เต็มไปด้วยความยกย่องอย่างจริงใจ
“ตอนแรก…ที่เราเจอกัน ชั้นก็อิจฉาชุดเกราะที่ส่องประกายแวววาวของโมมอน ยิ่งเขาเป็นนักผจญภัยระดับทองแดงที่ต่ำที่สุดอีก แต่เมื่อได้เห็นถึงความสามารถที่คู่ควรกับเกราะนั่นแล้ว ชั้นก็ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เขา---โมมอนกับชุดเกราะมันช่างเหมาะกันเหลือเกิน ตอนนี้ชั้นอิจฉาพละกำลังของเขามากเหลือเกิน…”
นักรบอย่างปีเตอร์ไม่ได้สวมชุดเกราะเต็มตัว แต่สวมอุปกรณ์ที่ด้อยกว่าซึ่งเรียกว่าเกราะห่วงโซ่ และนี่ไม่ใช่เครื่องสวมใส่ที่เขาต้องการ แต่มันเป็นชุดเกราะที่ดีที่สุด ซึ่งเขาสามารถจ่ายได้
“ไม่เป็นไร ปีเตอร์สักวันนายต้องหายชุดเกราะเต็มตัวที่ยอดเยี่ยมได้แน่”
“ใช่เลยครับ แล้วถ้านายอยากแข็งแกร่งแบบนั้น นายต้องทุ่มเทให้เต็มที่เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย นายต้องมั่นในตัวเอง ผมเชื่อนายต้องไปถึงเป้าหมายนั้นได้แน่นอน”
“นินยาพูดถูกแล้ว เอาโมมอนเป็นเป้าหมาย แล้วมุ่งไปยังจุดนั้นเลย พวกเราพร้อมช่วยนาย เพราะอย่างนั้นมาลุยไปด้วยกันเลย”
“ใช่แล้ว! เราพยาด้วยกันไปทีละก้าว! ดูจากหน้าตาของโมมอนแล้ว แสดงว่าเขาต้องใช้เวลาฝีกฝนมากกว่านายแน่นอน!”
คำที่ดาร์วินกล่าวทำให้เอนฟรีเกิดความสงสัยขึ้นมา
“พวกคุณเห็นใบหน้าของคุณโมมอนใต้หมวกเหล็กนั่นแล้วเหรอครับ?”
ไอร์ซนั้นนับจากการพบปะกับเอนฟรีแล้ว แม้ระหว่างมื้ออาหารเขาก็ยังไม่ได้ถอดหมวกเหล็กออกเลย พวกเขาในที่นี่ยังไม่รู้เลยว่าเขาดื่มอย่างได้อย่างไรกัน
“ใช่ ก็หน้าตาธรรมดาแหละ…แต่ดูแล้วเขาคงไม่ใช่คนแถวนี้ จากที่มีผม และตาสีดำเหมือนคุณนาเบลน่ะ”
“เหรอครับ…แล้วเขามีบอกไหมครับว่าเขามาจากประเทศไหน?”
สมาชิกของกลุ่มดาบดำต่างหันมามองหน้ากันไปมา และเริ่มรู้สึกว่าเอนฟรีค่อนข้างสนใจเรื่องพวกนี้มาก
“เราไม่ได้ถามรายละเอียดพวกนี้น่ะ…”
“อย่างนั้นเหรอ…อ๊า ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมสนใจว่าถ้าเขามาจากประเทศที่ห่างไกล โพชั่นที่เขาใช้น่าจะต่างจากที่ใช้กันแถบนี้ ในฐานะนักปรุงยาแล้ว ผมเลยค่อนข้างสนใจน่ะครับ”
“อย่างนี้นี่เอง…แต่ถึงเขา กับ นาเบล-จัง จะมาจากที่เดียวกัน แต่หน้าตาทั้งคู่ดูแตกต่างกันมาเลย…เขาดูไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีเลยนะ อย่างนี้เขาจะเนื้อหอมเหรอ?”
“หน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ในเมื่อเขาเก่งขนาดนี้ สาวๆต้องต่างตกหลุมรักเขาหลายคนแน่ๆ”
อย่างที่พูดถึงก่อนหน้า ในโลกนี้ผู้ชายที่แข็งแรงจะเป็นที่นิยม เนื่องจากโลกนี้มอสเตอร์ปรากฎ และมนุษย์ก็จัดว่าเป็นเผ่าพันธ์ที่อ่อนด้อยด้วย นั่นให้หญิงสาวถูกกระตุ้นโดยสัญชาตญาณให้มองหาผู้ชายที่แข็งแกร่งเป็นตัวเลือกแรกๆ
“เฮ้อ---อย่างนี้ความรักของชั้นมันจะมีวันสุกงอมไหมเนี่ย…”
“ไม่มีวันหรอกครับ ดูยังไงผมก็ไม่เห็นโอกาสที่มันจะผลิตผลเลย”
นินยานึกถึงท่าทีที่นาเบรัลแสดงออกมา และตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่มีทางเลยเหรอ แต่ช่างเถอะ ยังไงชั้นต้องไล่ตามเธอ และพยายามจนกว่าจะสำเร็จ พวกนายก็เห็นนี่ว่าเธอสวยมากแค่ไหน จริงไหม? ถ้าเธอทำตัวเป็นมิตรกับชั้นสักนิด นั่นก็ถือว่าชั้นน่ะประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว”
“…ก็ถูกที่ว่าเธอสวยมากน่ะ…”
ดาร์วินตอบมาด้วยท่าทางหนักใจ จากนั้นเขาก็สังเกตุเห็นเอนฟรีที่ดูจะไม่ค่อยสบายใจ
“คุณเอนฟรี เป็นอะไหม?”
“อาห์ เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก…”
“เอ๊?” ลูคลูเธอร์เผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา พร้อมกับกล่าวว่า “นี่นายตกหลุมรักนาเบล-จัง สินะ?”
“ไม่ใช่นะครับ!”
เอนฟรีตอบกลับอย่างรุนแรงด้วยเสียงอันดัง ท่าทางเอาจริงของเขาทำให้ปีเตอร์ พยายามผ่อนคลายสถานการ์โดยการเริ่มสนทนาต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย:
“ลูคลูเธอร์ นั่นล้ำเส้นไปแล้ว ระวังคำพูดด้วย”
หลังจากลูคลูเธอร์กล่าวขอโทษอย่างจริงใจแล้ว เอนฟรีก็ดูจะมีปัญหา เนื่องจากไม่รู้ว่าจะตอบกลับการขอโทษนี้อย่างไรดี:
“ไม่หรอก ไม่เป็นไรหรอกครับ คือ…ผมรู้สีกไม่ค่อยดี…แบบว่าคุณโมมอนเนื้อหอมขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“…ถ้าไม่นับเรื่องหน้าตา ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เป็นไปได้สูงที่เขาจะเนื้อหอม และถ้าดูจากชุดเกราะ กับ ดาบของเขาแล้ว เขาคงจะรวยมากด้วย…”
“อ๋า…”
เอนฟรีดูซึมขึ้นในทันที ทำให้ปีเตอร์ต้องถามออกมาในฐานะคนมีอาวุโสที่ให้คำแนะนำรุ่นน้อง:
“มีอะไรกวนใจอย่างงั้นเหรอ?”
เอนฟรีลังเลที่จะตอบ เห็นได้จากปากที่อ้าหุบเหมือนปลาทองในตอนนี้ ปีเตอร์ และคนที่เหลือต่างก็ไม่ได้กดดันอะไรเขา พวกเขาไม่ต้องการบังคับให้เขาบอกในสิ่งที่ไม่ต้องการพูด ไม่นานนัก เอนฟรีก็ตกลงใจ และเปิดปากที่หนักอึ้งขึ้น…
“เอ่อ---เพราะผมไม่อยากให้คนในหมู่บ้านคาร์เนคนหนึ่ง ตกหลุมรักคุณโมมอนน่ะครับ”
เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในประโยค กลุ่มดาบดำต่างก็เผยรอยยิ้มกันออกมา
“ดีละ งั้นเดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะสอนทริกให้เอง---”
โดยในทันใดปีเตอร์ก็จัดการประเคนกำปั้นให้ลูคลูเธอร์ ส่งผลให้เขาถึงกับส่งเสียงร้องแปลกออกมา สมาชิกกลุ่มดาบดำที่เหลือต่างทำเป็นไม่เห็นท่าทางเจ็บปวดของลูคลูเธอร์ แล้วหันมาปลอบเอนฟรีที่ยังตะลึงอยู่
และภายใต้แสงจากกองไฟ ในนที่สุดเด็กหนุ่มก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง
----ในเวลาเดียวกัน
หมวกเหล็กถูกผ่าออกพร้อมกับส่วนหัวที่แหวะออกตามไปด้วย
พรรคพวกของเขากระตุกอย่างแรกสักพัก ก่อนที่จะล้มลงเหมือนว่าวที่สายป่านขาด เสียงของเกราะโลหะดังกึกก้องในความมืด ตอนนี้เขาภาวนาให้มีคนได้ยินเสียงนี้ และเข้ามาช่วย แต่ไม่มีใครโง่พอที่จะทำเช่นนั้นหรอก
ย่านเสื่อมโทรมแห่งนี้มีพื้นที่ซึ่งถูกทิ้งร้างจำนวนมาก นั่นคือเหตุผลที่เขาเรียกลูกค้าของเขามายังที่แห่งนี้
ตอนนี้เขากำลังจ้องไปยังหญิงสาวตรงหน้า แต่นั่นไม่อาจปิดบังความจริงที่ว่า เขาก็แค่แสร้งทำเป็นกล้าพอเท่านั้น ขวัญกำลังใจของเขามันบินหายไปหมดแล้ว นับแต่ที่เห็นหญิงสาวตรงหน้าสังหารเพื่อนร่วมงานทั้ง 3 คน ของเขาอย่างง่ายดาย
หญิงสาวที่เพิ่งสังหารเพื่อนของเขาได้สะบัดดาบเฉือนเกราะไล่คราบเลือดที่ติดอยู่ออกไป คราบโลหิตได้สาดกระเซ็นทั่วบริเวณ ขับเน้นให้ใบดาบเฉือนเกราะดูเปล่งประกายอันยะเยือกกว่าเดิม
“ฮึ่ม ฮึม ฮึ๊ม---นายเป็นคนสุดท้ายแล้วสิน๊า---”
หญิงสาวฉีกยิ้ม เผยคมเขี้ยวของสัตว์กินเนื้อออกมาให้เห็น
“แก แกทำแบบนี้ทำไม?”
เขารู้สึกเลยว่าคำถามนี้มันช่างโง่เง่าเหลือเกิน แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาได้มาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เขานั้นไม่ใช่นักผจญภัย พวกเขาคือกลุ่มคนที่รู้จักกันในนาม ‘เวิร์กเกอร์’ หรือ ทไวไลท์เวิร์กเกอร์ กลุ่มคนที่รับงานที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นอาชญกรรม หรือบางทีก็เป็นผู้ก่ออาชญากรรมเสียเอง
เป็นไปได้ว่ามีคนที่เคียดแค้นพวกเขา แต่ว่าในเมืองนี้พวกเขาไม่เคยรับงานมาก่อน ตลอดจนไม่เคยเจอกับหญิงสาวตรงหน้าอีกด้วย
“อ๊า ทำไมเค้าทำแบบนี้เหรอ? อาร๊า---เค้าก็แค่อยากได้ตัวนายแค่นั้นแหละ---”
ชายหนุ่มกระพริบตาโดยไม่เข้าใจที่หญิงสาวกล่าวสักพัก ก่อนที่จะเปิดปากพูด:
“แก ที่พูดนี่หมายความไงกัน?”
“หลานชายของนักปรุงยาที่เลื่องชื่อได้อยู่บ้านอานะ---เค้าเลยอยากได้คนมาเฝ้าแทนเค้า แล้วมาบอกเค้าว่าเขากลับมาเมื่อไหร่ เค้าก็แค่ไม่อยากทำงานเรื่องมากแบบนั้นนี่---”
“งั้นก็ทำเรื่องมาสิฟะ! นี่มันไม่เหมือนกับที่แกว่ามาเลย!”
เหล่าเวิร์กเกอร์พร้อมที่จะรับงานแม้จะผิดกฎหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวจึงอยากจะฆ่าเขาเสียเหลือเกิน
“อะร๊า อะร๊า อะร๊า ก็เด๋วนายหักหลังเค้านี่----”
“ถ้าเราได้รับรางวัลที่ตกลงกันไว้ เราไม่มีทางหักหลังอยู่แล้ว!”
“หืม? งั้นเปลี่ยนคำหน่อยละกันน๊า?เค้าอะชอบฆ่าคนมากเลย เค้าเสพย์ติดเลยแหละ ยังไงก็ห้ามใจไม่ไหวเลยอะ”
“อ๊า แล้วเค้าก็ชอบการสอบสวนด้วยน๊า” หญิงสาวกล่าวเสริมพร้อมรอยยิ้ม
หลังได้ฟังเหตุผลอันผิดปกติของหญิงสาว ชายหนุ่มก็ต้องแสดงสีหน้าวิตกออกมา:
“แกเป็นบ้าอะไรของแกฟะ?!”
“เพราะอะไรง้านเหรอ? เพราะว่าเค้ารับจ้างฆ่าคน? หรือเพราะเค้ามักถูกเอาไปเปรียบเทียบกับพี่ชายที่แสนเก่ง? หรือพ่อแม่ของเค้าเอาแต่สนใจรักเขาคนเดียว? หรือจะเป็นเป็นเราะเค้าถูกใช้เป็นของเล่น ก่อนจะแข็งแกร่งอย่างตอนนี้? บางที่อาจเป็นเพราะหลังจากหลบหนี และถูกจับได้ เค้าถูกทรมานสอบสวนไปหลายวัน? การต้องโดนลูกแพร์ร้อนยัดปากมันทรมานมากเลยนะ โย่ ” Having to eat a scorching pear is really painful, yo. (คาดว่าน่าจะเหมือนถึงการทรมาน ถ้าสนใจลองถามอากู๋ pear of anguish รับรองหลอนได้ใจ)
ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือเด็กสาวคนหนึ่ง ทว่ามันก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว และหญิงสาวก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
“เค้าล้อเล่นน่า เรื่องทั้งหมดก็แค่เรื่องโกหก เรื่องแต่งน่ะ เรื่องแต่ง เค้าไม่เคยเจออะไรพวกนั้นมาก่อนหรอก แต่ถึงจะเป็นเรื่องจริงน๊า ถึงจะรู้อดีตไปก็เท่านั้นแหละ ตอนนี้เค้าเป็นแบบนี้เพราะประสบการณ์ของเค้าเอง อะร๊า ว่าแล้วต้องขอบคุณ คาจิ-จัง ที่ทำให้เค้าเจอพวกนายได้เร็วแบบนี้ รู้เปล่าเด๋วนี้มันใช้เวลามากแคไหนกว่าจะหาตัวช่วยได้เนี่ย---”
จากนั้นหญิงสาวก็ปล่อยให้ดาบเฉือนเกราะในมือตกลงสู่พื้น และมันก็ปักลงกับพื้นโดยอาศัยเพียงแรงโน้มถ่วงเท่านั้น ดูจากความแหลมคมของมันแล้ว โลหะที่ใช้สร้างดาบเฉือนเกราะนี้ต้องไม่ใช่เหล็กกล้าธรรมดาอย่างแน่นอน
“นี่น่ะทำจากโอริฮารูก้อน หรือบางทีทำจากมิธิรลที่เคลือบด้วยโอริฮารูก้อนละน้า เจ้านี่ยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ”
การที่เธอครอบครองอาวุธหายากเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของหญิงสาว ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเขาไม่มีโอกาสจะชนะเลยสักนิด
“เอาละ…ได้เวลาเริ่มขั้นต่อไปแล้ว ถ้านายเจ็บหนัก ก็คงใช้งานไม่ได้ด้วยสิ…แต่ถึงเค้าจะจัดการนายไปมากแค่ไหน คาจิ-จัง ก็ซ่อมได้อยู่แล้วด้วยเวทย์สายศรัทธา---นั่นหมายความว่า เค้าจะสนุกกับการทรมานนายได้โดยไม่หยุดเลยสิน้า?”
ระหว่างที่หญิงสาวพูดเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนนั้น เธอก็ได้หยิบดาบเฉือนเกราะอีกเล่มจากใต้ผ้าคลุม
“ใช้นี่น่าจะได้…ถ้าเค้าพลาดก็ขอโทษด้วยน้า----”
หญิงสาวแลบลิ้นออกมา และกล่าวขอโทษ ด้วยท่าทางที่ดูน่าเอ็นดู ทว่าจิตใจเธอนั้นกลับดำมืดอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มรีบหันหลังให้กับหญิงสาว และออกวิ่งอย่างเร็ว แม้จะได้ยินเสียงหญิงสาวที่ทำเป็นตกใจ เขาก็ยังคงสนใจแต่การหลบหนีเท่านั้น ภายใต้ความมืดที่ไร้แสงไฟ เขาออกวิ่งโดยอาศัยเพียงสัมผัสด้านทิศทางที่เขาภูมิใจ
ทว่าเสียงที่ไล่หลังมานั้น ทั้งสงบ และน่าหวาดหวั่นของหญิงสาวก็ดังขึ้นจากด้านหลัง:
“----ช้าไป”
ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนที่ไหล่เขาแสบร้อน พร้อมกับที่คิดว่าถูกดาบเฉือนเกราะแทง ในหัวของเขาก็เหมือนถูกเงามืดครอบงำไปหมด
-----มาร์ยคอนโทรล
แม้ชายหนุ่มจะพยายามต้านทานอย่างสุดความสามารถ แต่เงามืดก็ยิ่งโหมทวีมากยิ่งขึ้น
จากนั้นเสียงเพื่อนของเขาก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“อะร๊า----นายโอเคไหม? แผลมันลึกไปรีเปล่า?”
“ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ชายหนุ่มหันกลับมายิ้มให้เพื่อนของเขา
และแล้วหญิงสาวก็เผยรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัว เมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มกล่าวตอบ
Part 3
เมื่อตะวันได้สาดแสงขึ้นอีกครั้ง คณะเดินทางก็ได้เดินตามถนนซึ่งถูกต้นหญ้าปกคลุมสู่จุดหมาย
“อีกเดี๋ยวเราก็จะถึงหมู่บ้านคาร์นีแล้วครับ”
เมื่อได้ยินคำบอกจากคนในกลุ่ม ทุกคนในกลุ่มก็พยักหน้ารับ และเดินต่อไปเงียบๆ แม้จะดูเหมือนว่าเอนฟรีเป็นคนเดียวที่เคยมายังที่แห่งนี้ แต่ความจริงไอร์ซก็เคยมาหมู่บ้านมาก่อนเช่นกัน เอนฟรีซึ่งเป็นคนเอ่ยปากพูดดูจะร้อนรนไม่น้อย
ตอนนี้มีในกลุ่มเกิดบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก และตัวการของเรื่องอย่างไอร์ซ ก็กำลังซ่อนความรู้สึกของเขาไว้ภายใต้หมวกเหล็ก
ตลอดการเดินทางนินยาคอยจ้องมองมาที่เขาอย่างดูแคลน แต่เนื่องจากเป็นความผิดของเขาเอง ดังนั้นจึงไม่อาจทำอะไรได้
ซึ่งเป็นผลจากเรื่องเมื่อวาน
นินยานั้นได้กล่าวขอโทษต่อหน้าทุกคนตอนมื้อเช้า ซึ่งตอนนั้นการบอกยกโทษก็คงทำได้ง่าย แต่เขากลับไม่อาจกล่าวคำง่ายๆอย่าง ‘ข้าให้อภัย’ ออกมา
แม้ไอร์ซจะรู้ตัวว่าเขาทำตัวเป็นคนใจแคบ แต่เขากลับไม่อาจควบคุมมันได้
หลังจากกลายมาเป็นอันเดด ซึ่งเปลี่ยนทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่เขาก็ยังเป็นเช่นนี้…
หลังจากกลายมาเป็นอันเดด ความรู้สึกที่รุนแรงของเขานั้นเจือจางลงไปหมด แต่จุดอ่อนทางความรู้สึกของเขากลับไม่หายไปด้วย ความจริงที่ว่าเขายังคงโกรธเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ แม้เวลาจะผ่านไปนานก็เป็นหลักฐานอย่างดี เนื่องจากเหล่าสหายในอดีตของเขาเป็นสิ่งที่สำคัญในจิตใจเขา แต่แม้ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนี้ การที่ปล่อยให้ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ทว่าเขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเป็นคนจัดการกับบรรยากาศตอนนี้
ไอร์ซนั้นรู้ตัวว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กที่งอแงเมื่อถูกขัดใจ และเขาก็โกรธตัวเองที่ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้
ในบรรยากาศที่อึมครึมเช่นนี้ กลับมีอยู่หนึ่งที่ดูไม่จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย นั่นก็คือนาเบรัลซึ่งเดินเคียงคู่มากับไอร์ซ และเนื่องจากที่เธอไม่ได้ถูกลูคลูเธอร์เข้ามาก่อกวน ทำให้เธออารมณ์ถึงขนาดฮัมเพลงออกมาเลย
เนื่องจากบรรยากาศที่ว่ามาทำให้คณะเดินทางเคลื่อนขบวนกันมาอย่างเงียบๆ และก็เข้ามาสู่บริเวณรอบนอกของหมู่บ้านคาร์นีอย่างรวดเร็ว
“ดะ-ดีล่ะ! ดูแล้วแถวนี้เป็นที่เปิดโล่ง งั้นเราก็ไม่ต้องเดินตั้งขบวนแล้วมั้ง----”
ลูคลูเธอร์กล่าวทำลายความเงียบออกมาอย่างระมัดระวัง
แต่เมื่อมองไปยังอีกด้าน ก็มีเพียงป่าหนาทึบขนาดใหญ่ให้เห็น นั่นทำให้เขาเกิดความไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเอง อีกอย่างพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการไม่เผลอปล่อยตัวเมื่ออยู่ในที่โล่ง ดังนั้นแล้วคงเป็นการดีกว่าหากจะยังคงเดินเป็นขบวนเช่นนี้ต่อไป
และจากที่ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ซึ่งความรอบคอบเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับนักผจญภัย ทั้งหมดจึงเดินต่อไปอย่างเงียบๆ
“…การระวังตัวเป็นสิ่งสำคัญนะ อย่างตอนนี้ เอ่อ…เอาเป็นว่า เราก็รีบไปที่หมู่บ้านกันเถอะ”
“ถูกต้อง! เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี เราต้องระวังตัวตลอดทุกเมื่อ!”
ทั้งปีเตอร์ และฟอร์เรสดรูอิด อย่างดาร์วินต่างตอบกลับรับลูกกัน ซึ่งลูคลูเธอร์ก็ตอบกลับมาอย่างสบายๆว่า
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” (Even Peter and Forest Druid Dyne replied in succession, Lukeluther also gave off an expression that said “Not about that”.)
“แค่บางทีอาจมีมังกรบินมาจากสักที่ แล้วเขาจู่โจมเราก็ได้นะครับ”
นินยากล่าวออกมา ซึ่งเมื่อลูคลูเธอร์ได้ยินก็กล่าวสวนกลับไปในทันที:
“เฮ้ย เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว! ใช้สามัญสำนึกของนายบ้าง เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้กันนินยา!”
“ใช่นั่นมันเป็นไปไม่ได้เลย มันก็แค่เรื่องเล่าที่ว่ามีมังกรอยู่ที่ชายแดนของ รี-เอซไทซ์ แล้วยังที่ว่าสมัยโบราณมีมังกรที่สามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้อยู่ด้วย แต่ตอนนี้ชั้นไม่เคยได้ยินว่ามีใครเห็นมังกรเลยนะ อา ไม่สิ…ที่จริงก็มีนะ ที่เขาเล่ากันว่ามีมังกรน้ำแข็งถูกเจออยู่ใกล้กับหุบเขาอเซลริเซียร์ แต่นั่นมันก็อยู่ทางเหนือที่ไกลมากๆ”
ในยุคโบราณ? เมื่อลองนึกเทียบกับที่คนในกลุ่มคำภีร์สุริยันฉายเคยพูดถึงว่า พวกมังกรเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกนี้...
สำหรับอิกดราซิล ศัตรูที่จัดได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดก็คือเผ่าพันธุ์มังกรนั่นเอง ไม่เพียงการโจมตีทางกายภาพที่ทรงพลัง พละกำลัง และการป้องกันทางกายภาพที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด พวกมันยังสามารถใช้ทักษะพิเศษ และเวทย์ที่หลากหลายได้อีกด้วย
พวกมันถือได้ว่าอยู่ในเลเวลที่ต่างจากทั่วไปเลยทีเดียว
ในหมู่มอนสเตอร์ที่หลากหลายของอิกดราซิล พวกมันถูกตังชื่อตามถิ่นที่อยู่ของหัวหน้าเผ่า และยังมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจนถูกจัดเป็นเวิร์ลคลาสมอนสเตอร์อีกด้วย (among them were named monsters along with regional monster chieftains and they also had very strong world-class monsters) ซึ่งแม้จะให้สมาชิกทั้งหมดของทั้งหกทีมร่วมมือกันปราบมอนสเตอร์พวกนี้ โอกาสที่จะได้รับชัยชนะยังแทบจะไม่มีเลย
นอกเหนือจากบอสที่ปรากฏในฉากจบของเนื้อเรื่องหลักอย่าง “ผู้กลืนกลินทั้งเก้าโลกา” ก็ยังมี “แปดมังกร” “ราชาแห่งบาปทั้งเจ็ด” “สิบมหาเทวฑูตประจำพฤกษาแห่งชีวิต” ในส่วนเสริมอย่าง “การล่มสลายของวัลคิวรี่” ก็มีบอสตัวใหม่เข้ามาได้แก่ “เทพแห่งวันทั้งหก” และ “เบญจพุทธองค์สายรุ้ง” เมื่อรวมทั้งหมดแล้วจะมีมอนสเตอร์รับดับเลเวลเบรกทั้งหมดสามสิบของตัว และบอสบางตัวก็เป็นเผ่ามังกร แสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับอย่างชัดเจน
หากว่ามังกรยังไม่สูญพันธุ์ละก็ เขาก็ต้องระวังตัวให้มากเข้าไว้ ในอิกดราซิล มังกรนั้นมีช่วงชีวิตที่ยาวนาน ดังนั้นการจะเจอกับมังกรที่ทรงพลานุภาพอย่างไม่อาจคาดเดาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“อา---ถ้าจะไม่เป็นการรบกวน ข้าอยากจะรู้ชื่อของมังกรที่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ไหม?”
ไอร์ซนั้นไม่กล้าพอจะเอ่ยถามคนที่เขาเพิ่งทะเลาะมาอย่างปกติได้ เขาจึงกระซิบออกมาเบาๆ แต่นั่นก็ดังพอที่จะเรียกความสนใจของทั้งหมด ซึ่งนินยาก็รีบหันหน้ากลับมาในทันที
พวกเขาตอนนี้เหมือนคู่รักที่มีปัญหากัน ซึ่งไอร์ซก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ในการคืนดีกับนินยา
ในสถานการณ์เช่นนี้ อดที่จะทำให้ไอร์ซนึกไปถึงภาพทื่เขาเห็นในร้านกาแฟเมื่อก่อน แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตอนนี้เสียไม่ได้
เมื่อท้ายที่สุด ไอร์ซเป็นผู้เอ่ยถามออกมา ทำให้นินยาเผยรอยยิ้มอย่างลิงโลด ซึ่งเหล่าสมาชิกกลุ่มดาบดำ และเอนฟรีต่างก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน จะมีก็แต่นาเบรัลที่ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม แต่จะว่าไปแล้วตั้งแต่เช้า นาเบรัลก็ดูจะไม่ได้สังเกตุเห็นถึงบรรยากาศอึมครึมของทั้งสองเลยสักนิด
“ขอโทษจริงๆครับ! เอาไว้ตอนเรากลับไปที่เมืองแล้ว ผมจะลองหาข้อมูลดูนะครับ!”
ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเลย…แค่บอกว่าไม่รู้ก็พอแล้ว…ข้าก็แค่อยากให้ตอบกลับก็เท่านั้น…
ถึงจะคิดเช่นนี้ แต่ไอร์ซก็ไม่ได้กล่าวออกไป
“เอ ถ้าอย่างนั้นนินยา ถ้ามีเวลาก็ช่วยหาข้อมูลให้หน่อยได้ไหม?”
“ครับผม คุณโมนอน!”
ตอนนี้ทั้งหมดต่างพยักหน้าอย่างพอใจ ทำให้ไอร์ซรู้สึกเขินขึ้นมา มันคงจะไม่น่าอาจแบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม
“เอาละ อีกไม่นานเราคงจะถึงหมู่บ้านคาร์นีซะที…”
นี่เป็นครั้งแรกนับแต่เช้าที่เอนฟรีได้กล่าวออกมาอย่างร่างเริง ทว่าทันใดนั้นเขากลับเงียบลงอย่างผิดปกติ
ตอนนี้ทุกคนต่างมองตรงไปยังหมู่บ้านที่อยู่เบื้องหน้า หมู่บ้านนี้ก็เป็นหมู่บ้านธรรมดาทั่วไปซึ่งอยู่ติดกับชายป่า เมื่อดูแล้วก็ไม่มีบรรยากาศที่น่าระแวง หรือสิ่งที่น่าดึงดูดความสนใจ นั่นทำให้ทั้งหมดสงสัยที่เอนฟรีอยู่ดีๆก็นิ่งขึ้นมา
“คุณเอนฟรี มีอะไรงั้นเหรอ? เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
“อา ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่ผมจำได้ว่าไม่เคยเห็นรั้วพวกนี้มาก่อน…”
“งั้นเหรอ? แต่ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินี่ เอาจริงๆนะถึงรั้วพวกนี้จะดูแปลกตาสำหรับหมู่บ้านแบบนี้ใช่ไหม? แต่ที่มันอยู่กับป่า ก็น่าจะไว้ใช้หยุดพวกมอนสเตอร์ก็ได้ งั้นมันก็ไม่น่าแปลกหรอกถ้าจะทำรั้วป้องกันให้มันแข็งแรงเข้าไว้ จริงไหม?”
“เอ----ที่พูดมาก็อาจจะใช่ครับ…แต่หมู่บ้านคาร์นีน่ะ มีราชันพิสุทธิ์แห่งพนาคุ้มครองอยู่น่ะครับ เพราะงั้นชาวบ้านเลยไม่เคยเอาอะไรมากั้นมาก่อนเลยน่ะครับ…”
เมื่อได้ฟังดังนี้ ทั้งหมดต่างมองไปยังหมู่บ้าน และสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือกำแพงที่ล้อมรอบหมู่บ้าน ซึ่งบางจุดก็ทำจากไม้ที่ดูจะพังลงได้ง่ายๆ
“แปลกจริงๆ…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่นี่…”
หลังจากได้ฟังคำถามที่เปี่ยมด้วยความไม่สบายใจจากเด็กหนุ่ม ไอร์ซก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา เนื่องจากครั้งล่าสุดที่เข้ามาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ เขามาในฐานะผู้ขับขานมนตรานาม ‘ไอร์ซ โออ์ล โกว์น’ ทว่าตอนนี้เข้าคือนักผจญภัยที่ชื่อโมมอน
สุดท้ายนินยาก็กล่าวแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง:
“บางทีผมคงจะกังวลมากไป…แต่ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มาหมู่บ้านนี้ มีสองสิ่งที่ดูน่าสงสัยจากแต่ก่อนมาก อย่าแรกนะครับ คือผมไม่เห็นใครออกมาทำงานในไร่เลย และอีกอย่างคือข้าวสาลีบางส่วนถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วด้วยครับ”
เมื่อมองไปยังทิศทางเดียวกับนินยา พวกเขาก็เห็นว่าทุ่งข้าวสาลีบางส่วนถูกเก็บเกี่ยวไปเรียบร้อยแล้วจริงๆ
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น…ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?”
ตอนนี้เองที่ไอร์ซซึ่งรู้สึกไม่สบายใจก็ได้กล่าวออกมากับทุกคน:
“…ทุกคน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง นาเบลช่วยใช้วทย์ลอยตัวออกสำรวจรอบหมู่บ้านหน่อย”
หลังได้รับคำสั่งไอร์ซ นาเบลก็ทำการร่ายเวทย์พรางตัวพร้อมกับที่หายตัวไปจากสายตาของทุกคน จากนั้นเธอก็ร่ายเวทย์ลอยตัวและจากไปในทันที เมื่อเวลาแห่งการรอคอยผ่านพ้นไปร่างของนาเบรัลก็ปรากฎให้เห็นอีกครั้งในตำแหน่งเดิมที่เธอหายไป
“…ภายในหมู่บ้านไม่มีอะไรผิดปกติ และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีใครคอยออกคำสั่งชาวบ้านด้วยค่ะ แล้วที่ไร่อีกฟากของหมู่บ้าน พวกชาวบ้านก็กำลังทำไร่กันอยู่ค่ะ”
“…ดีจัง ดูเหมือนผมจะกังวลไปเอง”
“ถ้างั้นคงไม่มีปัญหาอะไรนะ งั้นเราก็ไปกันต่อเถอะ…ว่าไง?”
ปีเตอร์มองไปที่เอนฟรี กับ ไอร์ซ เพื่อขอความเห็น ซึ่งทั้งสองก็เห็นด้วยกับเขา
เมื่อคณะเดินทางยิ่งเข้าใกล้หมู่บ้านมากขึ้นเท่าใด ทางเดินก็ยิ่งแคบขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทางกลุ่มตอนนี้เดินเรียงแถวกันเข้าสู่หมู่บ้าน
ทุ่งข้าวสาลีนั้นถูกแหวงกออกสองข้างระหว่างทางเดิน พร้อมกับที่รวงข้าวสาลีซึ่งยังไม่พร้อมกับเกี่ยวพัดไหวไปตามกระแสลม เมื่อมองจากมุมนี้ เหมือนกับว่าพวกเขานั้นตกลงไปบึงอันเขียวชะอุ่ม
“เอ๋?”
เกวียนที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่เร่งความเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของลูคลูเธอร์ที่อยู่แถวสองส่งเสียงอุทานออกมา พร้อมกับที่เขามองไปยังทุ่งข้าวสาลีอย่างระมัดระวัง แม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยว แต่รวงข้าวสาลีตอนนี้ก็สูงหลายเซนติเมตร ทำให้ยากที่จะมองผ่านรวงข้าวเหล่านี้ไปได้
“มีอะไรไหมครับ?”
นินยาที่เดินตามมาด้านหลัง เอ่ยถามอย่างงุนงง
“เอ? ไม่มีอะไรหรอก ท่าทางชั้นจะคิดไปเองน่ะ?”
ถึงในหัวของลูคลูเธอร์ตอนนี้จะเต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่เขาก็ยังคงเร่งฝีเท้า และลดระยะห่างระหว่างเขากับปีเตอร์ได้อย่างเร็ว
ทางด้านนินยาที่มองไปทางเดียวกันนั้น เมื่อมั่นใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็เดินตามกลุ่มไปอย่างเร็ว
ยิ่งเข้าใกล้หมู่บ้านเท่าไร รวงข้าวสาลีที่ยิ่งทวีความหนาแน่นมากขึ้นจนขวางทางที่จะไปยังหมู่บ้าน ตอนนี้พวกเขาเหมือนกำลังตกลงไปในทะเลข้าวสาลีกันเลยทีเดียว ซึ่งวิธีเปิดทางนั้นพวกเขาต้องทำการตัดข้าวสาลีที่ขวางอยู่ แต่หากทำเช่นนั้นย่อมจะสร้างปัญหาให้พวกเขาได้
“หวังว่าคนในหมู่บ้านจะมาจัดการกับไร่พวกนี้นะ ปล่อยไว้แบบนี้มันเสียประโยชน์เหลือจริงๆ”
ปีเตอร์ที่เดินนำกล่าวขึ้น หลังจากต้องคอยปัดรวงข้าวสาลีที่มาเกี่ยวกับชุดเกราะของเขา หลังจากบ่นได้สักพัก เขาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
สัญชาตญาณของเขาที่ถูกลับจากประสบการณ์เฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วนกำลังเตือนเขา รวงข้าวสาลีพวกนี้มันจะถูกโค่นลงง่ายแบบนี้เลยเหรอ?
เมื่อมองไปยังทุ่งข้าวสาลีตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ปีเตอร์ก็พบกับสายตาคู่หนึ่ง ซึ่งจับจ้องมายังตัวเขา มีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางรวงข้าวสาลี แม้เขาจะไม่เห็นถึงใบหน้าของเจ้าตัวที่ซ่อนอยู่ แต่เขามั่นใจว่านั่นไม่ใช่มนุษย์แน่นอน
“อะไรน่ะ!”
ปีเตอร์ที่ตกใจต้องการตะโกนเตือนเพื่อนๆ แต่เจ้าสัตว์ประหลาด----กึ่งมนุษย์ตรงหน้ากลับพูดขึ้นมาก่อน: “พวกนายช่วยปลดอาวุธกันได้ไหม?”
กึ่งมนุษย์ตัวจ้อยได้ชักอาวุธออกมา แม้ปีเตอร์จะเร็วแค่ไหนก็ตาม แต่ฃ่ายตรงข้ามดูจะเร็วกว่าเขา
“โอ๊ะ-โอ ช่วยวางอาวุธลงด้วย แล้วก็บอกพวกคนที่อยู่ด้านหลังนายหน่อยว่า พวกเราไม่อยากใช้ธนูพวกฆ่าพวกนายหรอกนะ”
หลังจากได้ยินเสียงอันแผ่วเบาจากอีกทางหนึ่ง ปีเตอร์ก็มองไปยังทิศทางของเสียงนั้น และพบกับหลุมซึ่งถูกซ่อนอยู่กลางท้องทุ่งอย่างแนบเนียน ภายในหลุมนั้นมีร่างครึ่งตัวของกึ่งมนุษย์จำนวนหนึ่งโผล่ขึ้นมาให้เห็น นอกจากนี้พวกมันยังใช้รวงข้าวสาลีช่วยกลบร่องรอยทำให้ยากจะสังเกตุเห็นอีกด้วย
ตอนนี้ปีเตอร์รู้สึกหนักใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อฟังจากที่เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้บอกมา เขาพอเห็นช่องทางในการเจรจาอยู่
“…พวกนายจะปล่อยพวกเราไปไหมละ?”
“แน่นอน ถ้ายอมจำนนนะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ปีเตอร์ก็ได้แต่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะนี้เขายืนอยู่ด้านหน้าของตัวเกวียน และพยายามมองให้แน่ใจว่าจะไม่มีลูกธนูสามารถยิงถูกเอนฟรีที่อยู่บนเกวียนได้ นอกจากนี้เขายังพยายามคะเนว่ากำลังพลของฝ่านตรงข้ามกับพวกพ้องไปด้วย
การยืนยันเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง แต่ตอนนี้เขาไม่อาจตัดสินใจจะยอมจำนน หรือปฎิเสธข้อเสนอของฝ่ายตรงข้ามได้
ราวกับว่าอีกฝ่ายจะเห็นถึงความลังเลของปีเตอร์ กึ่งมนุษย์สองตนได้ยืนขึ้น ก่อให้เกิดเสียงดังได้ยินกันทั่ว
“…กอบลิน”
นินยาเผลอส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา
พวกกึ่งมนุษย์ที่เผยกายให้เห็นนั้นเป็นเผ่าพันธ์เดียวกับกอบลินที่พวกเขาเจอเมื่อวาน และพวกมันตอนนี้กำลังขึ้นสายธนู พร้อมเล็งมายังพวกเขาด้วยสายตาอันเฉียบคม
พวกเขาควรสู้ดีไหม?
นินยา ลูคลูเธอร์ และดาร์วิน ต่างสบตากัน โดยใช้สีหน้าในการอ่านความคิดของแต่ละคน
เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้ว กอบลินนั้นด้อยกว่ามนุษย์ในเรื่องของความสูง, น้ำหนัก, พละกำลังกล้ามเนื้อ และความสามารถทางร่างกายในด้านต่างๆ ทว่าเนื่องจากพวกมันสามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี จึงเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กับพวกมันในที่มืด ทว่าหากเป็นการต่อสู้ใต้แสงตะวันเช่นนี้ พวกมันไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะจัดการสำหรับสมาชิกกลุ่มดาบดำที่มากประสบการณ์
นอกจากนี้ พวกเขายังมีไอร์ซอยู่ด้วย ดังนั้นศึกนี้คงเป็นอะไรที่ง่ายดายเช่นเมื่อวาน
หากว่าเป็นการต่อสู้กับกอบลิน ปีเตอร์มั่นใจว่าเขาต้องชนะแน่นอน แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีตัวประกันให้เขาต้องไปช่วย
แต่มีเหตุผลที่เขาไม่สามารถทำอะไรโดยผลีผลามได้
เอาที่เห็นได้ชัดเลย พวกกอบลินตรงหน้าดูจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หากเทียบกับพวกกอบลินโง่เง่าที่เจอเมื่อวานแล้ว กอบลินตรงหน้าดูจะมีร่างกายที่สมบูรณ์ และมีมัดกล้ามที่แข็งแรง
ไม่เพียงเท่านั้น ท่าทางในการถือธนูของพวกกอบลินก็ดูดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับพวกกอบลินที่เขาเจอเมื่อวานนั้น พวกมันเหมือนเด็กน้อยที่ถือไม้แกว่งไปมา แต่กอบลินตรงหน้าดูเหมือนทหารที่คุ้นเคยกับการใช้ธนูเป็นอย่างดี
สุดท้ายคือ อาวุธของพวกมันดูจะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ซึ่งเทียบเท่ากับอาวุธของสมาชิกกลุ่มดาบดำเลยทีเดียว
หากว่ามนุษย์สามารถฝึกฝนเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้นได้ แน่นอนว่ามอนสเตอร์ก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งก็รวมถึงพวกกอบลินด้วย
นอกเหนือจากนี้ พวกกอบลินตรงหน้าดูจะแข็งแกร่งกว่าพวกกึ่งมนุษย์ที่กลุ่มดาบดำเคยเผชิญมาทั้งหมดด้วย
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาตามสายลมผ่านทุ่งข้าวสาลี ทำให้ลูคลูเธอร์รีบหันไปหาต้นเสียงทีอยู่ด้านหลังในทันที
“…เฮ้ เฮ้ นี่ถูกจับได้แล้วเหรอ?”
กอบลินตนหนึ่งโผล่หัวออกจากไร่ และส่งเสียงออกมา ดูแล้วท่าทางว่ามันจะหาทางลอบเข้ามาจู่โจมจากด้านหลัง แต่ดูเหมือนมันจะยังมีทักษะการพรางตัวที่ไม่ดีพอสำหรับเรนเจอร์อย่างลูคลูเธอร์ ทว่าถึงแม้เขาจะสังเกตุเห็นกอบลินที่ลอบเข้ามาได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อมองไปรอบๆอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาก็พบว่าในท้องทุ่งมีร่องรอยการเคลื่อนไหวเต็มไปหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีพวกที่ซ่อนตัวอยู่ และตอนนี้กำลังเข้ามาล้อมเกวีนยเอาไว้
สถานการณ์ตอนนี้ต้องบอกว่าพวกเขาเสียเปรียบอย่างมาก
สมาชิกกลุ่มดาบดำตอนนี้หมดหนทางที่จะหลบไปจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้
ทางด้านไอร์ซได้ยกดมือขึ้นห้ามนาเบรัล ที่กำลังเตรียมสังหารหมู่พวกกอบลินทั้งหมด หลังจากที่เขาลอบมองพวกกอบลินมาได้สักพัก และยืนยันได้ถึงสิ่งที่เขาคาดการณ์
“กอบลินพวกนี้ รวมถึงพลธนูกอบลินด้วย ทั้งหมดถูกอัญเชิญมาจาก [ฮอร์น ออฟ เดอะ กอบลิน เจเนอรัล]”
ถ้าหากว่ากอบลินพวกนี้อยู่ใต้การควบคุมของเด็กสาวที่เขาให้ไอเทมไปละก็ งั้นพวกเขาก็ต้องพยายามเลี่ยงท่าทางมุ่งร้ายให้มากที่สุด แต่พวกเขาก็น่าจะหาทางรับมือไว้บ้าง ทว่าจากที่พวกกอบลินนั้นไม่คณามือสำหรับไอร์ซ หรือ นาเบรัล เลยสักนิด ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นท่าทางทีดูไม่ยี่หระของไอร์ซ กอบลินก็พูดขึ้นมา:
“ท่านคนที่ใส่เกราะน่ะ ถ้าเป็นไปได้อย่าทำอะไรไม่เข้าท่าละ พวกเราไม่อยากให้เกิดการต่อสู้หรอกนะ”
อีกครั้งที่ไอร์ซต้องรั้งนาเบรัลเอาไว้ และกล่าวออกมาอย่างสงวนท่าที:
“ไม่ต้องห่วง หากพวกเจ้าไม่บุกเข้ามา ทางเราก็จะไม่ทำอะไรแน่นอน”
“ขอบคุณมาก ถึงพวกคนที่เหลือจะเก่งกันก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก…แต่นายน่ะไม่เหมือนกัน ยิ่งกับสุภาพสตรีข้างๆด้วย…สัญชาติของชั้นบอกว่ามันคงเลวร้ายมาก ถ้าต้องเป็นศัตรูกับทั้งสองท่าน”
ไอร์ซไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่ยักไหล่แทนคำตอบเท่านั้น
“โปรดรอตรงนี้สักพัก จนกว่าอาเจ๊จะมาแล้วกัน”
“อาเจ๊ที่พูดถึงคือใครกัน! ใช่คนที่ยึดหมู่บ้านคาร์นีรึเปล่า!”
เอนฟรีแผดเสียงออกมาด้วยความพลุ่งพล่าน ทำให้พวกกอบลินประหลาดใจขึ้นมา
“ใจเย็นก่อนครับคุณเอนฟรี ผมคงไม่ต้องบอกว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหนนะครับ และจากที่คุณนาเบรัลบอกมา ที่หมู่บ้านมีบางจุดที่ดูน่าสงสัยอยู่ ดังนั้นก่อนที่เราจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ผมหวังว่าเราจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นได้นะครับ”
ถึงแม้จะได้ฟังคำแนะนำจากนินยา แต่เอนฟรีก็ไม่อาจระงับอารมณ์ที่วิตกกังวลลงไปได้สักนิด
จากสีหน้าที่พร้อมจะสู้จนตายกันไปข้าง ได้เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไม่พอใจ พร้อมกับมือที่กำแน่น ค่อยๆผ่อนแรงลง
เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเอนฟรี ไอร์ซทั้งรู้สับสน และประหลาดใจ
แน่นอนว่าเนื่องจากนี่เป็นการผจญภัยสั้นๆ เขาจึงไม่อาจรู้ถึงลักษณะนิสัยของเด็กหนุ่มตรงหน้า ทว่าเขาไม่คิดมาก่อนว่าปฎิกริยาที่แสดงออกมาจะรุนแรงเช่นนี้ บางทีในหมู่บ้านจะมีอะไรมากกว่าเป็นสถานที่สำหรับรวบรวมสมุนไพรของเขาเสียแล้ว
ไอร์ซจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย ในอีกด้านหนึ่งพวกกอบลินที่รับรู้ถึงความโกรธของเอนฟรีต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง
“เอ๊ะ----ตรงนี้มันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี่----”
“หมู่บ้านของอาเจ๊เพิ่งถูกพวกอัศวินของจักรวรรดิบุกโจมตี พวกเราเลยต้องเตรียมพร้อมเอาไว้น่ะ”
“หมู่บ้านถูกโจมตี…! หวังว่าเธอจะไม่เป็นไรนะ!”
และราวกับตอบรับเสียงร่ำร้องของเอนฟรี เด็กสาวที่อยู่ใต้การคุ้มครองของกอบลินก็ปรากฎตัวขึ้นมาที่ทางเข้าหมู่บ้าน หลังจากเห็นเด็กสาว เอนฟรีก็เบิกตาขึ้น และตะโกนเรียกชื่อเด็กสาวด้วยเสียงอันดัง:
“เอ็นริ!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก เด็กสาวกตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และอบอุ่น เหมือนกับที่เรียกหาเพื่อนสนิท”
“เอนฟรี!”
ในตอนนี้ไอร์ซก็นึกได้ถึงสิ่งที่เขาได้ยินมาก่อนหน้า
“อะ-ห้า เพื่อนนักปรุงยาของเธอ…ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชายสินะ”
ทางด้านนาซาริก
เดมิเอิร์จกำลังเดินอยู่ตรงทางเดินในชั้นเก้าของมหาสุสานนาซาริก เสียงรองเท้าที่กระทบพื้นก่อให้เกิดเสียง “ตึก ตึก ตึก” ดังก้องก่อนจะจาหายไปเป็นจังหวะ แม้จะมีข้ารับใช้จำนวนมากกำลังทำหน้าที่ตรวจตราป้องกันการถูกบุกรุก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศอันลึกลับจางหายไปจากสถานที่แห่งนี้ ตอนนี้เดมิเอิร์จกวาดสายตามองรอบๆก่อนจะยิ้มออกมา
“ช่างเกริกเกียรติ และ มากบารมีอะไรเช่นนี้”
เขายอมรับความงามสง่าของชั้นเก้าแห่งนี้หมดหัวใจ ภาพวาดของเหล่าผู้สร้างทั้งสี่สิบเอ็ดแต่ละภาพ และภาพวาดรวมของทั้งสี่สิบเอ็ดที่ประดับอยู่ พวกนี้ทำให้เขาทุ่มเทจิตใจพร้อมจะสละชีพเพื่อปกปักษ์สถานที่แห่งนี้ นี่คือสาเหตุที่เขาชื่นชอบภาพวาดต่างๆของชั้นนี้
ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านชั้นเก้าแห่งนี้ ในใจของเขาจะต้องเปี่ยมล้นด้วยความปลื้มปิติ และปฎิญาณตนที่จะภักดีต่อเหล่าผู้สร้างทุกครั้งไป ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นเฉพาะตัวเขาคนเดียว แต่ยังรวมถึงเหล่าตัวตลกที่ชอบทำเสียงโหวกเหวก และเหล่านักดนตรี ที่เมื่อต้องมายังชั้นนี้ ต่างก็ตระหนัก และพยายามทำเสียงให้เบาที่สุดเพื่อไม่เป็นการรบกวนความสงบของสถานที่แห่งนี้
หากจะมีผู้ใดชิงชังภาพวาดเหล่านี้ ก็นับว่าพวกมันแสดงการเป็นปฎิปักษ์ต่อเหล่าผู้สร้างทั้ง 41
เดมิเอิร์จเดินไปหักไปตามมุมห้องพร้อมนึกถึงเรื่องเหล่านี้ และตอนนี้เป้าหมายของเขาก็คือ ห้องของผู้สร้างคนสุดท้ายแห่งมหาสุสานนาซาริก โอเวอร์ของพวกเขา ไอร์ซ โออ์ล โกว์น
ยามเมื่อประตูห้องอยู่ในลานสายตาของเขา ก็มีร่างของคนกลุ่มหนึ่งเปิดประตูออกมาให้เห็น
ซึ่งพวกเขาก็เห็นเดมิเอิร์จเช่นเดียวกัน และต่างก็ยืนรอแสดงความเคารพเมื่อเขาเข้ามาใกล้
หนึ่งในกลุ่มคนกลุ่มนี้สวมชุดเหมือนพ่อบ้าน ที่แต่งกายด้วยสีดำทั้งตัว ยกเว้นแต่ถุงมือที่เป็นสีขาว ทว่าแทนที่จะบอกว่าเป็นพ่อบ้าน เขาดูเหมือนจะเป็นนักสู้เสียมากกว่า
ซึ่งเขาก็คือหนึ่งในข้ารับใช้ชายทั้งสิบของนาซาริก ทว่าแม้แต่เดมิเอิร์จก็ไม่อาจแยกความแตกต่างของข้ารับใช้ทั้งสิบได้ เนื่องจากทั้งหมดต่างสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าทั้งหมด และพวกเขาทำได้เพียงส่งเสียงพึมพำเท่านั้น
และที่เบื้องหน้าของข้ารับใช้ชาย
ความคิดแปลกอย่าง ‘ร่างเปลือยที่สวมแค่เนคไท’ ก็ผุดขึ้นในหัวของของเดมิเอิร์จ
ที่อยู่ตรงหน้าก็คือเพนกวิน
ใช่แล้วรูปร่างที่เห็นตอนนี้คือเพนกวินที่ใส่เนคไทสีดำ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ผู้ช่วยพ่อบ้าน”
เมื่อเพนกวินได้ยินทักทายอย่างเป็นมิตรของเดมิเอิร์จ มันก็ยิ้มออกมาอย่าร่าเริง -------เหมือนมันจะทำแบบนั้นแหละนะ------- จากนั้นมันก็กล่าวทักทายตอบ:
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ ท่านเดมิเอิร์จ”
เจ้าเพนกวินโค้งคำนับ
แน่นอนว่าเพนกวินตัวนี้ ไม่ใช่เพนกวินธรรมดาทั่วไป แต่มันคือผู้ช่วยพ่อบ้านแห่งมหาสุสานนาซาริก เผ่าพันธ์เฮเทโรมอร์ฟิก สายพันธุ์มนุษย์นก ที่มีชือว่า เอคลียา เอคลีเยอร์ เอคลียา
มนุษย์นกทั่วไปนั้นจะมีลักษณะเหมือน เปลูชิโน หนึ่งในผู้สร้างทั้ง 41 โดยจะมีปีก และหัวที่เป็นสัตว์ ซึ่งแขนขา และส่วนช่วงอกจะมีลักษณะเหมือนนก แต่เจ้าตัวที่อยู่ข้างหน้านี้มีลักษณะเหมือนเพนกวินด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งเดมิเอิร์จก็ไม่ได้เคอะเขินกับรูปร่างตรงหน้านี้
เนื่องจากเขานั้นถูกสร้างโดยหนึ่งในผู้สร้างทั้ง 41
“ไม่ทราบว่าอัลเบโดอยู่ข้างในไหมครับ?”
“ขอรับ ท่านอัลเบโดตอนนี้อยู่ด้านใน”
เนื่องจากที่ไอร์ซไม่อยู่ในมหาสุสานนาซาริก ดังนั้นผู้ที่รับหน้าที่แทนก็คืออัลเบโด แต่เธอกลับไม่ได้ทำงานในห้องของเธอเอง โดยเลือกที่จะมาอยู่ในห้องแห่งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างทราบดี
การกระทำทั้งหมดของเธอนั้นได้รับการอนุญาตจากไอร์ซแล้ว ทว่าก็มีอยู่หนึ่งที่คัดค้านอย่างหัวชนฝา ซึ่งก็คือ แชลเทียร์ บลัดฟอลเลน ที่ไม่อยู่ในตอนนี้
เดมิเอิร์จเคยบอกอัลเบโดว่า ‘ภรรยาที่ดีควรจะดูแลบ้าน และรอคอยกลับมาของสามีไม่ใช่เหรอ?’ ทว่าเธอกลับตอบมาว่า ‘ก็ไม่ผิดอะไรนี่คะ ที่ภรรายาจะเฝ้าดูแลห้องของสามี’ ซึ่งนั่นทำให้เดมิเอิร์จไม่อาจเถียงต่อไปได้
หลังจากพยักหน้ารับรู้ เดมิเอิร์จก็กล่าวกับ เอคลียาว่า:
“ยากนะครับที่จะเจอตัวคุณที่นี่ ไม่ใช่ว่าส่วนที่คุณรับผิดชอบจะอยู่ที่ห้องรับแขกหรือครับ?”
“เพราะว่าท่านเซบาสเตียนไม่อยู่ขอรับ กระผมเลยต้องทำงานเป็นสองเท่าชดเชยส่วนของท่าน กระผมเลยต้องมาปรึกษากับท่านอัลเบโดในเรื่องรายละเอียดของงานขอรับ”
“ใช่แล้ว เพราะว่าเขาไม่อยู่สินะ ชั้นเก้าของมหาสุสานนาซาริกเลยต้องให้คุณช่วยดูแล”
“ถูกต้องเลยขอรับ เพื่อการปกครองมหาสุสานนาซาริกในอนาคต กระผมเลยต้องพยายามให้มากในตอนนี้”
แม้จะมีคำพูดแปลกๆหลุดออกมา แต่เดมิเอิร์จก็ยังคงยิ้มอยู่
เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปว่า เอคลียา นั้นหมายปองบัลลังก์แห่งนาซาริก ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งที่หนึ่งใน 41 ผู้สร้างกำหนดไว้ ดังนั้นเลยไม่เป็นปัญหาสำหรับเรื่องนี้
เดมิเอิร์จนั้นพร้อมจะจัดการกับเพนกวินตรงหน้าอย่างไม่ปราณีหากมีคำสั่งจากผู้สร้าง ทว่าตอนนี้ไม่นับว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
“ถูกแล้วครับ ต้องพยายามเข้าไว้ แล้วไม่ทราบว่าคุณมีแผนจะจัดการอะไรก่อนละครับ?”
“ทำความสะอาดขอรับ จะมีงานบ้านอื่นอีกหรือขอรับ? ไม่มีใครจะทำความสะอาดได้เอี่ยมเหมือนกระผมแล้วขอรับ! ท่านสามารถเลียโถส้วมก็ยังได้ หากกระผมได้ทำความสะอาดแล้ว”
หลังจากได้ยิน เอคลียา ตอบกลับอย่างมั่นใจ เดมิเอิร์จก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ:
“เยี่ยมเลยครับ คุณได้รับงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเลยนะครับ หากว่าในชั้นนี้สกปรกขึ้นมา คงเป็นการรบกวนท่านผู้สร้างอย่างมาก”
เดมิเอิร์จพยักหน้า ก่อนจะหยิบยกหัวข้อใหม่ขึ้นมาสนทนา:
“ผมทราบว่างานของคุณมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ว่าใครที่รับหน้าที่ดูแลชั้นนี้แทนเซบาสเตียนละครับ?”
“นั่นเป็นงานของหัวหน้าเมด พาสทรี้ แต่ถ้าให้เทียบงานทำความสะอาดแล้ว งานจัดการไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกขอรับ”
“ก็จริงนะครับ…ข้ารับใช้ที่ท่านผู้สร้างให้กำเนิดก็ต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดสินะครับ…แต่จะว่าไปแล้ว การทำความสะอาดโดยที่มีมือเป็นเพนกวินแบบนี้ มันไม่ลำบากหรือครับ?”
“กระผมสามารถใช้ทักษะทดแทนเรื่องมือทั้งสองข้างนี้ในการทำความสะอาดน่ะขอรับ”
เอคลียาเอามือตีไปที่หน้าอก และตอบกลับอย่างมั่นใจ แต่ว่าจากนั้นเขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจเอาไว้”
“แต่จะว่าไปขอรับ ท่านเดมิเอิร์จ เรื่องแบบนี้ไม่น่าที่ท่านผู้ซึ่งชาญฉลาดจะมาถามนะขอรับ”
จากนั้นข้ารับใช้ชายที่ด้านหลัง ได้หยิบเอาหวีมาหวีขนสีทองบนหัวของเอคลียา
“กระผมนั้นไม่ใช่เพนกวินธรรมดา แต่คือ ร๊อคฮอปเปอร์ เพนกวิน ที่ท่าน อันโกโระ โมชิโมชิ ให้กำเนิด โปรดเข้าใจด้วยนะขอรับว่านี่ไม่ใช่มือ-----มันคือปีกต่างหากขอรับ”
“ขอโทษด้วยนะครับ”
เมื่อเห็นว่าเดมิเอิร์จก้มหัวขอโทษ เอคลียากก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ และหันไปสั่งข้ารับใช้ชายที่อยู่ด้านหลัง:
“แบกกระผมไปทางโน้นที”
“เอ่ออออ”
ข้ารับใช้ชายได้หนีบเอคลียาขึ้นมาที่รักแร้
เนื่องจากว่าเอคลียาเวลาเดินนั้นค่อนข้างงุ่มง่าม และเชื่องช้า
เขาเลยมักใช้ให้ข้ารับใช้ชายแบกไปมาอยู่เป็นประจำ
“กระผมขอตัวก่อนนะขอรับ ท่านเดมิเอิร์จ”
“ครับ ไว้เจอกันครับ เอคลียา”
หลังจากมองส่งร่างของผู้ช่วยพ่อบ้านที่ถูกหนีบไปเหมือนกับตุ๊กตาของเล่น เดมิเอิร์จก็เคาะไปยังประตูเบาๆ:
แม้ว่าเจ้าของห้องจะไม่อยู่ในตอนนี้ แต่เดมิเอิร์จก็ยังคงแสดงท่าทางด้วยความเคารพ สำหรับตัวเขาแล้ว ห้องนี้เป็นสถานที่ซึ่งควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องแม้จะไม่มีการตอบรับใดๆกลับมา
เมื่อมองไปรอบๆ เขายังไม่เห็นอัลเบโด ทำให้เดมิเอิร์จเปิดประตูห้องด้านใน เพื่อเข้าไปสู่ส่วนในของห้อง
ห้องของผู้สร้างทั้ง 41 นั้นออกแบบมาเหมือนห้องเพรซสิเด้นสูท โดยมีห้องน้ำขนาดใหญ่ เคาร์เตอร์บาร์ ห้องนั่งเล่นที่ประดับด้วยเปียโน เตียงขนาดใหญ่ ห้องรับแขก ห้องครัวสำหรับพ่อครัวส่วนตัว และห้องเปลี่ยนเสื้อ รวมไปถึงห้องต่างๆอีกมากมาย
เดมิเอิร์จเดินไปยังส่วนห้องนอนโดยไม่ลังเลทันทีที่เข้ามาด้านใน
เขาเปิดประตูห้องทัน โดยไม่แม้แต่จะรอการตอบรับ หลังจากเคาะประตู
ภายในห้องมีเตียงขนาดตั้งอยู่ ซึ่งดูจากขนาดของมันแล้วนับว่าค่อนข้างฟุ่มเฟือยมากเกินสำหรับคนทั่วไป ที่เตียงมีก้อนกลมเป็นขยุ้มขนาดใหญ่กว่าคนปกติเล็กน้อยซึ่งห่อหุ้มใต้ผืนเตียงขยุกขยิกไปมา
“อัลเบโด”
เดมิเอิร์จส่งเสียงเรียกอย่างเอือมระอา จากนั้นร่างของหญิงสาวที่งดงามก็ปรากฎออกมาจากก้อนกลมนั้น เผยให้เห็นไหล่อันเกลี้ยงเกลาโดยไม่มีอะไรปกปิด บางทีตอนนี้เธออาจจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยอยู่ก็เป็นได้ ที่หน้าของเธอมีสีแดงระเรื่อ บางทีอาจมาจากที่เธอซุกตัวอยู่ใต้ผ่าห่มก็เป็นได้
“…ไม่ทราบว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ขอรับ?”
“ดิฉันอยากให้กลิ่นของตัวดิฉันอบอวนทั่วตัวท่านไอร์ซเมื่อท่านกลับมาค่ะ”
การที่เธอขยับไปมานั้นก็อาจเพื่อทิ้งกลิ่นเอาไว้ก็ได้
เดมิเอิร์จถึงกับไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี หลังจากมองไปยัง NPC ระดับชั้นสูงสุดอย่างเงียบงัน อย่างผู้ดูแลแห่งมหาสุสานนาซาริก เขาก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย
เขาไม่ได้กล่าวออกมาว่า ‘ท่านไอร์ซเป็นอันเดด ดังนั้นท่านย่อมไม่ได้นอนหลับที่เตียงนี้แน่นอน’ หรืออย่าง ‘ถึงท่านจะมานอน แต่ผ้าปูเตียงก็ต้องถูกเปลี่ยนแน่ๆ’ เอาเป็นว่าหากว่าได้ทำแบบนี้แล้วอัลเบโดจะพอใจ ก็ปล่อยให้เธอทำไปก็แล้วกัน
“ยังไงก็อย่าให้มันล้ำเส้นนะขอรับ”
“…ดิฉันไม่ทราบว่าแค่ไหนถึงเรียกว่าล้ำเส้นนะคะ แต่ดิฉันจะจำเอาไว้แล้วกัน ดีไหมคะ ท่านไอร์ซ”
เดมิเอิร์จถึงกับตกตะลึงทันทีที่ได้ยินคำพูดที่เพิ่งกล่าวออกมา
แรกเริ่มเขาเข้าใจว่าที่อยู่ตรงหน้าคือตัวของ ไอร์ซ โออ์ล โกว์น แต่ว่านั่นขาดถึงตัวตน และมิติ
“นั่น…หมอนข้างรูปของท่านใช่ไหม…ใครที่ทำมันขึ้นมาขอรับ?”
“ดิฉันทำขึ้นมาเองค่ะ”
คำตอบกลับอย่างทันที ทำให้เดมิเอิร์จถึงกับเบิกตาที่เหมือนปิดอยู่ตลอดเวลาขึ้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอัลเบโดจะมีความสามารถแบบนี้ด้วย
“ทั้งเรื่องการทำความสะอาด งานบ้าน หรืองานเย็บปักถักร้อย ดิฉันอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญเลยนะคะ”
เหมือนพึงพอใจที่ได้เห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของเดมิเอิร์จ อัลเดบโดก็กล่าวออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อม:
“เพื่อเด็กน้อยที่จะเกิดมาในอนาคต ดิฉันยังเตรียมถุงเท้า และเสื้อผ้าไว้แล้ว นี่ดิฉันเตรียมไว้จนเขาอายุ 5 ขวบเลยนะคะ”
จากนั้นอัลเบโดก็ยิ้มออกมา และหัวเราะกับตัวเอง “ฮุฮุฮุ” เสียงหัวเราะที่ได้ยินทำให้เดมิเอิร์จรู้สึกอ่อนใจ และจะรีบออกไปจากตรงนี้ ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวต่อไป
“จะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง ก็ได้ทั้งนั้น…อาห์! จะให้มีสองเพศ หรือ ไร้เพศดีนะ?”
เดมิเอิร์จไม่รู้จะกล่าวอะไรกับอัลเบโดที่กำลังพูดกับตัวเองอยู่
อัลเบโดนั้นมีความสามารถในการจัดการดูแลมหาสุสานนาซาริกได้อย่างดีเยี่ยม และทิ้งห่างเดมิเอิร์จแบบไม่เห็นฝุ่น ทว่าในด้านการจัดการกองกำลังนั้นนับว่าเป็นหน้ามือกับหลังมือเลย ดังนั้นแล้วเดมิเอิร์จจึงจำต้องมาช่วยในส่วนนี้
ทว่าในตอนนี้ที่ยังไม่มีศัตรูปรากฎให้เห็น ก็คงยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
เดมิเอิร์จพยายามข่มความรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากเจ้านายของเขามีคำสั่งให้ออกไปทำภารกิจ ดังนั้นเดมิเอิร์จไม่อาจคัดค้านได้
“จากคำสั่งของท่านไอร์ซ กระผมเห็นว่าได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว แต่จากที่ตอนนี้เหล่าการ์เดี้ยนต่างก็ไม่อยู่ยังนาซาริกแห่งนี้ ที่เหลืออยู่ก็แค่คุณ กับ โคไคทัส ที่ยังไม่ได้รับคำสั่ง กระผมจึงไม่มีรอะไรจะแนะนำ แต่อยากให้คุณรอบคอบเอาไว้นะขอรับ”
“ต่อจากออร่า, มาเร่, เซบาสเตียน และก็แชลเทียร์ คุณเป็นคนต่อไปสินะคะ เข้าใจแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดิฉันเถอะค่ะ หากว่ามีปัญหา ดิฉันจะไปขอให้น้องสาวของดิฉันมาช่วย และดิฉันจะให้เพลดีสออกปฎิบัติการด้วย คาดว่าตอนนั้นคงพอถ่วงเวลาให้ทุกคนกลับมาทันนะคะ”
“…ถึงสถานการณ์จะฉุกเฉินแค่ไหน คุณก็ไม่อาจให้น้องสาวของคุณเคลื่อนไหวได้ หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากท่านไอร์ซโดยตรง เพลดีสก็เช่นกัน ห้ามเด็ดขาดเลยที่จะใช้งานสองคนนั่น แล้วคุณจะให้วิกทิมขึ้นมายังชั้นข้างบนหรือไม่ หากว่าสถานการณ์คับขันขึ้นมาขอรับ?”
“ก็อาจเป็นไปได้ค่ะ…ดิฉันได้เตรียมการเรื่องพวกนี้ไว้แล้ว หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นดิฉันจะเรียกคุณกลับมาทันที แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ทราบว่าคุณจะเอายังไงกับพวกที่ยังเหลือรอดของหน่วยคัมภีร์สุริยันฉายกันละคะ? ท่านไอร์ซก็ให้ไฟเขียวในการจัดการเรื่องนี้กับคุณแล้วจริงไหมคะ? คุณสามารถให้ดิฉันจัดการต่อก็ได้นะคะ แต่ตอนนี้ดิฉันยังไม่ทราบเลยว่าต้องทำยังไงต่อดี...”
“อ๋า หมายถึงพวกนั้นสินะขอรับ? กระผมได้ทำการทดลองพวกนั้น ตามคำสั่งของท่านไอร์ซน่ะขอรับ”
เดมิเอิร์จเผยรอยยิ้มอันปลาบปลื้ม ทำให้อัลเบโดเลิกคิ้วที่งดงามของเธอขึ้น
“อย่างแรกคือการทดลองเวทย์รักษาขอรับ หากว่าเราตัดแขน แล้วร่ายเวทย์รักษาไปที่แผล แขนที่ถูกตัดไปก็จะหายไปทันที แต่ถ้าเราให้พวกมันกินแขนที่ถูกตัดไป แล้วร่ายเวทย์รักษา สารอาหารจะหายไปด้วยหรือเปล่า? แล้วถ้าเราทำแบบนี้ซ้ำไปมา พวกนี้จะหิวตายได้ไหม?”
“อ๋า---ดิฉันเข้าใจแล้ว”
“ไม่เพียงเท่านั้น กระผมยังให้พวกมันลงเสียงคนที่จะกลายมาเป็นอาหาร คนที่จะถูกสับแขนขาด้วยขวานทื่อๆ และแน่นอนว่าผลการลงคะแนนจะถูกเก็บเป็นความลับด้วยขอรับ”
“ที่ทำแบบนั้นมีความหมายอะไรไหมคะ?”
“แน่นอนขอรับ ในหมู่นักโทษก็มีการจัดลำดับชั้นกัน คนที่จะถูกกิน คนที่จะถูกตัดแขนขา และคนที่จะกินแขนขาที่ถูกตัด แน่นอนว่าต้องเกิดความบาดหมางกับหัวหน้าขึ้นมา แล้วเราก็แค่กระตุ้นคนที่จะถูกกินเล็กน้อย ผลที่ได้ก็ชัดเจนเลยว่า พวกนั้นก็จะเกิดการปฎิวัติขึ้นในกลุ่ม พวกสิ่งมีชีวิตที่พร้อมเกลียดชังทุกสิ่งนี่น่ากลัวจริงๆนะขอรับ”
“…ช่างน่าอึดอัดจริงๆนะคะ พวกเราเหล่านาซาริกที่ถูกสร้างโดยเหล่าผู้สร้าง จะไม่มีทางหักหลังท่านไอร์ซโดยเด็ดขาด แต่พวกมนุษย์พร้อมที่จะหันคมดาบหาเจ้านายของตัวเองทุกเมื่อ…พวกมันไม่มีความภักดีเอาเสียเลยนะคะ”
“นั่นแหละขอรับที่น่าสนใจ ขอให้สนุกไปกับส่วนนี้ของมนุษย์ อัลเบโดแค่คุณปฎิบัติกับพวกมนุษย์เหมือนของเล่น เท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ยังไงดิฉันก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่คุณคิดจริงๆนะคะ”
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ เอาละ ถ้ายังคุยกันแบบนี้ต่อไปคงเป็นการผลาญเวลาในการทำตามคำสั่งของท่านไอร์ซไปเปล่าๆ เอาเป็นว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น ให้เรียกกระผม แล้วกระผมจะรีบกลับมาในทันที”
“เข้าใจแล้วค่ะ หากมีอะไรผิดปกติ ดิฉันจะแจ้งให้คุณทราบทันทีถ้าจำเป็น”
“ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวก่อน แล้วก็…เห็นว่าคุณทำเสื้อผ้าสำหรับเด็ก กระผมอยากจะบอกเรื่องที่เพิ่งทราบมานะขอรับ ดูเหมือนท่านผู้สร้างดูจะชอบให้เด็กผู้ชายสวมเสื้อผ้าของเด็กผู้หญิงนะขอรับ”
“…เอ๋?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น