หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.2 Chapter 4

The Twin Swords of Death


Part 1
ใช้เวลา 1 คืนในการเดินทางกลับหมู่บ้านคาเน่ พักที่หมู่บ้าน 1 คืน จากนั้นออกเดินทางต่อไปยังเมืองรีลันเทีย แผนการเดินทางได้ทุกกำหนดไว้เช่นนี้ หลังจากมาถึงเมืองรีลันเทีย ภาพบรรยากาศยามเย็นของเมืองก็ปรากฏให้เห็น
ตามถนนส่องสว่างไปด้วยแสงไฟ ผู้คนเดินพลุกพล่านไปมา เหล่าเด็กวิ่งเล่นกันตามประสา 
ไอซ์จ้องมาภาพนั้น หลังจากออกจากเมืองไป 3 วัน บรรยากาศของตัวเมืองดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
หลังจากไปถึงถนนหลักไอซ์ก็หยุดเดิน โดยทั่วไปแล้วการหยุดอยู่กลางถนนใหญ่ย่อมเป็นการขวางทางของผู้สัญจรคนอื่นๆแต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่กล้าเข้าใกล้ไอซ์ อันที่จริงทุกคนกำลังจ้องมองมาทางเค้าและกระซิบกระซาบกันเบาๆ


ไอซ์คิดว่าเหมือนทุกคนจะหัวเราะเค้าอยู่แต่ที่จริงถ้าไอซ์ได้ยินคำสนทนาละก็จะเข้าใจได้ว่าเค้าคิดผิด สายตาของผู้คนที่จ้องมามีความแปลกใจปะปนไปด้วยความกลัว หลังจากพอจะจับสายตาได้ไอซ์ก็ก้มมองลงไปยังด้านล่าง ขณะนี้เค้ากำลังขี่สัตว์ประหลาดสีขาวขนสีเงินตัวใหญ่ 
ผู้คนส่วนใหญ่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงราชาแห่งป่าที่ไอซ์ขี่อยู่ นักรบที่สามารถกำราบมันได้คงต้องเป็นคนที่เก่งกาจมากอย่างแน่นอน
-นี่ข้าควรจะเชิดหน้าขึ้นกว่านี้....สินะ-
หลังจากเข้าใจถึงสถานการณ์ที่คนรอบข้างจ้องมองมาอย่างสนใจ แต่สำหรับไอซ์นี่มันเหมือนเป็นการลงโทษชนิดหนึ่ง
ท่าทางการขี่ของเค้านั้นแปลกไปจากท่าขี่ม้าโดยสิ้นเชิง เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่ของราชาแห่งป่า ทำให้เค้าต้องอ้าข้าให้กว้างมากขึ้นนั้นทำให้ยากต่อการทรงตัว
ความคิดที่ขี่ราชาแห่งป่าเข้ามาในเมืองนั้นเป็นความคิดของกลุ่มดาบทมิฬ ตัวราชาแห่งป่าเอง แม้กระทั้งนาเบรัลก็เห็นด้วย
“คงไม่สะดวกที่ท่านไอซ์ผู้เป็นนายเหนือหัวจะต้องมาเดินเท้าเช่นข้า”
ซึ่งตอนแรกไอซ์ก็ไม่ได้คิดอะไรมากแต่พอเอาเข้าจริงสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เค้าอึดอัดพอสมควร
-ถ้าข้ารู้ว่าผลมันจะออกมาเช่นนี้ต้องปฎิเสธแน่นอน ... นี่ทุกคนคงไมได้วางกับดักข้าใช่มั้ยเนี่ย-
ด้วยรูปร่างที่เหมือนแฮมสเตอร์ที่หลุดออกมาจากนิยาย ถ้าให้เด็กๆหรือผู้หญิงขี่มันก็ดูน่ารักดี แต่พอมาเป็นนักรบขี่แล้วมันดูแปลกๆ ไอซ์คิดในใจ
เมื่อเห็นสายตาที่แสดงความทึ่งไอซ์ก็คิดขึ้นว่า เพื่อสร้างชื่อเสียงของโมมอนให้เป็นไปตามแผนคงต้องยอมอดทนเล่นไปตามเกมก็แล้วกัน
“เอาละ เมื่อกลับมาถึงเมืองแล้ว ก็นับว่างานของพวกเราเสร็จสิ้นซะที”
“ถูกต้องแล้วครับ นับว่างานจบลงแล้ว สำหรับเรื่องค่าตอบแทนผมก็เตรียมไว้ให้แล้ว แต่สำหรับค่าตอบแทนพิเศษที่เราคุยกันตอนอยู่ในป่าอาจจะต้องใช้เวลาเตรียมตัวสักครู่ไม่ทราบว่าพวกคุณพอจะไปรอที่ร้านของผมก่อนได้มั้ยครับ”
รถม้าด้านหลังของเอ็นเฟรนั้นบรรจุเต็มไปด้วยสมุนไพร ไม่แค่นั้นยังมีผลไม้ ท่อนไม้ อีกมายมายจนเต็มคันรถ ถ้าคนธรรมดามาเห็นก็จะมองแค่ว่าเป็นสิ่งไร้ค่า แต่สำหรับผู้ชำนาญการในด้านนี้นับว่าเป็นภูเขาแห่งสมบัติเลยทีเดียว
นี่คือผลลัพธ์จากตอนที่ไอซ์นั้นต่อสู้กับราชาห่างป่า ทำให้พวกของเอ็นเฟรมีเวลาสำรวจพื้นที่ของราชาแห่งป่าและพบว่ามีวัตถุดิบหายากมากมาย เอ็นเฟรนั้นตกลงที่จะให้รางวัลพิเศษสำหรับผลรับนี้
“คุณโมมอนควรจะไปที่กิลนักผจญภัยก่อนนะครับ”
“ก็จริง ข้าต้องเอาราชาแห่งป่าไปลงทะเบียนก่อนสินะ”
ใช่ครับ ไม่งั้นจะมีปัญหาตามมาทีหลังได้”
“แต่พวกเราก็จัดการ Goblin กับ Orge ไปไม่น้อย ทำไมไม่ไปขึ้นรางวัลด้วยกันละ”
“อันที่จริง....เรื่องนั้นคุณโมมอนเป็นคนลงมือเกือบจะทั้งหมดเลยนะครับ และพวกเราจะช่วยคุณเอ็นเฟรในการถ่ายโอนวัตถุดิบจากรถม้าด้วย ให้ไปรับรางวัลจากสิ่งที่คุณโมมอนจัดการนั้นไม่ยุติธรรมครับ”
สมาชิกกลุ่มดาบทมิฬนั้นผงกศีรษะเห็นด้วยกับสิ่งที่ปีเตอร์พูด
เอ็นเฟรรีบพูด
“มันจะรบกวนพวกคุณมากไปนะครับ”
“ถือซะว่าเป็นบริการหลังการขายละกัน ยังไงทางคุณเอ็นเฟรก็ตกลงจะจ่ายเพิ่มให้พวกเราแล้วนี่”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดผิดตลกของปีเตอร์แล้ว เอ็นเฟรก็ตอบว่า
“ถ้าอย่างนั้น ครั้งหน้าถ้าพวกคุณมาซื้อยาที่ร้านของผมจะให้ส่วนลดเป็นพิเศษนะครับ”
“นั้นมันยอดเยี่ยมมากเลย เอาละคุณโมมอนก็ควรจะไปที่กิลนักผจญภัยหลังจากเสร็จธุระแล้วมาเจอกันที่ร้านของเอ็นเฟร พวกเราจะล่วงหน้าไปก่อนเพื่อจัดการเรื่องการขนย้ายของ หลังจากนั้นเราจะไปคุยเรื่องรางวัลของการสังหาร Orge ที่กิลนักผจญภัยเพราะยังไงกว่าจะขึ้นเงินได้ก็คงต้องเป็นพรุ่งนี้ละครับ”
“เข้าใจแล้ว”
ไอซ์ตอบรับอย่างโล่งอก เพราะว่าการขึ้นเงินนั้นต้องไปทำธุรกรรมที่เคาเตอร์หลังจากนั้นเค้าคงจะปวดหัวถ้าต้องมานั่งอ่านภาษาที่อ่านไม่ออกยังไม่นับที่ต้องเซ็นชื่อรวมถึงงานเอกสารต่างๆแค่คิดก็ปวดศีรษะแล้ว 
หลังจากขี่ราชาแห่งป่าห่างออกมาจากเอ็นเฟรและกลุ่มดาบทมิฬเพื่อที่จะไปยังกิลนักผจญภัย นาเบรัลก็ถามขึ้นมาว่า
“พวกนั้นจะเชื่อใจได้หรอค่ะ”
“...ไม่ใช้เรื่องใหญ่ ถึงพวกนั้นจะหักหลังเราจริงอย่างมาก็แค่เสียเงินรางวัลจากการจัดการพวก Orge อย่าไปกังวลเรื่องเล็กๆเรื่องนี้เลยจะทำให้เราเสียการใหญ่เปล่าๆ”
เป้าหมายของไอซ์นั้นคือสร้างชื่อเสียงของโมมอนให้เป็นที่รู้จักเพื่อแผนการสำหรับอนาคต ในขณะที่คิดถึงขั้นต่อไปก็ตบกระเป๋าเงินของตัวเอง แม้จะเหลือจำนวนไม่มากแต่ก็พอสำหรับที่จะใช้จ่ายสำหรับค่าที่พัก 2 คืน
ถ้ารวมกับค่าอาหารเข้าไป บางทีอาจจะไม่พอ แต่ไอซ์เป็นอันเดทซึ่งไม่มีความต้องการด้านอาหารและแหวนที่นาเบรัลใส่อยู่ก็มีผลทำให้เธอไม่ต้องการอาหารเช่นกันนี่นับถ้ามองในเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วนับว่าเป็นส่วนได้เปรียบ ตัวนาเบรัลนั้นสามารถสวมแหวนได้ 2 วง หนึ่งในนั้นช่วยป้องกันไม่ให้เธอทานอาหารที่เป็นพิษ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมามีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อไอซ์มองไปยังราชาแห่งป่า ไอ้เจ้านี่ยังไงมันก็ต้องกินอาหารสินะ ระหว่างนั้นนาเบรัลก็พูดออกมา
“แต่ว่าช่างเป็นเรื่องเสียเกียติจริงๆ ที่ให้ท่านไอซ์พกเงินจำนวนน้อยนิดเช่นนี้”
-ท่านไอซ์ .... นาเบรัลเมื่อไหรเธอจะเลิกเรียกชื่อนี้ซะที เดียวก็เป็นปัญหาขึ้นมาอีก-
ไอซ์หนักใจ แต่นาเบรัลก็ยังพูดต่อไปอย่างดีใจว่า
“เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างพวกยุง ในที่สุดก็ประจักษ์ถึงพลังอันสูงสงของท่านแล้ว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก....”
“ท่านช่างถ่อมตนเหลือเกิน ถึงแม้ว่าในสายตาของท่านไอซ์พวก Orge เหล่านั้นจะเปรียบเสมือนแมลงก็เถอะ แต่ความสามารถเชิงดาบของท่านช่างน่าชื่นชมเหลือเกินค่ะ”
ไอซ์ตอบนาเบรัล
“นั้นก็แค่พละกำลังเท่านั้นเอง”
แม้ว่าเค้าจะพูดเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นทักษะเชิงดาบของกาเซฟในตอนต่อสู้และนำมาเปรียบเทียบกันนั้น ตัวไอซ์เองรู้สึกเหมือนเด็กที่จับดาบมาเล่น ที่ไอซ์ทำคือแกว่งดาบไปมาด้วยพลังแขนในขณะที่ส่วนของกาเซฟคือวิชาดาบที่แท้จริง
*การเคลื่อนไหวให้เหมือนนักรบจริงๆนี่มันยากจริงแหะ” 
“ถ้าอย่างงั้นใช้เวทย์ทำให้เป็นนักรบไปเลยดีกว่าหรือเปล่าเจ้าค่ะ”
ในขณะที่สวมเกราะนั้น ไอซ์ยังสามารถใช้เวทย์มนต์ที่ได้อีก 5 แบบ หนึ่งในนั้นสามารถเปลี่ยนความสามารถจากนักเวทย์เป็นนักรบ หรือก็คือเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนักรบที่เลเวล 100
ถึงแม้จะทำให้ได้เปรียบในเรื่องของพละกายและสามารถสวมใส่ไอเท็มของอาชีพอื่นได้ แต่ความเสียเปรียบอย่างมากคือไอซ์จะไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้เลย ไม่เพียงเท่านั้นสกิลติดตัวของนักเวทย์ก็จะไม่แสดงผล แถมความสามารถของเค้าในด้านนักรบก็ต่ำอย่างมาก จะให้เปรียบเทียบก็คือนักรบครึ่งๆกลางๆ แม้เวลเวล 100 แต่จริงๆจะถึง 50 หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ถ้าให้ไปต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขนี่กับนักรบที่แท้จริงๆตัวเค้าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“ข้อเสียเปรียบมากเกินไป ถ้าคนที่มีเลเวลพอๆกันซุ่มโจมตี ในขณะที่ใช้เวทย์มนต์ไมได้ละก็แย่แน่ๆ แม้จะพกม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์มาด้วยแต่ขั้นตอนเตรียมการใช้ก็ทำให้เสียเปรียบอยู่ดี”
ถึงแม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าจะมีผู้เล่นคนอื่นๆอยู่ในโลกหรือไม่แต่ก็ไม่ควรประมาท ไม่จำเป็นต้องสร้างข้อด้อยของตัวเองไปมากกว่านี้
“นักรบก็แค่ภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของข้า เจ้าไม่ต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้นหรอก”
ร่างของราชาแห่งป่าสั่นเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามาถามไอซ์
“นายท่านไมได้เป็นนักรบอย่างงั้นหรอครับ”
ไอซ์ผงกหัวตอบคำในขณะที่นาเบรัลตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนือกว่าว่า
“ท่านไอซ์แค่แกล้งทำเป็นนักรบ ก็เหมือนการเล่นเกม ถ้าท่านใช้พลังที่แท้จริงละก็ ความวินาศยังน้อยไปในการจะเรียกสิ่งที่ท่านทำได้”
หันไปมองยังนาเบรัลที่แสดงสีหน้าของความมั่นใจออกมา ไอซ์ไม่สามารถปฎิเสธได้
“ก็ประมาณนั้นละราชาแห่งป่าถ้า ข้าสู้กันแบบเต็มพลังละก็ เจ้าคงจะตายภายในเสี้ยววินาทีละนะ”
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง เจ้านาย ข้าน้อยแฮมสุเกะ ขอยอมรับและภักดีต่อท่านอย่างที่สุด”
เมื่อตอนที่ราชาแห่งป่าขอให้ไอซ์ตั้งชื่อให้นะ ชื่อที่ลอยขึ้นมาในใจของไอซ์ก็คือชื่อนี้ หลังจากได้รับชื่อดูเหมือนราชาแห่งป่าจะพอใจกับชื่อนี้มาก แต่เมื่อมาคิดอีกทีชื่อแฮมสุเกะนี่มันสิ้นคิดจริงๆ
-ชื่อแฮมสุเกะนี่คิดมาอย่างลวกๆ บางทีชื่อโมจิน่าจะฟังดูน่ารักกว่านะ แต่เหล่าเพื่อนร่วมกิลก็มักจะบอกว่าข้าคิดชื่อได้ ห่วยแตกซะด้วยสิ-
ในขณะที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยในที่สุดไอซ์ก็มาถึงกิลนักผจญภัยในที่สุด
รถม้าขับมาถึงสวนด้านหลังบ้าน และจอดลงที่ประตูหลัง หลังจากหยิบตะเกียงเวทย์มนต์เอ็นเฟรก็เปิดประตูเข้าไปในบ้าน แขวนตะเกียงกับฝาผนังบ้านเพื่อให้ความสว่างภายในบ้าน
จากแสงไฟสามารถมองเห็นตะกร้าใส่สมุนไพรมากมายกลิ่นของมันอบอวลไปทั่วบริเวณแสดงว่าพื้นที่ส่วนนี้เป็นที่เก็บวัตถุดิบนั้นเอง
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ ช่วยขนวัตถุดิบมาเก็บที่บริเวณนี้ได้เลย”
หลังจากได้ยินคำพูดของเอ็นเฟรกลุ่มดาบทมิฬก็นย้ายวัตถุดิบภายในรถมากองไว้ที่ห้องนี้อย่างระมัดระวัง
“คุณยายไม่อยู่บ้านหรือนี่”
แม้ยายของเอ็นเฟรจะอายุมากแล้วแต่การเคลื่อนไหวและการได้ยินยังสามารถใช้การได้ดีอยู่น่าจะได้ยินเสียงรถม้าและขนถ่ายของตามปกติควรจะออกมาดูแล้วหรือว่าบางทีท่านอาจจะผสมยาอยู่กระมัง เอ็นเฟรคิดในใจและหยุดความคิดที่จะตะโกนเรียกคุณยาย
หลังจากมองการขนถ่ายเสร็จเรียบร้อยเอ็นเฟรกล่าวกับสมาชิกกลุ่มดาบทมิฬ
“ขอบคุณมากครับทุกคน ถ้ายังไงไปดื่มน้ำผลไม้ในบ้านผมกันก่อนดีกว่า”
“โอ้ นั้นเยี่ยมมากเลย”
ลุคลูเธอพูดพร้อมกับปาดเหงื่อบนหน้าผากออกอย่างดีใจ
ในขณะนั้นเองประตูเข้าสู่ด้านในของบ้านก็เปิดออกโดยใครบางคน
“ยินดีต้องรับค้า~~”
เบื้องหน้าของทุกคนมีผู้หญิงที่ดูสวยงามยืนอยู่ ผมสีทองสั้นของเธอดูแกว่งไปมาตามอริยาบถที่เคลื่อนไหว
“แห่ม ข้าละกังวลเหมือนเกิน นึกว่านายหายไปไหนมา ช่างโชคดีจริงๆที่รอและไม่เสียเวลานะเนี่ย”
“....เอ่อ คุณเป็นใครหรอครับ”
“อ้าว ไม่ได้รู้จักกันหรอเรอ”
ปีเตอร์อุทานอย่างตกใจ ดูจากน้ำเสียงและการพูดคุยปีเตอร์ยังเข้าใจว่าทั้งสองรู้จักกันเสียอีก
“อ้อ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามาลักพาตัวเจ้านะสิ เผอิญว่าพวกเราต้องการคนที่ที่สามารถใช้ไอเท็มเวทย์มนต์เพื่อเรียกอันเดธจำนวนมากๆออกมาได้นะ ชื่อของมันคืออะไรนะ อะใช่ๆ [กองทหารแห่งความตาย] งั้นช่วยมาเป็นของเล่นให้หน่อยสิ นี่พี่สาวขอร้องเองเลยนะเนี่ย~~~”
กลุ่มสมาชิกดาบทมิฬสัมผัสได้จิตมุ่งร้ายของหญิงสาวเบื้องหน้าได้ รีบชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อม แม้กระนั้น ผู้หญิงคนนี้ยังพูดต่อไปด้วยเสียงสบายๆ
“ก็เป็นเวทย์มนต์ขั้นที่ 7 เลยอะนะ ใช้งานยากมากเลยละ แต่ถ้าใช้งานมงกุฎก็อาจจะง่ายขึ้น แม้จะควบคุมพวกอันเดธไม่ได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยจำนวนหนึ่งก็ยังดี แหม เป็นแผนที่ยอดเยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล้า”
“….เอ็นเฟร รีบหนีไปจากที่นี่โดยด่วน”
ปีเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผู้หญิงคนนี้แม้ในขณะนี้ก็ยังพูดไม่หยุด แสดงว่าเธอต้องมีความมั่นใจว่าจะจัดการพวกเราได้แน่นอน เป้าหมายของเธออยู่ที่คุณฉะนั้นรีบหนีไปซะ”
กลุ่มสมาชิกดาบทมิฬขยับร่างบังหน้าเอ็นเฟรเพื่อป้องกันเสมือนประหนึ่งกำแพงมนุษย์
“นินยา ก็หนีไปด้วยกับคุณเอ็นเฟรซะ”
ไดว์และลุคลูเธอต่างตะโกนบอก
“พาเด็กนี้หนีไปซะ นายยังต้องตามหาพี่สาวที่หายไปไม่ใช่หรอ”
“ใช่แล้ว นายยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ แม้ว่าเราจะไม่สามารถช่วยได้ถึงที่สุดแต่อย่างน้อยก็ช่วยถ่วงเวลาได้บ้าง”
“ทุกคน....”
“โอ้~~ ช่างเป็นฉากที่น่าซึ้งใจจริงๆ นี่เกือบจะร้องให้เลยนะนี่ แต่ว่าถ้าหนีไปได้ทางนี้ก็แย่นะสิ อยู่เล่นด้วยกันก่อนสิ”
นินยาขบริมฝีปากในขณะที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดี ผู้หญิงคนนั้นยิ้มอย่างดีใจ พร้อมกับหยิบมีดสั้นของเธอขึ้นมา ในขณะนั้นเองประตูหลังก็ปรากฏร่างของชายที่ดูน่ากลัวขึ้น
“เอาละ หมดเวลาเล่นแล้ว”
“เอ๋ พูดอะไรนะคุณคันจิ คุณมาช่วยไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลไม่ใช้หรอ อย่างน้อยๆเหลือไว้ให้ข้าเล่นสนุกด้วยซักคนสิ”
เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งของเธอทำให้เอ็นเฟรขนลุกไปทั่วทั้งตัว
“เอาละ ทางหนีไม่มีแล้ว มาเริ่มกันเถอะ”

Part 2
การลงทะเทียนแฮมสุเกะเป็นเรื่องง่ายแต่ก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง โดยส่วนสำคัญนั้นคือการสเก็ตภาพร่างของแฮมสุเกะ ความจริงถ้าใช้เวทย์มนต์เข้ามาช่วยก็จะร่นเวลาลงไปได้มากแต่ตัวไอซ์เองนั้นไม่ต้องการเสียเงินเพิ่มนั้นคือสาเหตุที่ทำไมกินเวลาเช่นนี้
-ก็แค่หลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาขึ้น- ไอซ์หาข้อแก้ตัวให้แก่ตัวเองขณะคิด
“แม้จะเสียเวลาไปมาก แค่อ้างว่าสนใจในการร่างภาพก็ไม่น่าจะมีปัญหา เอาละสมควรจะไปที่ร้านเอ็นเฟรได้แล้ว”
ไอซ์กล่าวกับนาเบรัลที่อยู่อยู่หน้ากิลนักผจญภัยหลังจากลงทะเบียนเสร็จและเดินออกมากลับพร้อมกับแฮมสุเกะ
ขณะขึ้นขี่หลังแฮมสุกะด้วยท่าทางที่ว่องไวราวกับนักขี่ที่มีประสบการณ์ถึงแม้จะไม่มีอุปกรณ์ช่วยเช่น พวกอานประดับแต่หลังจากไอซ์ขี่มาหลายชั่วโมงเค้าก็สามารถขับขี่แฮมสุเกะได้อย่างชำนาญ
คนรอบข้างถอนหายใจออกมาด้วยความชื่นชม ในกลุ่มคนนั้นมีเหล่าหญิงสาว รวมไปถึงนักผจญภัยบางคนที่มองเหรียญตราของไอซ์อย่างอิจฉา
ก่อนจะสั่งให้แฮมสุเกะออกเดินทางไปยังจุดหมาย ใครบางคนก็เรียกไอซ์ขึ้น
“อะ คุณคือคนที่ออกไปเก็บสมุนไพรกับหลานชายของป้าใช่หรือเปล่า”
ไอซ์ได้ยินเสียงที่ฟังแล้วน่าจะมาจากผู้สูงอายุเรียกเค้า หลังจากมองไปยังต้นเสียงก็พบหญิงชราคนหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นใคร?”
ไอซ์ถามแม้เค้าพอจะเดาได้แล้วว่าคนเบี้ยงหน้าเป็นใคร
“ป้าชื่อ ลิซซี่ บารีเอล เป็นยายของเอ็นเฟร”
“โอ้ ที่แท้เป็นท่าน ใช่แล้วข้าเป็นคนคุ้มกันของเอ็นเฟร ชื่อว่าโมมอน ส่วนคนข้างๆข้าชื่อว่านาเบล”
ลิซซี่ชมนาเบลที่โค้งคำนับเธอ
“ช่างเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ ไม่ทราบว่าสัตว์ที่ท่านขี่ชื่อว่าอะไร”
“นี่คือราชาแห่งป่า”
“ราชาชื่อว่าแฮมสุเกะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“อะไรนะ!!! สัตว์ที่ดูน่ากลัวตนนี้คือราชาแห่งป่าที่ล่ำลือกันหรอกหรอนี่”
เหล่านักผจญภัยที่อยู่รอบข้างหลังจากได้ยินคำพูดของลิซซี่ ทุกคนดูตกใจอย่างมาก และกระซิบกัน 
“นี่หรือราชาแห่งป่าที่ล่ำลือกัน”
“ใช่แล้ว ข้ากำราบมันได้ ระหว่างทางที่ช่วยหลานชายท่านทำภารกิจ”
ลิซซี่รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำอธิบายของไอซ์
“แล้วไม่ทราบหลานชายของข้าละ”
“อ่า ตอนนี้น่าจะกลับไปยังบ้านพร้อมกับสมุนพรพรแล้ว ข้าก็กำลังจะตามไปรับรางวัลเช่นกัน”
ลิซซี่ถอนหายใจอย่างโล่งใจเมื่อได้ยิน
“ถ้ายังงั้นก็ไปด้วยกันเถอะ ข้าอยากได้ยินเรื่องราวการผจญภัยของท่านด้วเช่นกัน”
“ข้ายินดี”
ลิซซี่นำทางไอซ์ไปตามถนนของเมืองจากนั้นก็หยุดทีบ้านหลังหนึ่ง
“เชิญเข้ามาเลย”
ลิซซี่หยิบกุญแจออกมาเพื่อเตรียมจะไขประตูบ้าน แต่พบว่าประตูนั้นเปิดออกตามแรงที่โดน
“อะไรกันนี่ บ้านก็ไม่ล็อคเอ็นเฟรช่างซุ่มซ่ามจริง”
ลิซซี่บ่นกับตัวเองจากนั้นก็เชิญไอซ์กับนาเบลให้เข้ามาด้านใน
“เอ็นเฟร คุณโมมอนมาแล้ว”
ลิซซี่ตะโกนแต่ภายในบ้านนั้นเงียบ ไม่มีเสียงตอบรับราวกับว่าไม่มีคนอยู่
“ถ้าจะแย่ซะแล้ว”
ลิซซี่หันมามองอย่างสงสัย แต่ไอซ์ไม่สนใจเธอแล้วเลื่อนมือไปยังดาบของตัวเอง นาเบลเหมือนจะเข้าใจคำพูดไอซ์ ตัวเธอก็ชักดาบสั้นออกมาเช่นกัน
“พวกคุณทำอะไรกันนี่”
“อย่าเพิ่งถาม ตามข้ามา”
ไอซ์ชักดาบออกมาแล้วเดินไปภายในบ้าน จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าประตูข้างๆ แม้จะไม่ใช้บ้านของตัวเองแต่ก้าวเดินของเค้าดูไม่มีการลังเลเลย
ไอซ์หยุดอยู่ตรงประตูของสุดทางเดินแล้วถามลิซซี่ว่า
“ห้องนี้ใช้ทำอะไร”
“นี่คือห้องที่เราใช้เก็บสมุนไพร มันสามารถทะลุไปยังด้านหลังของบ้านได้”
แม้ลิซซี่ดูจะไม่เข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้และมีท่าทางกังวล
ไอซ์ไม่สนใจเธอ เค้าผลักประตูเบื้องหน้าให้เปิดออก กลิ่นที่เค้าสัมผัสได้ไม่ใช้กลิ่นของสมุนไพร แต่เป็นกลิ่นของเลือด
ศพที่อยู่หน้าสุดนั้นเป็น ปีเตอร์และลุคลูเธอ ไดย์นั้นอยู่ด้านหลังออกมาจากทั้งสองเล็กน้อย นินยานั้นอยู่ด้านหลังสุด ทั้งหมดผิงกำแพงแขนตกห้อยลงข้างตัว ด้านล่างมีเลือดสีดำกองเป็นหย่อมซึ่งดูเหมือนจะทะลักของมาจากตัวพวกเค้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”
ก่อนที่ลิซซี่จะวิ่งไปด้านในแต่ไอซ์จับไหล่ของเธอไว้และเดินนำหน้าเข้าไปก่อน
ทันใดนั้นศพของปีเตอร์ก็ขยับจะลุกขึ้นเหมือนตุ๊กตาแต่ก่อนที่จะทรงตัวได้ แสงจากดาบก็สว่างขึ้นอย่างไม่รอช้า
ศีรษะของปีเตอร์ที่ถูกไอซ์ฟันจนขาดนั้นกลิ้งอยู่บนพื้น ในขณะที่ศพของลุคลูเธอร์กำลังจะยืนขึ้นก็ถูกตัดลงมาเช่นเดียวกัน
ขณะที่ลิซซี่ตะลึงอยู่กับภาพเบื้องหน้า ศพของไดว์ซึ่งอยู่ห่างออกไปก็ลุดตามขึ้นมา สีหน้าของเค้าไม่มีลักษณะของคนมีชิวิต ตาของไดว์จ้องมองมายังไอซ์อย่างมืดมน มีรูกว้างขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผากของเค้า ซึ่งแผลนี่เป็นสาเหตุการตายของของไดว์ย่างแน่นอน
มีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ศพของคนตายจะสามารถเคลื่อนไหวได้
“ซอมบี้”
ลิซซี่ตะโกนออกมา ไดว์ขยับมาไอซ์ที่ยืนอยู่ ทันดใจนั้นไอซ์ก็ขยับดาบแทงออกไปซึ่งการโจมตีนั้นแทงทะลุตอหอยของไดว์ ร่างนั้นล้มลงและไม่เคลื่อนไหวอีก
ไอซ์จ้องมองไปยังร่างของนินยาซึ่งยังนั่งผิงกำแพงอย่างเงียบๆ
“เอ็นเฟร”
ในที่สุดลิซซี่ก็ได้สติแล้ววิ่งเข้าไปเพื่อหาหลานชายของเธอ ไอซ์แตะหลังนาเบรัลเบา
“ปกป้องเธอซะ สกิล [undead blessing] ของข้าไม่มีปฏิกิริยา คงจะไม่มีอันเดธในบริเวณนี้บ้านนี้แล้ว แต่มันอาจจะมีหลบซ่อนอยู่ภายนอกก็ได้.
“รับทราบเจ้าค่ะ”
นาเบรัลโค้งศีรษะให้ไอซ์ก่อนจะตามลิซซี่ไป
หลังจากมองทั้งคู่จากไปไอซ์ก็หันกลับมามองร่างของนินยา ชั่วครู่ไอซ์ก้มลงเพื่อสำรวจร่างเบื้องหน้าหลังจากแน่ใจว่าไม่มีกับดักบนศพซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถพบเจอได้ในยัคดราซิล เค้าจับหน้าของนินยาให้เงยขึ้นและพบว่านินยาเองก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน
หน้าของนินยานั้นยุบเข้าไปน่าจะเกิดจากแรงกระแทกของอาวุธประเภททุบ กระทั้งไอซ์ในตอนนี้ก็ยังแทบจะจำหน้าเดิมของนินยาไมได้เลย
ตาของเค้าทะลักออกมาจากเป้าและห้อยลงเหมือนน้ำตา กระดูกทั้งหมดช่วงนิ้วมือแตกละเอียด ผิวหนังเปิดออกจนมองเห็นมัดกล้ามเนื้อสีแดง เนื้อบางส่วนหลุดหายออกไป หลังจากนั้นไอซ์ถอดเสื้อของนินยาออกเพื่อสำรวจด้านใน ทันใดนั้นตาของไอซ์เปิดกว้างแล้วสวมเสื้อกลับไปให้นินยาอย่างเก่า
“กระทั้งส่วนลำตัว....”
ร่างของนินยานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากการทุบและกรีด เลือดเปราะเปื้อนแห้งกรังไปทั่ว จากการสำรวจแทบจะหาบริเวณที่ไม่มีแผลไมได้เลย
ไอซ์ปิดเปลือกตาของนินยาที่ลืมอยู่ลง
“ทำให้รู้สึกไม่ดีเลย”
ไอซ์บ่นพึมพำกับตัวเอง
“เอ็นเฟรหายตัวไป!!!”
ลิซซี่กรัดร้องหลังจากกลับมา ไอซ์นั้นเอาร่างของสมาชิกกลุ่มดาบทมิฬมากองรวมกันในมุมหนึ่งของห้อง
“ข้าสำรวจศพพวกนี้แล้ว ของมีค่าไม่ได้สูญหาย แสดงว่าศัตรูมุ้งป้ามายังเอ็นเฟรอย่างแน่นอน”
“หว่า…”
“กรุณมองไปทางอื่นเถอะ”
ทันใดนั้นไอซ์ก็พบอักษรที่เขียนจากเลือดอยู่ใต้ศพของนิยาย ถ้าไม่เคลื่อนย้ายศพก็คงจะไม่เห็น
“ท่อระบายน้ำ? หรือว่าเอ็นเฟรจะถูกพาตัวไปที่นั้น”
“อาจจะเป็นกับดักของคนที่ลงมือก็ได้ ข้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าท่อระบายน้ำมันจะใหญ่ขนาดไหน อาจจะใช้เวลาในการสำรวจนานพอสมควร”
“ตรงนี้มีเลขเขียนอยู่ด้วย 2-8 มันหมายความว่ายังไงกัน”
“นั้นทำให้ยิ่งน่าสงสัยขึ้นไปอีก ข้าก็ไม่เข้าใจความหมายเช่นกัน อาจจะหมายถึงเขตของเมืองที่ถูกแบ่งเป็น 8 เขต หรือว่าหมายถึงที่อยู่ที่ใดที่หนึ่ง .... นินยาในสภาพนั้นจะมีแรงเขียนสิ่งที่ซับซ้อนเช่นนี้หรือ หรือต่อให้เขียนจริงศัตรูจะบอกข้อมูลพวกนี้ออกมาง่ายอย่างนั้นหรือ มันบังเอิญเกินไป....”
ลิซซี่จ้องไปยังไอซ์อย่างไม่พอใจกับท่าทีเยือกเย็นของเค้า จากนั้นมองไปยังศพเบื้องหน้า
“คนพวกนี้เป็นใครกัน”
“…พวกเค้าเป็นนักผจญภัยที่รับงานร่วมกับข้า หลังจากเราแยกกันคงจะมาช่วยหลานชายท่านขนถ่ายสมุนไพร”
“อะไรนะ!!!พวกนี้เป็นสหายของของเจ้างั้นหรือ”
ไอซ์สั่นศีรษะ
“ป่าวหรอก ก็แค่ร่วมงานกันเท่านั้น”
คำพูดเย็นชาของไอซ์ทำให้ลิซซี่รู้สึกเย็นไปทั่วร่าง
“พูดก็พูดเถอะนะ ข้าอยากถามท่านว่ามีความเห็นว่าศพพวกนี้กลายเป็นซอมบี้ได้อย่างไร?”
“…..[Create Undead] ในหมู่ของศัตรูคงจะมีคนที่สามารถใช้เวทย์ระดับ 3 นี้ได้อยู่
“อืม คงจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังกันละ”
“นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว หรือท่านมีความเห็นอย่างอื่น”
“ พวกมันจะซ่อนศพก็ได้แต่พวกมันกลับปล่อยให้ศพไว้เช่นนี้เหมือนกับว่าไม่สนใจเลยว่าจะถูกพบหรือว่ามีความมั่นใจว่าจะหลบหนีไปได้ง่าย ข้าก็ไม่แน่ใจในเมื่อสามารถเปลี่ยนศพให้เป็นซอมบี้ได้ก็ควรจะพากลับไปด้วยถึงจะถูก”
ถ้าเป้าหมายคือการลักพาตัวเอ็นเฟรก็ควรจะซ่อนศพเพื่อซื้อเวลาให้มากขึ้น แต่ก็ไม่ทำเช่นนั้นแสดงว่าศัตรูต้องมีแผนอื่นหรือว่าต้องการให้ลิซซี่ทำอะไรบางอย่าง
อักษรเลือดที่ทิ้งไว้ก็คลุมเครือเกินไป ขณะนี้เอ็นเฟรคงยังไม่เป็นอันตรายเพราะดูเหมือนศัตรูจะต้องการอะไรบางอย่างจากเค้าแต่ก็คงปลอดภัยได้ไม่นานถ้าพวกนั้นได้สิ่งที่ต้องการ
ลิซซี่ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ไอซ์คิดสีหนเของเธอขาวซีดด้วยความตกใจ ในเมืองนี้กว้างใหญ่มากการจะค้นหาคงต้องใช้เวลาพอสมควร
จากหลักฐานที่มีบ่งขี้ไปยังท่อระบายน้ำ แต่ไอซ์นั้นยังไม่ปักใจเชื่อ
ไอซ์กล่าวกับลิซซี่ด้วยท่าทางที่สงบ
“ทำไมไม่ตั้งทีมสำรวจละ”
จากนั้นก็กล่าวต่อไป
“นี่ไม่ใช้สิ่งที่ท่านควรทำในตอนนี้หรือ ส่งคำขอนี่ไปยังกิลนักผจญภัย”
ดวงตาของลิซซี่ส่งประกายออกมา ดูเหมือนเธอจะเข้าใจความหมายในคำพูดของไอซ์
“ลิซซี่ บาเอรัล เจ้าช่างโชคดีจริงๆ เบื้องหน้าของเจ้าในตอนนี้มีนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้อยู่ เป็นคนเดียวที่จะพาหลานชายของเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าเจ้ายืนขอเสนอจ้างงานต่อข้า ข้าก็ยินดีจะรับมัน แต่.....ค่าตอบแทนก็คงจะสูงเช่นกันเพราะว่างานนี้มันยากพอสมควร”
“จริงสินะ ถ้าท่านซึ่งมีโพชั้นชนิดนั้นอยู่.... สามารถกำราบราชาแห่งป่าได้ ไม่แปลกใจที่ท่านนั้นแข็งแกร่งอย่างแน่นอน จ้าง ตกลงข้าจ้างท่าน!!!”
“ถ้าอย่างนั้นเตรียมพร้อมที่จะจ่ายค่าตอบแทนที่มหาศาลนี้มั้ยละ”
“เท่าไหรที่ท่านต้องการ?”
“-----ทุกอย่างของเจ้า”
“อะไรนะ”
“ข้าต้องการทุกอย่างที่เจ้ามี”
ลิซซี่จองมองมายังไอซ์ด้วยสายตาที่แปลกใจระคนความกลัว
“ถ้าเอ็นเฟรกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าต้องการทุกอย่างที่เจ้ามี”
“ท่าน....”
ลิซซี่ถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความกลัวและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ทุกสิ่งที่ที่ท่านกล่าวถึงนั้นความหมายคงจะไมได้หมายถึงเงินหรือแรไอเท็มสินะ ข้าเคยได้ยินว่าปีศาจนั้นจะทำให้ความปรารถนาทุกอย่างเป็นจริงโดยแลกเปลี่ยนกับวิญญาณ ท่านเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าเป็นเช่นดังที่เจ้ากล่าวจริง เจ้าจะต้องสนใจด้วยหรือ เป้ามาหยของเจ้าคือช่วยหลายชายกลับมาถูกต้องหรือไม่?”
ลิซซี่เงียบและผงกศีรษะของเธอ
“ถ้าอย่างนั้นคำตอบคงมีเพียงอย่างเดียวจริงมั้ย”
“ถูกแล้ว โปรดช่วยเอ็นเฟรด้วย ข้าจะมอบทุกสิ่งที่มีให้กับท่าน”
“ยอดเยี่ยมมาก เท่านี้สัญญาก็มีผลสมบูรณ์ รีบลงมือกันดีกว่า เจ้ามีแผนที่ของเมืองนี้ให้ข้าดูมั้ย”
ลิซซี่ทำตามที่ไอซ์ขอและนำแผนที่ออกมา
“ขั้นต่อไปเราจะหากันว่าเอ็นเฟรนั้นอยูที่ไหน”
“ท่านทำเช่นนั้นได้หรือ”
“ข้ามีวิธีอยู่ แต่ก็ยังสงสัยจะได้ผลมั้ย”
ไอซ์พูดขณะมองไปยังศพของสมาชิกดาบทมิฬที่กองรวมอยู่มุมห้อง
“เอาละลิซซี่เจ้าลองไปหาเบาะแสรอบๆตัวบ้านเพื่อว่าศัตรูจะทิ้งหลักฐานอย่างอื่นที่เราไม่เห็น ยังไงเจ้าก็คุ้นเคยกับสถานที่นี้มากกว่าพวกข้า”
หลังจากไล่ลิซซี่ออกไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ไอซ์ก็มองไปยังนาเบรัล
“ไม่ทราบท่านไอซ์คิดเห็นเช่นไรค่ะ”
“ง่ายๆ เหรียญตราของพวกดาบทมิฬนั้นหายไปทุกคน บางทีศัตรูที่ลงมือสังหารอาจจะเป็นคนเอาไป คำถามคือพวกมันเอาไปทำไม”
“ต้องขอประทานอภัยด้วยที่ข้านั้นโง่เขลาไม่ทราบถึงวัตถุประสงค์นี้”
“นั้นก็เพราว่า....”
ทันใดนั้นไอซ์ก็ได้ยินเสียงในจิตใจของเค้า นี่คือความสามารถของสกิล [Message]
[ท่านไอซ์]
น้ำสียงนั้นดูตื่นเต้นและสั่นรั่วแปลกๆ
“นั้นอินเซ็คควีนยังงั้นหรือ”
[ค่ะ]
อินเว็คควีน เซต้า หนึ่งในแบทเทิ่ลเมดเช่นเดียวกับนาเบรัล
[ข้ามีเรื่องจะรายงานค่ะ]
“ตอนนี้ข้ากำลังยุ่ง ไว้ข้าจะติดต่อกลับเมื่อเสร็จธุระแล้ว”
[รับทราบค่ะ โปรดติดต่อท่านอัลเบโด้เมื่อท่านไอซ์พร้อมค่ะ]
ไอซ์กล่าวกับนาเบรัลต่อเมื่อสกิลถูกยกเลิกไป
“ก็เหมือนของสะสมนั้นละ เหมือนรางวัลจากการล่าสัตว์ทำนองนั้น แต่นั้นก็คือความผิดพลาดของพวกมัน นาเบรัลจงใช้เวทย์มนต์ซะ”
ไอซ์หยิบคัมภีร์เวทย์มนต์ออกมายืนให้กับนาเบรัล
“นี่คือตำราเวทย์มนต์ [ระบุตำแหน่งไอเท็ม] เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเป้าหมายคืออะไร”
“รับทราบค่ะ”
นาเบรัลเปิดคัมภีร์เวทย์มนต์ออก เมื่อเธอกำลังจะใช้งานมันนั้น ไอซ์จับมือของเธอและดุนาเบรัลอย่างเย็นชา
“เจ้านี่โง่จริง”
เสียงดุที่ดูเบ็นชานั้นทำให้ไหล่ของเธอสะท้าน
“ข้า....ข้าขออภัยเจ้าค่ะ”
“ในขณะที่เจ้าจะใช้เวทย์มนต์เพื่อระบุตำแหน่งต้องเตรียมตัวป้องกันเวทย์มนต์สวนกลับด้วยนี่คือกฎเหล็กที่ต้องจำไว้ บางทีฝ่ายตรงข้ามอาจจะใช้เวทย์มนต์ [ค้นหาตำแหน่ง] หรือว่าเบื้องต้นของการป้องกันเช่น [ข้อมูลปลอม] หรือ [ป้องกันการค้นหา] เพื่อป้องกันตัวเจ้าเองนั้นจะต้อง-----“
ไอซ์นั้นหยิบคัมภีร์เวทย์มนต์ออกมาอีกกว่า 10 ชนิด และอธิบายการใช้งานแต่ละอันแก่นาเบรัลเหมือนครูที่สอนเด็ก
เมื่อจะใช้เวทย์มนต์ค้นหาต้องมีการเตรียมการเพื่อป้องกันนั้นคือกฎพื้นฐาน
เมื่อกิลไอซ์ อู โกลวจะ PK นั้นจะทำการรวบรวมข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และนำข้อมูลนั้นมาลอบโจมตีฝ่ายตรงข้าม สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า – การต่อสู้จบลงก่อนที่จะเริ่มต้น- นี่เป็นคำกล่าวของ พูนิโต้ โมเอะ สมาชิกของกิลที่รับหน้าที่ฝ่ายวางแผน 
นั้นคือเหตุผลว่าทำไมไอซ์ถึงสอนเรื่องนี้ให้กับนาเบรัล เพื่อในอนาคตถ้าต้องต่อสู้กับผู้เล่นจะได้ไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง
“----คร่าวๆก็ราวๆนี้ละนะ จริงๆก็มีมากกว่านั้นอยู่หรอก แต่สำหรับศัตรูในคราวนี้หลักการเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว 
ถ้าศัตรูคิดถึงเรื่องนี้ก็คงจะร่ายเวทย์บนศพพวกนี้เพื่อป้องกันนักเวทย์ใช้สกิลค้นหาแต่แรกละนะ”
ในที่สุดนาเบรัลก็เปิดคัมภีร์ออกและใช้เวทย์มนต์ เปลวไฟได้ลุกเผาไหม้คัมภีร์และปลดปล่อยเวทย์มนต์ออกมา
นาเบรัลซึ่งถูกปกป้องด้วยเวทย์มนต์ตอบโต้การค้นหาได้เริ่มใช้เวทย์มนต์ [ระบุตำแหน่งไอเท็ม] จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่เบื้องหน้า
“จุดนี้เจ้าค่ะ ที่มีการตอบสนองต่อเวทย์มนต์”
ไอซ์ที่อ่านภาษาของโลกนี้ไม่ออกใช้ความทรงจำว่าจุดนั้นคือที่ใด
“สุสานงั้นหรือ เป็นอย่างที่คิดท่อระบายน้ำเป็นตัวหลอกจริงๆ”
รีลันเทียนั้นเป็นเมืองป้อมประการ ในขณะที่สุสานนั้นก็มีขนาดใหญ่เช่นกัน เวทย์มนต์ระบุตำแหน่งของไอเท็มว่าอยู่ในส่วนลึกของสุสาน
“เอาละ ใช้คัมภีร์เวทย์มนต์ [มองระยะไกล] [ค้นหาจุดพิกัด] พร้อมกัน เพื่อที่เราจะได้มองเห็นภาพของสุสาน”
นาเบรัลจัดการตามคำสั่งของไอซ์ ทันใดนั้นภาพก็ปรากฏขึ้นมาบนอากาศเผยให้เห็นเงาร่างมากมาย แต่การเคลื่อนไหวของมันดูแปลกๆไม่น่าใช้ท่าทางของมนุษย์ กึ่งกลางของของกลุ่มมีชายที่แต่งกายดูแปลกออกไปจากพวก
“เหรียญตรานั้นอยู่ตรงนั้นงั้นหรือ .... แล้วก็กลุ่มอันเดธพวกนี้”
กลุ่มที่ปรากฏบนภาพนั้นคือกลุ่มอันเดธจำนวนมากมาย แม้จะเป็นอันเดธระดับต่ำแต่ด้วยจำนวนทำให้ดูน่ากลัวอย่างมาก
“นายท่านคิดเห็นปราการใดเจ้าค่ะ เทเลพอทไปจัดการในทีเดียวหรือว่ายิงเวทย์มนต์ทำลายจากบนฟ้าดีค่ะ”
“อย่าบ้าน้า นาเบรัล การทำเช่นนั้นไม่เกิดประโยชน์ต่อพวกเราเลย”
ไอซ์อธิบายให้นาเบรัลซึ่งมีท่าทีสงสัยฟังต่อไป
“ในการที่จะเตรียมกลุ่มอันเดธจำนวนมากแบบนี้ แสดงว่าศัตรูต้องมีแผนที่จะทำอะไรซักอย่างแน่นอน ในเมื่อเราจะไปช่วยเอ็นเฟรอยู่แล้วก็จัดการเรื่องนี้ไปด้วยกันเลย ชื่อเสียงพวกเราต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน ถ้าแค่ทำตามที่เจ้าว่าอย่างมากก็แค่ได้รับรางวัลจากลิซซี่แต่ชื่อเสียงของพวกเราจะไม่เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร”
แม้ว่าควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าแก้ปัญหานี้ช้าเกินไป เอ็นเฟรก็อาจจะตายได้ การจะควบคุมอันเดธจำนวนมหาศาลขนาดนี้แม้แต่ไอซ์เองยังทำไม่ได้แสดงว่าศัตรูต้องมีทริคอะไรซักอย่างแน่นอน ตัวเอ็นเฟรเองอาจจะเป็นกุญแจของเหตุการณ์นี้ก็ได้
ไอซ์เองนั้นก็อยากจะค้นหาความลับของทริคที่ศัตรูใช้ แม้ว่าจะต้องเสียสละเอ็นเฟรก็ตาม
สำหรับไอซ์แล้วการเพิ่มความแข็งแกร่งของนาซาริคถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าจะต้องเสียสละเอ็นเฟรเพื่อการนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ 
“ความจริงก็อยากจะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากกว่านี้ แต่เวลาดูจะไม่ทันการ”
ไอซ์บนกับตัวเองขณะที่เปิดประตูออกไปนอกบ้าน
“ลิซซี่การเตรียมการเสร็จแล้ว พวกข้าจะมุ่งหน้าไปยังสุสาน”
“แล้วท่อระบายน้ำละ”
เสียงของลิซซี่ดังมาจากด้านในของบ้านก่อนที่เธอจะวิ่งออกมายังไอซ์ที่อยู่ด้านหน้าชองบ้าน
“ท่อระบายน้ำเป็นแผนล่วงของศัตรู สถานที่แท้จริงคือสุสาน แถมยังมีกองทัพอันเดธอร่วมๆพันด้วย”
“อะไรนะ”
นั้นก็แค่คาดเดาคร่าวๆ ใครมันจะไปนับจำนวนจริงกันละ
“อย่าตกใจไปยังไงพวกเราก็จะยืดตามแผนเดิม แต่ข้าก็ไม่มั่นใจว่าพวกอันเดธมันจะหลุดออกมากจากสุสานหรือเปล่า ยังไงก็เตือนคนอื่นๆด้วย ถ้าคำเตือนมาจากเจ้าซึ่งพอจะมีชื่อเสียงในเมืองนี้อยู่บ้าง ทุกคนก็คงจะตื่นตัวกันพอสมควรละนะถ้ามันหลุดออกมานอกสุสานแล้วไม่มีการเตรียมการป้องกันละก็....นั้นคงจะแย่มากทีเดียว”
ใบหน้าของไอซ์ภายใต้หมวกเหล็กยิ้ม
-ถ้ามันไม่หลุดออกมาก็แย่นะสิ ยิ่งพวกมันสร้างปัญหาเท่าไหรถ้าข้าซึ่งแก้ไขปัญหานี้ได้ก็จะมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น-
“เอาละข้าจะไปยังจุดหมายละนะ”
“มีทางที่จะฝ่าเข้าแหรือ”
ไอซ์มองไปยังลิซซี่จากนั้นชี้นิ้วไปยังดาบของเค้า
“นี่ละของที่จะทำให้ฝ่ามันเข้าไปได้”




Part 3
กำแพงเมืองเศษหนึ่งส่วนสี่ของรีลันเทียนั้นถูกสร้างขึ้นโดยล้อมสถานที่ที่หนึ่งที่อยู่ในส่วนตะวันตกของเมือง เป็นที่รู้กันว่านั้นคือสุสานประจำเมือง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่สุสานจะมีตามเมืองทั่วไป แต่ที่นี่นั้นมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ
มันถูกสร้างโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกักกั้นเหล่าอันเดธ
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอันเดธนั้นโดยทั่วๆไปแล้วมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เจ้าสิ่งไร้ชีวิตนี้มุ่งทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดที่สรุปกันมาคืออันเดธเกิดจากสิ่งที่เสียชีวิตอย่างไม่ยินยอมหรือยังมีห่วง และโดยทั่วไปๆสถานที่ที่พบเห็นได้มากที่สุดคือสนามรบหรือว่าโบราณสถาน 
สถานที่ตั้งของเมืองรีลีนเทียนั้นสร้างขึ้นใกล้ๆกับสนามรบของจักรวรรดิในอดีต ตัวสุสานขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังเหล่าอันเดธบริเวณนี้รวมถึงเป็นที่สวดชำระล้างของเหล่าผู้ที่เสียชีวิต
ในส่วนของการกระทำนี้แม้กระทั้งอาณาจักรรอบข้างรวมไปถึงจักรวรรดิต่างเห็นพ้องต้องกันในการสวดชำระล้างผู้ตายที่เสียชีวิตในสนามรบ แม้จะเป็นศัตรูกันในด้านการเมืองจนก่อให้เกิดสงคราม แต่อันเดธนั้นถูกถือว่าเป็นศัตรูร่วมของทุกๆคนนั้นเอง
นอกจากนี้การปล่อยอันเดธไว้ยังสร้างปัญหาอื่นๆได้อีก ถ้าปล่อยพวกมันไว้ซักระยะหนึ่งอันเดธที่แข็งแกร่งกว่าทั่วไปจะเกิดขึ้นมา แม้จะไม่ทราบถึงสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่นี้ถือเป็นเรื่องทั่วๆไปที่ว่าทำไมนักผจญภัยหรือว่าทหารนั้นมักจะออกลาดตระเวนทุกๆคืนเพื่อกำจัดเหล่าอันเดธในขณะที่มันยังอ่อนแออยู่
อย่างที่กล่าวตัวสุสานนั้นถูกสร้างขึ้นโดยมีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบเพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตจากอันเดธเหล่านี้ กำแพงมีขนาดสูงถึง 4 เมตร แม้จะไม่แข็งแกร่งถึงขนาดป้อมปราการแต่ก็ยากที่คนทั่วๆไปจะทำลายลงได้ รวมไปถึงประตูทางเข้าถูกสร้างจากกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่แข็งแรงและยากที่จะพังลง

ทั้งหมดนี้ถูกสร้างเพื่อสนับสนุนเหล่าทหารที่ประจำการอยู่ที่สุสานแห่งนี้
หอสังเกตการณ์มีบันไดที่เชื่อมถึงกันและแต่ละหอจะประจำการด้วยทหาร 5 นาย 
ตัวสุสานนั้นมีตะเกียงเวทย์มนต์ [แสงนิรัน] กระจายอยู่ ให้ความสว่างแม้ในยามค่ำคืนแต่ด้วยขนาดใหญ่ของสุสานบางบริเวณก็ปกคลุมไปด้วยความมืด
ทหารนายหนึ่งที่ถือหอกยาวกล่าวกับเพื่อนทหารข้างๆ
“คืนนี้มันเงียบจริงๆ”
“นั้นสิ เจอสเกลเลตอนแค่ 5 ตัว เปรียบเทียบกับวันอื่นๆมันดูเหมือนจะน้อยจริงๆ”
“จริงด้วย น่าจะโผล่ออกมาอีกหน่อยจะแก้เบื่อได้ดีทีเดียว”
ทหารอีกนายหนึ่งกล่าวขัดขึ้นมา
“ถ้าแค่สเกลเลตอนกับซอมบี้เรายังพอรับมือได้สบายๆ แต่ถ้าสเกลเลตอนสเปียโผล่มาละก็มันก็ค่อนข้างยากที่จะรับมือนะ”
“แต่ข้าว่า วราท นั้นยากจะรับมือมากกว่านะ”
“สำหรับข้า ตะขาบกระดูกนั้นตึงมือที่สุด ถ้าเมื่อวานไมได้นักผจญภัยที่มาร่วมลาดตระเวนด้วยช่วยเหลือละก็ ข้าคงตายไปแล้วแน่ๆ”
“ตะขาบกระดูก? ข้าได้ยินมาว่าถ้าไม่ฆ่าตั้งแต่ตอนที่มันยังอ่อนแอและปล่อยให้มันแข็งแกร่งขึ้นได้จะเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว”
“ถูกต้อง พวกเจ้าทราบข่าวหรือไม่ได้ยินมาว่าทีมลาดตระเวนของอาทิตย์ที่แล้วโดนหัวหน้าเรียกไปต่อว่าเรื่องดื่มขณะปฎิบัติหน้าที่ แม้ไวที่พวกนั้นเอามาดื่มกันมันจะรสชาติเยี่ยมมากก็จริงแต่เทียบกับการเจอเรียกไปสอบสวนมันไม่คุ้มกันจริงๆ”
“แต่.....การที่อันเดธโผล่มาน้อยแบบนี้มันผิดปกติหรือเปล่า”
“ทำไมหรือ”
“ข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนว่าเราพลาดอะไรไปซักอย่าง”
“คิดมากไปหรือเปล่า ปกติมันก็ไม่ค่อยจะมีพวกอันเดธอยู่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าส่วนมากมันจะโผล่มามากๆตอนที่ฝังศพพวกที่เสียชีวิตระหว่างสงครามกับจักรวรรดิ แต่ช่วงนี้ไม่มีสงครามนี่”
ทหารคนที่ดูเป็นกังวลผงกศีรษะเห็นพ้องกับความคิดของเพื่อนทหารแม้ว่าจะมีการฝังศพชาวบ้านที่ตายบ้างแต่โดยปกติอันเดธก็ไม่ค่อยจะโผล่มาเยอะซักเท่าไหร
“แต่ว่าก็ว่า ได้ยินว่าสถานการณ์ที่ทุ่งหญ้าคาเซ่เหมือนจะควบคุมไมได้เลยนะ”
“นั้นสิ เหมือนว่าจะมีอันเดธที่แข็งแกร่งมากโผล่ออกมา”
ทุ่งหญ้าที่จักรวรรดิและอาณาจักรปะทะกันนั้นขึ้นชื่อว่ามีเหล่าอันเดธโผล่ออกมามากที่สุด นักผจญภัยมักจะถูกส่งออกไปจัดการกับเหล่าอันเดธบริเวณนี้บ่อยเป็นพิเศษ
“ได้ยินว่า.....”
ทหารที่กำลังพูดอยู่นั้นอยู่ดีๆก็หยุดพูดไปอย่างกะทันหัน
ทหารคนอื่นๆดูไม่สบายใจขึ้นมาและพูดว่า
“เฮ้ย อย่าแกล้....
“เงียบก่อน!!”
ทหารคนดังกล่าวดูเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างในความมืดของสุสาน ทำให้เหล่าทหารคนอื่นๆพากันจ้องมองไปยังสุสานเช่นกัน
“....ได้ยินหรือเปล่า”
“คิดไปเองมั้ง”
“ข้าไม่ได้ยินเสียง แต่ได้กลิ่นเน่าๆ กลิ่นเหมือนศพคนตาย...”
“อย่าล้อกันเล่นสิ”
“…เฮ้ย พวกเราตรงนั้น”
ทหารนายหนึ่งชี้นิ้วไปยังจุดๆหนึ่งในสุสาน ในขณะที่ทหารคนอื่นมองตาม
ทหารสองนายวิ่งมายังบริเวณทางเข้าหลักด้วยสีหน้าที่ดูแตกตื่นอย่างมาก ภาพเบื้องหน้าทำให้เหล่าทหารกลุ่มแรกรู้สึกผิดปกติ
ปกติทหารที่ออกลาดตระเวนในสุสานจะไปเป็นกลุ่มกลุ่มละ 10 คน ทำไมถึงมีแค่ 2 คนที่กลับมา ยิ่งกว่านั้นอาวุธยังไม่มีอีกด้วยเหมือนพวกนี้วิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากอะไรซักอย่างมา
“รีบเปิดประตูเร็ว”
ทหารสองนายนั้นตะโกนบอก ในขณะที่ทหารประจำการณ์เปิดประตูออกตามคำขอ
ทหารสองนายนั้นไม่รอให้ประตูเปิดจนสุดรีบมุดตัวผ่านเข้ามาทันที
“เฮ้ย อะไรของแกจะรีบไปไหน”
หนึ่งในทหารสองนายนั้นรีบตะโกน
“ปิดประตู รีบปิดประตูโดยด่วน”
ทหารทั้งหมดบริเวณนั้นรีบปิดประตูและดูมีท่าทีไม่สบายใจนากท่าทางของทหารสองนายก่อนหน้านี้
“เกิดอะไรขึ้น คนอื่นๆละ”
ทหารหนึ่งในสองนายที่ดูจะมีแรงมากกว่า เงยหน้าตอบด้วยท่าทีตกใจ
“โดนพวกอันเดธกินไปหมดแล้ว”
หลังจกาได้ยิน ทหาร 8 นายรอบบริเวณต่างมองไปยังหัวหน้าทหาร ในขณะที่หัวหน้าทหารรีบออกคำสั่ง
“ใครก็ได้ขึ้นไปบนกำแพงและรายงานสถานการณ์สิ”
ทหารนายหนึ่งตอบรับและปีนกำแพงขึ้นไป แต่ไปได้แค่ครึ่งทางก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!!”
หัวหน้าทหารตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฝูงอันเดธครับ จำนวนมากมายมหาศาลเลย”
หัวหน้าทหารหันไปมองด้านในของสุสานและตกใจกับภาพเบื้องหน้า เหล่าฝูงอันเดธนับไม่ถ้วนกำลังเดินมายังประตูหลักของสุสานจำนวนของมันดูมากจนมองไปทางไหนก็เห็น
“จำนวนขนาดนี้....มากเกินไปแล้ว”
“หัวหน้า....200 ไม่สินี่มันร่วมๆ 1000 ได้เลยครับ”
แค่ในบริเวณที่แสงส่องถึงก็มีจำนวนมหาศาลแล้วยังไม่นับเงาตะคุ่มในบริเวณมืดที่แสงส่องไม่ถึงอีก
ในจำนวนนี้ไม่ได้มีแค่อันเดธระดับต่ำเช่น ซอมบี้หรือสเกเลตอนเท่านั้น ยังมีอันเดธระดับสูงเช่น กูล ดีเวอเรอร์ วราท โบลเตอร์ คาริออนคราวเรอร์ และอีกมากมาย
เหล่าทหารตัวสั่นด้วยความกลัว
ตัวเมืองนั้นถูกปกป้องไว้ด้วยกำแพงขนาดใหญ่ ฝูงอันเดธเหล่านี้ไม่สามารถโจมตีชาวเมืองได้ถ้าไม่ผ่านกำแพงมาก่อน แต่ว่าต่อให้เคลื่อนทหารทั้งหมดในเมืองก็ยังไม่แน่ว่าจะจัดการฝูงอันเดธเหล่านี้ได้หมดหรือไม่
ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าอันเดธบางประเภทนั้นยังสามารถเปลี่ยนพวกที่มันฆ่าให้กลายเป็นพวกเดียวกับมันได้ ในกรณีที่แย่ที่สุดเหล่าทหารที่ตายอาจจะกลายเป็นอันเดธและโจมตีพวกเดียวกันเองได้ แม้ในตอนนี้ยังไม่เห็นอันเดธจำพวกที่บินได้แต่ถ้าปล่อยไว้อีกไม่นานมันมีต้องเกิดขึ้นมาแน่นอน และในตอนนั้นสถานการณ์จะยิ่งยากต่อการควบคุม
--เสียงประตูถูกทุบโดยเหล่าอันเดธดังก้อง----
เสียงขูดกำแพง เสียงคำรามดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ไปลั่นระฆังเตือนภัยเร็ว เรียกกำลังเสริมมาโดยด่วน พวกนายสองคนรีบไปเตือนภัยยังบริเวณประตูอื่นๆทั้งหมด”
หัวหน้าทหารสั่งการลูกน้องหลังจากเรียกสติกลับมาได้
“พวกที่เหลือไปหยิบหอกมากำจัดเหล่าอันเดธที่ออกันบริเวณประตู”
เหล่าทหารได้สติและปฏิบัติตามคำสั่ง หอกของทหารนั้นถูกสร้างจากเหล็กอย่างดีมันสามารถจัดการเหล่าอันเดธที่ออกันบริเวณประตูได้ไม่ยาก
แทง ถอยหลังและแทง เหล่าทหารโจมตีเหล่าอันเดธไม่หยุดเลือดไหลนองบริเวณประตูอย่างมากมาย เศษเนื้อเน่าเกลือนไปทั่วบริเวณแม้ว่าอันเดธจะล้มไปมากเท่าไหรพวกที่อยู่ด้านหลังก็จะก้ามเหยียบพวกที่ตายไปแล้วมาเบื้องหน้าไม่มีหยุด
อันเดธเหล่านี้ไม่มีความฉลาดมันก้าวมาและถูกฆ่าตายลงอย่างง่ายๆทำให้เหล่าทหารเริ่มจะคลายความหวาดกลัวลง ทันใดนั้นเอง
“ว๊ากกกก”
ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียงและพบว่า คอของทหารนายหนึ่งถูกพันไปด้วยอะไรบางอย่างที่ยาวและดูลื่นๆและดูเรียบๆมีสีชมพู --- มันคือลำไส้
อันเดธที่รูปร่างดูคล้ายไข่ที่แตกออกบริเวณส่วนที่แตกเต็มไปด้วยอวัยวะคล้ายลำไส้มากมายดูคล้ายปรสิตที่มีชีวิต –นืคืออันเดธที่เรียกกันว่า ไข่วิสเซล่า-
ลำไส้ที่รัดคอทหารนั้นดึงตัวเค้าไปยังร่างของมัน
ก่อนที่ทหารคนอื่นจะช่วยเหลือได้ทัน ทหารเคราะห์ร้ายนายนั้นก็ร้องออกมา
“อ๊ากกก ช่วยด้วยยย”
---เสียงเนื้อถูกแทะดังไปทั่วบริเวณ เหล่าทหารมองเพื่อนของตัวเองถูกเหล่าอันเดธบริเวณรุมกินทั้งเป็น 
ชุดเกราะรวมถึงหมวกเหล็กไม่สามารถช่วยเหลือทหารคนนั้นได้เลย เศษเนื้อ และอวัยวะภายในถูกฉีกกระชากกระจายไปทั่วบริเวณ
“ถอย ถอยก่อน หนีขึ้นบนกำแพง”
หัวน้าทหารรีบสั่งการ
เหล่าทหารรีบหนีชึ้นไปกำแพง เสียงประตูเหล็กถูกทุบดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงประตูแตกค่อยๆดังขึ้นให้ได้ยิน
เหล่าทหารเริ่มสิ้นหวัง โอกาสที่กำลังเสริมจะมาก่อนที่เหล่าอันเดธจะพังประตูเป็นไปได้น้อยมาก ถ้าประตูพังลงไม่ทราบว่าผู้บริสุทธิ์จะถูกสังเวยไปมากเท่าไหร
ในขณะนั้นเองเหล่าทหารได้ยินเสียงโลหะกระทบกันมาจากทางด้านหลัง ทั้งหมดหันไปมองและพบว่า มีนักรบในชุดเกราะสีดำกำลังขี่สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ตาสีดำของมันส่องความชาญฉลาดออกมา ที่ข้างๆมีหญิงสาวที่สวยงามมากนางหนึ่งตามมาด้วย
“เฮ้ มันอันตายรีบหนีไปจากที่นี่เร็ว”
ในขณะนั้นเองที่ทหารมองเห็นเหรียญตราที่ห้อยอยู่บนหน้าออกของนักรบคนนั้น
นักผจญภัย---
ดวงตาของทหารดูมีความหวังขึ้นมาแต่หลักจากเห็นสีของเหรียญตราแล้วก็กลับไปมืดมนเหมือนเดิม ตราทองแดง ไม่มีทางที่นักผจญภัยระดับนี้จะช่วยเหลืออะไรได้
นักรบคนนั้นลงมาจากร่างของสัตว์ที่ขี่และเดินมาที่ประตูอย่างช้าๆ 
“ไม่ได้ยินหรือไง รีบหนีไปเร็ว”
หัวน้าทหารพยายามกล่าวเตือนนักผจญภัยคนนั้น
“นาเบรัล ส่งดาบมาให้ข้า”
เสียงของนักรบคนนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ในขณะที่หญิงสาวเดินมายังข้างๆของนักรบคนนั้นและดึงดาบจากข้างหลังของนักรบส่งให้มายังมือ
“มองไปยังด้านหลังชองพวกเจ้าสิ มันอันตรายเห็นมั้ย”
เหล่าทหารมองไปยังข้างหลังตามคำบอกของนักรบ อะไรบางอย่างที่สูงกว่า 4 เมตร อันเดธขนาดใหญ่ที่รวมตัวมาจากซากศพนับไม่ถ้วนกำลังเดินมาอย่างช้าๆ 
เหล่าทหารกรีดร้องอย่างหวาดกลัวและเตรียมตัวที่จะหนี แต่ขณะที่จะวิ่งเสียงอะไรบางอย่างดึงดูดความสนใจของเหล่าทหารไว้ เมื่อหันไปมองพบว่า นักรบคนนั้นถือดาบในท่าทางของการที่จะปาหอก
“นั้นเค้าจะทำอะไร”
เหล่าทหารอุทานมาด้วยความสงสัย ทันใดนั้นคำถามในใจก็ได้รับคำตอบ
นักรบคนนั้นขว้างดาบออกไปด้วยความเร็วที่ยากจะมองตามทันเมื่อมองตามดาบที่ปาออกไปเหล่าทหารยิ่งตกใจมากขึ้น
อันเดธขนาดใหญ่นั้นถอยหลังไปเหมือนกับเจออะไรที่มีแรงมหาศาลกระแทก อันเดธที่ดูเหมือนจะไม่มีใครจะปราบมันลงได้ล้มลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“พวกอันเดธนี้มันขวางทางจริง”
นักรบดำคนนั้นดึงดาบอีกเล่มมาไว้ในมือและก้าวไปข้างหน้า
“เปิดประตู”
เหล่าทหารต่างไม่เชื่อว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินนั้นถูกต้องหรือไม่และมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินนั้นถูกต้องหลังจากนักรบคนนั้นกล่าวซ้ำอีกครั้ง
“อย่าพูดอะไรบ้าๆน้า ไม่เห็นฝูงอันเดธอีกด้านของประตูหรือไง”
“ทำไม คิดว่าของแค่นั้นจะทำอะไรโมมอนคนนี้ได้หรือ”
หลังจากได้ยินคำพูดแสดงความมั่นใจของนักรบคนนั้น เหล่าทหารต่างนิ่งเงียบอย่างตกใจ
“ช่างเถอะ ช่วยไมได้ถ้าพวกเจ้าไม่เปิด ข้าเข้าไปเองก็ได้”
นักรบคนนั้นขยับร่างทันในนั้นก็ไปโผล่ยังอีกด้านของกำแพงการเคลื่อนไหวของเค้าเหมือนภาพลวงตาไม่มีผิด
เหล่าทหารต่างแทบไม่เชื่อในภาพที่ตนเองเห็น ทุกคนต่างอ้าปากค้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ในขณะที่หญิงสาวคนนั้นก็ค่อยๆลอยตัวผ่านกำแพงไปอย่างง่ายๆ 
“ได้โปรด นำราชาไปด้วยสิ”
เสียงนั้นดังมากจากสัตว์ขี่ของนักรบคนนั้น หญิงสาวหันไปมองและตอบว่า 
“ปีนกำแพงนั้นขึ้นมา ความสูงแค่นั้นคงไม่มีปัญหาใช่มั้ย”
“แน่นอน ราชาจะไปหาเจ้านายทันที เจ้านายยยย รอราชาด้วยยย”
สัตว์ใหญ่ตัวนั้นวิ่งผ่านเหล่าทหารด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อจากนั้นปีนกำแพงและกระโดดเข้าไปยังกำแพงด้านในของสุสาน
เหล่าทหารต่างตกใจจนยืนเงียบๆ พักใหญ่ทหารคนหนึ่งก็กล่าวขึ้น
“ได้ยินเสียงอะไรมั้ย”
“ได้ยินอะไรเล่า”
“เสียงอันเดธ”
เสียงทุบประตูนั้นเงียบลงแล้ว ทหารใจกล้าคนหนึ่งชะโงกหน้าลงไปดูแล้วตะโกนว่า
“เฮ้ย พวกเราเชื่อหรือเปล่า นักรบคนนั้นฝ่าไปในฝูงอันเดธแบบไม่เป็นอะไรเลยด้วยแถมมุ่งไปยังข้างหน้าอีกต่างหาก”
เสียงเริ่มห่างไกลออกไปเหล่าอันเดธนั้นไล่ตามเป้าหมายใหม่ของมันไป เสียงการต่อสู้ยังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ
เหล่าทหารเริ่มปีนกำแพงขึ้นไปดูสถานการณ์
“นักรบคนนั้นเป็นใครกันแน่”
ข้างล่างเต็มไปด้วยศพของอันเดธกองเป็นจำนวนมากมาย ห่างไกลออกเสียงโลหะยังแว่วมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย
“บ้าน่า ยังต่อสู้กันไม่จบอีกหรือ นี่เค้าฝ่ามันไปได้ยังไง”
“รู้สึกว่านักรบคนนั้นจะเรียกตัวเองว่าโมมอน นักผจญภัยระดับตราทองแดงจะมีความสามารถระดับนี้ได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ ความสามารถระดับนี้น่าจะอยู่ในระดับอดามันไทได้เลยนะ”
เหล่าทหารต่างผงกศีรษะเห็นพ้อง ความสามารถระดับนั้นไม่มีทางเป็นนักผจญภัยระดับทองแดงอย่างเด็ดขาด
ฝีมือระดับนี้ หรือว่าบางที่จะเป็น---ผู้กล้าในอดีต—
“หรือว่าพวกเรา....จะได้พบกันตำนานนั้น นักรบดำ ไม่สิ ผู้กล้าสีดำ”

ดาบในมือขวาส่งอันเดธลอยไปบนอากาศ ในขณะที่ดาบในมือซ้ายก็ผ่าร่างของอันเดธอีกตัว การโจมตีของไอซ์หยุดลงในที่สุด
“ช่างเป็นขยะที่น่ารำคาญจริง”
ไอซ์มองไปยังอันเดธอรอบๆ เหล่าอันเดธพยายามถอยหลังออกไป ปกติอันเดธไม่มีความกลัวแต่ดูเหมือนเมื่อพวกมันเผชิญหน้ากับไอซ์นั้นความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นมา
“...ราชาขออภัยที่มาช้า”
เสียงมาจากด้านบนของไอซ์ลอยอยู่บนอากาศ หางของมันตกลู่ลงด้วยความหดหู่
แต่เสียงที่ตอบนั้นไม่ใช่ไอซ์
“อยู่เฉยๆสิ แบกแกมาด้วยขณะบินมันลำบากรู้มั้ย”
เสียงของนาเบรัลดังมาจากช่วงท้องของแฮมสุเกะ เพราะว่าแฮมสุเกะนั้นบินไมได้ทำให้นาเบรัลที่ใช้เวทย์มนต์บินมานั้นต้องแบกมาตัวของเธอแทบจะจมไปยังขนอันอ่อนนุ่มของแฮมสุเกะ
“ขอโทษด้วย”
อันเดธขั้นต่ำนั้นปกติจะตอบสนองต่อสิ่งมีชีวิต พวกมันไม่ได้สนใจไอซ์มากนั้นเพราะความรู้สึกนั้น – คล้ายกับพวกมัน – ขึงมุ่งความสนใจไปยังแฮมสุเกะมากกว่า นั้นทำให้ไอซ์ต้องต่อสู้อีกรอบนึง

แม้ว่าอันเดธจะล้มตายลงเป็นจำนวนมากแต่ด้วยจำนวนที่มหาศาลทำให้ยังคงดูมีปริมาณมากอยู่ดี 
ไอซ์มองไปรอบๆแล้วกล่าวขึ้น
“ยังงี้มันไม่จบซักที”
ถ้าไอซ์เอาจริงขึ้นมาด้วยจำนวนอันเดธแค่นี้ไม่คณามือเค้าแม้แต่น้อย แต่ทหารบริเวณนี้อาจจะถูกลูกหลงจนเสียชีวิตลงได้การขาดพยานเพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของเค้าอาจจะทำให้แผนที่จะกอบกู้สถานการณ์เลวร้ายนี้ล้มเหลวลง ดังนั้นการล่อให้อันเดธตามเค้ามาก็เป็นแผนช่วยชีวิตทหารเหล่านั้นแต่ การดำเนินการช้าไปมากจริงๆ
นาเบรัลนั้นตีความหมายคำพูดของไอซ์ผิดและกล่าวว่า
“เรียกกำลังเสริมมาจากนาซาริคดีมั้ยค่ะ เหล่าอันเดธชั้นต่ำที่กล้าขวางทางท่านไอซ์ในสุสานนี้จะถูกได้ถูกกำจัดทั้งหมด”
“ อย่าบ้าน้า นาเบรัลข้าว่าข้าบอกเหตุผลที่มาเมืองนี้ให้เจ้าฟังหลายต่อหลายครั้งแล้วนะ”
“แต่ท่านไอซ์ค่ะ ถ้าท่านต้องการชื่อเสียงละก็ ทำไมไม่รอให้พวกอันเดธพวกนี้บุกไปในเมืองแล้วค่อยช่วยเหลือละค่ะ”
“ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ว่าข้อมูลวัตถุประสงค์ของศัตรูรวมไปถึงกำลังรบของเมืองนี้นั้นน้อยเกินไป ถ้าไปเข้าทางของศัตรูก็คงจะแย่กว่านี้ แถมยังต้องมระวังกับพวกที่จะมาแย่งความชอบนี้อีก”
“อย่างนี้นี่เอง....ท่านไอซ์ช่างสุดยอดจริงๆที่คิดถึงความเป็นไปได้นี้สมกับเป็นท่านผู้นำสูงสุดของเรา ข้ายอมรับอย่างใจจริงไม่ทราบว่าท่านพอจะไขข้อสงสัยอันโง่เขลาของข้าได้หรือไม่ ทำไมเราไม่ส่งลูกน้องในนาซาริคจำพวกที่มีสกิลในการพรางตัวเช่น นักฆ่าแมงมุมแปดขา ปีศาจเงา เพื่อดูสถานการณ์เราจะได้เตรียมตัวให้ถูกต้องละค่ะ”
ไอซ์มองไปยังนาเบรัลเงียบๆ
เหล่าอันเดธรอบข้างดูเหมือนจะเห็นว่าเป็นโอกาสจึงเข้าโจมตีไอซ์อีกครั้งผลที่ได้คือถูกฟันร่างขาดจนหมดสิ้น
“ถ้าข้าต้องสอนเจ้าทุกอย่าง เจ้าจะพัฒนาได้อย่างไร ลองคิดดูด้วยตัวเองบ้างสิ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ต้องขออภัยเจ้าค่ะ “
ไอซ์ใช้สกิลทักษะของเค้า
“[สร้างอันเดธระดับกลาง แจ็ค เดอะ รีปเปอร์] [สร้างอันเดธระดับกลาง อันเดอวอร์ คอเล็คเตอร์]
อัยเดธทั้งคู่ปรากฏตัวข้างๆไอซ์ 
อันเดธตัวหนึ่งสวมหน้ากากรูปยิ้มและสวมเสื้อโค็ทตัวใหญ่ ในมือถือมีดขนาดใหญ่ ในขณะที่อีกตัวนั้นตัวเต็มไปด้วยหนองและมีผ้าพันแผลรอบตัวและมีตะขอเชื่อมต่อกับบริเวณศีรษะ
อันเดธทั้งคู่เข้าโจมตีฝูงอันเดธรอบตัวไอซ์ด้วยพลังที่ต่างกันมากนั้นทำให้ฝูงอันเดธเริ่มทยอยล้มตายไปเรื่อยๆ
“เอาละมาทำให้มันจบๆไปดีกว่า”
[สร้างอันเดธระดับต่ำ วราท] [สร้างอันเดธระดับต่ำ สกัลเวนเจอร์] 
ไอซ์สั่งงานอันเดธที่สร้างมาใหม่
“ถ้ามีอะไรเข้ามาในสุสานนี้ ไล่มันออกไป ถ้าเป็นนักผจญภัยฆ่าทิ้งได้เลย แต่อย่าทำร้ายทหาร”
ไอซ์หัวเราะเบาๆ หลังจากมองอันเดธของเค้าจากไป แค่นี้พวกแมวขโมยก็มาขโมยผลงานของเค้าไมได้อีกต่อไป
หลังจากฝ่าฝูงอันเดธมาได้ซักครู่ ไอซ์และนาเบรัลก็มาถึงวิหารที่อยู่ด้านในของสุสาน เค้ามองเห็นสิ่งหน้าสงสัยที่อยู่เบื้องหน้าวงเวทย์ที่ดูเหมือนพิธีกรรมอะไรบางอย่างถูกวาดขึ้นมาบริเวณนี้
เงาร่างในชุดคลุมสีดำปกปิดใบหน้าเผยให้เห็นแต่ดวงตาในมือถือคทาที่สองแส่งออกมา ดูจากรูปร่างน่าจะเป็นผู้ชายทั้งหมด มีแต่ชายที่อยู่ตรงกลางที่สวมชุดค่อนข้างหรูหราในมือถือลูกแก้วสีดำดูเหมือนจะตั้งสวดบริกรรมอยู่
“ลอบจู่โจมเลยดีมั้ยค่ะ” 
นาเบรัลกระซิบที่ข้างหูไอซ์ แต่เค้าส่ายหน้าเบาๆ
“เปล่าประโยชน์ อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้สึกถึงพวกเราแล้ว”
ไอซ์เดินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นโดยพยายามหลีกเลี่ยงวงกลมเวทย์มนต์ด้านหน้า
คนกลุ่มนั้นก็จ้องมองมายังไอซ์เช่นกันแต่ยังไม่มีทีท่าจะลงมือ
เมื่อกลุ่มของไอซ์เดินมาถึงบริเวณที่มีแสงสว่างมากเป็นพิเศษ หนึ่งในกลุ่มชายชุดดำพูดกับชายที่อยู่ตรงกลาง
“ท่านคาจิ พวกมันมาแล้วครับ”
ไอซ์ กล่าวทักทาย
“สวัสดีทุกท่าน ค่ำคืนนี้ช่างสวยงามจริงๆ ไม่คิดว่าน่าเสียดายหรือที่พวกท่านมาทำพิธีกรรมที่น่าเบื่อในคืนเช่นนี้”
“หื เรื่องนั้นทางนี้จะเป็นคนตัดสินใจเอง ว่าแต่ว่าแกเป็นใครกัน และฝ่าฝูงอันเดธมาได้ยังไง”
ชายที่อยู่ตรงกลาง ชื่อว่าคาจิดูเหมือนจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้กล่าวถามไอซ์
“ข้าคือนักผจญภัยที่รับภารกิจตามหาคนที่หายไป....คงไม่ต้องให้ข้าเอ่ยนามออกมาละมั้ง พวกท่านคงรู้ว่าข้าหมายถึงใคร”
คนกลุ่มนั้นตั้งท่าทันที ไอซ์แน่ใจว่าตัวเองนั้นมาถูกทางแล้ว
ไอซ์จ้องมองไปยังคาจิ ในขณะที่คาจิเองก็มองดูกลุ่มของไอซ์
“พวกแกมีกันแค่นี้หรือ แล้วพกที่เหลือละไปไหน”
-เหอ... ถามอะไรออกมาเนี้ย ก็เข้าใจว่ากลัวจะถูกตลบหลังแต่ถามาโต้งๆแบบนี้ใครจะตอบฟะ ไอ้นี่มันโง่หรือบ้าดีละเนี่ย-
ไอซ์ส่ายหัวเบาๆ และตอบว่า
“มีแค่พวกเรานี้ละ ใช้เวทย์มนต์บินข้ามมานะ”
“โกหก นั้นเป็นไปไมได้”
ไอซ์รู้สึกเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำพูดของคาจิ
“เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า เอาละกลับมาประเด็นหลักกันต่อ ถ้าคืนคนที่ลักพาตัวมาข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า เป็นอย่างไรละ คาจิ”
คาจิมองไปยังคนเบื้องหน้าที่กล้าเรียกชื่อเค้าตรงๆ
“แล้วเจ้าคือ?”
คาจิมองไอซ์อย่างเย็นชา
“มีแค่พวกข้าเท่านั้นแหละ”
“ข้าเกรงว่าจะไม่ใช้ ในหมู่พวกเจ้าน่าจะมีคนที่ใช้อาวุธประชิดตัวอยู่ด้วย วางแผนจู่โจมทีเผลอหรือว่ากลัวพวกข้ากันละ”
“โอ้~~~ดูเหมือนพวกนี้จะสำรวจศพมาด้วยละ น่าประทับใจจริง”
เสียงผู้หญิงดังมาด้านในของวิหาร
ผู้หญิงคนหนึ่งเผยร่างออกมาเสียงโละแว่วให้ได้ยินเมื่อเธอก้าวเดิน
“เจ้า...”
“อาร่า~~~ ไหนๆทางโน้นก็รู้ตัวแล้วจะซ่อนตัวไปทำไม”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มออกมาและตอบคาจิ 
มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเอ็นเฟร หรือว่าบางทีเอ็นเฟรอาจจตายไปแล้วก้ได้
ไอซ์คิดในใจ ขณะนั้นเองผู้หญิงคนนั้นกล่าวถามไอซ์
“ไม่ทราบว่าเจ้าชื่ออะไร อ่า ข้าชื่อครีเมนไท ยินดีที่ได้รู้จัก”
“…ไร้สาระจริง เอาเถอะจะบอกเจ้าก็ได้ ช้าชื่อโมมอน”
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ทางเจ้าละ”
“ข้าก็เช่นกัน~~~ ข้ารวบรวมข้อมูลเกี่ยกวับนักผจญภัยที่เก่งๆในเมืองนี้มาแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินชื่อโมมอนมาก่อน แล้วรู้จักที่นี่ได้ยังไง ทิ้งข้อความว่าเป็นท่อระบายน้ำไว้นี่น้า”
“คำตอบก็อยู่ภายในเสื้อคลุมของเจ้านั้นละ ไหนขอข้าดูหน่อยสิ”
“ไม่น้า คนลามก~~~~”
หลังจากแกล้งพูดแล้วครีเมนไทก็ฉีกยิ้มออกมาริมฝีปากของเธอแทบจะจรดไปยังใบหู
“ล้อเล่นน้า~~~ หมายถึงนี่นะหรือ”
ครีเมนไทเลิกผ้าคลุมออกเผยให้เห็นชุดเกราะเบาหลากสี แต่ไอซ์นั้นมองเห็นง่านั้นคือเกราะที่ตีมาจากเหรียญตราของนักผจญภัย
มีเหรียญมากมายไม่ว่าจะเป็น แพรติรั่ม ทองคำ เงิน เหล็ก ทองแดง มีแม้กระทั้งมิธริลหรือโอริฮารูก้อน นี่คือหลักฐานว่าครีเมนไทได้ฆ่านักผจญภัยมากมากมายและเอาเหรียญตรามาเป็นของที่ระลึก เสียงดังของโลหะฟังคล้ายเสียงของคนที่ถูกฆ่าตายกรีดร้องออกมา
“เป็นของที่ระลึกละนะ”
“นาเบล จัดการพวกชายชุดดำนั้นรวมคาจิด้วย ข้าจะจัดการผู้หญิงคนนี้เอง”
“รับทราบค่ะ”
คาจิยิ้มอย่างดูแลคนหลังจากได้ยินคำพูดของไอซ์
“ครีเมนไท ไปสู้กันตรงนั้นดีกว่า”
ไอซ์ไม่รอฟังคำตอบของและเดินนำหน้าไปก่อน เค้าแน่ใจว่าคู่ต่อสู้ต้องไม่ปฎิเสธแน่นอน เสียงฝีเท้าด้านหลังช่วยยืนยันความคิดของไอซ์
หลังจากเดินห่างออกมา บริเวณที่นาเบลและคาจิอยู่นั้นมีสายฟ้าผ่าลงมาเป็นจำนวนมาก แต่ไอซ์และครีเมนไทนั้นไม่สนใจและต่างมองไปยังคู่ต่อสู้ของตัวเอง
“หรือว่าพวกที่ถูกข้าฆ่าในร้านยานั้นจะเป็นพรรคพวกของเจ้า เจ้าโกรธที่ข้าฆ่าพวกนั้นหรือ~~~~”
ครีเมนไทพยายามพูดยั่วไอซ์ต่อไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านักเวทย์คนนั้นน่าตลกมากเลยอะ เชื่อว่าจะมีคนมาช่วยจนถึงที่สุดเลยละนะ น่าเสียดายข้าเล่นด้วนิดเดียวก็ทนไม่ไหวซะและ อะ หรือว่าคนที่จะมาช่วยคือเจ้าละ งั้นก็ขอโทษด้วยน้า แต่ข้าฆ่าไปแล้วอะ”
ไอซืสั่นศีรษะให้ครีเมนไทที่ยิ้มอยู่
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก”
“จริงอะ อะไรเนี่ย ข้าอุตสาหวังจะเห็นหน้าของคนที่เพื่อนถูกฆ่าตายว่าเป็นยังไงซะหน่อย ไม่สนุกเลย ทำไม่ไม่โกรธอะ หรือว่าพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนของเจ้า”
“…ข้าก็เคยทำเรื่องแบบนั้น ถ้าข้าโกรธเจ้าก็เหมือนข้าโกรธตัวเอง”
ไอซ์ยกดาบขึ้นช้าๆ และกล่าวต่อ
“...พวกนั้นก็แค่เครื่องมือที่จะช่วยกระจายชื่อเสียงของข้าก็เท่านั้น หลังจากพวกนั้นกลับไปยังผับก็ควรจะเล่าเรื่องของข้าให้คนอื่นๆฟังว่า ข้าสองคนสยบราชาแห่งป่าได้อย่างไร มาขัดขวางแผนของข้าเช่นนี้ ไม่ดีเลยจริงๆ”
ครีเมนไทยังยิ้มและตอบไอซ์ว่า
“อย่างนี้เอง ข้ารู้ผิดจริงๆที่ทำลายแผนของเจ้า อ่า ถูกเกลียดซะแล้ว อ่า ใช่ๆ สู้กับข้านี่ผิดพลาดแล้วน้า ผู้หญิงสวยๆคนนั้นเป็นนักเวทย์ใช่มั้ย เธอเอาชนะคาจิไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าสองคนสลับคู่ต่อสู้อาจจะชนะก็ได้ถ้าโชคเข้าข้าง แต่ยังไงผู้หญิงคนนั้นก็ชนะข้าไมได้อยู่ดี”
“เอาชนะเจ้า แค่นาเบลก็เกินพอแล้ว”
“อย่ามาล้อเล่นน้า นักเวทย์ธรรมดาเอาชนะเข้าไมได้หรอก มันจะจบก่อนที่จะเริ่มต้นเสียอีก”
“ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในความสามารถมากเลยนะ”
“ก็คงยังงั้น ในประเทศนี้ไม่มีนักรบคนไหนเอาชนะข้าได้หรอก~~~ เอ๋ ถ้าจะให้ถูกก็เกือบจะไม่มีละนะ”
“คิดยังงั้นหรือ เอาละข้าจะออมมือให้เจ้าละกัน ถือว่านี่เป็นการแก้แค้นในรูปแบบของข้า”
ครีเมนไทหรี่ตาของเธอลงและเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูไม่ชอบใจนักเป็นครั้งแรก
“จากแหล่งข่าวของดอกไม้ลม มีคน5 คนที่สามารถต่อสู้กับข้าได้อย่างสูสี 1กาเซฟ สตรานอฟ 2 บลูโรสกาการัน 3 หยดน้ำค้างสีรุ้ง ลูเซ่น บาเกล 4 ไบร อังกลาส 5 เลอฟาน อดีตนักรบที่ถอนตัว แต่นั้นหมายถึงตัวข้าที่ไมได้สวมใส่ไอเท็มเวทย์มนต์จากประเทศของข้านะ”
ครีเมนไทมองไปยังไอซ์ด้วยสายตาทีดูน่ารังเกียจ
“ข้าไม่รู้หรอกนะเจ้าเป็นใคร แต่ตัวข้าซึ่งก้าวผ่านไปยังสู่ระดับผู้กล้าแล้วไม่แพ้อย่างแน่นอน”
เปรียบเทียบกับครีเมนไทที่ดูจะเครื่องร้อนแล้ว ไอซ์ยังแสดงท่าทางเยือกเย็นอยู่
“นั้นคือเหตุผลว่าทำไมข้าออกมือให้เจ้า”


Part 4
“ลูกบอลสายฟ้า เพิ่มพลังสองเท่า”
ใจกลางฝ่ามือของนาเบรัลปรากฏลูกบอลสายฟ้าขึ้น 2 ลูก ขนาดของมันใหญ่กว่าปกติ จากนั้นก็ยิงไปยังเป้าหมายด้านหน้า
-----เข้าเป้า
ลูกบอลสายฟ้าที่ถูกเพิ่มพลังพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย รอบบริเวณของสุสานสว่างไปด้วยแสงของมัน พลังทำลายของเวทย์ดูท่าจะรุนแรงพอๆกับความสว่าง
ลูกน้องของคันจิที่อยู่ในรัศมีทำลายของเวทย์มนต์นี้ต่างตายหมดสิ้น
แต่ตัวคาจิเองกลับยืนอยู่ได้โดยดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบ
“โห....ทำไมแกถึงไม่ล้มลงไปเหมือนสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำตัวอื่นๆละ ...หรือว่าร่ายเวทย์มนต์ป้องกันสายฟ้าไว้”
นาเบรัลถามขึ้นในขณะที่เธอเห็นว่าใบหน้าของคันจิมีแผลจากการเผาไหม้
ดูเหมือนว่าจะร่ายเวทมนต์ขั่นต่ำเช่น สลายผลจากสายฟ้าหรือไม่ก็ป้องกันสายฟ้า
ตัวนาเบรัลรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่การโจมตีของเธอไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดในการโจมตีนี้ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าผลลัพธ์นี้ก็อยู่ในการคาดคำนวนแต่แรกอยู่แล้ว
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช้สวะธรรมดาสินะ แต่เป็นพวกสวะที่สามารถใช้เวทย์มนต์ขั้น 3 ได้”
“…พวกสวะ? เจ้าพวกสิ่งมีชิวิตชั้นต่ำเช่นเจ้ากล้าเรียกข้าว่าพวกสวะอย่างนั้นหรือ!!!”
สีหน้าของนาเบรัลเปลี่ยนไป
“ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะขัดขวางแผนการของข้ามันก็คือพวกสวะทั้งหมดนั้นละ ไม่ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของข้าและมารนหาที่ตายเช่นนี้ เอาละการเตรียมการเสร็จแล้ว ลองประจักษ์ถึงพลังของมุกแห่งความตายที่ดูดพลังงานด้านลบจนเต็มเปี่ยมนี่ซะเถอะ”
คาจิยกมุกในมือของเค้าขึ้น
รูปร่างของมันดูเหมือนแท่งสีดำมากกว่าจะเรียกว่ามุกหรืออัญมนี ถ้าจะให้เปรียบเทียบดูเหมือนจะคล้ายก้อนเหล็กซะมากกว่า ซึ่งตอนนี้มันกำลังสองแสงออกมา
ทันใดนั้นร่างลูกน้องของคันจิ 6 ร่างก็ลุกขึ้นมาการเคลื่อนไหวนั้นไม่ใช่การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตแน่นอน นาเบรัลมองมาอย่างรังเกียจ
“ส่งซอมบี้มาสู้กับข้างั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า ถูกต้อง แค่นี้ก็พอแล้ว โจมตี!!!”
ซอมบี้ อันเดธขั้นต่ำนั้นไม่มีความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ นาเบรัลปล่อยเวทย์มนต์โจมตีซอมบี้เหล่านี้ทันที
[ลูกบอลสายฟ้า]
แสงสว่างปรากฏอีกครั้งและพุ่งไปยังเหล่าซอมบี้ทันที จากนั้นเหล่าซอมบี้ก็ล้มลง แต่สีหน้าของนาเบรัลดูไม่มีความยินดีเลย
[ครีเอทอันเดธ] นั้นปกติจะไม่สามารถจะใช้งานหลายเป้าหมายพร้อมๆกันได้ นี้ต้องเป็นผผลจากสกิลสนับสนุนของคู่ต่อสู้แน่ๆ
นาเบรัลคิดขึ้นขณะที่มองไปยังลูกแก้วสีดำในมือของคาจิ นั้นน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ควบคุมอันเดธได้หลายๆเป้ามหายพร้อมกัน
ชื่อว่าสุดยอดอัญมนีที่มีผลแค่นี้นะหรือ คำว่าสุดยอดนั้นเหมาะกับท่านไอซ์และเหล่าผู้นำสูงสุดทั้ง 41 เท่านั้นต่างหาก
ขณะที่นาเบรัลรู้สึกไม่ยินดีอย่างยิ่งนั้น คาจิก็พูดอย่างยินดีว่า
“ในที่สุดก็ดูดพลังด้านลบในสุสานนี้จนเต็มแล้ว”
แสงของลูกแก้วในมือคาจิดูเหมือนจะส่องสว่างมากกว่าตอนแรก แถมยังมีเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนกับหัวใจเต้นอยู่ด้วย
ถ้าปล่อยไว้น่าจะมีปัญหาในอนาคต
ขณะที่นาเบรัลหยั่งเชิงสถานการณ์แล้วกำลังจะเคลื่อนไหวนั้น เสียงลมจากอะไรบางอย่างก็ดังมาให้ได้ยิน
วัตถุขนาดใหญ่ร่อนลงมายังข้างๆคาจิ
วัตถุนั้นสูงกว่า 3 เมตรและดูเหมือนจะสร้างจากกระดูกมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนดูจากรูปร่างที่มีช่วงคอที่ยาวมมีปีกและมีขาทั้งหมดสี่ขา---ลักษณะของมังกรหางที่ประกอบจากกระดูกฟาดพื้นอย่างรุนแรง
มันคือสัตว์ประหลาดที่รู้จักกันในนามว่า มังกรกระดูก
สำหรับนาเบรัลแล้วเลเวลของมังกรกระดูกนั้นไม่ได้สูงมาก แต่ว่าลักษณะพิเศษของมันนั้นถือว่าอันตรายต่อเธอโดยเฉพาะ
นาเบรัลแสดงท่าทางตกใจให้เห็นเป็นครั้งแรก
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
คาจิหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเธอ
“มังกรกระดูกนั้นต้านทานต่อเวทย์มนต์ทุกชนิด เป็นศัตรูที่นักเวทย์ไม่มีทางชนะได้”
ถ้าเวทย์มนต์ไมได้ผลละก็
นาเบรัลชักดาบสั้นของเธอออกมา เป็นอาวุธที่เจ้านายของเธอมอบให้เพื่อในกรณีฉุกเฉิน
“ข้าจะสังหารแกให้ตาย”
นาเบนัลกล่าวขณะที่ก้าวออกไปข้างหน้า
หลังจากหลบการโจมตีของมังกรกระดูกที่ฟาดหางใส่เข้าหานั้น นาเบนัลพุ่งตัวและแทงดาบออกไปเสียงลมแหวกอากาศพุ่งตรงไปยังหน้าอกของมังกรกระดูก ด้วยพลังทั้งหมดที่มีเธอแทงแล้ววาดดาบออกไป
ร่างสูงกว่า 3 เมตร ของมังกรกระดูกนั้นถึงกับลอยไปบนอากาศและร่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้น
“อะไรกัน”
คาจิแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
แม้ว่ามังกรกระดูกจะสร้างจากกระดูกนับไม่ถ้วนและดูเหมือนจะมีน้ำหนักไม่มากแต่แท้จริงแล้วนั้นก็แค่รูปร่างภายนอกสำหรับนักเวทย์ที่ทุ่มเทต่อการฝึกฝนเวทย์มนต์ไม่ควรที่จะมีพลังกายมากขนาดนี้
คาจิหลบด้านหลังของมังกรกระดูกแล้วตะโกนออกมาว่า
“แกเป็นใครกันแน่ หรือว่านักผจญภัยระดับมิธริล ไม่สิ น่าจะระดับโอริฮารูก้อน ไม่จริงในเมืองนี้ไม่น่าจะมีนักผจญภัยระดับนี้อยู่ นี่แกตามคลีเมนไทหรือว่าตามข้ามากันแน่”
คาจิกัดฟันจนมีเสียงดังออกมา
“ดีมาก ท่าทางน่าสมเพชรแบนนั้นละ ช่างเหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำจริงๆ”
“แก แก!!!”
เป็นไปได้อย่างไรที่มังกรกระดูกที่ดูดพลังด้านลบจนเต็มเปี่ยมและใช้เวลาการสร้างมากกว่า 2 เดือนจะพ่ายแพ้ง่ายดายเช่นนี้ นี่คือไพ่ตายที่คาจิใช้เวลาเตรียมการมาหลายปี
ในขณะที่สีหน้าของคาจิแดงไปด้วยคงามโกรธนั้น มังกรกระดูกก็ลุกขึ้นมาช้าๆ กระดูกบริเวณหน้าอกค่อยๆร่วงลงมาช้าๆดูจากท่าทางแล้วคงรับการโจมตีได้อีกไม่กี่ที
“ไม่ ไม่”
[แสงแห่งความมืด]
แสงสีดำจากมือของคาจิตรงไปยังร่างของมังกรกระดูกและซ่อมแซมบริเวณที่ได้รับความเสียหาย
“แม้ว่าจะต้านทานเวทย์มนต์ก็ตาม แต่มันก็สามารถรักษาได้ด้วยเวทย์มนต์บทนี้”
ไม่สนใจนาเบรัลที่เดาะลิ้น คาจิร่ายแวทย์มนต์สนับสนุนต่อ
[เสริมเกราะ] [เสริมพลัง] [เพลิงแห่งความตาย] [บาเรีย]
ร่างของมังกรกระดูกมีแสงสีดำปกคลุมรอบตัวมีแม้กระทั้งเกราะเวทย์มนต์ที่ห่อหุ้มตัวเพื่อป้องกันการโจมตี
“ถ้าอย่างนั้น... ข้าก็จะทำเหมือนกัน”
[เสริมเกราะ] [บาเรีย] [เสริมพลังป้องกันเวทย์มนต์]
นาเบรัลร่ายเวทย์เสริมพลังป้องกันตัวเองเหมือนกัน
หลังจากทั้ง 2 ฝ่าย เสริมพลังตัวเองเสร็จสิ้น การต่อสู้ยกใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น
นาเบรัลโจมตีด้วยดาบของเธอ
การโจมตีนั้นเข้าเป้าบริเวณขาด้านหน้าของมังกรกระดูกแต่ว่าแรงกระแทกนั้นส่งผลให้เธอถอยหลังออกมา แม้ว่าการโจมตีจะเข้าเป้าแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลมากนักแต่เดิมนาเบรัลนั้นก็ไม่ได้ชำนาญการต่อสู้ประชิดตัวอยู่แล้วแถมอาวุธก็ไมได้มีคุณภาพมาก
การฟันหรือแทงนั้นไม่ส่งผลต่อร่างของมังกรกระดูกที่สร้างจากระดูก และนาเบรัลก็ไม่มีอาวุธกระแทกซึ่งส่งผลมากกว่าทำให้การโจมตีของเธอแทบไมได้ผลเลย
นักรบที่เชี่ยวชาญอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่านี้ แต่สำหรับนาเบรัลที่เป็นนักเวทย์นั้นการโจมตีกายภาพแทบจะไม่มีผลเลย
มังกรกระดูกโจมตีด้วยขาหน้าใส่นาเบรัลแม้เธอจะหลบได้แต่แสงสีดำที่ปกคลุมร่างกายกลับกระทบถูกเธอแต่ด้วยเวทย์ [เสริมพลังป้องกันเวทย์มนต์] ทำให้แสงสีดำสลายไปทันที
[แสงแห่งความมืด]
อีกเหตุผลนึงคือไม่ว่าเธอจะสร้างความเสียหายต่อมังกรกระดูกเพียงใดคาจิก็จะร่ายเวทย์ฟื้นฟูทันทีจากด้านหลัง แม้ว่าเธอจะพยายามวกไปจัดการคาจิแต่มังกรกระดูกก็จะเข้ามาขวางไว้ก่อนทุกครั้ง
แม้ว่าจะร่ายเวทย์สายฟ้าออกไปแต่โดยลักษณะพิเศษที่ต่อต้านเวทย์มนต์ของมังกรกระดูกทำให้มันไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นร่ายเวทย์ควบคุมจิตใจโดยตรงละ----
[Charm]
[จิตวิญญาณที่ไม่มีวันตาย]
นาเบรัลและคาจิต่างร่ายเวทย์ออกมาพร้อมกัน นาเบรัลนั้นร่ายเวทย์ควบคุมจิตใจแต่คาจิก็ร่ายเวทย์ปกป้องทำให้เวทย์ควบคุมจิตใจไร้ผล
ผลลัพธ์คือ-----รอยยิ้มที่บ่งบอกชัยชนะของคาจิ นาเบรัลเดาะลิ้นของเธออย่างไม่พอใจ อาจจะเพราะว่าทุ่มเทการโจมตีไปยังคาจิทำให้เธอไม่ทันเห็นเงาสีดำที่ตรงมาด้านหน้าของเธอ
---หลบไม่พ้นแล้ว
ใช้ดาบป้องกันการโจมตีจากหางของมังกรกระดูกส่งผลให้ตัวเธอกระเด็นไปบนอากาศ
นาเบรัลกลับตัวกลางอากาศและลงพื้นอย่างปลอดภัยแต่แรงส่งนั้นทำให้เธอถอยหลังไปหลายก้าว
แต่มังกรกระดูกไมได้โจมตีต่อแต่ปกป้องคาจิด้านหลัง นาเบรัลเห็นเช่นนั้นจึงเหยียดแขนของเธอเพื่อคลายอาการชาอย่างไม่ทันระวัง
ทันใดนั้นคาจิก็โผล่หน้าออกมาจากหลังของมังกรกระดูกและร่ายเวทย์มนต์โจมตีทันที
[หอกกัดกร่อน]
[สายฟ้า]
หอกสีเขียวพุ่งตรงมายังนาเบรัลแต่ก็สลายไปก่อนจะถึงตัวเธอ ในขณะที่เวทย์สายฟ้าของนาเบรัลก็ถูกป้องกันโดยมังกรกระดูกเช่นกัน
นาเบรัลและคาจิต่างจ้องมองกันและกัน
“ใช้เวทย์ในต์ป้องกัน ช่างน่ารำคาญจริง”
“นั้นควรจะเป็นคำพูดของข้ามากกว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำเลิกหลบและออกมาต่อสู้กันซึ่งๆหน้าสิ”
“ทำไมข้าต้องทำตามเจ้าด้วยละ”
“แผนการของเจ้าไม่ล่มหรือยังไง ถ้าถูกดึงไว้ตรงนี้”
คาจิมองไปยังนารัลที่ยิ้มอย่างเย็นชา
“อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”
คาจิดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างและชูมุกในมือขึ้นบนฟ้า
“จงดูพลังของมุกแห่งความตาย”
พื้นดินสั่นสะเทือนทำให้นาเบรัลเสียหลักเล็กน้อยก่อนที่เงาร่างสีขาวจะผุดขึ้นมาจากแผ่นดินไหวนั้น
“อีกตัวหรือนี่....”
“หึ แม้ว่าจะใช้พลังของมุกไปมากเพื่อที่จะกำจัดเจ้าแต่ถ้าไปยังเมืองได้ข้าก็สามารถรวบรวมพลังด้านมืดจากความตายได้ใหม่”
เปรียบเทียบกับท่าทางไร้อารมณ์ของนาเบรัลแล้ว คาจิดูเต็มไปด้วยความโกรธ
“ฟู่...”
หลังจากถอนหายใจหนักๆออกมา นาเบรัลเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง คาจิไม่ทันระวังต่อการเคลื่อนไหวนี้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ
มังกรกระดูกตัวแรกโจมตีด้วยขาหน้าของมันแต่เธอสามารถหลบไปได้ แต่ขณะเดียวกันมังกรกระดูกอีกตัวก็ฟาดหางมายังเธอ นาเบรัลถอยฉากหลบไปด้านข้างแต่หางของมังกรกระดูกก็ตวัดฟาดลงมายังร่างของเธออย่างต่อเนื่อง เธอหลบไปยังด้านซ้ายอีกครั้ง แต่มังกรกระดูกตัวแรกก็ตวัดกรงเล็บโจมตีมายังตัวของเธออย่างไม่ให้พลาดโอกาส
“อ่า...”
นาเบรัลป้องกันการโจมตีด้วยดาบในมือแต่แรงกระแทกต่างส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายถอยหลังไป
“…นี่แกเป็นใครกันแน่ ป้องกันการโจมตีด้วยทักษะต่อสู้งั้นหรือ แต่แกเป็นนักเวทย์นี่ฝึกมายังไงกันเนี่ย”
“เพราะว่าข้าถูกสร้างมาจากผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าพระเจ้านะสิ”
“แกกล้าล้อเล่นกับข้าหรือ เจ้าสวะ”
“แม้จะรู้ความจริงแต่เจ้าคงไม่เข้าใจหรอก เรียกข้าว่าสวะในขณะที่ข้ากล่าวถึงท่านผู้ยิ่งใหญ่ นี่ละนะทำไมมนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ”
นาเบรัลมองไปยังคาจิด้วยสายตาที่แหลมคม เป็นสายตาที่คนโดนจ้องต้องถอยหลังไปด้วยความกลัว
คาจิรู้สึกกลัวขึ้นมาแต่ก็สั่นศรีษะขับไล่ความรู้สึกออกไป
“มังกรกระดูก โจมตี”
มังกรกระดูกโจมตีทันทีเมื่อได้ยินคำสั่ง
หลบการโจมตีจากมังกรกระดูกตัวแรกในขณะที่จะเข้าประชิดคาจิแต่ก็เสียโอกาสจากการโจมตีของมังกรกระดูกอีกตัว ในขณะที่เผลอนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็ถูกตัดสิน
[หอกกัดกร่อน]
นาเบรัลเอียงคอหลบการโจมตีของคาจิ
แต่นั้นคือการกระทำผิดพลาดครั้งใหญ่ด้วยเวทย์มนต์ระดับนี้ความจริงไม่มีผลต่อตัวเธอเลย แต่ด้วยการตอบสนองทางร่างกายทำให้ขยับไปเอง นี่เป็นผลลัพธ์จากการที่เธอเป็นนักเวทย์ที่ไม่ได้ฝึกการต่อสู้ทางร่างกาย
ความผิดพลาดที่ส่งผลกระทบครั้งใหญ่
“อัก...” เสียงดังชึ้น ในขณะที่ร่างของนาเบรัลลอยไปยังอากาศ
เธอรู้สึกเหมือนร่างกายขาดน้ำหนักก่อนที่จะตกลงถึงพื้น ร่างด้านซ้ายของเธอถูกโจมตีด้วยหางของมังกรกระดูก ผลจากแรงกระแทกจากพื้นดินและกลิ้งไปหลายรอบทำให้เธอมึนเล็กน้อย
ร่างของนาเบรัลถูกปกป้องไว้ด้วยเวทย์มนต์ป้องกันหลายชนิดทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่กรงเล็บมังกรกระดูกทั้ง 2 ตัวนั้นจ่ออยู่เหนือร่างของเธอ
----ไม่มีความหวังแล้ว นั้นคือสถานการณ์ที่คนทั่วไปจะคิดเมื่อเห็นภาพนี้
“ถ้าแกยอมแพ้ข้าจะไว้ชีวิต”
คาจิที่มั่นใจว่าชนะแล้วยิ้มอยากชั่วร้ายให้นาเบรัล
คาจินั้นไม่ได้ตั้งใจจะไว้ชีวิตเธอแต่แรกแต่แค่อยากเห็นนาเบรัลร้องขอชีวิตก่อนจะสังหารเธอซะ
นาเบรัลดันร่างของเธอขึ้น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
“เป็นแค่มนุษย์....”
“อะไรนะ”
นาเบรัลมองไปยังคาจิอย่างโกรธแค้น
“เป็นแค่มนุษย์ชั้นต่ำแต่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้าขยะ”
“ฆ่ามันซะ มังกรกระดูก”
กรงเล็บของมังกรกระดูกทั้ง 2 ตัว ยกขึ้น แต่นาเบรัลกลับยิ้มอย่างยินดี
คำสั่งที่ทำให้เธอยิ้มอย่างน่ารักและยินดี ไม่ว่าเธอจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ยังได้ยินของเจ้านายของเธอ
“นาเบรัล แกมม่า จงแสดงพลังของนาซาริคออกมาซะ”
“....ด้วยบัญชาของท่าน จากนี้ไปข้าไม่ใช้นาเบล แต่จะจัดการสถานการณ์นี้ด้วยชื่อของนาเบรัล แกมม่า”
ในขณะที่กรงเล็บของมังกรกระดูกจะพุ่งลงมานั้น นาเบรัลร่ายเวทย์มนต์ในพริบตา
[เทเลพอต]
ภาพในสายตาของนาเบรัลเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเธออยู่เหนืออากาศกว่า 500 เมตร เนื่องจากเธอไม่มีปีกร่างของเธอจึงตกลงมาอย่างรวดเร็วเสียงลมปะทะร่างของเธอดังสนั่นไปทั่ว ในขณะนั้นเองเธอก็ร่ายเวทย์อีกครั้ง
[บิน]
ร่างของเธอหยุดกลางอากาศทันทีและจ้องมองไปยังเบื้องล่าง ภาพของคาจิและมังกรกระดูกมองหาเป้าหมายอย่างตกใจปรากฎแก่สายตาของเธอ

“เฮอ… เหนื่อยจริงๆ”
ไอซ์ได้ยินคำพูดที่ดูไม่ทุกข์ร้อนของครีเมนไท
หลังจากสู้กันมาได้ซักพักดาบของไอซ์นั้นไม่ได้สัมผัสกับครีเมนไทเลยแม้แต่น้อย
“ก็นะ ความสามารถของเจ้าก็ไม่เลวนะ แต่...”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเหมือนสีหน้าของผู้ล่าที่จ้องมองเหยื่อ
“จะบ้าหรือเปล่าที่เจ้าทำก็แค่แกว่งดาบไปมาด้วยพลังกายเท่านั้น ไมได้เรียนรู้วิธีแห่งดาบเลยแม้แต่น้อยเหมือนเด็กที่แกว่งท่อนไม้ยังไงยังงั้น ถือดาบสองมือแบบไร้ทักษะแบบนี้สู้ถือดาบมือเดียวไปไม่ดีกว่าหรือไง นี่ดูถูกวิธีของนักรบหรือนี่”
“งั้นเจ้าก็จู่โจมเข้ามาสิ มัวแต่หลบไปมาแบบนี้ในระยะยาวเจ้าจะเสียเปรียบเอานะ”
ไอซ์ตอบโต้คำพูดด้วยการหัวเราะอย่างเย็นชา
ใบหน้าของครีเมนไทเปลี่ยนสีในทันที เพราะตั้งแต่เริ่มเธอยังไมได้โจมตีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เธอหลบไปมาเพราะว่าการโจมตีของไอซ์นั้นไม่ขาดตอนทำให้หาช่องว่างไม่เจอ
“นี่ดูท่าจะมั่นใจว่าไม่มีใครชนะเจ้าได้งั้นสินะ”
เธอพูดพร้อมกับชักดาบสั้นออกมาจากฝักหลังจากได้ยินคำพูดยั่วยุของไอซ์ เอวของเธอนั้นแขวนดาบสั้น 4 เล่ม ที่รู้จักกันในชื่อของสตีเลโต้กับมอนิ่งสตา
เห็นเช่นนั้นไอซ์จึงกระชับดาบในมือและมองคู่ต่อสู้ ทั้งสองต่างเตรียมพร้อมที่จะโจมตี
ไอซ์จ้องมองคู่ต่อสู้แต่ขณะทีกวาดสายตาเพื่อเตรียมพร้อมนั้นก็พบเห็นกับมังกรที่สร้างจากกระดูกที่นาเบรัลต่อสู้
“นั้นมัน...มังกรกระดูกยังงั้นหรือ”
“ใช่แล้ว มีความรู้ใช้ได้นี่น้า นั้นคือฝันร้ายของนักเวทย์เลยน้า”
“อย่งนี้นี่เอง นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมนาเบรัลถึงยังไม่ชนะสินะ”
“ก็เป็นอย่างนั้นละ”
ครีเมนไทกลับไปสู่ท่าทางหยอกเย้าตามปกติของเธอเมื่อเห็นว่ามังกรกระดูกปรากฏตัวขึ้น
สำหรับนักเวทย์แล้วมังกรกระดูกเธอว่าเป็นศัตรูที่ร้ายกาจมาก แถมมีตั้ง 2 ตัว ในสภาวะจำกัดพลังเช่นนี้ไม่มีทางที่นาเบรัลจะชนะได้เลย
ครีเมนไทนั้นดูออกว่าไอซ์เริ่มกังวลอาศัยสถานการณ์นี้เธอลงมือโจมตีในทันที




เป็นธรรมดาของนักรบที่มีความสามารถเมื่อคู่ต่อสู้เผยให้เห็นจุดอ่อนมักจะลงมือโจมตีในช่วงเวลานั้น
ไอซ์ลบภาพของนาเบรัลออกไปและจดจ่ออยู่กับคู่ต่อสู้เบื้องหน้า พร้อมกับแทงดาบซ้ายในมือออกเพื่อโจมตีในขณะที่ดาบในมือขวาตั้งท่าเตรียมฟันออกไปถ้าครีเมนไทหลบการโจมตีได้
อาวุธของครีเมนไทนั้นเป็นชนิดแทงและมีวิธีการโจมตีให้ได้ผลไม่มากนักการฟันหรือว่าปาดนั้นใช้ไมได้กับอาวุธของเธอ แถมเธอยังเสริมพลังอาวุธมาสำหรับแทงโดยเฉพาะพร้อมกันนั้นอาวุธเช่นสตีเลโต้นั้นเล็กและไม่สามารถปะทะกับดาบใหญ่ได้
นั้นคือเหตุผลที่ไอซ์พยายามจำกัดระยะของครีเมนไทไม่ให้เข้าใกล้มามากเกินไปด้วยดาบซ้ายที่แทงออกและเตรียมพร้อมดาบขวาในมือเพื่อรอให้ครีเมนไทเข้ามาในระยะโจมตี แต่ดูเหมือนครีเมนไทก็จะอ่านความตั้งใจของไอซ์อออก
“กลัวการต่อสู้ระยะประชิดหรือไง”
“แล้วในความเห็นของเจ้าละ”
ครีเมนไทยิ้มและดูไม่ตระหนกกับสถานการณ์เบื้องหน้านั้นแสดงว่าตัวเธอนั้นมีแผนการในใจอย่างแน่นอน
ครีเมนไทปรับท่าทางของเธอช้าๆคล้ายกับท่าเตรียมของนักฟันดาบ แต่ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยแม้ท่าทางนี้จะดูน่าขันแต่ในขณะเดียวกันก็ดูประมาทไมได้เช่นกัน
ในขณะนั้นเอง------ครีเมนไทก็ขยับตัวเธอเปล่งเสียงดังออกมาจากปากคล้ายกับปลดปล่อยพลังออกมา ความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทันแม้กระทั้งไอซ์ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ยังตกใจ
เหมือนกับพายุที่มองไม่เห็นครีเมไทนปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าไอซ์ในช่วงเวลาที่แค่กระพริบตา 1 ครั้ง และหลบระยะดาบซ้ายเข้ามาในวงในได้
ไอซ์ฟาดดาบในมือขวาตอบโต้ทันทีด้วยพลังที่คนทั่วไปไม่มีทางรับได้ ในขณะนั้นเองไอซ์ก็เห็นรอยยิ้มของครีเมนไทฉีกกว้างกว่าเดิม
[ป้อมปราการทรงพลัง]
ไอซ์แทบช็อคกับภาพเบื้องหน้า
ดาบเล็กๆในมือของครีเมนไทนั้นสามารถรับการโจมตีของดาบในมือของไอซ์ได้ ดาบของไอซ์นั้นดูแล้วต้องหนักกว่าดาบของครีเมนไทนับ 10 เท่าแต่กลับถูกป้องกันไว้ได้ด้วยดาบอันเล็กๆนั้น
โดยปกตินั้นดาบของครีเมนไทต้องหักลงจากการปะทะกันถึงแม้ว่าจะไม่หักแต่การโจมตีนี้ควรจะกระแทกเธอให้ถอยหลังไปได้แต่ว่าความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นไอซ์รู้สึกว่าการโจมตีของเค้านั้นชนเข้ากับหินผาที่แข็งแกร่งส่งผลให้ดาบของเค้าเองนั้นกระดอนกลับมา
เหมือนกับหญิงสาวที่กำลังจะโผ่เข้าไปในอ้อมกอดของคนรัก ครีเมนไทพุ่งตรงไปยังหน้าอกที่ไร้การป้องกันของไอซ์ ในสายตาของไอซ์ขณะนี้นั้นเต็มไปด้วยภาพของครีเมนไทที่ฉีกยิ้มกว้าง
ถึงแม้ว่าไอซ์จะพยายามถอยหลังออกแต่คู่ต่อสู้ของเค้านั้นเคลื่อนไหวเข้ามาได้เร็วกว่ามากนัก และแทงดาบในมือออกมาอย่างรวดเร็วคล้ายกับดาวตก
เสียงของแข็งกระทบกันดังไปทั่วสุสานในบริเวณที่ทั้งคู่ต่อสู้กัน
ครีเมนไทถอยหลังออกพร้อมกับหลบการโจมตีสวนกลับของไอซ์
ไอซ์ตระหนักถึงการโจมตีของครีเมนไท
นี่คือทักษะต่อสู้ที่ล่ำลือกันสินะ
สกิลที่ไม่มีในยัคดราซิล ถ้าเปรียบเทียบก็คงจะพูดได้ว่ามันเป็นเวทย์มนต์ของนักรบ
การที่เธอรับดาบของไอซ์ได้และการโจมตีนั้นคงเป็นผลของทักษะต่อสู้
“หวาย... เกราะแข็งจริงๆ มันสร้างจากอะไรกันหรือ ใช่อดามันไทหรือเปล่าน้า”
แม้จะไม่บาดเจ็บ แต่ไอซ์แน่ใจเค้าถูกโจมตีบริเวณไหล่ซ้ายอย่างแน่นอน
ไอซ์มองไปยังบริเวณที่ถูกโจมตีและพบว่าเกราะมีรอยเล็กน้อย แม้ว่าเกราะนี้จะไมได้เสริมพลังอะไรเป็นพิเศษแต่ก็สร้างขึ้นจากไอซ์ที่เป็นนักเวทย์ระดับ 100 โดยปกติความแข็งแกร่งก็จะมากตามระดับของคนที่สร้างการที่มีรอยได้นั้นแสดงให้เห็นว่าการโจมตีของครีเมนไทนั้นรุนแรงขนาดไหน
“ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นครั้งต่อไปจะโจมตีจุดที่ป้องกันไมได้แทน จริงๆก็ว่าจะค่อยๆทำให้บาดเจ็บและก็ค่อยทรมานแล้วแท้นะนี่ แย่จัง”
หลังจากรู้จุดประสงค์ของครีเมนไทที่โจมตีไหล่นั้นเพื่อต้องการให้แขนของเค้าใช้การไม่ได้ ไอซ์อดชื่นชมครีเมนไทไม่ได้
ไอซ์นั้นก็แค่แกว่งดาบด้วยพลังกายเท่านั้น โดยการโจมตีของเค้ามักจะจบชีวิตคู่ต่อสู้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เค้าไม่สามารถทำแบบครีเมนไทได้
เป็นประสบการณ์ที่ดีมากจริงๆ
“เอาละ มาต่อกันเถอะ”
ในขณะที่ไอซ์ชื่นชมอยู่นั้น ครีเมนไทก็พุ่งตัวเข้ามาในรอบนี้ไอซ์ไม่ได้แทงดาบในมือซ้ายออกเหมือนเดิมแต่กลับยกดาบในมือขวาเพื่อป้องกันแทน
ครีเมนไทขยับตัวเบี่ยงหลบไปยังรวดเร็วแม้กระทั้งไอซ์นั้นยังแทบมองตามไม่ทัน
ไอซ์ตวัดดาบในมือขวาฟันไปยังร่างของครีเมนไท
[ป้อมปรากรทรงพลัง]
และผลก็เหมือนเดิมดาบของเค้าถูกกระแทกกลับมา แต่ไอซ์ก็คำนวณไว้แล้วในครั้งที่แล้วไอซ์ฟันดาบอย่างสุดกำลังทำให้เสียการทรงตัวแต่รอบนี้ เค้าสามารถรักษาสภาวะไว้ได้
ไอซ์ฟันดาบในมือซ้ายทันทีตามความเข้าใจของไอซ์คิดว่าการโจมตีครั้งที่สองนี่น่าจะได้ผล
แต่ในขณะนั้นเองครีเมนไทก็ร่ายทักษะต่อสู้อีกแบบออกมา
[ห่วงเวลาที่ถดถอย]
เหมือนกับว่าหวงเวลาของไอซ์นั้นถูกบีบตัวทำให้การโจมตีของเค้าเชื่องช้าลงอย่างมาก แต่ครีเมนไทนั้นกลับเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิมราวกับว่าสภาวะนั้นไม่มีผลกับตัวเธอและหลบดาบของไอซ์ได้อย่างง่ายดายและพุ่งตรงเข้ามาในระยะของไอซ์อีกครั้ง
บางทีไอซ์อาจจะคิดไปเอง โดยปกติไอซ์จะสวมใส่แหวนเวทย์มนต์ไม่ให้ตัวเค้าถูกสภาวะตรึงร่างหรือเชื่องช้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
หรือว่าเพราะว่าการเคลื่อนไหวของครีเมนไทเร็วเกินไปแต่โดยรวมแล้วตัวไอซ์รู้สึกว่าสภาวะรอบตัวของเค้าช้าลงอย่างมากแม้ว่าจะเคยเห็นทักษะต่อสู้มาก่อนแล้วก็ตามแต่ความรู้สึกที่เผชิญหน้าจริงๆกลับไม่เหมือนที่คาดหวังไว้
“กาเซ....”
กาเซฟ สตราโนฟเคยใช้ทักษะการต่อสู้นี้ให้เห็นมาก่อน
ไอซ์พูดไม่ทันจบประโยค สตีเลโต้ของครีเมนไทก็โจมตีมาอีกครั้ง ในรอบนี้จุดที่เล็งนั้นเป็นรอยต่อของชุดเกราะ --- ดวงตานั้นเอง
ไอซ์ขยับศรีษะถอยออกมาอย่างสุดแรง เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมาแต่ไม่ใช่จุดที่ครีเมนไทเล็งไว้ ขณะทีไอซ์จะถอนหายใจออกมาเค้าก็สังเหตุเห็นครีเมนไทยกดาบในมือขึ้นเพื่อเตรียมโจมตีอีกครั้งและพุ่งแทงมา
สุดที่ไอซ์จะหลบได้ทันการโจมตีของครีเมนไทรอบนี้ไม่พลาดเป้า
“หืมมม”
“เอ๋”
เสียงแปลกใจและเสียงตกใจดังออกมาจากปากของทั้งคู่
ไอซ์นั้นยกมือขึ้นจับหมวกเหล็กของตัวเองในขณะที่มือนั้นก็ไมได้ปล่อยดาบและกระโดดถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่าง แต่ครีเมนไทนั้นไม่ได้ตามไปโจมตีต่อ
ครีเมนไทมองไอซ์ด้วยสายตาที่แปลกใจ จากนั้นมองปลายดาบสตีเลโต้ของตัวเองและถามไอซ์ว่า
“นี่ทำได้อย่างไงกันอะ ข้าแน่ใจว่าการโจมตีเมื่อครู่เข้าเป้าอย่างแน่นอนแต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่บาดเจ็บเลย”
“หึหึ การต่อสู้ครั้งนี้มีค่ามากจริงๆ การมีทักษะต่อสู้นี่ยอดมาก ทำให้ข้าได้เรียนรู้ในการต่อสู้นั้นพละกำลังเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ”
“….เอ๋ เสียสติไปแล้วหรือเนี่ย พูดอะไรออกมา ตัวเจ้านะเรียกว่านักรบยังไม่มีค่าพอด้วยซ้ำแต่ช่างเถอะยังไงเดี้ยวก็ตายแล้วแต่ช่วยตอบคำถามหน่อยเถอะ ให้การที่เจ้าไมได้รับบาดเจ็บเลยนั้นใช้ทักษะต่อสู้แบบไหนกันละ”
ครีเมนไทพูดราวกับว่าการต่อสู้นี้ควรจะยุติได้แล้ว ไอซ์ยิ้มภายใต้หมวกเหล็กและคิดว่าครีเมนไทนั้นพูดได้ถูกต้องแล้ว
“ข้ามีเรื่องต้องเรียนรู้อีกมากทีเดียว ขอบคุณเจ้าจริงๆ แต่เวลาก็ใกล้หมดลงแล้วมาจบเกมนี้กันเถอะ”
ไม่สนใจครีเมนไทที่แสดงสีหน้าสงสัย ไอซ์ตะโกนออกมาว่า
“นาเบรัล แกมม่า จงแสดงพลังของนาซาริคออกมาซะ”
ไอซ์ปักดาบทั้งคู่ลงบนพื้นและเดินไปหาครีเมนไทด้วยมือเปล่าพร้อมกับกล่าวว่า
“เอาละ มาสิได้เวลาตายของเจ้าแล้ว”



“รู้เวทย์มนต์ [บิน] ด้วยนับว่าไม่เลวเลยทีเดียวแต่ว่าแกหลบการโจมตีของมังกรกระดูกได้อย่างไงข้าที่อยู่ด้านหลังไม่ทันสังเกตุ”
นาเบรัลค่อยๆลดระดับลงมาจนคาจิสามารถมองเห็น พร้อมกับได้ยินคำถามของเค้า แม้แต่คาจิยังแปลกใจว่าทำไมนาเบรัลถึงไม่หนีไปในเมื่อสามารถใช้เวทย์ [บิน] หลบหนีได้อย่างสบายๆ
“แกคิดว่าจะชนะมังกรกระดูกได้งั้นหรือ”
“ทางชนะมีอยู่มากมาย แต่ก่อนหน้านั้น....”
นาเบรัลกระชากเสื้อคลุมไหล่ของเธอออกมา
“ข้าคือนาเบรัล แกมม่าหนึ่งในเมดนักรบที่สาบานว่าจะภักดีต่อโอเวอลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหาสุสานนาซาริค ท่านผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครในโลกนี้ ไอซ์ อู โกลว สิ่งมีชีวิตชั่นต้ำเช่นเจ้าจงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต่อสู้กับข้าซะเถอะ”
เครื่องแต่งกายของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สวมใส่ไปด้วย เงิน,ทอง และถุงมือสีดำพร้อมเกราะเข่าในส่วนของชุดเกราะเป็นชุดเมดที่พบเห็นได้ในหนังสือการ์ตูนทั่วไปแต่ดีไซด์เป็นรูปหมวกเกราะสีขาว ในมือของนาเบรัลนั้นถือไว้ด้วยไม้เท้าที่มีสีทองภายนอกและสีเงินด้านใน
คาจิแปลกใจกับชุดเมดที่เบื้องหน้าและอุทานออกมา
“อะไรกันเนี่ย”
แม้ว่าท่าทางของนารัลในตอนนี้จะเหมือนกับเมดตามบ้านของพวกผู้ดีแต่ลักษณะภายนอกนั้นให้ความรู้สึกอันตรายอย่างมาก คาจิรีบสั่งให้มังกรกระดูกโจมตีทันทีมังกรกระดูกทั้งคู่พุ่งตรงมาโจมตีเธอทันที
“เทเลพอต”
“อีกแล้ว!!”
นาเบรัลหายตัวไปอีกครั้ง
คาจิรีบมองไปยังอากาศเพื่อมองหาเป้าหมายเหมือนกับครั้งที่แล้ว แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็ปขึ้นาทันที
“อ๊าคคคคค”
เสียงร้องของคาจิดังไปทั่วสุสาน คาจิรู้สึกเจ็บไหล่ซ้ายของตัวเองอยากมาก เมื่อมองก็แมบตกใจที่ไหล่ซ้ายของตัวเองมีดาบแทงอยู่
“อ๊ากก อ่า...”
เมื่อดาบถูกดึงออกไปอย่างรุนแรง คาจิก็รู้สึกถึงความเจ็ปปวดอีกครั้ง เลือดกระเซ็นออกมาย้อมชุดคลุมสีดำของคาจิ
คาจิเห็นนาเบรัลยืนอยู่ด้านหน้าของตัวเองด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
“มันเจ็บมากขนาดนั้นเลยหรือ”
นาเบรัลใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือไม้เท้าถจับดาบที่เปื้อนเลือดของคาจิอยู่
คาจิพูดไม่ออกเนื่องจากความเจ็ปปวดที่ได้รับ
นักเวทย์ส่วนใหญ่มักจะสู้อยู่แนวหลังและไมได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะคาจิซึ่งมักจะมอบความเจ็บปวดให้กับคนอื่นมากกว่า ดังนั้นตัวเค้าเองจึงรับผลของความเจ็บปวดเองไม่ได้
เหงื่อของคาจิท่วมใบหน้าเค้าสั่งให้มังกรกระดูกโจมตีอีกครั้ง แต่นาเบรัลก็บินหลบไปได้อย่างรวดเร็ว
คาจิที่หลบอยู่ด้านหลังของมังกระดูกพยายามทบทวนสถานการณ์และเข้าใจเวทย์มนต์ที่นาเบรัลใช้ในที่สุด
“มันคือเวทย์มนต์เทเลพอตแน่นอน”
[เทเลพอต] เป็นเวทย์มนต์ระดับ 3 แต่สำหรับนักเวทย์แล้วถือเป็นเวทย์หลบหนีและรักษาระยะห่างของตัวเองกับคู่ต่อสู้
แต่นั้นคือข้อจำกัดของนักเวทย์ที่อ่อนด้อยทางพลังกาย สำหรับนักเวทย์ที่พอจะมีความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวอยู่บ้างนั้นเวทย์มนต์บทนี้ถือเป็นเวทย์สำหรับสร้างโอกาศทางโจมตีได้อย่างดี
คาจิกดบาดแผลบนไหล่ของตัวเองและมองไปยังนาเบรัลพร้อมกับกล่าวว่า
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง หดหัวอยู่ในรูและใช้เวทย์นี้หมายสังหารข้า ที่แกหลบการโจมตีก่อนหน้านี้ก็ใช้วิธีเดียวกันสินะ”
สำหรับมังกรกระดูกที่ป้องกันการโจมตีด้วยเวทย์มนต์นั้นการใช้เวทย์เทเลพอตเพื่อไปสังหารผู้ที่เรียกมันออกมาก็เป็นยุทธวิธีที่ถูกต้องแล้ว และสำหรับคาจิที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวเลยเปรียบเทียบกับนาเบรัลแล้วเค้าไม่มีทางรอดได้แน่
แต่ตัวนาเบรัลกลับปฎิเสธออกมา
“นั้นไม่จำเป็น”
คาจิกระพริบตาด้วยความสงสัยเมือ่ได้ยินคำพูดของนาเบรัล และนิ่งพร้อมกับรอคำอธิบายเพิ่มเติม นาเบรัลเก็บดาบของเธอเข้าฝักพร้อมกับกล่าวว่า
“ข้าก็แค่แสดงให้เห็นว่าการจะฆ่าเจ้ามันง่ายขนาดไหน”
คาจิไม่เข้าใจท่าทางของนาเบรัลที่ทิ้งโอกาสที่จะฃนะ พร้อมกับตะโกนออกมา
“แกบ้าไปแล้วหรือ”
“เจ้านี่สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจริงๆ ถามอะไรโง่ๆออกมา ใช้หัวคิดสิ”
เมื่อได้ฟังคำตอบของนาเบรัล ตัวคาจิถึงกับสั่น
ไม่ใช่อาการสั่นจากความโกรธแต่เป็นความกลัวที่ไม่เข้าใจ
“ได้เวลาจบเรื่องกันซะที การปล่อยให้ท่านไอซ์รอคอยนี่มันช่างเป็นการเสียมารยาทจริงๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจว่ามังกรกระดูกนั้นไร้เทียมทานต่อเวทย์มนต์สินะ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าให้ความกระจ่างแก่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเช่นเจ้าซะเถอะ ค่าตอบแทนก็คือชีวิตของเจ้านั้นเอง”
นาเบรัลร่ายเวทย์อีกครั้งแสงสีขาวปกคลุมไปรอบบริเวณร่างของเธอ
คาจินั้นสงสัยอย่างมากสำหรับตัวเค้าเองนั้นรู้ดีว่ายังมีเวทย์มนต์อีกมากมายที่ไม่รู้จัก ภาพที่นาเบรัลยิ้มอย่างเย็นชาภายใต้แสงสีขาวที่โอบล้อมไว้ทำให้คาจิไม่สบายใจแต่เมื่อมองเห็นมังกรกระดูกทั้ง 2 ตัวเบื้องหน้านั้นความมั่นใจก็กลับคืนมา
“แกคิดว่าจะสามารถชนะมังกรกระดูกที่ต้านทานเวทย์มนต์ได้หรือยังไง ไปฆ่ามันซะ!!”
เมื่อมังกรกระดูกทั้งคู่เข้ามาใกล้ นาเบรัลยังคงยิ้มคล้ายกับอาจารย์ที่มองลูกศิษย์ที่โง่เชลา
“ไร้เทียมทานต่อเวทย์มนต์ยังงั้นหรือ จริงอยู่ที่มังกรกระดูกต้านทานเวทย์มนต์แต่นั้นหมายถึงเวทย์มนต์ระดับ 6 ลงไปเท่านั้น”
กว่าจะเข้าถึงตัวนาเบรัลนั้นมังกรกระดูกทั้งสองยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง
“นั้นหมายความว่า มังกรกระดูกนั้นไม่มีทางต้านเวทย์มนต์ของข้านาเบรัล แกมม่า ที่สามารถใช้เวทย์มนต์ระดับสูงกว่านั้นได้”
เธอพูดความจริง ความรู้สึกภายในตัวคาจิบอกอย่างนั้น
นั้นหมายถึงผู้หญิงคนนี้สามารถจัดการมังกรกระดูกทั้งสองและส่งคาจิไปยังนรกได้
“ทำไมกัน ความพยายามกว่า 5 ปีของข้าต้องจบสิ้นภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงอย่างนั้นหรือ”
ในขณะที่สิ้นหวังนั้นเอง ภาพในอดีตของชายที่ชื่อคาจิก็ผลุดขึ้นมาเป็นฉากๆ
คาจิ เดล บาเทนเทีย
เพราะว่าต้องทำงานภายในไร่อย่างหนักทำให้พ่อของคาจิมีร่างกายไม่แข็งแรง แม่ของเค้าคลอดคาจิออกมาในหมู่บ้านเล็กๆบริเวณชายแดนของสาธารณรัฐสเลน วัยเด็กของคาจิเป็นไปอย่างปกติธรรมดาในหมู่บ้านชนบทเล็กๆแห่งนั้น
สาเหตุที่คาจิเป็นอย่างทุกวันนี้เพราะว่าเค้ามองเห็นศพแม่ของตัวเอง
ในวันนั้น----เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน คาจิกำลังวิ่งกลับบ้านของตัวเองแม่ของคาจินั้นต้องการให้เค้ากลับบ้านไวกว่าปกติแต่ตัวคาจิเองนั้นกลับติดธุระอะไรบางอย่างซึ่งตัวเองก็จำไมได้แล้ว ขณะที่มองหาหินสวยๆเพื่อมาประดับไม้เท้าเพื่อที่จะเล่นเป็นผู้กล้ากับเพื่อนๆนั้นคือสาเหตุที่ล่าช้ากว่าปกติ
ขณะที่ใกล้ถึงบ้านตัวคาจิซึ่งคิดในใจว่าจะโดนแม่ต่อว่านั้น กลับพบว่าที่ห้องนั่งเล่นแม่ของตัวเองล้มลงอยู่ที่ตรงนั้น เมื่อสัมผัสตัวแม่ของตัวเองพบว่าตัวนั้นยังอุ่นอยู่
คาจิหวังว่าจะแม่ของเค้าจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
วันนั้นเองที่แม่ของคาจิจากโลกนี้ไป
จากคำกล่าวของพระ แม่ของเค้าเสียชีวิตด้วยเลือดคั่งในสมอง
นั้นไม่สามารถโทษใครได้ ไม่ใช้ความผิดของใคร แต่สำหรับคาจิแล้วเค้าโทษตัวเองอยู่เสมอ ถ้าตัวเค้ากลับบ้านมาไวตามที่แม่บอกอาจจะสามารถช่วยแม่ของตัวเองได้
คาจิตั้งใจที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตัวเอง ----- การชุบชีวิตแม่คือเป้าหมายของเค้า
แต่ยิ่งเรียนเวทย์มนต์มากเท่าไหร ปัญหาก็ตามมามากเท่านั้น
เวทย์มนต์ชุบชีวิตถือว่าเป็นเวทย์มนต์ศักด์สิทธิ์ขั้นที่ 5 แต่นั้นไม่สามารถชุบชีวิตแม่ของเค้าได้ การชุบชีวิตนั้นต้องการพลังชีวิตจำนวนมากสำหรับใครที่มีพลังชีวิตไม่พอนั้นจะไม่สามารถคืนชีพได้และสลายไป เช่นเดียวกับแม่ของคาจิที่มีพลังชีวิตไม่พอ
แต่ตัวคาจินั้นทราบดีว่าเวลาของตัวเค้าเองไม่พอสำหรับการคิดหาวิธีชุบชีวิตแบบอื่น ถ้ายอมทิ้งความเป็นมนุษย์และกลายเป็นอันเดธนั้นเวลาก็จะไม่จำกัดนั้นคือข้อสรุปที่คาจิคิด
หลังจากหันหลังให้กับเวทย์มนต์ศักดิ์สิทธ์ที่เค้าเรียนมาและหันไปสู่เส้นทางของเวทย์มนต์ดำก็ยังพบขวากหนามอยู่ดี
แม้ว่าจะเรียนเวทย์มนต์ดำแต่การจะกลายเป็นอันเดธนั้นก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดยังไม่นับรวมความสามารถของตัวเองที่ไม่ได้พิเศษไปกว่าคนอื่นบางทีอาจจะล้มเหลวกลางคันก็ได้
แต่ก็ยังมีหนทางอยู่ถ้าสามารถดูดซับพลังด้านลบมาได้มากๆก็จะสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นอันเดธได้ ใช่แล้วการฆ่าคนทั้งเมืองนี้พลังงานด้านลบต้องเพียงพออย่างแน่นอน
เมื่อความหวังของคาจิกำลังจะเป็นจริง ทำไมกันขวากหนามอันใหม่ถึงเพิ่งมาอีก?
“ข้าใช้เวลาเตรียมการกว่า 5 ปี เพื่อทำให้ความหวังที่ข้ารอคอยมากว่า 30 ปีเป็นจริง แกมีสิทธิ์อะไรที่มาพรากมันไปจากข้า!!!!!”
แต่เจ้าของรอมยิ้มเย็นชากลับตอบคำพูดของคาจิอย่างไม่ไยดี
“ข้าไม่สนความปรารถนาของสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำหรอก ความพยายามของเจ้ามันช่างน่าหัวเราะ เอาเถอะข้ามีคำพูดให้เจ้าคำพูดหนึ่ง จงยินดีที่ได้เป็นหินรองเท้าให้ท่านไอซ์สร้างชื่อเสียงซะเถอะ”
[เสริมพลังสองเท่า มังกรสายฟ้า]
สายฟ้าที่ก่อตัวเป็นรูปร่างมังกรปรากฏตัวขึ้นใจกลางฝ่ามือของนาเบรัล
สายฟ้าที่มีขนาดความหนากว่าลำแขนของคนทั่วไปพุ่งตรงไปยังมังกรกระดูกและจบชีวิตของเป้ามหายลง
ผลลัพธ์ปราจักแก่สายตา
ภายใต้พลังสายฟ้าที่รุนแรง มังกรกระดูกที่ต้านทานเวทย์มนต์นั้นสลายไปแบบไม่เหลือซาก
แม้ว่ามังกรกระดูกจะสลายไปแล้วแต่สายฟ้าที่ก่อตัวเป็นรูปมังกรนั้นยังไม่สลายไปและพุ่งตรงไปยังเป้าหมายสุดท้ายของมัน
ทันศนยภาพของคาจินั้นเต็มไปด้วยแสงสีขาว ตัวเค้าเองนั้นไม่มีเวลากระทั้งร้องขอชีวิตหรือว่าคำรามด้วยความสิ้นหวัง
น้ำตาของคาจิหลังไหลออกมาจากก่อนที่จะกล่าวคำพูดสุดท้ายในชีวิตออกมา
“ท่านแม่--------“
แสงสีขาวโอบล้อมบริเวณที่คาจิยืนอยู่ส่งผลให้ร่างคาจิสั่นกระตุกเหมือนกำลังเต้นอยู่ ก่อนทีร่างที่เหม็นไหม้ของคาจิจะล้มลงกับพื้น
นาเบรัลมองมายังคาจิที่ตอนนี้ส่งกลิ่นใหม้คล้ายปลาที่ย่างจนสุก
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนี่พอย่างจนสุกแล้วส่งกลิ่นหอมดีจริงๆ เอาไปเป็นของขวัญให้เอ็นโทม่าจะดีมั้ยนะ”
ในขณะที่นาเบรัลกล่าวถึงเพื่อนร่วมงานของเธอที่ชอบบริโภคมนุษย์ ตัวเธอเองนั้นยิ้มอย่างโหดร้ายออกมา

นักรบกางแขนของตัวเองออกเหมือนกับว่ากำลังจะกอดอะไรบางอย่าง
“...เล่นอะไรนะ ยอมแพ้แล้วงั้นหรอ”
“ยอมแพ้? พูดอะไรกัน ในเมื่อข้าออกคำสั่งแกนาเบรัลแล้ว ข้าก็คิดว่ามันถึงเวลาที่จะจบการละเล่นของเราแล้ว”
“หา..ฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า ทักษะการต่อสู้ของเจ้ามันน่าหัวเราะมากเลย นี่คิดว่าจะชนะครีเมนไทผู้ยิ่งใหญ่ได้หรือ ไม่ประมาณตัวเกินไปแล้ว”
“โห น่าประทับใจมาก พวกอ่อนแอนี่ก็มีมุขตลกเหมือนกันแหะ”
ขณะที่ครีเมนไทจะตอมโต้กลับไปว่า ‘นั้นหมายถึงเจ้าใช่มั้ย’ แต่เธอก็พยายามควบคุมตัวเองให้เย็นลง
แม้ทักษะต่อสู้ของนักรบเบื้องหน้าเธอจะไมได้ความก็ตามแต่พลังกายนั้นเหนือกว่าเธออย่างมาก เธอเปรียบเทียบกับคนที่รู้จักในอดีตพอจะมีแค่ไม่กี่คนที่สามารถทำได้เช่นนี้ ถ้าโดนโจมตีด้วยดาบและพลังนั้นละก็ร่างของเธอต้องแยกเป็นสองส่วนอย่างไม่ต้องสงสัย
กลับสู่ท่าทางขี้เล่นตามเดิม ครีเมนไทกล่าวว่า
“ก็จริง มาจบเรื่องกันเถอะ”
นักรบโมม่อนผงกศรีษะตอบรับคำพูด
ครีเมนไทสังเกตท่าทางของนักรบเบื้องหน้าแม้จะเต็มไปด้วยช่องว่างแต่ก็อาจจะเป็นกับดักก็ได้
ครีเมนไทไม่มีทางเลือกแม่เธอจะแสดงท่าทีเหมือนเล่นอยู่แต่แท้จริงแล้วเธอค่อนข้างเอาจริงกับสถานการณ์เบื้องหน้ามากทีเดียว ด้วยพลังของมังกรกระดูกเธออาจจะหลบหนีไปได้ แต่จะเสียเวลามากไม่ได้ เธอต้องสลัดหน่วยพิเศษดอกไม้สายลมที่ตามจับเธออยู่ ตัวเธอเสียเวลาที่นี่มามากเกินไปแล้ว
ครีเมนไทกระชับสตีลเลโต้ของเธอขึ้น
ต้องจบการต่อสู้โดยเร็ว ถ้าเป็นไปได้การโจมตีเพียงครั้งเดียวน่าจะพอ
ไม่มีเวลามากพอเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่อีกสาเหตุคือนักรบเบื้องหน้าเธอนั้น การเคลื่อนไหวเริ่มจะดีขึ้นเป็นลำดับต้องจัดการก่อนที่จะแข็งแกร่งมากไปกว่านี้
สูดลมหายใจหนักๆ ครีเมนไทใช้ทักษะต่อสู้ทันที [พลังแห่งลม] [เสริมพลังหลบหลีก][เพิ่มความเร็ว] [เพิ่มความเร็วขั้นสูง]
ทักษะการต่อสู้ทั้ง 4 ล้วนเพิ่มความเร็วและลดช่องว่างทางด้านการต่อสู้ลง เปรียบกับโมมอนที่ไม่มีทักษะต่อสู้เลยนั้น สำหรับครีเมนไทแล้วเธอยังมีทักษะต่อสู้อีกมากที่ยังไมได้ใช้
ดูจากท่าร่างของนักรบเบื้องหน้าแล้วเป็นไปได้ทีอาจจะชักดาบที่อยู่บนพื้นออกโจมตี หรือว่าใช้ทักษะต่อสู้ บางทีอาจจะเป็นวิชาการต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือมีอาวุธลับบางอย่างซ่อนอยู่ ไม่สิบางทีอาจจะโจมตีด้วยอาวุธขว้างก็เป็นได้
แต่การคาดการณ์ของครีเมนไทนั้นผิดทั้งหมดคู่ต่อสู้ของเธอไมได้ทำอะไรแบบนั้นเลย แค่กางแขนออกเตรียมรับการโจมตีเท่านั้น
ครีเมนไทรู้สึกเย็นไปทั่วร่างและกลัวกับสถานการณ์ที่เธอคาดเดาไม่ออก
เธอควรจะโจมตี ดูเชิง หรือว่าล่าถอยดี
มี 2 ทางให้เลือก
ครีเมนไทอาจจะโหดร้ายและไร้หัวใจแต่ตัวเธอนั้นไม่ได้โง่ ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเธอเตรียมรับมือความเป็นไปได้ต่างๆไว้มากมาย
สิ่งสุดท้ายที่สนับสนุนครีเมนไทคือความมั่นใจและศักดิ์ศรีของเธอ
แม้ว่าจะออกมาแล้วก็ตามแต่เธอครั้งหนึ่งก็เป็นถึงสมาชิกหน่วยพิเศษของสาธารณรัฐสเลน---หน่วยคัมภีศักดิ์สิทธิ์สีดำคนเช่นเธอไม่ควรจะหนีจากนักรบที่ไม่ทราบที่มาและความสามารถ
หลังจากตัดสินใจ เธอก็พุ่งตัวเข้าหาโมมอน
“ตาย”
ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายครีเมนไทแทงสติลเลโต้ไปยังตำแหน่งช่องว่างของหมวกเหล็กอีกครั้ง นอกจากนี้ยังหมุนดาบของเธอให้มีอานุภาพเจาะทะลวงเพื่อทำลายสมองของฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้เธอยังปลดปล่อยเวทย์มนต์ที่เสริมพลังในดาบสตีลเลโต้ของเธอ [สายฟ้า] เพื่อเสริมความรุนแรง
ร่างของไอซ์ถูกโจมตีด้วยสายฟ้าทันที
อาวุธของครีเมนไทนั้นมีการเสริมพลังเวทย์มนต์เข้าไปอยู่ ถ้าปลดปล่อยการสริมพลังออกมาก็จะส่งผลให้เวทย์มนต์ที่ฝังอยู่ข้างในแสดงผล
สตีลเลโต้ปักเข้าไปในกะโหลกของไอซ์ผ่านช่องว่างของหมวกเหล็กบวกกับพลังสายฟ้า-----เป็นการโจมตีที่ถึงตายอย่างแน่นอน
แต่ว่า----
“มันยังไม่จบแค่นี้หรอก”
[ช่วงวลาที่ถดถอย]
ทักษะการต่อสู้ถูกใช้อีกครั้ง ครีเมนไทหยิบสตีลเลโต้อีก 1 เล่มออกมาและปลดปล่อยเวทย์มนต์ที่เสริมพลังออกมา
[ไฟบอล] เธอวาดภาพของไอซ์ที่ถูกเผาจากในชุดเกราะออกมา และเตรียมสูดกลิ่นเผาไหม้จากร่างของนักรบเบื้องหน้า
แต่ครีเมนไทกลับเบิกตากว้างตกใจกับภาพเบื้องหน้าเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เธอคิด
“อืม...อย่างนี้นี่เอง ในยัคดราซิลไม่มีการบรรจุเวทย์มนต์ลงไปในอาวุธ นับว่าได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอีกแล้ว”
แม้ว่าสตีลเลโต้จากปักคาอยู่ที่เป้าตาของไอซ์ ตัวเค้าเองก็ยังพูดได้อยู่ นั้นทำให้ครีเมนไทได้คิดอีกอย่างไม่มีเลือดไหลออกมากจากบาดแผลของไอซ์แม้แต่น้อย
“เป็นไปไมได้ ทำไมแกถึงไม่ตาย”
เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีทักษะต่อสู้ที่ทำให้เป็นอมตะ หรือว่านักรบคนนี้มีวิธีป้องกันการโจมตีที่เธอไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นเวทย์มนต์ที่ปล่อยออกทำไมถึงไม่มีผลเลย
กระทั้ครีเมนไทที่ผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วนก็หาคำตอบจากภาพเบื้องหน้าไม่ได้
“!!!”
ร่างของครีเมนไทถูกกอกจากนักรบเบื้องหน้า
“ให้ข้าบอกอะไรเจ้าบางอย่างเถอะ”
เกราะเหล็กสีดำหายไปในทันทีเผยให้เห็นใบหน้าที่ดูน่ากลัวด้านใน
เป็นกะโหลกที่ไม่มีแม้แต่เศษเนื้อหนัง ในเป้าตาที่ดูน่ากลัวนั้นปักไว้ด้วยสตีลเลโต้ของครีเมนไทแต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีผลอะไรแม้แต่น้อย
ครีเมนไทเข้าใจในทันที
“อันเดธ....ลีชงั้นหรือ”
“ที่จริงก็มีอะไรอยากถามอยู่อีก แต่ช่างเถอะ สิ่งที่เจ้าพูดออกมาก็.....ใกล้เคียงอยู่นะ”
ครีเมนไทรู้สึกว่ากะโหลกของสัตว์ประหลาดเบื้องหน้านั้นยิ้มออกมาทั้งๆทีไม่ควรจะเป็นไปได้
“รู้สึกยังไงละ ที่ได้ดวลดาบกับนักเวทย์ แต่เจ้าก็สังหารข้าไมได้ รู้สึกยังไงบ้าง?”
“แก อย่ามาดูถูกกันนะ”
ครีเมนไทพยายามสลัดหลุดจากอ้อมกอดของอันเดธเบื้องหน้าอย่างสุดแรง แต่ไมได้ผลเลยแม้แต่น้อย
ลีชนั้นเป็นที่รู้จักว่าเป็นอันเดธที่มีความสามารถทางเวทย์มนต์สูงมากแต่กำลังกายนั้นอ่อนแอ ครีเมนไทควรจะได้เปรียบทางพละกำลังมากกว่า แต่ว่า....
“ทำไมกัน ทำไมกัน!!!”
ดิ้นไม่หลุด
เธอเข้าใจในที่สุดว่าพละกำลังมหาศาลนั้นไม่ได้มาจากเกราะเหล็กที่อันเดธตัวนี้สวมใส่อยู่
เธอรู้สึกเหมือนผีเสื้อที่ติดอยู่ในใยแมงมุม
“นี่คือเหตุผลที่ข้าบอกจะออมมือให้เจ้ายังไงละ คู่ต่อสู้ระดับเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าใช้เวทย์มนต์หรอก”
“บ้าที่สุด--------“
“ในเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว ก่อนที่จะเริ่มกัน เอาสิ่งน่ารังเกียจนี่ออกไปก่อน”
ลีชดึงสตีลเลโต้ที่ปักอยู่ในเป้าตาออกมาและโยนทิ้งไปด้านข้างอย่างไม่ใยดี ในขณะที่ครีเมนไทดิ้นรนเพื่อที่จะสลัดหลุดจากอ้อมกอดของอันเดธตนนี้ แต่----ไม่ได้ผลเลยแม่แต้น้อย แม้กระทั้งอันเดธตัวนี้ใช้แขนเดียวกอดเธอไว้ตัวเธอเองก็ยังสลัดพละกำลังอันเหลื่อเชื่อนี่ไม่ออก
“มาเริ่มกันเถอะ”
ดูเหมือนครีเมนไทจะยังไม่เข้าใจว่าลีชตนนี้กำลังพูดถึงอะไร ตัวเธอถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของลีชตนนี้ใกล้กว่าเดิมคล้ายคนรักกำลังกอดกันอยู่
เสียงวัตถุบางอย่างกำลังแตกได้ยินออกมา
ครีเมนไทเข้าใจในที่สุดว่าลีชตนนี้กำลังจะทำอะไร เธอรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
“ไม่นะ ไม่จริง ไอ้บ้าหยุดเดี้ยวนี้!!!”
เสียงดังนั้นมาจากเกราะที่เธอสวมใส่อยู่
-----มันกำลังจะบดตัวข้ากับหน้าอกงั้นหรือ-----
กระดูกของลีชตัวนี้คงจะมีวิธีอะไรบางอย่างมันจึงดูแข็งแรงเป็นพิเศษ
“ถ้าเจ้าอ่อนแอกว่านี้ซักหน่อยละก็....”
ลีชดึงดาบออกมาจากที่ไหนซักแห่ง เป็นดาบสีดำที่มีเพชรประดับที่ด้าม 4 เม็ด
“ก็ว่าจะเอาดาบเล่มนี้จบชีวิตเจ้าอยู่ละนะ แต่ว่ายังไงก็ไม่แตกต่างกันอยู่ดีไม่ว่าจะตายด้วยดาบหรือว่าตายเพราะกระดูกหัก ยังไงเจ้าก็ตายอยู่ดี”
ร่างของครีเมนไทสั่นสะท้าน
เมื่อคำพูดคล้ายติดตลกของลีชจบลงเธอรู้สึกได้ว่าแรงกดกับบริเวณหน้าอกของเธอนั้นเพิ่มขึ้นจนแทบรับไม่ไหว เหรียญตราประดับที่ได้มาจากการฆ่านักผจญภัยของเธอหล่นกราวลงสู่พื้น ที่ตกลงก่อนคือเหรียญเงินที่เธอเพิ่งเก็บมาไม่นานนี้
ครีเมนไทเริ่มหายใจติดขัดและลำบากมากขึ้น
เธอเกลียดแขนทั้งสองข้างที่โอบกอดเธออยู่ตอนนี้
เธอเกลียดตัวเองที่สวมใส่เกราะเบาเพื่อเพิ่มคลามคล่องตัวและสามารถประดับเหรียญที่เธอสะสม
เมื่อเห็นว่าอาวุธไมได้ผล ครีเมนไทชกเข้าที่ใบหน้าของลีชตนนั้นอย่างถี่รั่ว แต่นั้นก็ยิ่งส่งผลให้ตัวเธอเจ็บปวดมากขึ้น เธอข่มกลั้นความเจ็ปปวดและดึงมอนิ่งสตาที่ข้างเอวออกมาเพื่อที่จะทุบลงยังกะโหลกเบื้องหน้าแต่เนื่องจากอยู่ใกล้กันเกินไปการโจมตีนี้ไม่มีผลแม้แต่น้อย
ความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นเป็นระยะๆและการหายใจที่เริ่มจะลำบากทุกที ทำให้เธอเดาชะตากรรมของตัวเองได้ไม่ยาก
“หยุดดิ้นรนซะเถอะ ความจริงจะฆ่าเจ้าก็ไม่ยากแค่ปรับตำแหน่งแขนของข้าเล็กน้อย แต่เจ้าเองก็ใช้เวลาในการทรมานพวกนั้นนี่ ดังนั้นข้าก็จะใช้เวลาในการทรมานเจ้าเช่นกัน”
ครีเมนไทยังคงดิ้นรนไม่หยุด
เธอพยายามผลักศรีษะของลีชให้ออกห่าง ข่วนจนเล็บของเธอหลุดออกมา แม้กระทั้งกัดงยังกระดูกที่กอดเธอจนฟันหัก แต่ทุกอย่างนั้นไร้ผล
แม้ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถหลุดจากอ้อมกอดนั้นได้
“เต้นรำก่อนตายหรือไง”
ตัวเธอเองนั้นเริ่มหมดแรงที่จะตอบคำถามนั้น
เสียงอาเจียนดังออกมา สิ่งสกปรกเลอะไปทั่วแขนและลำตัวของไอซ์ แสงสีแดงในเป้าตาของไอซ์มองไปยังครีเมนไทอย่างรังเกียจ
แขนของครีเมนไทที่เคยโจมตีไอซ์เริ่มชักกระตุก
ไอซ์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะเบาแรงลงกลับกอดแน่นยิ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่นานไอซ์รูสึกว่ากระดูกบริเวณที่เค้ากอดนั้นหักลง
ไอซ์ปล่อยร่างของครีเมนไทซึ่งนิ่งสนิทและไม่ชักกระตุกแล้วลง
ร่างของครีเมนไทร่วงลงพื้นคล้ายขยะกองหนึ่งสีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัวมันดูคล้ายกับสีหน้าของปลาในทะเลที่ขึ้นมาบนบกและขาดอากาศหายใจ อวัยวะภายในของเธอนั้นทะลักออกมาจากปากให้เห็น
ไอซ์หยิบกาน้ำไร้ที่สุดออกมาและทำความสะอาดร่างของตัวเองจากสิ่งโสโครกที่ครีเมนไทอาเจียนออกมาใส่เค้าก่อนตาย และมองไปยังร่างของครีเมนไท
“ข้าลืมบอกเจ้าไป ว่าข้านั้นดื้อรั้นกว่าที่เห็นมากนัก”

Part 5
ในขณะที่ไอซ์รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหรกับร่างที่เปียกน้ำอยู่ตอนนี้ เค้าก็มองเห็นเงาร่างของสัตว์ที่ดูใหญ่โตกำลังมาทางนี้เมื่อมองไปก็พอบว่าเป็นแฮมสุเกะนั้นเอง
เปรียบเทียบกับไอซ์และนาเบรัลแล้วความสามารถด้านการต่อสู้ของแฮมสุเกะนั้นอ่อนแอกว่าทั้งคู่มาก ถ้าให้มาร่วมการต่อสู้ด้วยอาจจะเกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงดังนั้นไอซ์จึงให้แฮมสุเกะรออยู่ในพื้นที่ที่ห่างออกไป ส่วนแฮมสุเกะหลังจากไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้แล้วจึงวิ่งมายังบริเวณนี้
เมื่อมองสีหน้าอันน่ารักที่ไม่ค่อยจะเข้ากับใบหน้าอันใหญ่โตนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเจ้านายของตัวเอง ไอซ์รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ร่างใหญ่โตนั้นวิ่งมาทางบริเวณที่ไอซ์อยู่ด้วยความเร็วที่น่าตกใจจากนั้นก็มองหาเจ้านายของตัวเองรอบๆบริเวณ
“ว๊า---“
แฮมสุเกะตะโกนออกมา
“เจ้านาย เจ้านาย------------ มีสัตว์ประหลาดท่าทางน่ากลัวอยู่ตรงนี้ด้วย---------------“
ไอซ์นั้นคิดในใจ
-จะว่าไปเราก็ยังไม่เคยให้แฮมสุเกะเห็นร่างที่แท้จริงนี่น้า จะปล่อยให้ตะโกนแบบนี้ก็ไมได้ด้วย-
ไอซ์มองไปยังรอบๆบริเวณและพบว่านักผจญภัยเริ่มจะเข้ามาในสุสานนี้เพื่อกวาดล้างเหล่าอันเดธแล้ว แม้จะยังอยู่ห่างไกลจากจุดที่ไอซ์อยู่แต่ถ้าแฮมสุเกะยังตะโกนแบบนี้อาจจะดึงดูดพวกนั้นมาทางนี้ก็ได้”
ไอซ์กล่าวกับแฮมสุเกะ
“เลิกตะโกนได้แล้ว”
“เอ็ เสียงที่ทรงพลังนี้ อ่า เสียงของเจ้านายนี่น้า”
“ถูกต้อง...เบาเสียงของเจ้าลงได้แล้ว”
“ไม่น่าเชื่อ ช่างเป็นรูปร่างที่นึกไม่ถึงจริงๆ ถ้าข้ารู้ว่าเจ้านายแท้จริงแล้วมีพลังมากขนาดนี้ ผู้ต่ำต้อยเช่นข้าต้องภักดีมากกว่าที่เป็นอยู่นี่ซะอีก”
“เข้าใจแล้ว ยังไงก็ลดเสียงลงก่อน”
“เจ้านาย อย่าปฎิบัติกับคำกล่าวสาบานของราชาแบบขอเป็นทีสิ!!!”
“...ได้ได้ยินคำสั่งของท่านไอซ์หรือไง เจ้าบ้านี่”
ร่างใหญ่โตของแฮมสุเกะถูกเตะกระเด็นออกไป จากจุดที่แฮมสุเกะเคยอยู่มองเห็นนาเบรัลกำลังขยับขาของเธอเข้าที่ช้าๆ
“ท่านไอซ์ค่ะ เจ้าสัตว์งี่เง่านี่ไม่มีค่าพอหรอกค่ะ อนุญาตให้ข้าใช้สายฟ้าย่างมันเถอะ”
“ไม่หรอก ราชาแห่งป่ามีค่ามากทีเดียว แค่มันโผล่ที่ถนนใจกลางเมืองทุกสายตาก็จดจ้องไปที่มัน เอาละมาเข้าประเด็นกันเถอะ นาเบรัลเวลาไม่คอยท่า รีบรวบรวมสิ่งของของคนร้ายซะ เป็นไปได้ว่าเราอาจจะต้องมอบให้กับกิลเพื่อเป็นหลักฐาน
“รับทราบเจ้าค่ะ”
“ข้าจะเข้าไปในวิหารนี่ซะหน่อย ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ แลเวจะทำยังไงกับศพพวกนี้ดีค่ะ ให้ข้าเอามากลับไปที่สุสานนาซาริคด้วยมั้ยค่ะ”
“ไม่จำเป็น เอาแค่สิ่งของมีค่าของพวกมันมาก็พอ”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
“เจ็บจังเลย…..”
แฮมสุเกะวิ่งกลับมาพร้อมกับถอนหายใจ ทำให้นาเบรัลจ้องมองอย่างเย็นชา
“ก็สมควรแล้ว จำไว้ให้ดีการรับฟังคำสั่งของท่านไอซ์ คือหน้าที่ของผู้รับใช้เช่นเรา โดยเฉพาะจ้าที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่ การพูดการจาต้องระวังให้มาก ไม่งั้นข้าจะสังหารเจ้าซะ เข้าใจมั้ย”
แฮมสุเกะตัวสั่นด้วยความกลัว
“ครั้งต่อไปจะไม่ใช้การโจมตีกายภาพเช่นนี้ แต่ข้าจะลงโทษด้วยเวทย์มนต์ ถ้าไม่ฟังคำสั่งท่านไอซ์อีกละก็ ความทรมานที่เจ้าจะได้รับนั้น จะทำให้เจ้าร้องขอความตายเลยทีเดียว”
“เข้าใจแล้ว.....เลิกทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นเถอะ แต่พูดก็พูด ร่างจริงของเจ้านายดูทรงพลังมากเลย”
สีหน้าของนาเบรัลดูอ่อนโยนลงทันที
“แน่นอน ท่านไอซ์นั้นช่างทรงพลังและชาญฉลาด การที่เจ้าดูออกเช่นนี้แสดงว่าสายตาของเจ้าก็ยังใช้การได้ดีอยู่”
“ขอบคุณสำหรับคำชม ถ้าท่านไอซ์มีร่างจริง ถ้าอย่างนั้น ท่านนาเบรัลกก็คงมีร่างจริงเหมือนกันใช่มั้ย?”
“….ข้าคือดอปเปลเกงเกอร์รูปร่างนี่ก็คือความสามารถของข้า เห็นมั้ย?”
เธอถอดถุงมือเผยให้เห็นนิ้วที่เรียวยาวกว่าคนปกติทั่วไป ดูคล้ายกับตัวหนอนที่บิดตัวไปมา
“ย ยังงั้นหรอกหรือ”
“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก ยังไงตอนนี้เจ้าก็เป็นคนของนาซาริคแล้ว อย่าไปสนใจกับเรื่องปลีกย่อยเช่นนี้เลย เอาละมาเริ่มงานกันเถอะ ข้าจะไปรวบรวมสิ่งของรอบๆบริเวณนี้ เจ้าก็มาช่วยข้าด้วย”
“รับทราบ”

เอ็นเฟรนั้นอยู่ภายในวิหาร สายตาสีแดงที่เคยมีชีวิตชีวาดูหม่นหมอง
จากที่ไอซ์สังเกตน่าจะถูกเวทย์ทำให้มองไม่เห็น
“จะว่าไปเวทย์มนต์นี่มันสะดวกจริงๆ รักษาอาการตาบอดนี้ก็ได้”
แต่ปัญหาคืออาการของเอ็นเฟรในตอนนี้
ร่างของเค้ายังคงยืนอยู่โดยไม่มีปฎิกริยาแม้ว่าไอซ์จะเดินเข้ามาใกล้ ถึงแม้ว่าตาจะมองไม่เห็นแต่ก็ควรจะได้ยินเสียงถ้ามีคนมายืนอยู่เบื้องหน้าแต่นี่ไม่มีอาการตอบรับเลย -----จิตวิญญาณถูกควบคุมแค่เป็นเวทย์ชนิดไหนกันแน่
“สงสัยจะเป็นสิ่งนี้สินะ”
ไอซ์มองไปยังมงกุฎที่อยู่บนศรีษะของเอ็นเฟร รูปร่างของมันดูคล้ายไยแมงมุม
ในขณะที่ไอซืจะยืนมือไปถอดมงกุฎออกแต่ใอนั้นก็หยุดลงก่อน กอ่นที่จะคิดว่าถ้าถอดออกมาแล้วจะมีผลอะไรหรือเปล่า
[สแกนไอเท็ม]
ในยัคดราซิลเวทย์มนต์นี้จะช่วยให้รู้ถึงคุณสมบัติของไอเท็มที่ตรวจสอบได้
“มงกุฎแห่งปัญญา ไอเท็มนี่ไม่มีในยัคดราซิลซะด้วย”
ไอซ์ถอนหัวใจออกมาเบาๆ และคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี
ไอซ์นั้นมีความคิดที่จะเอาตัวเอ็นเฟรไปที่นาซาริคและถอดไอเท็มออก ยังไงไอเท็มนี่ดูมีค่ามาก
แต่เค้าก็ลังเล
“ในเมื่อรับเควสนี้มาแล้ว ถ้าทำไม่สำเร็จอาจจะกระทบต่อชื่อเสียงของข้าได้ เอาเถอะ ทำลายมันทิ้งก็แล้วกัน”
[ทำลายไอเท็มขั้นสูง]
ไอซ์ร่ายเวทย์ใส่มงกุฎแล้งมองมันสลายไป
ไอซ์ขยับร่างของชายหนุ่มให้นอนลง
“ต่อไปก็รักษาดวงตานี้ แต่... ที่นี่คงไม่ดี”
อันเดธที่ไอซ์สร้างนั้นยังไม่ถูกทำลาย แต่อีกไม่นานกำลังเสริมจะต้องมาถึงวิหารนี่แน่นอน ก่อนหน้านั้นต้องสร้างเกราะขึ้นมาสวมให้เหมือนเดิมก่อน ทันใดไอซ์ก็กลับสู่รูปร่างของนักรบโมมอนเหมือนเดิมพร้อมกับดาบทั้งสองเล่ม
ขณะที่จะไปช่วยนาเบรัลเก็บของจากบริเวณนี้ เธอก็มาปรากฏตัวต่อหน้าไอซ์ก่อน
“ท่านไอซ์”
“ว่าอย่างไร นี่เจ้าเก็บไอเท็มและเงินจากศพบริเวณนี้หมดแล้วหรือ”
“ค่ะ แต่จะทำยังไงกับเจ้าสิ่งนี้ดีค่ะ”
ในมือของนาเบรัลมีวัตถุทรงกลมสีดำที่ดูคล้ายมุกอยู่
“นี่มันคืออะไร”
“นี่คือไอเท็มที่เจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำดูจะหวงแหนมากระหว่างการต่อสู้กับข้า แต่ข้าไม่ทราบว่ามันมีคุณสมบัติเช่นไร....”
“งั้นหรือ”
เวทย์มนต์ที่นาเบรัลมีนั้นน้อยกว่าไอซ์มาก และส่วนใหญ่จะเน้นไปในทางต่อสู้ซะหมด ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถตรวจสอบไอเท็มนี้ได้
ไอซืมองไปยังมุกสีดำ และร่ายเวทย์อีกครั้ง
[สแกนไอเท็มขั้นสูง]
“อะไรเนี่ย... มุกแห่งความตาย? แถมเป็นไอเท็มที่มีความคิด...”
ตัวไอเท็มนั้นไม่ได้มีความแปลกอะไร มันเป็นไอเท็มที่ใช้เก็บพลังงานด้านลบ และสามารถควบคุมอันเดธได้ แต่มันไม่มีผลกับไอซ์และเหล่า NPC ของนาซาริค ที่มีทักษะป้องกันการควบคุมทางจิตใจ
“พูดยากว่าเป็นไอเท็มที่ดีหรือไม่ดีกันแน่”
ที่ไอซ์สนใจคือ มันเป็นไอเท็มที่มีความคิด
ทันใดนั้นเค้าก็ได้ยินเสียงก้องในหัว
----ยินดีที่ได้รู้จัก ราชาแห่งความตาย----
ไอซ์จ้องไปยังมุกในมือ
“โห มีความคิดจริงๆด้วยแหะ”
หลังจากพลิกดูมุกในมือก็ไม่พบว่ามีช่องเสียงหรืออะไรทำนองนั้น ไอซ์ตั้งจิตและพูดในใจ
“ข้าอนุญาตให้พูดได้”
-----ชอบคุณมาก ราชาแห่งความตาย----
คำพูดนั้นทำให้ไอซ์นึกถึงข้ารับใช้ในนาซาริคและหัวเราะออกมาเบาๆ
-----ข้าประทับใจกับพลังแห่งความตายที่ล้อมรอบตัวท่านจึงทำความเคารพท่าน------
-ข้าควรจะยกเลิกทักษะออร่าแห่งความตายนี่ ว่าแต่ทำไมมันถึงเรียกข้าว่าราชาแห่งความตายหว่า-
“ว่าต่อไป”
-----ขอบคุณมาก การที่ได้มาพบบุคคลเช่นท่านได้ต้องขอขอบคุณความตายในโลกนี้จริงๆ-----
แม้ว่าจะเป็นคำพูดยกยอแต่คำพูดนี้ดูเหมือนจะเปล่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจทำให้ไอซืเขินเล็กน้อย
“นอกจากคำพูดยกย่อแล้ว มีอะไรอีกมั้ย”
------ข้ามีความปรารถนาอยู่-----
“ความปราถนา?”
------ถูกต้อง ตอนแรกข้ามีความปรารถนาจะแผ่ขยายความตายให้ปกคลุมไปทั่วโลกใบนี้ แต่เมื่อได้มาพบท่านราชาแห่งความตายข้าก็รู้ในทันทีว่าข้าเกิดมาเพื่อรับใช้ท่าน------------
“โห”
----โอ ราฃาแห่งความตายโปรดรับคำปฎิญาณจากข้า และข้าหวังว่าท่านจะยอมรับข้าในฐานะข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์------
เสียงนี้ดูจริงจังอย่างมาก ถ้ามันสามารถมีรูปร่างได้คงเห็นภาพที่มันคุกเข่าลงแน่นอน ไอซ์เริ่มคิดถึงผลประโยชน์และข้อเสียเปรียบและรวมไปถึงว่าสามารถเชื่อใจเจ้าสิ่งนี้ได้หรือไม่
ไอซ์จ้องมองมุกในมืออย่างระมัดระวัง ถ้ามองในเรื่องความปลอดภัยทำลายมันลงซะจะดีกว่า แต่ไอเท็มที่มีความคิดนั้นไม่มีในโลกยัคดราซิล มันออกจะน่าเสียดาย
หลังจากร่ายเวทย์ป้องกันหลายชนิดบนมุกนี้ ไอซ์ก็เรียกสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าวิหาร
“แฮมสุเกะ”
“มีอะไรให้ข้ารับใช้เจ้านาย”
“เอานี่ไป”
ไอซ์โยนมุกในมือให้แฮมสุเกะ
“มันคืออะไรหรือ เจ้านาย”
“เป็นไอเท็มเวย์มนต์ เจ้าใช้งานมันเป็นมั้ย”
“อ่า ข้าใช้เป็นแต่ว่า.... ไอ้มุกนี่มันน่าหนวกหูจริง รำคาญจนข้าอยากคืนเจ้านายเลย”
ตาของนาเบรัลเบิกกว้างเมือ่มองไปยังแฮมสุเกะ
“ให้มันแก่คนที่เพิ่งจะสวามิภักดิ์จะดีหรือค่ะ”
เสียงของนาเบรัลแผ่วเบาและตกใจ
“ยังไม่แน่ชัดว่ามันจะมีผลเสียอะไรหรือเปล่าดังนั้นให้แฮมสุเกะเก็บไว้ดีแล้ว”
“อ่า เป็นเช่นนี้เอง!!!! สมแล้วที่เป็นท่านไอซ์ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ!!!”
“เอาละพาตัวเอ็นเฟรกลับไปกันเถอะ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น