หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Overlord Volume 4 Chapter 3



Part 1
“เออ ข้ามองเห็นแล้วล่ะ”

เซ็นบูรุซึ่งนั่งอยู่ตอนท้ายสุดบนหลังโรโรโร่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า





พวกเขาสามารถมองเห็นที่ตั้งของเผ่าซึ่งถูกเลือกเป็นหน้าด่านได้จากระยะหลายร้อยเมตรออกไป— เผ่าเลเซอร์เทล(หางจิลเลตมาร์คทรี =_=? -ผู้แปล) อาณาบริเวณของที่ตั้งเผ่านั้นเทียบได้กลับเผ่ากรีนคลอว์แต่ประชากรนั้นมีมากว่าเยอะ ซึ่งก็น่าจะมาจากการที่ผู้รอดชีวิตจากสองเผ่าที่ถูกทำลายไปในสงครามครั้งก่อนต่างก็มารวมกันอยู่ที่นี่ ตอนนี้พวกเขากำลังขะมักขะเม้นอยู่กับการเตรียมรับมือการรบที่จะมาถึง

“บรรยากาศยากจะห้ามใจจริงๆ”

เซ็นบูรุคำรามในลำคอหลังสัมผัสได้ถึงความฮึกเหิมก่อนจะทำศึก เขาแทบจะลิ้มรสมันจากอากาศได้เลยทีเดียว แต่ครัชซึ่งเมื่อเจอบรรยากาศแบบนี้ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนกลับรู้สึกต่างออกไป

“เรานั่งบนหลังเจ้าหนูนี่เข้าไปหาพวกเขาทั้งอย่างนี้จะไม่เกิดปัญหารึ?”

แรงตึงเครียดและความกดดันนั้นสูงมากจนพวกเขาสัมผัสได้แต่ไกล ทำให้ครัชซึ่งรักสงบต้องแสดงความไม่สบายใจออกมา เธอกลัวว่าการนั่งไฮดร้าเข้าไปจะไปกระตุ้นโทสะลิซาร์ดแมนที่กำลังกระหายศึกกันอยู่แล้วเข้า

เผ่าอื่นอาจจะรู้จักซาริวสุแต่ไม่เคยเห็นเซ็นบูรุหรือครัชมาก่อน และเผ่าเลเซอร์เทลก็ไม่ได้รู้จักซาริวสุกันทุกคนด้วย

“ผิดแล้วล่ะ จริงๆแล้วมันตรงกันข้ามกันเลย เราจะปลอดภัยถ้าเข้าหาพวกนั้นบนหลังของโรโรโร่”

ครัชแม้จะงุนงงสงสัยแต่ก็ไม่แสดงออก แต่ซาริวสุก็รู้สึกได้จึงอธิบายต่อไป

“พี่ชายข้าป่านนี้น่าจะมาถึงก่อนแล้วและคงจะเล่าเรื่องข้าและโรโรโร่ให้คนที่นี่ฟังไปเรียบร้อยแล้ว ที่เราต้องทำก็คือนั่งบนหลังโรโรโร่เข้าไปหาพวกนั้นอย่างช้าๆ ให้เวลาพวกยืนยามวิ่งไปแจ้งข่าวการมาของข้าแก่พี่ชายข้า”

คืบหน้าไปได้อีกสักพักบนหลังโรโรโร่ ลิซาร์ดแมนเกล็ดดำก็ปรากฎตัวที่บริเวณหมู่บ้า ซาริวสุโบกมือทักทายกับร่างที่คุ้นตานั้น

“นั่นแหละพี่ชายข้า”

“เฮ้”

“โอ้”

สองคนกู่ร้องทักทายกัน ครัชนั่นมีความสงสัยในใจ ส่วนเซ็นบูรุกลับรู้สึกเหมือนสัตว์ร้ายเวลาเจอคู่ต่อกรที่ร้ายกาจ

โรโรโรซอยเท้าจนระยะห่างระหว่างซาริวสุและชาสุริวหดสั้นลงจนหายใจรดกันได้ พี่น้องทั้งสองจ้องหน้ากัน

แม้จะผ่านไปเพียงสองวันแต่โอกาสที่จะไม่ได้พบกันอีกเลยก็สูงเหลือเกินและทั้งสองก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะไม่ได้พบกันอีก ความรู้สึกของทั้งสองนั้นท่วมท้นเหลือเกิน

“ดีเหลือเกินที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย น้องข้า!”

“และข้ากลับมาพร้อมข่าวดี พี่ข้า!”

ชาสุริวเบนสายตามายังสองคนซึ่งนั่งอยู่หลังซาริวสุ ซาริวสุรับรู้ถึงแรงกอดที่เพิ่มขึ้นจากความประหม่าของครัช

เมื่อระยะห่างหมดไปโรโรโร่ก็ชูคอยืดขึ้นไปอ้อนชาสุริว

“โทษทีนะแต่ข้าไม่มีของกินติดตัวมาด้วยเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นโรโรโร่ก็ชักคอดึงหัวทั้งสีกลับราวกับเด็กเวลาจะงอแง ไฮดร้าฟังลิซาร์ดแมนพูดไม่ออกแต่ก็เข้าใจได้อย่างที่คนในครอบครัวจะเดาใจกันออก แต่ก็อาจจะเพราะชาสุริวไม่มีกลิ่นอาหารโชยออกจากตัวด้วยก็ได้

“เอาล่ะ ถึงที่แล้วก็ลงกันเถอะ”

ซาริวสุกล่าวกับผู้โดยสารทั้งสองขณะพริ้วตัวลงจากหลังโรโรโร่ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปช่วยประคองครัชลงมา ชาสุริวมองไปที่ครัชอย่างประหลาดใจ

“นั่นมันตัวอะไรกัน?”

เจอปฏิกริยาอย่างนี้เข้าไปครัชเองก็อดหดหูอยู่บ้างไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้ย้อนว่าตอบโต้ ซึ่งก็น่าจะเป็นผลงานจากการที่เซ็นบูรุแซวเอาตลอดทาง แต่ประโยคถัดมาต่างหากที่ทำเอาเธอตัวแข็งทื่อ

“นางเป็นหญิงที่ข้าปอง”

“...โอ้”

ชาสุริวถอนหายใจ จากนั้นเขาก็จ้องไปยังครัชซึ่งมือยังกุมอยู่กับซาริวสุ

“มู… ข้ามีคำถามคำเดียว นางงามในสายตาเจ้ารึ?”
“ใช่และข้าก็คิดจะแต่งงานกับ— โอ๊ย!”

ความเจ็บแปลบที่มือทำให้ซาริวสุต้องเงียบเสียงลง เพราะมือที่ประคองอยู่นั่นถูกทิ่มด้วยกรงเล็บ และหล่อนก็ไม่ได้ยั้งมือเลยด้วย ชาสุริวมองไปที่ทั้งสองด้วยหน้าเซ็งๆ

“เออ… เอาเข้าจริงๆเจ้ามันก็แค่ช่างเลือกเท่านั้น… แล้วก็ขยันทำเท่ห์พูดว่า ‘ข้าแต่งงานไม่ได้’ สรุปก็แค่ยังไม่เจอที่ตรงสเปคแค่นั้น... เอาล่ะกลับเข้าฝั่ง ข้าเป็นหัวหน้าเผ่ากรีนคลอว์ชื่อชาสุริว ชาชา ขอขอบคุณที่ตกลงร่วมเป็นพันธมิตรศึกกับเผ่าเรา”

ชาสุริวไม้แม้แต่จะเลียบเคียงยืนยันข้อเท็จจริงนี้เพราะเขามันจะว่าไม่ผิดพลาดแน่ แต่เซ็นบูรุก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้

“เราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ข้าเป็นผู้ปกครองเผ่าเรดอายส์ ครัช ลูลู”

ทุกคนคาดว่าเซ็นบูรุจะแนะนำตัวเองทันทีหลังจากครัชกล่าวคำทักทายและแนะนำตัวเสร็จ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น เซ็นบูรุกลับประเมินกำลังต่อสู้ของชาสุริวอย่างไม่ลังเล

เมื่อพอใจแล้วเซ็นบูรุก็ค้อมหน้าลงช้าๆแล้วกล่าวต่อไปอย่างดุร้าย

“เจ้าเองรึนักรบผู้ใช้ความสามารถของดรูอิดได้ ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาก่อน”

“ข้าแปลกใจจริงที่เรื่องนี้ไปถึงหูเผ่าดราก้อนทักซ์ด้วย"

ชาสุริวตอบกลับไปขณะที่ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างสัตว์ร้าย

“ข้าเซ็นบูรุ กูกู หัวหน้าเผ่าดราก้อนทักซ์ จนกว่าวันที่น้องชายเจ้าจะยอมรับตำแหน่งมาถึง”

“ขอบคุณที่ยอมมา เจ้าเองก็สมกับเป็นหัวหน้าเผ่าที่กำลังสำคัญเหนือสิ่งใด ข้าขอต้อนรับ”

“แล้ว เราจะสู้กันไหม? จะได้รู้กันไปว่าใครแกร่งกว่าใคร?”

“... เป็นข้อเสนอที่เยี่ยมมาก”

ซาริวสุไม่สนใจจะห้ามทั้งสอง เพราะผลที่ว่าใครแกร่งกว่าใครออกมาตอนนี้จะทำมีประโยชน์กับการเรื่องสำคัญที่กำลังจะมาถึง

แต่ชาสุริวยกมือขึ้นยับยั้งความกระหายศึกของเซ็นบูรุเอาไว้

“—แน่ล่ะว่าข้าตกลง แต่เวลานี้มันไม่เหมาะจริงๆ”

“อ้าว ทำไมล่ะ?”

ชาสุริวยิ้มให้กับเซ็นบูรุซึ่งกำลังทำหน้าเหมือนคนโดนขัดใจ

“... มันใกล้จะได้เวลาที่หน่วยสอดแนมที่ถูกส่งออกไปจะกลับมาแล้ว เราจะสู้กันหลังรับทราบข้อมูลคู่ศึกเราก็ได้จริงไหม?”



เรือนเล็กถูกใช้เป็นหอประชุมของบรรดาหัวหน้าเผ่า

หัวหน้าเผ่าที่มารวมตัวกันเมื่อรวมซาริวสุเข้าไปด้วยก็นับเป็น6คน

ซาริวสุผู้พิชิตชัยเหนือหัวหน้าเผ่าชาร์ปเอจ ผุ้ครอบครองฟรอซเพนคนดังที่หัวหน้าเผ่าทุกคนรู้จัก ทั้งยังเป็นผู้ที่กล้าไปเคาะประตูเชิญเผ่าเรดอายส์และดราก้อนครอว์มาร่วมศึกด้วย จึงไม่มีใครค้านที่ซาริวสุจะเข้าร่วมประชุมด้วย

ในเรือนเล็กที่ถูกใช้เป็นหอประชุม ผู้นำทั้งหกนั่งล้อมกันเป็นวงกลม หัวหน้าเผ่าสามคนที่ยังไม่เคยเจอครัชมาก่อนต่างตะลึงไปกลับเกล็ดสีขาวของครัชแต่ก็เก็บอาการตกใจเอาไว้ได้

หลังจากเสร็จการแนะนำตัวและทักทาย ผุ้ที่เริ่มพูดก่อนคือหัวหน้าเผ่าสมอลแฟงซ์

ตัวเขาเล็กมากเมื่อเทียบกับลิซาร์ดแมนคนอื่นๆแต่กล้ามเนื้อนั่นไม่ต่างอะไรจากเหล็กกล้าเลย เขามีพื้นเพมาจากกลุ่มนักล่าของเผ่าเขาและทักษะการโจมตีระยะไกลก็เลิศเหนือลิซาร์ดแมนคนไหนๆในบึงนี้ จริงๆแล้วในการประลองชิงตำแหน่งหัวหน้าเผ่าครั้งที่ผ่านๆมา เขาจัดการคู่ต่อสู้ผู้ท้าชิงด้วยการปาหินใส่อย่างแม่นยำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น(เจอแล้วหัวหน้าแก๊งปาหิน -ผู้แปล)

เพื่อประเมินขุมกำลังและสอบกระบวนทัพคู่ศึก เขาได้สั่งการบรรดานักล่าที่มีอยู่ให้ออกไปสอดแนม

“ทัพข้าศึกมีอยู่ราวห้าพัน”

จำนวนดังกล่าวเกินกว่าประชากรทั้งหมดของลิซาร์ดแมนแต่ก็เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วแต่แรก บางคนถึงกับปล่อยลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกว่าได้รู้จำนวนแน่ชัดของข้าศึกเสียที

“... ผู้นำทัพของอีกฝ่ายล่ะ?”

“ข้าก็ไม่กล้ารับรองหรอกนะแต่ตรงกลางทัพพวกมันมีมวลเนื้อสีแดงก้อนยักษ์อยู่ จะเข้าไปใกล้กว่าที่ทำก็ไม่ได้มันเสี่ยงเกินไป”

“แล้วตัวทัพข้าศึกล่ะ?”

“กองทัพผู้ไม่ตาย หลักๆเลยก็ซากกระดูกผีกับศพเดินได้”

“ทัพผู้ไม่ตายจากซากของพวกเรา?”

“ไม่หรอกไม่ใช่ซากของพวกเรา ข้าไม่รูจักสัตว์และสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นเลยไม่กล้ายืนยัน แต่มันน่าจะเป็นซากจากพวกมนุษย์ อ้อ-ข้าไม่เห็นหางพวกนั้นเลยด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นซาริวสุก็แน่ใจว่าพวกมันเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่ในท้องทุ่งที่ราบ พวกมนุษย์

“เราจะชิงลงมือโจมตีก่อนดีไหม?”

“พูดง่ายแต่ทำยาก อีกฝ่ายตั้งท่ารอในที่เปิดแถมยังถางชายป่าบริเวณใกล้เคียงจนเรียบ เราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพวกนั้นใช้เวลาถางป่าแค่ไหนเพราะต้นไม้ที่ควรจะล้มอยู่บ้างแถวนั้นหายไปหมดเลย— เออ แต่ยังไงข้าก็ไม่เอาด้วยกับแผนนี้ อีกฝ่ายตั้งท่ารออยู่แล้วอย่าว่าแต่พื้นที่บริเวณนั้นพวกนักรบเผ่าเราเคลื่อนไหวตามไปช่วยลำบากแน่ๆยังไม่นับเรื่องโอกาสสำเร็จมันต่ำมากอีก”

“ถ้าเราซุ่มโจมตีด้วยนักล่าเพียงลำพังล่ะ?”

“ขอทีเถอะคุณครัช นักล่าที่เรามีทั้งหมดก็แค่25คนจะเอาอะไรไปโจมตีทัพผู้ไม่ตาย5พันตน? มันจะเป็นการส่งพวกนั้นไปตายเปล่าน่ะสิ”

“อืมมม… แล้วถ้าเราใช้อำนาจของดรูอิดล่ะ?”

หลายคนในที่นั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของชาสุริวจากนั้นชำเลืองมาทางครัช แต่ผู้กล่าวตอบกลับเป็นซาริวสุ

“ไม่ อย่าทำแบบนั้นดีกว่า”

“อ้าว? ทำไมล่ะ?”

“อีกฝ่ายรักษาคำพูดและยังไม่โจมตีเรามาจนถึงตอนนี้ แต่มันจะไม่เป็นอย่างนี้อีกต่อไปถ้าเราเปิดฉากโจมตีก่อน”

“ก็จริง เราไม่ควรเร่งเร่งก่อนที่จะเตรียมการเสร็จและลิซาร์ดแมนทุกเผ่ามารวมกันพร้อม”

“งั้นกรยุทธที่เราจะใช้ในครั้งนี้ก็คือทำศึกตั้งรับ?”

“ป้องกัน แน่นๆ”

ลิซาร์ดแมนผู้ที่กล่าวด้วยเสียงอ้อแอ้ออกมาคือหัวหน้าเผ่าเลเซอร์เทล

ที่ห่อหุ้มตัวเขาอยู่คือเกราะสีขาวซึ่งประกายนั้นต่างออกไปจากวัสดุที่สร้างมันขึ้น

แสงที่เรืองออกมาอย่างนวลตามาจากอำนาจของเกราะที่เป็นหนึ่งในสี่สมบัติของลิซาร์ดแมน กระดูกมังกรขาว

มันเป็นเซ็ตเกราะที่ทำจากกระดูกของมังกรเยือกแข็งที่เคยอาศัยอยู่แถบภูเขาอเซเลอริเซีย(Azellerisia Mountain) เกราะที่สร้างจากกระดูก — แม้จะมาจากมังกรซึ่งทรงพลัง — แต่ก็มันก็ไม่เคยผ่านการลงอาคมด้วยเวทย์มนต์มาก่อน แต่เกราะมันก็มีอาคมกำกับตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ

ปัญหาคืออาคมนั่นมันน่าจะเป็นคำสาปมากกว่า

เพราะเกราะกระดูกมังกรขาวนี้จะเปลี่ยนสติปัญญาเป็นพลังป้องกัน หากผู้ทรงปัญญาสวมใส่มันเกราะจะแข็งกว่าเหล็กเทียบได้กับมิธริลหรือแม้แต่อดามันไทต์ในตำนาน

แต่เมื่อถอดปลดเกราะออกปัญญาที่เสียไปจะไม่กลับมา นี่คือสาเหตุที่หลายคนเชื่อว่ามันเป็นคำสาปมากกว่า(อืม... เกราะแขม่วไอคิวถาวร.. (-_- " -ผู้แปล)

ในบรรดาลิซาร์ดแมนเขาเคยเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้ทรงปัญญา หลังจากเขาสวมเกราะนี้พลังป้องกันของเกราะสูงมากจนการโจมตีของลิซาร์ดแมนถูกสะท้อนไปได้หมดแม้แต่ฟรอซเพนหนึ่งในสี่สมบัติ อาจจะกล่าวได้ว่าความแข็งของมันเทียบได้กับอดามันไทต์

และตามปกติแล้วผู้สวมเกราะนี้จะกลายเป็นตัวโง่งมจากการที่เซลสมองถูกทำลาย แต่เขายังสามารถตรึกตรองได้ ก็พอจะทำให้คาดเดาได้ว่าก่อนนี้เขาเคยฉลาดขนาดไหน และเพราะเหตุเหล่านี้หลังเขาขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าก็ไม่เคยมีใครท้าประลองชิงตำแหน่งกับเขาเลย

“นี่ บึง ดินนิ่ม กำแพง… พังง่าย”

“ข้าเข้าใจ แล้วท่านกำลังเสนอให้เราเป็นฝ่ายบุกรึ?”

“ช่าย ทำไมจะไม่ล่ะ บุกเข้าโจมตีมันดีกว่าตั้งรับเป็นไหนๆ ที่เราแต่ล่ะคนจำเป็นต้องทำก็แค่กำจัดอีกฝ่ายลงสามถึงสี่ตน ที่ต้องทำสรุปแล้วก็แค่รบให้ชนะ ง่ายเหมือนปลอกกล้วย”

บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างมองหน้ากันเลิกลั่กหลังฟังที่เซ็นบูรุกล่าว จนกระทั่งครัชเปลี่ยนหัวเรื่องประชุม

“ปัญหาอีกเรื่องคือทัพเสริมของข้าศึก… ที่อีกฝ่ายทำอยู่ตอนนี้อาจจะเป็นการรอกำลังเสริมอยู่ก็ได้”

“หืมมม… นั่นมันก็พูดยากอยู่นะ เพราะจากที่เห็นมาพื้นที่เปิดโล่งก็ไม่มีที่ให้อีกฝ่ายเสริมทัพได้อีกแล้ว... ถ้าจะมีเพิ่มมาอีกก็เหลือแต่ต้องกระจายกำลังเข้าไปในป่าเท่านั้นแหละ”

ผู้ไม่ตายไม่ต้องกินดื่มนอนหลับไม่ต้องการพื้นที่กว้างเพื่อจัดค่ายพัก มันเป็นการยากที่จะประเมินจากพื้นที่ตั้งทัพ

“เพื่อเลี่ยงความเสี่ยง กลยุทธการรบแบบตั้งรับควรถูกพิจารณาก่อน”

“เอาล่ะถ้าเช่นนั้นเผ่าเรดอายส์ก็จะของรับหน้าที่เสริมสร้างกำแพงและแนวป้องกันเพื่อรับศึกแนวตั้งรับนี้ และถ้าเป็นไปได้เราก็หวังความช่วยเหลือทุกอย่างที่จะยื่นมาให้ด้วย”

หัวหน้าเผ่าคนอื่นๆต่างพยักหน้าเห็นชอบด้วยแม้แต่เซ็นบูรุที่นั่งเศร้าอยู่ตรงนั้น (...สรุปคือมันคิดจะบุกไปสดกับอีกฝ่ายจริงๆสินะ (-_-" -ผู้แปล)

“สรุปสั้นๆที่เราต้องทำก็คือเสริมสร้างกำแพงและแนวป้องกัน จากนั้นก็จัดสายบัญชาการทัพ”

“ถ้างั้นก่อนอื่นเลยเราควรให้ครัชรับหน้าที่ดูแลกลุ่มดรูอิด การบัญชาการดรูอิดให้ครัชเจ้ารับไปก็แล้วกัน”

ในขณะที่ทุกเสียงกำลังจะลงมติเห็นชอบมีการยกมือคัดค้านขึ้นมาหนึ่งเสียง

“หัวหน้าเผ่าควรถูกจัดเป็นทีมแยกออกมาต่างหาก”

ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังซาริวสุผู้กล่าวขึ้น

“เข้าใจล่ะ… น้องข้า”

“เจ้ากำลังเสนอให้เราจัดทีมหัวกระทิขึ้นมา?”

“ถูกแล้วพี่ข้า ข้าศึกล้ำจำนวนเรา ถ้าไม่กำจัดผู้บัญชาการทัพอีกฝ่ายเรามีแต่จะแพ้พ่าย ถ้าเจ้าสัตว์นรกที่โผล่มาที่หมุ่บ้านเมื่อครั้งก่อนโผล่มาอีก นั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เราจะเอาจำนวนเข้าถมได้ การกำจัดมันต้องใช้ทีมหัวกระทิ”

“งั้นจะไม่ใช่ว่าทัพเราจะไร้ผู้นำรึ?”

“จาก นักรบ… เลือก… เลือก หัวหน้า… ก็ ได้.”

“ต่อให้ไร้ผู้นำทัพพวกนั่นก็เข้าไปแลกกับอีกฝ่ายก็ได้จริงไหม…”

“… ทีมพิเศษนี่จะอยู่ที่แนวหลังและจะไม่เคลื่อนไหวจนกว่าจะพบผู้บัญชาทัพอีกฝ่ายหรือสถานะการรบไม่ค่อยดี ถ้าเอาตามนี้จะมีใครว่าอย่างไรไหม?”

“ก็ฟังดูไม่มีปัญหาอะไร เอาล่ะถ้าเช่นนั้น รวมซาริวสุเข้าไปด้วยทีมเราก็จะมีหกคนถูกไหม?”

“ไม่ เราควรจัดทีมเป็นสองทีม ทีมล่ะสามคน”

การแบ่งทีมออกเช่นนี้ทำให้จัดการปัญหาได้พร้อมกันสองจุดแต่ก็แลกมากับกำลังรบที่จะอ่อนลงด้วยเช่นกัน

“ทีมหนึ่งจะรับหน้าทีมกำจัดผู้บัญชาการทัพอีกฝ่าย อีกทีมจะรับหน้าที่เสริมกำลังการตั้งรับ”

“เอาล่ะงั้นเราสามคนก็จัดจัดแบ่งเป็นทีมหนึ่ง ซาริวสุเจ้าและอีกสองคนที่เจ้าพามาก็จะแบ่งเป็นอีกทีม นี่น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดทีมของเรา ส่วนทีมไหนรับหน้าที่อะไรก็ให้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานะการก็แล้วกัน”

“เห็นด้วยตามนั้น มีอะไรจะคัดค้านไหมซาริวสุ?”

“ข้าเข้าใจแล้ว มีอะไรจัคัดค้านไหมเซ็นบูรุ? ครัช?”

“ข้าไม่คัดค้าน”

“ข้าด้วย มันแย่หน่อยที่ข้าสู้ศึกอย่างที่อยากไม่ได้แต่ก็จะเอาตามที่ผู้มีชัยว่า”

“จากนี้เหลืออีกสี่วันก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดฉากโจมตีสินะ?”

“ถูกแล้ว”

“ยังเหลือการเตรียมการอะไรที่เรายังไม่ได้พูดถึงอยู่อีก?”

“ที่เราต้องทำก็มีรวบรวมหินกระสุนและเสริมความแข็งแรงให้กำแพงและแนวตั้งรับ จัดสายบัญชาการให้ทุกเผ่าทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”

“สำหรับหน้าที่บัญชาการและจัดสรรกำลังพล เราเผ่าสมอลแฟงส์เสนอให้ชาสุริวรับหน้าที่นี้ต้อไป”

“เรา… เห็นตามนั้น… แล้ว พวก… เจ้า สอง?”

ครัชและเซ็นบูรุต่างก็พยักหน้าเห็นชอบ

"งั้นข้าก็จะขอรับอำนาจบัญชาการไป เอาล่ะต่อไปเราจะมาลงรายละเอียดสิ่งที่ต้องทำก่อนจะถูกเปิดฉากโจมตีกัน สิ่งที่ต้องทำในสามวันที่เหลือนี้”



หลังจากเสร็จธุระของวัน ซาริวสุเดินผ่านหมู่บ้านที่อึกทึกจอแจไปอย่างเงียบๆ ลิซาร์ดแมนหลายต่อหลายคนต่างทักทายเขาด้วยความนับถือยำเกรงเมื่อเห็นเครื่องหมายที่แผ่นอกและฟรอซเพนที่เอวเขา

มันออกจะน่าเบื่อ แต่เพื่อเสริมขวัญและกำลังใจ ซาริวสุต้องปั้นหน้าเคร่งขรึมและวางท่ามั่นใจให้เห็นแก่สายตา

ซาริวสุรักษาการวางท่าเอาไว้จนกระทั่งพ้นกำแพงชั้นนอกออกไปแล้ว ที่ตรงนั้นลิซาร์ดแมนหลายคนกำลังขะมักขเม้นเพ่งสมาธิกับการก่อสร้าง

เริ่มแรกก็ผูกหลักไม้ที่ปักไว้ห่างจากกันด้วยเชือกเถาวัล ต่อมาคือการพอกด้วยโคลนเลนดินเหนียวหมาดน้ำ หลังจากนั้นดรูอิดก็จะร่ายเวทย์ช่วยไล่ความชื้นก็จะได้ผลสำเร็จเป็นกำแพงดิน บางจะที่มีการแตกร้าวก็มาจากการที่ไล่น้ำไปไม่หมด ที่ต้องทำก็คือดำเนินกระบวนการซ้ำแล้วพวกเขาก็จะย้ายไปก่อสร้างพื้นที่ถัดไปได้

“อ้าว มีอะไรรึ ซาริวสุ?”

“เปล่าหรอก แค่อยากมาดูว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

ทุกย่างก้าวบนป่าพรุหนองบึงนี้ส่งเสียงแผละๆ ซาริวสุก้าวย่างไปหาครัชผู้รักสงบซึ่งกำลังสั่งการงานที่ต้องทำซ้ำ

“นั่นคืออะไร?”

“กำแพงดิน เราก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แต่ข้าอยากให้พวกนั้นบุกเข้ามายากขึ้นหน่อย… แต่เวลามันจำกัดเหลือเกิน ขนาดเร่งมือแล้วก็ยังคืบหน้าไปแค่ครึ่งเดียว”

“งั้นรึ… แต่ไม่ใช่ว่ากำแพงดินมันทำลายได้ง่ายหรอกรึ?”

“ถูกต้องถ้ามันบางมันก็พังได้ง่ายๆ แต่ถ้ามันหนาพอมันก็แข็งแรงขึ้น เพราะมันเป็นงานเร่งและวัสดุที่เหมาะสมก็ไม่มีถ้าเจอฝนลงก็จะนิ่มลงอีกแต่มันจะไม่พังลงมาง่ายๆหรอกนะ"

ถูกต้อง, ไม่ว่าจะสร้างจากอะไร กำแพงมันจะยากต่อการทำลายถ้าหนาพอ.

เบื้องหน้าซาริวสุที่กำลังคิดเช่นนั้นอยู่คือลิซาร์ดแมนเป็นโหลๆกำลังเร่งมือกันสุดกำลัง แต่ความคืบหน้าก็ช้าเป็นเต่าคลาน ต่อให้สร้างอีกสามวันมันก็จะไม่หนาไปกว่านี้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย

“สำหรับตอนนี้ ส่วนที่กำแพงสร้างไม่ได้เราก็จะสร้างรั้วที่ยากต่อการทำลายเข้าเสริม”

ในทิศทางที่ครัชชี้ไปนั้น—

เสาไม้ที่ปักอยู่เดิมถูกรื้อถอนออกไปปักบริเวณที่ห่างออกไป เป็นแนวสามเหลี่ยมโยงกับอีกสองท่อนอื่น ยึดโยงด้วยเชือกเถาวัลที่ห้อยย้อยปิดกั้นเส้นทางผ่าน ซาริวสุนึกย้อนไปก็พบว่ากำแพงและแนวรั้วนี้ก็ปรากฎอยู่ที่เผ่าเรดอายส์ด้วยเช่นกัน

“แล้วนั่นล่ะอะไร?”

“พอมีการเสริมน้ำหนักถ่วงถูกจุดมันจะทำให้แนวรั้วมันไม่พังลงจากการผลักหรือดึง ส่วนเชือกนั่นก็มีหน้าที่ปิดกั้นเส้นทางและที่มันต้องห้อยย้อยแบบนั้นก็เพราะถ้าขึงตึงมันจะถูกสับให้ขาด้วยมีหรือดาบง่ายขึ้น”

ครัชตอบคำถามซาริวสุอย่างกระตือรือล้น

ระหว่างร่วมเดินทางเป็นระยะสั้นๆด้วยกันซาริวสุเป็นฝ่ายสอนสิ่งใหม่ๆให้ครัชฝ่ายเดียว การที่เธอได้ให้ความรู้สิ่งที่ซาริวสุไม่รู้มาก่อนทำให้เธอมีความสุข และมันก็ยังมีเรื่องความรู้สึกอื่นรวมอยู่ด้วย

“เข้าใจล่ะ… ด้วยวิธีนี้มันจะถูกทำลายลงได้ยากกว่า”

คำชมจากความประทับใจของซาริวสุทำให้ครัชรู้สึกภูมิใจ

ซาริวสุพยักหน้าช้าๆ

แผนการเปลี่ยนหมู่บ้านเป็นป้อมปราการคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง มันไม่อาจเอาไปเทียบกับสิ่งที่มนุษย์หรือคนแคระสร้างได้ แต่แดนยากสัญจรอย่างป่าพรุหนองบึงนี้หาดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

“จะว่าไปซาริวสุ เจ้าได้ไปเล่าให้พวกนักรบ—”

ที่ตัดกลางประโยคของครัชคือเสียงกู่ร้องของบรรดานักรบทั้งหลาย มันเข้มข้นดุดันและทำให้เลือดพล่าน

“เกิดอะไรขึ้น? เสียงนี้มันคุ้นๆอยู่นะ… ข้ารู้แล้วล่ะ! มันเป็นเสี่ยงกู่ร้องคำรามก่อนเข้าสู้ศึก การประลองระหว่างพี่ชายของเจ้ากับเซ็นบูรุเกิดขึ้นแล้วรึ?”

ขณะที่ซาริวสุพยักหน้าก็สังเกตุได้ถือความกังวลบนหน้าของครัช

“... ในฐานะผู้บัญชาการศึก มันจะไม่เป็นไรรึถ้าพี่เจ้าเกิดแพ้ขึ้นมา?”

“ไม่รู้สิ แต่พี่ข้าน่ะแกร่งมากนะ ถ้าเขามีโอกาสได้ใช้พลังดรูอิดเขาจะยิ่งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่ข้าก็อาจพ่ายแพ้ได้”

ชาสุริวผู้เสริมกำลังด้วยเวทย์มนต์หลายขนานนั้นแกร่งมากแม้จะไม่ใช้เวทย์มนต์สายโจมตี แต่ถ้าเขาใช้ขึ้นมาในงานประลองนี้ซาริวสุก็สู้ไม่ได้หากไร้ฟรอซเพน

เหตุผลข้อเดียวที่เจ้าของเดิมของฟรอซเพนไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษที่ใช้ได้วันล่ะสามครั้งเมื่อรับมือกับซาริวสุก็เพราะมันถูกใช้หมดไปกับการรับมือชาสุริวไปก่อนแล้ว

“ถ้าตามเป็นตามนั้นก็ดี…”

ขณะที่ซาริวสุกำลังลังเลว่าจะชวนครัชไปดูการประลองให้เห็นว่าพี่เขาแกร่งแค่ไหนดีหรือไม่ เรื่องกวนใจประการหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

เขาลังเลแต่ก็พูดออกไปจนได้

เรื่องมันล่วงเลยมาจนป่านนี้มาพูดเอาป่านนี้มันย่อมดูน่ารังเกียจแต่ซาริวสุก็ไม่อาจปิดบังต่อคนที่เขาชอบได้ แสดงให้เห็นว่าความรู้สึกและความบริสุทธิ์ใจที่เขามีให้ครัชนั้นหนักแน่นแค่ไหน

“ข้ามีเรื่องกังวลประการหนึ่ง—”

เมื่อฟังเสียงที่เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความกังวลครัชก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ปั้นขึ้นซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปกติแล้วเธอจะทำเลย — และมันก็ไม่เข้ากับสถานะการเลยด้วย — รอยยิ้มนั้นหยุดซาริวสุไว้กลางประโยค คนที่พูดต่อมาคือครัช

“— เจ้าหมายถึงเรื่องที่ไม่ได้ยกมาที่ประชุมใช่ไหม ที่ว่ามันอาจเป็นแผนการแต่แรกที่อีกฝ่ายต้องการให้เราสร้างพันธมิตรศึกขึ้นมา”

ซาริวสุเงียบเสียงไปเพราะครัชเดาได้ถูกแล้ว

อีกฝ่ายประกาศเวลาชัดเจนและรักษาสัญญาตามนั้นทั้งยังไม่เข้าขัดขวางซาริวสุซึ่งพยายามจัดตั้งพันธมิตรศึกขึ้น หรือมันจะเป็นความต้องการของอีกฝ่ายที่ประสงค์จะให้ลิซาร์ดแมนทั้งหมดมารวมกันเพื่อที่จะกวาดล้างให้หมดในคราวเดียว

“ข้านั้นมีความกังวลมากหลายแต่กับคนที่คิดอ่านรอบคอบอย่างเจ้าคงมีความกังวลมากกว่าแน่นอน แต่จะอย่างไรก็ตาม เราจะรบกับข้าศึก… เรื่องที่เหลือก็ค่อยว่ากันไป”

“ต่อให้เราชนะอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเลิกรา โอกาสที่พวกนั้นจะยอมรามือมันต่ำเหลือเกิน”

“มันก็อาจจะใช่แต่ที่เจ้าพูดเมื่อคืนก่อนมันก็จริงเช่นกัน ดูสิ—”

ครัชเหยียดแขนออกไปเบื้องหน้าเธอ ซาริวสุเข้าใจได้ว่าเธอกำลังหมายถึงหมู่บ้านทั้งหมด

"ดูเอาเถอะ ลิซาร์ดแมนทุกเผ่าร่วมมือกันเพื่อจุดหมายเดียว”

ก็จริงตามนั้น ตอนนี้ทุกเผ่าร่วมมือกันเพื่อเป้าประสงค์เดียวกัน

ภาพของลิซาร์ดแมนห้าเผ่ากินดื่มและหัวเราะร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยกลอยขึ้นมาในหัวของซาริวสุ มันคงจะเป็นการโกหกตัวเองถ้าจะบอกว่าสองเผ่าที่ถูกทำลายไปจากสงครามครั้งก่อนไม่เหลือความเจ็บแค้นอะไรแล้วแต่พวกเขาก็ระงับมันเอาไว้เพื่อร่วมกันรับมือภัยครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงนี้

น่าขันสิ้นดี

ซาริวสุคิดเสมอว่าความแตกแยกของเผ่าจะดำเนินต่อไปไม่ยุติ เขาไม่เคยคาดเลยว่าจะมีการปรากฎตัวของศัตรูร่วม ซึ่งศัตรูที่ว่าทำให้ซาริวสุได้มีโอกาสเห็นการรวมตัวของลิซาร์ดแมนทุกเผ่า

"เราต้องปกป้องอนาคตของเผ่าพันธุ์นะซาริวสุ และพันธมิตรทุกเผ่าศึกนี้ก็จะชี้วัดผลงานของเรา”

การสร้างกำแพงดินจากเลนตมไม่ใช่สิ่งที่ซาริวสุเคยเห็นมาก่อนแต่ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเทคนิคนี้อีกแล้ว และหลังจากนี้กำแพงแบบนี้ก็จะถูกสร้างโดยทุกเผ่า กำแพงที่แข็งแรงแบบนี้จะช่วยยับยั้งไม่ให้สัตว์ร้ายบุกเข้ามาในหมู่บ้านได้ และเด็กๆก็จะตกเป็นเหยื่อน้อยลงโอกาสที่จะเติบโตก็มากขึ้น ประชากรหลังจากนี้ก็จะเพิ่มขึ้นตาม

และปัญหาความต้องการของอาหารที่เพิ่มขึ้นก็จะถูกแก้ไขด้วยเทคนิคเพาะพันธุ์ของซาริวสุ

สักวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้ ทุกเผ่าอาจรวมเป็นเผ่าใหญ่เผ่าเดียวที่ป่าพรุหนองบึงนี้ก็ได้

“ร่วมมือกันพิชิตชัยศึกนี้กันเถอะซาริวสุ เราไม่มีทางรู้แน่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไปแน่ ทุกอย่างอาจจบสิ้นลงหลังศึกนี้ก็ได้แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ยังมีอนาคตที่ไม่ต้องสู้กันเพื่อเรื่องปากท้องอีกแล้ว”

ครัชพูดจบก็ยิ้ม ส่วนซาริวสุก็ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ถ้าเผลอไผลไปเขาจะควบคุมมันไม่ได้ แต่เขาเองก็มีเรื่องที่จะพูดอยู่เช่นกัน

“เจ้าเป็นลิซาร์ดแมนหญิงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ—หลังศึกนี้จบสิ้นลง โปรดให้คำตอบต่อคำถามเมื่อครั้งแรกที่เราพบเจอด้วย”

รอยยิ้มของครัชสุกใสยิ่งกว่าเดิม

“เข้าใจแล้วซาริวสุ ข้าจะให้คำตอบเมื่อศึกนี้สิ้นสุดลง—”



เดมิกำลังอารมณ์ดีมากเขาฮัมเพลงไปด้วยขณะทำงาน

เขาหยิบกระดูกขัดมันขึ้นมาพิจารณาว่าชิ้นี้ควรจะอยู่ตรงไหนของชิ้นงาน ครู่หนึ่งเขาก็เสียบมันเข้ากับส่วนบนของชิ้นงานที่เขากำลังสร้างสรรค์อยู่

กระดูกชิ้นนั้นลงล๊อคอย่างเหมาะเจาะราวกับตัวต่อจิ๊กซอว์

ถ้าการสร้างบ้านโดยไม่ใช้ตะปูเป็นเทคนิคที่เรียกว่าการเสียบสลักไม้อย่างแม่นยำ ที่เดมิกำลังทำก็คือเทคนิคการเสียบสลักกระดูกอย่างแม่นยำ

“นี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ”

เดมิลูบไล้ผลงานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ถ้าทำต่อไปจนเสร็จมันจะต้องเป็นชิ้นงานที่โดดเด่นแน่นอน

“แต่… ข้ายังขาดกระดูกต้นขาของชายสูงหนึ่งเมตรยี่สิบเซ็นต์ไป”

เขาจะทำให้ชิ้นงานเสร็จโดยไม่มีกระดูกชิ้นนั้นก็ได้ แต่เขาจะไม่ทำ มันจะออกมาไม่สวยอย่างที่มันควรจะเป็น

ปกติแล้วเดมิเป็นคนที่ยืดหยุ่นไม่ตายตัว แต่ชิ้นงานนี้เป็นของขวัญที่เขาจะมอบให้เจ้านายที่เขาเคารพรัก มันจะป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากสมบูรณ์แบบ

“ถ้าหาอะไรที่เทียบเคียงกันได้ก็ดีสิ”

เดมิผู้อารมณ์ดีจนถึงตอนนี้เริ่มออกเดิน

เดมินั้นชอบประดิษฐ์สิ่งของ ความหลงไหลของเขาจริงๆแล้วไม่ใช่กระดูกแต่เป็นงานไม้ ความลุ่มหลงและความโดดเด่นของชิ้นเขาล้ำกว่าพวกทำเป็นงานอดิเรกไปไกล

ถ้าจะว่ากันตามตรงถ้าตัดประเด็นเรื่องวัสดุที่ใช้ทำชิ้นงานออกไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็อดที่จะทึ่งกับชิ้นงานไหนๆที่เดมิสร้างไม่ได้

ชิ้นงานอื่นๆที่ปรากฎอยู่ในกระโจมนี้ รูปหล่อสำริดจากหินลาวา เก้าอี้ทุกแบบทุกชนิด แม้แต่เครื่องมือก็ยังสร้างโดยเดมิซึ่งกรณีนี้อาจจะไม่สวยงามแต่ประสิทธิภาพในการใช้งานนั้นยอดเยี่ยม

ขณะที่เดมิยืนศึกษาพิจารณาวัสดุอยุ่ที่มุมหนึ่งของกระโจม เขาก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวที่บริเวณทางเข้า

เดมิวางชิ้นกระดูกลงอย่างเบามือและระมัดระวัง และกระชับไอเทมที่ไม่อาจหาทดแทนได้อีกที่เจ้านายเขามอบให้ไว้ในมือ และพยายามเพิ่งสมาธิตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น ปกติแล้วถ้าไม่ใช่ผู้ใต้สังกัดเขาก็เป็นพวกพ้องผู้พิทักษ์ ไม่มีใครสามารถบุกฝ่าแนวชั้นป้องกันทั้งสามชั้นของเขาเข้ามาได้โดยที่เขาไม่รู้ แต่เหตุการที่เกิดขึ้นกับแชลเทียร์ทำให้เขาต้องระมัดระวังไว้ก่อน

หลายวินาทีต่อมา ผู้มาเยือนเดินผ่านเข้ามาทางเข้ากระโจม เขาอยู่ในชุดขาวแล้วสวมหน้ากากที่มีจะงอยยาวเหมือนนก

เปรุชิเนร่า

เขาเป็นตัวตลก และถูกสร้างขึ้นโดย--เช่นเดียวกับเดมิ สำหรับภารกิจครั้งนี้เขาถูกมอบหมายให้ร่วมงานกับเดมิ

หลังจากตรวจสอบแล้วว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ใต้อำนาจสะกดจิต แววตาของเดมิก็ผ่อนคลายลงเช่นเดียวกับมือที่กระชับไอเทมเอาไว้แน่นก่อนหน้านี้

“เดมิ-ซามะ หนังได้รับการถลกแล้วครับ”

เมื่อได้ยินเดมิก็อดเสียดายไม่ได้

เดมิอยากจะรื่นรมย์ด้วยการลงมือด้วยตัวเอง แต่เพื่อรับมือศัตรูที่ยังเป็นปริศนาเขาไม่อาจทิ้งความรับผิดชอบไปได้ หลายๆเรื่องเลยต้องวานให้เปรุชิเนร่าจัดการแทน

เดมิรู้สึกอย่างไรก็ไม่แสดงออกมา จากนั้นเขาก็มอบหมายงานถัดไปกับเปรุชิเนร่า

“เยี่ยมมาก เอาล่ะลงมือขั้นตอนต่อไปนะ ก็อย่างที่รู้นั่นแหละชิ้นงานตรงนั้นมันเอาไปมอบให้ไอซ์-ซามะในสภาพนี้ไม่ได้มันจะเป็นการไม่ให้เกียรติท่าน”

จากนั้นเดมิก็ถามเปรุชิเนร่าที่โค้งคำนับอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น

“แล้ว งวดนี้ตายไปกี่คน?”

“ไร้ผู้ตายครับ ต้องขอบคุณผู้ลงทัณฑ์ พวกนั้นแค่หมดสติไปเท่านั้น เราจะทำการถลกหนังได้อีกในไม่ช้า หลายคนไม่ค่อยจะยอมให้รักษาเท่าไหร่… แต่ก็เป็นเรื่องที่คาดเอาไว้อยู่แล้ว ไม่มีใดเป็นปัญหา”

“ยอดเยี่ยม”

การรวบรวมทรัพยากรเป็นงานที่ต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมากและการถลกหนังก็ยังต้องทำต่อไปอีกหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากให้การนี้มันไร้ความเจ็บปวดของอย่างยาชาหรือยาสลบนั้นลืมไปได้เลย

“ข้าอยากให้ทุกคนมีความสุข”

อยู่ดีๆเปริชิเนร่าก็กล่าวขึ้น เดมินึกถึงบุคลิกของเขา

เปรุชิเนร่าเป็นที่รู้จักในนาร์ซาริกเรื่องความสุภาพและเมตตา เขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนมีความสุข พฤติกรรมเขาก็มีรากมาจากความเชื่อนี้

“ผู้อาศัยในมหาสุสานแห่งนาร์ซาริกต่างมีความสุขที่ได้รับใช้ไอนซ์-ซามะ”

เดมิพยักหน้าเห็นด้วย

“เข้าใจล่ะ เปรุชิเนร่า เจ้าหมายความว่าผู้คนอื่นๆจะมีความสุขหากได้รับใช้นาร์ซาริกถูกไหม?”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น รับใช้ไอนซ์-ซามะทำให้เราปลามปลื้มจนหลั่งน้ำตาแห่งความยินดีออกมา แต่ถ้าพวกนั้นถูกฝืนให้ทำพวกนั้นก็จะไม่เป็นสุขหรอก”

“เอ้อ แล้วเจ้าจะเสนอว่ายังไงล่ะ?”

“ง่ายๆเลยนะ เลือกมาคนนึงแล้วตัดแขนเขาออก อย่างนี้จะทำให้คนที่เหลือรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ถูกตัดแขน เยี่ยมไปเลยใช่ไหม? และเราจะทำให้คนที่ถูกตัดแขนรู้สึกว่าตัวเองโชคดี เราก็เลือกมาอีกคนแล้วตัดขาเขาซะ อาาา ข้าได้ทำให้คนมากมายมีความสุขได้!” (เจริญพวง (-_-" -ผู้แปล)

เดมิมองดูตัวตลกที่ดูพึงพอใจในตัวเองมาก จากนั้นเขาก็หัวเราะจนตัวงอ

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ่าพูดถูกจริงๆ”

Part 2
ถ้าคุณใจจดจ่อรออะไรอยู่สักอย่าง เวลามันจะผ่านไปอย่างเนิ่นนาน
แต่ถ้าที่ทำคือความพยายามก่อนถึงเส้นตายมันจะกลับตรงกันข้ามกัน เวลาจะไหลผ่านไปไวเหลือเชื่อ


กำหนดการที่ถูกประกาศเอาไว้ได้มาถึงแล้ว


วันนั้นอาทิตย์สาดแสงแผดเผาขณะมันลอยสูงขึ้นอย่างแช่มช้า ท้องฟ้าใสไร้เมฆและเสียงจากสายลม หากมีเข็มตกสักเล่มตอนนี้ก็คงได้ยินเสียงมันกระทบพื้น
ความคึงเครียดในอากาศนั่นหนาแน่นพอจะเอามีดปักเอาไว้ได้


บ้างกก็กลืนน้ำลาย บ้างก็พยายามควบคุมลมหายใจ
ความเครียดทำให้ลิซาร์ดแมนที่มารวมกันอยู่ไร้ซึ่งถ้อยคำมาพักใหญ่แล้ว และเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วไม่มีใครทราบ


ทันใดนั้นเอง เมฆสีดำก็ปรากฎขึ้น มันดูราวกับเหวลึกบนท้องฟ้าซึ่งมันแผ่ขยายออกทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็วอย่างที่มันเคยเป็นมาก่อน
ครู่เดียวเท่านั้นอาทิตย์ก็สิ้นแสง ทุกสิ่งกลายเป็นเงาสลัวใต้เมฆทมิฬที่บดบังทั่วท้องฟ้า—


ทัศนวิสัยที่ย่ำแย่แหละป่าไม้ที่บดบัง การเดินทัพของผู้ไม่ตายที่ปรากฎแก่สายตาบรรดาลิซาร์ดแมน ณ พื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งแบ่งแยกป่าพรุออกจากเขตหนองบึงดูประหนึ่งน้ำป่าไหลหลาก
ทัพผู้รุกรานประกอบไปด้วย 2,200ศพเดินได้ 2,200ซากกระดูกผี 300สัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย 150ซากกระดูกผีมือธนู 100ซากกระดูกผีบนหลังม้า รวมทั้งสิ้น 4,950ตน ไม่รวมผู้บัญชาทัพและองครักษ์


ผู้ต้านรับคือทัพของลิซาร์ดแมนทั้งห้าเผ่า
‘กรีนคลอว์’ มี 103นักรบ 4ดรูอิด 7นักล่า 124ลิซาร์ดแมนชาย และ 105ลิซาร์ดแมนหญิง
‘สมอลแฟงส์’ มี 65นักรบ 1ดรูอิด 16นักล่า 111ลิซาร์ดแมนชาย และ 94ลิซาร์ดแมนหญิง
‘เลเซอร์เทล’ มี 89นักรบเกราะหนัก 3ดรูอิด 6นักล่า 99ลิซาร์ดแมนชาย และ 81ลิซาร์ดแมนหญิง
‘ดราก้อนทักซ์’ มี 125นักรบ 2ดรูอิด 10นักล่า 98ลิซาร์ดแมนชาย และ 32ลิซาร์ดแมนหญิง
‘เรดอายส์' มี 47นักรบ 15ดรูอิด 6นักล่า 59ลิซาร์ดแมนชาย และ 77ลิซาร์ดแมนหญิง


กำลังทัพร่วมรวมแล้วได้แก่ 429นักรบ 26ดรูอิด 45นักล่า 491ลิซาร์ดแมนชาย แหละ 389ลิซาร์ดแมนหญิง กำลังพลทั้งหมด 1,380คนนี้ไม่นับรวมบรรดาหัวหน้าเผ่าและซาริวสุ


และการรบทที่ฝ่ายหนึ่งมีกำลังพลมากกว่าอีกฝ่ายถึงสามเท่าก็เริ่มต้นขึ้น




มันเป็นเรือนที่สร้างจากไม้
ไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ การออกแบบก็เรียบง่ายไม่ต่างอะไรจากกระท่อม ขื่อคานเห็นได้ถนัดตา
แต่เพดานนั้นสูงจากพื้นถึงห้าเมตร และความกว้างความยาวก็มากถึงด้านล่ะยี่สิบเมตร
เครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้นที่มีนอกจากกระจกเรือนยักษ์ โต๊ะทำงานตัวเขื่อง แล้วก็ยังมีเก้าอี้อีกไม่กี่ตัว
เก้าอี้เพียงไม่กี่ตัวนั้นต่างก็ถูกจับจองจนหมดแล้ว ม้วนแผ่นหนังถูกคลี่ออกบนโต๊ะทำงานเบื้องหน้า— ม้วนแผ่นหนังที่ประจุไว้ด้วยมนตรา


“และสุดท้ายนี้ นี่คือม้วนแผ่นหนังที่ประจุไว้ด้วยมนต์เคลื่อนย้ายสสาร” ม้วนแผ่นหนังแบบเดียวกันอีกหลายม้วนถูกวางลงบนโต๊ะหลังเด็กสาวพูดจบ


เด็กสาวที่นำม้วนแผ่นหนังออกมาอยู่ในเครื่องแบบหญิงรับใช้ เด็กสาวนั้นหน้าตาน่ารัก ผมถูกม้วนไว้สองข้างของศีรษะ
แต่กลิ่นไอแผ่ออกมานั้นประหลาด
แต่ที่แปลกไปมากที่สุดก็คือดวงตาคู่นั้น
ตานั้นกลมโตแต่ไร้ประกาย เหมือนลูกแก้วที่ขุ่นมัว และมันไม่เคยกระพริบเลย
ที่เธอสวมอยู่คือเครื่องแบบหญิงรับใช้ที่ปกปิดมิดชิดแม้แต่ต้นคอก็ถูกปกปิดไว้ นอกจากใบหน้าแล้วชุดนั้นก็ไม่เผยให้เห็นส่วนใดของร่างกายอีก


เธอเป็นหนึ่งในเมดประจัญบาน เอนโทม่า วาซิลิส เซต้า


“และนี่ก็ม้วนแผ่นหนังที่ใช้สื่อสาร ของที่กองอยู่นี่มันชักจะล้นโต๊ะแล้วนะ ช่วยกันมั่งสิ ได้ไหม?” เมื่อเอนโทม่าร้องขอ ผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็พยักหน้าช้าๆ

“ช่วยจัดเก็บสินะ”

“เอาล่ะ~ รีบจัดการให้เสร็จดีกว่า”


ด้วยความยินยอมของโคคิวทัสและคำชี้นำของเอนโทม่า บรรดาร่างที่นั่งอยู่รอบโต๊ะก็เริ่มขยับตัวลงมือ
พวกเขาต่างมีสัณฐานเผ่าต่างกัน บ้างก็มีร่างอย่างตั๊กแตนตำข้าว บ้างก็อย่างมด ในนั้นบางคนถึงกับมีสมองอยู่นอกศีรษะด้วย
แม้จะต่างกันแค่ไหนแต่ทั้งหมดมีจุดร่วมอยู่สองข้อคือต่างเป็นผู้ใต้สังกัดโคคิวทัสและเป็นคนของนาร์ซาริก
นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาเชื่อฟังและยอมตามคำสั่งของเอนโทม่าซึ่งอ่อนแอกว่าพวกเขา


โครงสร้างอำนาจในนาร์ซาริกนั้นที่สำคัญไม่ใช่ใครทรงพลังหรือแข็งแกร่งกว่าใคร
หากแต่ว่าใครถูกสร้างโดยเจ้าชีวิตหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เอนโทม่าจึงมีสถานะสูงส่ง


หลังคำสั่งได้รับการยืนยัน โต๊ะก็ถูกจัดการจนเรียบร้อย—

“ถ้าเช่นนั้น ท่านโคคิวทัส โปรดรับสิ่งนี้ไปด้วย” — เอนโทม่าพูดโดยไม่ขยับริมฝีปาก ขณะส่งมองถุงซึ่งบรรจุบ้วนแผ่นหนังเอาไว้หลายม้วน

“นี่เป็นม้วนแผ่นหนังสำหรับใช้สื่อสาร ตามที่ไอนส์-ซามะบอกให้ทราบมา
แผ่นหนังที่ทำพวกมันขึ้นถูกรวบรวมมาโดยความพยายามของเดมิ-ซามะ
และไอนส์-ซามะต้องการให้รายงานให้ทราบด้วยว่ามันปรากฎข้อบกพร่องในการใช้งานใดๆหรือไม่”

“รับทราบ… ได้ผลเป็นอย่างไรข้าจะรายงาน” โคคิวทัสใช้มือหนึ่งในสี่ข้างของเขารับมอบถุงบรรจุม้วนแผ่นหนังนั้นเอาไว้

“เดมินำหน้าไปอีกแล้ว” เมื่อโคคิวทัสยิ้มแห้งๆออกมาหลังพูดจบ ได้ยินเช่นนั้นบรรดาผู้ใต้สังกัดของเขาก็ยิ้มออกมาตามไปด้วย


ถุงบรรจุม้วนแผ่นหนังนั้นทำให้โคคิวทัสนึกขึ้นได้
เขาจำได้ว่าม้วนแผ่นหนังประจุมนต์ระดับล่างร่อยหรอไปจากคลังอย่างต่อเนื่อง


การหาแหล่งวัตถุดิบในการผลิตไอเทมหลากหลายประการเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข
ถึงแม้จะมีอยู่อย่างล้นเหลือตอนนี้ก็จะหมดสิ้นไปได้จากการใช้อย่างต่อเนื่อง
หลายคนได้เริ่มลงมือเข้ามาจัดการกับปัญหานี้ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงเจ้านายของพวกเขาด้วย
โคคิวทัสทราบมาว่าไร่แอปเปิ้ลบนชั้นหกนั่นก็เป็นหนึ่งในแผนการของท่านด้วยเช่นกัน


สำหรับโคคิวทัสซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องนาร์ซาริกนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีส่วนร่วมในกิจการนี้ เขาละทิ้งงานที่ได้รับมอบหมายไปไม่ได้
เดมิลงมือสร้างค่ายห่างไกลจากนาร์ซาริกออกไปเพื่อการนี้ และน่าจะเป็นผู้แก้ไขปัญหานี้ได้ เรื่องนี้เป็นที่คาดหมายได้


พวกพ้องของเขาทำงานได้บรรลุผล


โคคิวทัสยินดีกับเดมิด้วยใจจริงแต่เขาก็ข่มความอิจฉาเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน
พวกพ้องของเขามีโอกาสและได้พิสูจน์คุณค่าให้เจ้าชีวิตที่เป็นที่รักของพวกเขาเห็น— เขาสงบใจไว้ไม่ได้


หน้าที่หลักที่ได้รับมอบหมายของเขาคือปกป้องนาร์ซาริก


หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก น่าจะสำคัญที่สุดในบรรดาคำสั่งที่ถูกมอบหมายให้แก่บรรดาผู้พิทักษ์คนไหนๆ
ไม่ว่าถามใครต่างก็ต้องยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าหน้าที่นี้นั้นสำคัญ
ที่พำนักของเจ้าชีวิตไม่ใช่สถานที่ที่จะให้ชีวิตต่ำชั้นใดๆเข้ามาทำเปรอะเปื้อน


แต่เมื่อไร้ซึ่งผู้รุกรานก็ไร้หนทางใดที่โคคิวทัสจะได้พิสูจน์ผลงานความอุตสาหะหรือความภักดีให้เห็นประจักษ์


โคคิวทัสนั้นกระหายที่จะทำผลงานเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง


สำหรับผู้พิทักษ์แล้ว การได้ทำให้เจตจำนงของเจ้าชีวิตสมประสงค์นำมามาซึ่งความสุขอย่างใหญ่หลวง โคคิวทัสเองก็อยากลิ้มรสความสุขนี้


และตอนนี้โอกาสก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว


โคคิวทัสหันไปมองเงาสะท้อนในกระจกและมือที่ถือถุงบรรจุม้วนแผ่นหนังอยู่ก็แน่นขึ้นมา
ภาพที่ปรากฎอยู่ไม่ใช่ภาพสะท้อนในเรือนนั้นหากแต่เป็นภาพพื้นที่ชุ่มน้ำข้างนอกนั่น
ถูกแล้ว กระจกที่ฉายภาพสถานที่ไกลออกเป็นเป็นเหตุผลที่เขาอยู่แต่ในเรือนไม้ที่ออร่าสร้างขึ้นนานถึงสองวัน


สงครามครั้งนี้— ไม่สิ
เมื่อเผชิญหน้ากับขุมกำลังของมหาสุสานแห่งนาร์ซาริก นี่จะเป็นเพียงแค่การฆ่าล้างเอาฝ่ายเดียวที่เหลือก็เป็นงานเก็บซากและรวบรวมสินสงคราม


เมื่อโคคิวทัสได้รับมอบหมายงานนี้นายของเขาได้กำชับคำสั่งบางประการมาด้วย


หนึ่ง โคคิวทัสและบริวารนั้นห้ามสอดมือเข้าไปในการศึกนี้ การรบต้องดำเนินไปด้วยกองกำลังที่ได้รับจัดสรรให้
สอง ซากผีร้าย(lich -ผู้แปล)ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้นำทัพครั้งนี้จะต้องถูกหน่วงรั้งเอาไว้ไม่ให้สอดมือเข้าไปจนกว่าถึงคราวจำเป็นจริงๆ
สาม เขาต้องเป็นผู้ตัดสินใจในการศึกนี้


ยังมีข้อปลีกย่อยอยู่อีกแต่หลักๆที่สำคัญอยู่คือสามข้อนี้
เขาต้องได้ชัยจากการเคลื่อนทัพครั้งนี้เพื่อแสดงความภักดีให้ประจักษ์ชัดแก่เจ้าชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ของเขา


“ขอบคุณ และโปรดช่วยนำคำขอบคุณของข้าแจ้งแก่ไอนส์-ซามะด้วย”


เอนโทม่าพยักหน้าเล็กน้อย


“แล้ว… เจ้าจะกลับไปเลยรึยัง?”

“ไม่หรอก ข้าได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าดูการศึกนี้จนจบ”


งั้นเธอก็มาในฐานะผู้สังเกตุการ


โคคิวทัสที่เตรียมใจพร้อมแล้วรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดพล่านไปทั่วร่างจากความหนักหนาของหน้าที่ที่ได้รับ


เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย


โคคิวทัสใช้งานม้วนแผ่นหนังสื่อสารกับผู้นำทัพผู้ไม่ตายแจ้งคำสั่ง


"— เคลื่อนทัพได้"



กองไฟขนาดใหญ่สองกองบนฐานสูงจากพื้นอาบสิ่งต่างๆโดยรอบด้วยแสงวูบวาบของมัน
บนยกพื้นนั้นประกอบไปด้วยลิซาร์ดแมนจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นบรรดาหัวหน้าเผ่าและบรรดาบุคคลสำคัญในการศึกนี้
เบื้องหน้ายกพื้นคือกองกำลังลิซาร์ดแมนที่เตรียมตัวเข้าสู้ศึก เสียงที่ได้ยินเป็นระลอกจากพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัว—
พวกเขาพยายามเต็มที่แล้วที่จะไม่แสดงมันออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ เสียงดังกล่าวจึงได้ยินเป็นระลอกๆ


สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคือสงคราม เพื่อนที่อยู่เคียงข้างกันอาจจะตายในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
หรืออาจจะเป็นตัวพวกเขาเองก็เป็นได้ เพราะเบื้องหน้าพวกเขาคือสมรภูมิหฤโหด


ชาสุริว ชาชา ก้าวออกมาเบื้องหน้าบรรดาหัวหน้าเผ่าเพื่อยุติความวุ่นวายนี้


“ลิซาร์ดแมนทุกคนจงฟัง!” เสียงกังวาลสะกดทุกสิ่งอยู่ในความเงียบ ประโยคต่อๆมาล้วนฟังได้ชัดหูทุกคนในพื้นที่เปิด


“ข้ารู้ว่าทัพคู่ศึกเรามีมากมาย” ไร้เสียงโต้ตอบ แต่ความกังวลยังคงปรากฎในดวงตาของลิซาร์ดแมนไม่หายไปไหน


ชาสุริวเว้นช่วงเล็กน้อยจากนั้นกล่าวต่อด้วยเสียงอันดัง


“แต่อย่ากลัวไปเลย! เพราะครั้งนี้พวกเราทั้งห้าเผ่าร่วมศึกด้วยกันเป็นครั้งแรก นับจากศึกนี้เราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
และเพราะเหตุนี้วิญญาณบรรพชนของทั้งห้าเผ่าจะเฝ้าดูแลพวกเรา— และจะอำนวยพรแก่พวกเราทุกคนแม้จะเคยอยู่ต่างเผ่ามาก่อน”


“หัวหน้าดรูอิดของทุกเผ่า!”


เมื่อได้รับสัญญาณ ครัชก็เป็นผู้นำบรรดาหัวหน้าดรูอิดก้าวเท้าออกมาข้างหน้า หล่อนปลดเครื่องแต่งกายที่ปกปิดเกล็ดสีขาวเอาไว้ออก


“หัวหน้าดรูอิด ครัช ลูลู!”


ครัช ลูลูก้าวเท้ามาข้างหน้าอีกก้าวเป็นการตอบรับการเรียกขาน


“ทำการอัญเชิญบรรดาบรรพชนของเรา!”

“—จังฟัง เด็กๆแห่งเผ่าใหญ่นี้!”


ครัชพูดอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ เสียงเธอบ้างแข็งกร้าวบ้างอ่อนโยนสอดประสานดั่งท้วงทำนอง
แรกเริ่มทุกคนต่างรู้สึกแขยงในสีเกล็ดของครัช แต่เมื่อได้สัมผัสถึงพลังในน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความมั่นคงความรังเกียจก็หายไป
ร่างของครัชนั้นเอนไหวน้อยๆขณะที่พูดอยู่ เกล็ดขาวนั้นเปล่งประกายล้อแสงจากกองไฟ— ประกายนั้นเรืองรองราวกับบรรดาบรรพชนได้ลงมาประทับร่างของครัช


ใบหน้าของแต่ล่ะคนเริ่มแสดงออกถึงความชื่นชม


“ณ เวลานี้ห้าเผ่าเรากลายเป็นหนึ่งเดียว นั่นหมายถึงบรรพชนทุกเผ่าจะปกป้องพวกเรา! พวกเราถูกเฝ้ามองอยู่! ลิซาร์ดแมนทุกคน! ดูเถิด บรรพชนทั้งหลาย— ที่เราสืบต่อสายเลือดมา!”


ครัชเหยียดแขนออกอย่างอลังการ ชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า แววตาที่จับจ้องอยู่มองตา
แต่เบื้องบนนั้นก็คือฟ้าครึ้มไร้ซึ่งสัญญาณของปาฏิหาริย์ แต่มีเสียงที่แว่วตามมา


เสียงนั้นกล่าวว่า— ท้องฟ้าที่มืดครึ้มนั้นมีแสงลำเล็กๆลอดผ่านลงมา


จากเสียงเบาๆไม่กี่ปากก็กลายเป็นเสียงดังจากหลายๆปาก ลิซาร์ดแมนหลายๆคนตะโกนว่า “ข้าเห็นมัน”
บ้างก็บอกเป็นลำแสงเล็กๆ บ้างก็เห็นบรรพชนที่เขาสืบสายเลือดมา บ้างก็ว่าเห็นฝูงปลาตัวยักษ์
บ้างก็เห็นเป็นลูกหลานพวกเขา บ้างก็เห็นเป็นไข่(ไข่ในที่นี้น่าจะหมายถึงทารกของพวกลิซาร์ดแมนมากกว่าที่คนนึกถึงไข่ว่ามีไว้เจียว -ผู้แปล)


ลิซาร์ดแมนทุกคนต่างเข้าใจเป็นสิ่งเดียวกัน— บรรพชนของพวกเขาแจ้งนิมิตแก่พวกเขา


“บรรพชนทั้งหลายต่างก็อยู่ที่นี่แหละเพื่อปกป้องพวกเรา!”


เป็นการปกติอยู่แล้วที่พวกเขาต้องเปล่งเสียงตะโกนเช่นนั้นออกมา


“รับรู้สิ! รับรู้ถึงพลังที่เอ่อท้นในกายพวกเจ้า!” เสียงของครัชเหมือนกังวาลอยู่ในหัวของทุกคน เหมือนอยู่ใกล้ เหมือนอยู่ไกล


หลังเสียงนั้นลิซาร์ดแมนต่างรู้สึกถึงพลังที่เอ่อล้นในตัวพวกเขา


“รับรู้สิ! พลังที่ถูกส่งมาให้จากบรรพชนของทั้งห้าเผ่า!”


ลิซาร์ดแมนทุกคนต่างรู้สึกถึงมัน


พลังที่เอ่อล้น เลือดที่พล่านทั่วร่างพาเอาความกลัวจากไป ตัวพวกเขาร้อนผ่าวราวกับดื่มเหล้าเข้าไป
นี่น่าจะเป็นหลักฐานที่ชัดแจ้งที่สุดว่าบรรพชนต่างเฝ้าดูแลพวกเขาอยู่
ครัชเบือนหน้าจากบรรดาลิซาร์ดแมนที่กำลังเบิกบานใจไปพยักหน้าให้กับชาสุริว


“จงฟังข้าหน่อยลิซาร์ดแมนทั้งหลาย ศัตรูเรานั้นมากกว่าแต่เราจะพ่ายศึกนี้หรือไม่?”

“ไม่!”


ลิซาร์ดแมนที่กำลังมึนเมากับบรรยากาศประสานเสียงตอบจนสะท้านไปทั่วท้องฟ้า


“ถูกต้อง! บรรพชนทั้งหลายต่างปกป้องเราอยู่ เราไม่มีทางจะแพ้ไปได้! พิชิตข้าศึกและบรรณาการชัยนะนี้แก่พวกท่าน!”

“โอ้!!”


กำลังใจเต็มเปี่ยม ไม่มีลิซาร์ดแมนคนไหนรู้สึกกังวลอีกต่อไปแล้ว
มีเพียงลิซาร์ดแมนที่กระสันจะเข้าสู้ศึกอย่างนักรบ ต่างก็รอคอยการเปิดฉากของสงครามอย่างยากระงับใจ


พวกเขาไม่ได้ต้องมนต์ แม้จะมีดรูอิดมากมายที่นี่ แต่ลิซาร์ดแมนที่มารวมกันนั้นมากหลายเกินไปและมานาก็จะเสียเปล่าก่อนการรบจะเริ่มขึ้นไม่ได้เลย


ทั้งหมดนี้มาจากฤทธิ์ยาในเครื่องดื่มที่แจกจ่ายแก่ลิซาร์ดแมนทุกคนก่อนจะเข้ามาร่วมกันที่ตรงนี้


มันเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจในสูตรที่ตกทอดกันมาของลิซาร์ดแมน
ซึ่งในส่วนประกอบของมันมีสมุนไพรที่จะทำให้ลิซาร์ดแมนมึนเมา มีความสุข และเห็นภาพหลอนในห้วงเวลาสั้นๆ(ฟังดูคล้ายสมุนไพรบางชนิดนะว่าไหม  -ผู้แปล)


การขึ้นไปพูดของครัชก็พื่อถ่วงเวลาให้ตัวยาออกฤทธิ์


สำหรับคนที่รู้อยู่แล้วมันก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ แต่คนที่เหลือล้วนเข้าใจว่าเห็นกับตาเจอกับตัวว่าบรรพชนต่างลงมาช่วยเหลือพวกตน—
นอกจากนี้พิธีการก็มีส่วนช่วยเรียกความกล้าหาญออกมาด้วยเช่นกัน


“เอาล่ะจากนี้ไปจะมีการแจกสีแต้มกายก่อนเข้าสู้ศึก ก่อนนี้พวกเราใช้เพียงสีเดียวของเผ่า แต่วันนี้ห้าเผ่าร่วมเป็นหนึ่ง ดังนั้นจงรับสีทั้งหมดไปแต้มกายพวกเจ้า!”


ดรูอิดหลายคนช่วยกันหาบหม้อสีผ่านฝูงลิซาร์ดแมนที่ออกันอยู่


ลิซาร์ดแมนต่างรับสีมาแต้มกายเตรียมเข้าสู่สงคราม พวกเขาเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปตามเจตนาของบรรพชนจึงปล่อยให้นิ้วของพวกเขาแต่งแต้มร่างกายตามแต่มันจะพาไป
ด้วยบรรพชนห้าเผ่าที่เฝ้ามองอยู่ ทั้งตัวของลิซาร์ดแมนบางคนจึงถูกละเลงไว้ด้วยสี


แต่ลิซาร์ดแมนจาก ‘กรีนครอว์’ แทบจะไม่แต้มสีบนร่างกายเลย ทั้งนี้เพราะทั้งชาสุริว ซาริวสุและบรรดานักรบหัวกระทิของเผ่าต่างไม่มีใครแต้มสีบนกายเลย
พวกเขาเลือกที่จะเลียนแบบวีรชนของเผ่ามากกว่า


หลังจากแน่ใจว่าทุกคนพร้อมแล้ว ชาสุริวชักดาบใหญ่สองมือออกมาแล้วชี้ออกไปที่ประตู


“เดินหน้า!”

“โอ้!!”


เสียงที่สอดประสานสั่นสะเทือนผืนดินอีกครั้ง

Part 3
ทัพของมหาสุสานนาซาริกที่เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ชุ่มน้ำคร่าวๆแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน
จากมุมมองของลิซาร์ดแมนแล้วทัพซอมบี้อยู่ทางซ้ายมือและซากกระดูกผี(skeletons)อยู่ทางขวา
ส่วนซากกระดูกผีมือธนู(skeleton archers)และบนหลังม้า(skeleton riders)อยู่ด้านหลังซากกระดูกผี(skeletons)ออกไปอีก
ส่วนสัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)รั้งท้ายอยู่ตรงกลางทัพ


ลิซาร์ดแมนที่มีจำนวนน้อยกว่าก็แบ่งออกเป็นสองส่วนเช่นเดียวกัน
ที่รับมือกับซอมบี้คือลิซาร์ดแมนหญิงและบรรดานักล่า
ขณะที่ลิซาร์ดแมนชายต้องรับมือกับซากกระดูกผี(skeletons)
ส่วนดรูอิดนั้นถูกจัดให้เสริมกำลังที่กำแพงหมู่บ้าน


ลิซาร์ดแมนตั้งทัพนอกกำแพงหมู่บ้านเพราะกำแพงมันไม่ได้ทนทานอะไรนักและพวกเขาก็ไม่มีทัพหนุนที่ไหนจะมาช่วยอีกด้วย
ในขณะเดียวกันทัพผู้ไม่ตาย(undead)ไม่ต้องมีการกินดื่มพักผ่อน
ด้วยความเสียเปรียบเช่นนี้การตั้งรับในป้อมค่ายเป็นตัวเลือกที่แย่มาก


แต่เมื่อทัพทั้งสองฝ่ายจัดกระบวนเสร็จความแตกต่างก็เด่นชัดกันตอนนี้เอง


ลิซาร์ดแมนหนึ่งคนต้องรับมือคู่ต่อสู้ถึงสาม หรือสิบต่อสามสิบ
อัตราส่วนนั้นไม่เปลี่ยนแปลงแต่การต้องรับมือทัพผีนรกที่มากกว่าฝ่ายตัวเองสามเท่านั้นบั่นทอนขวัญกำลังใจอย่างยิ่ง
แต่ถึงกระนั้นลิซาร์ดแมนก็ไม่แสดงออกถึงความกลัวให้เห็นอีกแล้ว เพราะพวกเขาถูกปกปักษ์โดยบรรพชนอยู่


ครู่ต่อมาหลังเสร็จการจัดกระบวนทัพ ผู้ไม่ตาย(undead)ก็เริ่มเคลื่อนทัพอย่างช้าๆ พวกแรกที่ขยับคือซอมบี้แล้วซากกระดูกผี(skeletons)
อาจจะด้วยเหตุผลเรื่องการสงวนกำลังซากกระดูกผีมือธนู(skeleton archers)และบนหลังม้า(skeleton riders)ยังรั้งอยู่ไม่เคลื่อนไปไหน
จากนั้นลิซาร์ดแมนก็เริ่มเคลื่อนทัพเช่นกัน


“Warrrggghh!”


เสียงกู่ร้องก่อนสู้สงครามกึกก้องแทบทำหูดับสะท้านพื้นที่ชุ่มน้ำ ตามมาด้วยเสียงโคลนเลนสาดกระจาย


ขณะที่ทัพทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันจวนจะถึงจุดปะทะ บางสิ่งเกิดขึ้นกับทัพนาซาริก


แม้ทัพจะเคลื่อนพร้อมกันแต่ซอมบี้ได้นั้นเชื่องช้างุ่มง่าม ในขณะที่ซากกระดูกผี(skeletons)นั้นเร็วกว่ามากเมื่อเทียบกัน ทำให้ทัพสองฝั่งไม่พร้อมเพรียงกัน
แต่ที่ส่งผลหนักที่สุดคือพื้นที่โคลนเลนนั้นยากต่อการเคลื่อนไหวอย่างยิ่ง
ซอมบี้นั้นเคลื่อนที่ได้ช้ามากเพราะโคลนแทบจะตรึงพวกมันไว้กับที่ได้ แต่ซากกระดูกผี(skeletons)นั้นไม่ได้รับผลเช่นเดียวกันเท่าใดนัก
ด้วยเหตุดังกล่าวทัพที่ปะทะกันก่อนคือซากกระดูกผี(skeletons)กับนักรบลิซาร์ดแมน


ลิซาร์ดแมนนั้นไม่มีกระบวนทัพอย่าว่าแต่กลยุทธ ที่พวกเขาทำก็คือกู่ร้องและพุ่งเข้าหาคู่ศึกพร้อมอาวุธในมือเพียงเท่านั้น (...ฝูงเซ็นบูรุ -ผู้แปล)


ที่นำหน้าทัพอยู่นั้นเป็นนักรบระดับหัวหน้าของห้าเผ่า
การที่ระดับหัวหน้ามานำทัพอยู่บริเวณจุดปะทะนี้เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งแต่ก็จำเป็น
เพราะพวกเขามีประสบการรบมากที่สุดและถ้าพวกเขาไม่มาที่แนวหน้ากำลังใจจะรบก็จะถดถอยลง
และผลที่ได้ก็คุ้มเพราะขวัญกำลังใจทัพลิซาร์ดแมนก็ได้กระตุ้นให้ลุกโชนขึ้นไปอีก


ถัดจากพวกเขาคือนักรบเกราะหนักจากเผ่าเลเซอร์เทล พวกเขาสวมเกราะหนังและถือโล่ เป็นกลุ่มที่มีการป้องกันดีที่สุด
ด้วยโล่ห์ที่ถูกยกสูงขึ้น พวกเขาโผนทะยานเข้าหาทัพซากกระดูกผี(skeletons)


เป็นการเข้าปะทะอย่างหนักหน่วง— ทัพหน้าของทั้งสองฝ่ายเข้าสู่การตะลุมบอน


ในพริบตาที่ทัพทั้งสองเข้าปะทะกันเศษกระดูกกระจายไปทั่ว ลิซาร์ดแมนสร้างช่องโหว่ขนาดใหญ่ในทัพซากกระดูกผี(skeletons)


เสียงคำรามสู้ศึกดังประสานกับเสียงการแตกหักของกระดูก
เสียงจากความเจ็บปวดก็มีเช่นกันแต่มันถูกเสียงการแตกหักของกระดูกที่ดังกว่ากลบไปอย่างง่ายๆ


ลิซาร์ดแมนนั้นมีชัยอย่างต่อเนื่องนับจากเริ่มปะทะมา


ถ้าเปลี่ยนเป็นทัพมนุษย์ผลลัพท์จะต่างออกไป
เพราะซากกระดูกผี(skeletons)นั้นก็คือโครงกระดูกนี่เอง การโจมตีด้วยการฟันหรือแทงนั้นด้อยประสิทธิภาพต่อซากกระดูกผี(skeletons)
ทัพมนุษย์ที่มีดาบเป็นอาวุธยืนทัพต้องพบกับศึกหนักอย่างแน่นอนหากต้องมารบแทนลิซาร์ดแมน


ลิซาร์ดแมนได้เปรียบเนื่องจากอาวุธยืนพื้นของลิซาร์ดแมนคือไม้กระบองและค้อนศึกซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ทุบและปะทะ ซึ่งเป็นของแสลงของซากกระดูกผี(skeletons)
ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่มีการหวดออกไปก็จะมีการแตกกระจายของซากกระดูกตามมา แม้จะไม่สิ้นฤทธิ์ในครั้งแรกหวดต่อมาก็จะทำให้งานเสร็จสิ้นลง
ขณะเดียวกันซากกระดูกผี(skeletons)เองกลับทำอะไรลิซาร์ดแมนไม่ได้เลยเพราะดาบที่มีอยู่นั่นผุทื่อไม่เพียงพอจะกินลึกใต้เกล็ดลิซาร์ดแมน
ลิซาร์ดแมนอาจจะเจ็บบ้างแต่ไม่มีอันตรายสาหัส


นับจากวินาทีแรกที่ปะทะ


ซากกระดูกผี(skeletons)ก็ถูกทำลายไปกว่าห้าร้อยตน เศษกระดูกกระจายทั่วพื้นที่เช่นนั้นเอง





ภาพดังกล่าวเห็นชัดจากกระจกที่โคคิวทัสเฝ้าดูอยู่


การศึกเพิ่งจะเริ่มก็จริง แต่ประสิทธิภาพในการรบของลิซาร์ดแมนก็เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน
โคคิวทัสเป็นนักรบชั้นเยี่ยมและความสามารถในการประเมินคู่ต่อสู้ของเขาก็เยี่ยมยอดด้วยเช่นกัน
ลิซาร์ดแมนทุกคนต่างถูกล้อมเอาไว้ด้วยซากกระดูกผี(skeletons) แต่พวกเขาก็ยังไม่เสียบเปรียบ


แต่ผลงานการรบที่เยี่ยมยอดขนาดนี้ทำให้โคคิวทัสสงสัยว่าอาจจะมีพลังงานบางอย่างจากบุคคลปริศนาหนุนหลังลิซาร์ดแมนอยู่ก็เป็นได้


จากที่ปรากฎหากจะพิชิตชัยลิซาร์ดแมน ซากกระดูกผีมือธนู(skeleton archers)และบนหลังม้า(skeleton riders)อาจจะเป็นตัวเลือกเดียว
จากการประเมินของโคคิวทัส ทัพซากกรtดูกผี(skeletons)ที่กำลังล่มอยู่นั้นให้ประโยชน์อย่างเดียวคือทำให้ลิซาร์ดแมนเหนื่อยอ่อน
และถึงเป็นเช่นนั้นทัพที่เหลืออยู่ของโคคิวทัสก็จะกลายเป็นฝ่ายที่น้อยกว่าเสียเอง
เพราะจะเหลือเพียง 300สัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts) 150ซากกระดูกผีมือธนู(skeleton archers)และ 550ซากกระดูกผีบนหลังม้า(skeleton riders)


โคคิวทัสเริ่มการวิเคราะห์ในหัว


ทัพผู้ไม่ตาย(undead)นั้นห่างไกลจากคำว่าอ่อนแอ โดยเฉพาะศึกระยะยาว ผู้ไม่ตาย(undead)ไม่เจ็บไม่กลัว ไม่ต้องกินดื่มนอนหลับ
ความได้เปรียบนี้มาจากธรรมชาติของผู้ไม่ตาย(undead)เอง
ยกตัวอย่างเช่นสิ่งมีชีวิตปกติย่อมลงไปนอนชักกับพื้นแล้วหากถูกทุบเข้าที่หัวอย่างแรงด้วยกระบอง
ต่อให้ไม่ตายก็หมดสภาพที่จะสู้ต่อไปหรือหมดกำลังใจจะรบต่อ
นักรบที่ถูกเคี่ยวกรำมาอาจจะทนได้แต่นั่นมันส่วนน้อยและหายากไม่ใช่กรณีทั่วไป
มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต


แล้วกับผู้ไม่ตายเล่า?


ทุบหัวของมัน? มันก็ยังโจมตีท่านต่อไป
หักแขนของมัน? มันจะคว้านไส้ท่านด้วยปลายแขนที่หักนั่นเอง
ช่วงล่างถูกทำลายล่ะ? มันก็จะคลานเข้าหาท่านต่อ


ตราบเท่าที่พลังงานด้านลบที่คำยันมันอยู่ยังไม่หายไปไหนมันก็ยังคงอยู่
ผู้ไม่ตาย(undead)ก็จะทำการรบต่อไป ตราบเท่าที่เงื่อนไขการถูกทำลายยังไม่บริบูรณ์—
ซึ่งการตัดหัวออกสำหรับผู้ไม่ตาย(undead)แล้ว— มันไม่ได้ผลอย่างที่ทำกับมนุษย์
จะว่าไปผู้ไม่ตาย(undead)คือทัพในอุดมคตินั่นเอง


ในเรื่องของพละกำลังนั้นแม้จะด้อยกว่าลิซาร์ดแมนแต่นั่นมันไม่จริงเสมอไป


โคคิวทัสประเมินค่าลิซาร์ดแมนสูงกว่าเดิมอีกขั้น เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้โดยไม่ต้องพยายาม
เมื่อรับรู้เช่นนั้นที่จำเป็นสำหรับโคคิวทัสก็คือจะทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนกระแสทิศทางของการรบได้?


"ถอยทัพตอนนี้แล้วเริ่มสังเกตุการใหม่จะดีไหม?”

“ข้าเชื่อว่านั่นเป็นตัวเลือกที่ดี เจ้านาย”

“ส่งซากกระดูกผีมือธนูและบนหลังม้าไปเสริมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า นายท่าน”

“ไม่ ข้าว่าเราควรโหมบุกเพื่อผลาญพลังกายพวกมัน นายท่าน”

“รอพวกมันเหนื่อยอ่อนจะไปได้เรื่องอะไร? ถ้าทำลายฐานที่มั่นของพวกมันไม่ได้ พวกมันก็แค่กลับไปนอนพักเท่านั้นเอง?”

“ก็จริง และแนวป้องกันของพวกมันก็คือกำแพงดินที่เปราะบาง พวกเราจะเปลี่ยนเป็นโจมตีค่ายพวกมันก่อนแล้วค่อยแตกทัพพวกมันดีไหม?”


ฟังบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอความเห็นและถกเถียงกันได้ครู่หนึ่ง โคคิวทัสก็ล้วงเอาม้วนแผ่นหนังที่ใช้สื่อสารออกมา
เขาเหลือบมองเอนโทม่าจากหางตา แล้วสังเกตุสีหน้าของเธอ
เอนโทม่าดูเบื่อๆขณะเฝ้าติดตามภาพที่ปรากฎในกระจก เธอยื่นขนมที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหนไปที่ใต้คางของเธอ
จากนั้นเสียงกรุบกรุบก็ดังพอจะได้ยินถนัดหู แต่หน้าเธอกลับว่างเปล่าอยู่อย่างเดิม


— เปล่าเลย จริงๆแล้วใบหน้าที่เรียบเฉยนั่นเป็นเพียงของประดับเท่านั้น


โคคิวทัสนึกขึ้นได้ถึงร่างจริงของเธอแล้วก็พาลอดจะขำในความเซ่อของตัวเองไม่ได้ที่ไปพยายามสังเกตุสีหน้าเธอเข้า


เธอเป็นผู้กัดกินพวกพ้อง
แม้แต่เพื่อนของโคคิวทัส หนึ่งในห้าผู้ชั่วร้าย เคียวฮุโค(เจ้าแห่งความกลัว)
ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับเธออย่างไม่ลังเลว่า ‘ยัยนั่นแหละน่ากลัวที่สุด’
และนั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเอนโทม่า


โคคิวทัสล้มเลิกความพยายามที่จะอ่านใจเอนโทม่าแล้วใช้งานม้วนแผ่นหนังสื่อสารกับพวกผู้นำทัพ





“พวกมันกำลังดูถูกเราอยู่รึ?”


เซ็นบูรุพึมพำ เขาไม่ได้เสียงดังอะไร แต่ทุกคนที่อยู่บนกำแพงนั่นก็ได้ยินถนัด


“ทัพม้าและมือธนูของพวกมันยังอยู่กับที่อยู่เลย หรือพวกมันจะประเมินเราไว้ต่ำมากขนาดนั้น…”

“ก็ว่างั้น ข้ายังเข้าใจว่าพวกมันจะบุกมาพร้อมกันทั้งหมดเสียอีกตอนแรก…”

“สู้กับซอมบี้มันง่ายจริงๆ”


ที่สู้กับซอมบี้อยู่มีเพียงนักล่า45คนเท่านั้น โดยใช้เทคนิคโจมตีด้วยก้อนหินแล้วหลบฉาก
พวกนักล่าล่อฝูงซอมบี้ออกห่างจากฝั่งซากกระดูกผี(skeletons) ซึ่งต่อมาถูกกระหนาบโดยลิซาร์ดแมนหญิง


“ความเคลื่อนไหวของพวกมันออกจะพิลึกไปหน่อยนะว่าไหม?”

“… เห็นด้วย”


แทนที่จะเป็นการถูกล่อ ซอมบี้ดูจะโฟกัสไปที่บรรดานักล่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผู้บัญชาทัพพวกมันต้องการเช่นนี้รึ? เปล่าเลย ไม่มีผู้บัญชาการหน้าไหนจะยอมให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วและซอมบี้ก็กำลังถูกจูงจมูกอยู่นั่นเอง
แล้วอะไรคือวัตถุประสงค์ของศัตรูกันแน่? ทุกคนต่างก็สงสัยในเรื่องนี้


“ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมพวกมันเคลื่อนไหวอย่างนั้น”

“ข้าเห็นด้วยกับซาริวสุ”


ไม่ว่าพวกเขาจะคิดมากเพียงไหนมันก็ออกมาอย่างเดิม ซอมบี้เคลื่อนที่อย่างไร้จุดหมาย
ซาริวสุคิดอยู่ชั่วครู่ก็แสดงความเห็นของตนออกมาให้คนอื่นๆรับฟัง


“หรือพวกมันจะไร้ผู้นำทัพ?”

“ไร้ผู้นำทัพ…? อ๊ะ เจ้าหมายถึงมันแค่ทำตามคำสั่งแรกที่ได้รับมาเท่านั้นหลังจากถูกเรียกมา?”

“ใช่ ตามนั้นเลย”


ในบรรดาเหล่าผู้ไม่ตาย(undead)ซอมบี้แหละซากกระดูกผี(skeletons)มีสติปัญญาต่ำที่สุด
การใช้งานพวกมันอย่างมีประสิทธิภาพต้องให้คำสั่งอย่างต่อเนื่อง
แต่ซอมบี้ฝูงนี้ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งมาเพียงให้กำจัดลิซาร์ดแมนที่ใกล้พวกมัน
นี่คือสิ่งที่ซาริวสุหมายถึง


“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงอีกฝ่ายก็เชื่อว่าจะจัดการพวกเราได้ด้วยจำนวนเพียงอย่างเดียว…
ไม่ หรือนี่จะเป็นการทดลองว่าพวกผู้ไม่ตาย(undead)จะสู้ได้แค่ไหนถ้าไร้คำสั่งจากผู้นำ?”

“นั่นก็อาจจะใช่”

“มารดามัน! มันเจตนาจะยั่วโทสะเรารึไง?”


ที่สบถอย่างมีโทสะเมื่อครูไม่ใช่เซ็นบูรุแต่เป็นชาสุริว ซึ่งแม้แต่คนอารมณ์ดีอย่างเขาก็อดไม่ไหว
นั่นก็เข้าใจได้เพราะลิซาร์ดแมนต่างเอาชีวิตเดิมพันกับศึกนี้


“ใจเย็นชาสุริว เรื่องจริงมันอาจไม่เรียบขนาดนั้น”

“อือ ข้าต้องขออภัยด้วย… แต่มันก็ดีแล้วล่ะที่เรากินนิ่มกินเนียนแบบนี้”

"ถูกแล้วพี่ข้า เราต้องฉวยโอกาสนี้ลดจำนวนอีกฝ่าย”


ความเหนื่อยล้าจากศึกนั้นหนักหนา สมองก็มึนชาจากการรบ
เมื่อเจอศัตรูรอบด้านเช่นนี้ก็ไม่มีทางจะทราบเลยว่าดาบต่อไปจะมาจากทางไหน
การรบในสภาพเช่นว่าทำให้เหนื่อยกว่าปกติมาก


แต่ผู้ไม่ตาย(undead)นั้นไม่รู้เหนื่อยและไม่ต้องการพักผ่อน
ความแตกต่างของสิ่งมีชีวิตกับผู้ไม่ตาย(undead)ขยายกว้างออกตามเวลาที่ผ่านไป
เวลาไม่เข้าข้างลิซาร์ดแมน


“ชิ ข้าเองก็อยากลุยทุ่งเหมือนกันนะ”

“อดทนไว้เซ็นบูรุ”


ถ้าผู้มีทักษะระดับเซ็นบูรุเข้าสู่สนามการจัดการทัพซากกระดูกผี(skeletons)ต่อไปก็งวดสั้นเข้าอย่างมาก
แต่นั่นจะหมายถึงการเผยให้อีกฝ่ายเห็นไพ่ตายของฝ่ายลิซาร์ดแมน
ซาริวสุและคนอื่นๆต่างเป็นไพ่ตายที่จะออกโรงไม่ได้จนกว่าศัตรูที่แข็งแกร่งของอีกฝ่ายจะปรากฎ


“ถ้าอีกฝ่ายเคลื่อนทัพมาเสริมแล้วมันจะต่างจากเอาชัยนะใส่พานมาให้เราตรงไหน?” ซาริวสุกล่าวกับคนอื่นๆ และต่างก็เห็นด้วย

“แล้วทางฝั่งเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซาริวสุถามครัชที่อยู่ข้างๆ

“... อื้อ พิธีกรรมเป็นไปตามแผน”


ครัชตอบขณะหันไปดูหมู่บ้านเบื้องหลังพวกเขา ดรูอิดกำลังดำเนินพิธีกรรมเตรียมพร้อม พวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญถัดไป
ปกติแล้วพิธีกรรมเช่นนี้กินเวลาอย่างมาก แต่ด้วยจำนวนดรูอิดจากทั้งห้าเผ่าเวลานั้นหดสั้นลง พวกเขาน่าจะได้ใช้มันในศึกนี้


“... ทีมเวิร์คนี่มันเยี่ยมจริงๆ”

“ใช่… ถูกแล้ว เราแบ่งปันข้อมูลหลังศึกก่อนบ้าง… แต่ข้ามีมากหลายที่จะอยากแบ่งปันหลังศึกนี้”


บรรดาหัวหน้าเผ่าคนอื่นๆต่างเห็นด้วยกับซาริวสุอย่างมาก
พวกเขาแบ่งปันความรู้กันเพราะศึกนี้ และได้เห็นชัดๆถึงประโยชน์ของการร่วมมือกัน
ในอดีตก็มีพันธมิตรศึกแบบนี้แต่ผู้นำเผ่าถึงสามคนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า แต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
ซาริวสุมองไปที่พวกเขาแล้วยิ้ม


“อมยิ้มอะไรของเจ้า?”

“ไม่มีใด ข้าแค่รู้สึกว่าสถานะการคับขันปานนี้ข้ายังมีเรื่องให้ยินดีอยู่”


ครัชเข้าใจซาริวสุทันที


“— ข้าด้วย ซาริวสุ”


เห็นครัชยิ้มอย่างสดใสปานนั้น ซาริวสุอดไม่ได้ที่จะต้องหยีตาราวกับจ้องบางอย่างที่เจิดจ้ามากๆไม่ได้ ตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักและนับถือ
ตัวพวกเขาไม่ได้สัมผัสกัน นั่นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะขณะนี้ลิซาร์ดแมนบางคนกำลังตายในการรบ พวกเขาทำตามใจอยากไม่ได้เพราะทราบเช่นนั้น
แต่หางของพวกเขากลับเคลื่อนไหวของมันเอง มันแกว่งไกวไปมาเป็นพักๆ


“มู…”

“ในฐานะพี่ ข้าควรรู้สึกเช่นไรดี?”

“สองคนนั่นอยู่โลกส่วนตัวแล้วล่ะ”

“เร่าร้อนกันจริงๆ”

“ก็นะ… การเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่มันดีจริงๆ อนาคตที่สดใสรอพวกเขาอยู่”


ลิซาร์ดแมนที่แก่กว่าทั้งสี่คนพยักหน้าขณะจ้องไปยังคู่รักที่อ่อนวัยกว่าคู่นั้น
เป็นไปไม่ได้เลยที่ซาริวสุและครัชที่จะไม่สังเกตุเห็น แม้หางจะควบคุมไม่ได้แต่พวกเขาพยายามรักษาหน้าให้เรียบเอาไว้


“พี่ข้า ข้าศึกเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”


ชาสุริวและคนอื่นๆพากันยิ้มแห้งๆเมื่อซาริวสุเปลี่ยนโหมดกระทันหัน
พวกเขาต่างเห็นการเคลื่อนทัพของซากกระดูกผีบนหลังม้า(skeleton riders)กระจายออกสองข้างก่อนจะเคลื่อนกำลังเข้าหา


“เฮ้ย เฮ้ย พวกมันกำลังเคลื่อนทัพเข้ามาทางพวกเราเรอะ?”

“ด้วยทัพม้าเนี่ยนะ? พวกนั้นตั้งใจจะทำลายขวัญทัพเราโดยการบุกค่ายเราเรอะ?”

“ไม่หรอก พวกมันน่าจะพยายามอ้อมเพื่อที่จะล้อมโจมตีพวกนักรบและลิซาร์ดแมนชาย”


ไม่เข้าท่าแล้ว


พวกเขาต่างทราบดีถึงภัยจากความคล่องตัวของทัพม้าข้าศึก


ถ้าทัพม้าเข้าสู่สนามแต่แรกพวกลิซาร์ดแมนคงเร่งจัดการพวกมันเป็นอย่างแรก
ขณะนี้บรรดานักรบต่างสู้กันหัวหมุนกับศึกรอบด้าน ส่วนพวกนักล่าก็กำลังลวงซอมบี้อยู่
และบรรดาลิซาร์ดแมนหญิงก็วุ่นกับการล้อมยิงหินกระสุนใส่ซากกระดูกผี(skeletons)
ตอนนี้ไม่มีกำลังส่วนไหนว่างไปรับมือจัดการกับทัพม้าข้าศึกเลย


“ข้าว่าได้เวลาพวกเราต้องออกโรงแล้วล่ะ”


ชาสุริวพยักหน้ายอมรับข้อเสนอจากหัวหน้าเผ่าสมอลแฟงส์


“ถึงเวลาเราแสดงพลังให้อีกฝ่ายเห็นบ้างล่ะ… ปัญหาคือเราจะส่งใครออกไปดี”





Skeleton riders.

ซากกระดูกผี(skeletons)กับทวนในมือบนหลังม้าโครงกระดูก(skeletal horses) ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากความคล่องตัวที่ดูจะเด่นมากบนพื้นที่ชุ่มน้ำนี้
ด้วยความที่ตัวมันมีแต่โครงกระดูกทำให้แต่ล่ะก้าวจมลงไปในโคลนเพียงตื้นๆ ทำให้พวกมันเคลื่อนที่ได้อย่างทัพม้าบนพื้นราบ


ทัพม้าร้อยตนเวียนทัพลิซาร์ดแมนเพื่อที่จะเข้าโจมตีขนาบ


พวกมันเห็นลิซาร์ดแมนสามคนเข้ามาหาพวกมันทางที่พวกมันกำลังมุ่งหน้าไป — ซึ่งเป็นทิศทางของหมู่บ้าน — พวกมันเมินสามคนนั่น
เมื่อไร้ซึ่งคำสั่งพวกมันจะไม่สนอะไรทั้งนั้นถ้าไม่ไปโจมตีพวกมันก่อน มันเป็นธรรมชาติของผู้ไม่ตาย(undead)ระดับล่างที่สติปัญญาต่ำ
ก่อนที่พวกมันจะเข้าประชิดด้านท้ายทัพของลิซาร์ดแมน ซากกระดูกผีบนหลังม้า(skeleton riders)ที่นำอยู่ด้านหน้าก็คะมำลง
พวกมันกระเด็นขึ้นท้องฟ้าก่อนจะร่วงลงมาจมเลน


ถ้าเป็นมนุษย์ก็คงจะเกิดการสับสนและไม่โต้ตอบทันใด แต่ผู้ไม่ตาย(undead)รับคำสั่งมาและมันปฏิบัตตามนั้น
มันลุกขึ้นยืนทันทีแต่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์นักจากความเสียหายที่เกิดขึ้น
ซากนั้นถูกกระดูกผีบนหลังม้า(skeleton riders)ตนอื่นๆพุ่งชนและกระดูกของมันก็กระจายไปทั่วพื้นที่
เหตุการแบบนี้เกิดขึ้นเนืองในหลายพื้นที่


แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? คำตอบง่ายๆก็คือ— กับดัก


พื้นที่บริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยหลุมซึ่งถูกขุดและพรางเอาไว้ เมื่อทัพม้าวิ่งมาเหยียบมันเข้ากับดักก็ทำงาน
ทัพม้าหลายรายต่างพากันร่วงลงหลุม ถ้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์นี่จะทำให้พวกเขาต้องชะงักแน่นอน แต่ไม่ใช่กับซากผี(undead)พวกนี้
พวกมันก็แค่หลบเอาง่ายๆกับหลุมที่เผยให้เห็นแล้ว แต่ก็พากันร่วงลงหลุมที่ยังถูกซ่อนอยู่ เพราะไม่มีคำสั่งและไม่มีปัญญาพอคิดอะไร
ภาพที่ปรากฎเหมือนการฆ่าตัวตายหมู่ของข้าศึกด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า (ผีวิ่งลงหลุมถือว่าฆ่าตัวตายรึเปล่านิ (=w= " -ผู้แปล)


กับดักแม้ทำงานอย่างดีแต่ก็ได้แค่ซื้อเวลาเท่านั้น
มันสร้างความเสียหายแต่ไม่ถึงกับทำลายซากผี(undead)พวกนั้น พวกที่ล้มลงไปเปรอะโคลนก็ลุกขึ้นมาใหม่
ทันใดก็มีเสียงผิวปากดังขึ้นและซากผีตัวหัวหน้า(skeleton rider commander)ก็พุ่งทะยานไปหาต้นเสียงทันที
ทัพม้ากระดูก(skeleton riders)ถือว่านั่นเป็นการคุกคามและเริ่มสำรวจพื้นที่โดยรอบ


หัวของซากผีอีกหัวที่ถูกทำลายเป็นเสี่ยงเหมือนแก้วแตก
ทัพม้ากระดูก(skeleton riders)พบลิซาร์ดแมนสามคนห่างจากพวกมันออกไปแปดสิบเมตร
พวกมันเห็นพวกนั้นยิงหินกระสุนด้วย กระสุนหินถูกยิงเข้าใส่หัวพวกมัน——
ทัพม้าเริ่มเคลื่อนอีกครั้ง


ในเวลาเดียวกันการรบกับทัพซากกระดูกผี(skeletons)ก็เริ่มเปลี่ยนไป
เสียงดีดของสายธนูที่ถูกน้าวเป็นที่ได้ยินในสนามรบ ตามมาด้วยฝนลูกศรที่ร่วงลงมา
กระดูกผีมือธนู(skeleton archers)ระดมยิงลูกธนูใส่ทัพซากกระดูกผี(skeletons)ที่กำลังประจัญบานอยู่ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่ถึงสามระลอก


การโจมตีนี้สร้างความประหลาดใจให้กับลิซาร์ดแมน


ลิซาร์ดแมนหลายต่อหลายคนถูกยิงและล้มลง พวกเขาระวังลูกดอกขณะต้องรับมือกระดูกผีไปพร้อมกันไม่ได้
ในขณะที่กระดูกผีก็โดนยิงเช่นกันแต่ลูกศรพวกนั้นไม่ทำความเสียหายกับพวกมัน
การจัดวางซากกระดูกผีไว้ทัพหน้าแล้วมือธนูระดมยิงอยู่ด้านหลังเป็นรูบแบบการจัดทัพที่ยอดเยี่ยม
ด้วยกลยุทธนี้ เวลาที่ลิซาร์ดแมนต้องใช้รับมือกับซากกระดูกผี(skeletons)กว่าสองพันตนนั้นมากกว่าเวลาที่ลิซาร์ดแมนทั้งหมดจะถูกล้างบาง


ปัญหาคือกลยุทธนี้ถูกนำมาใช้ช้าไป ถ้ามันถูกใช้ตั้งแต่แรกลิซาร์ดแมนต้องเข้าสู่สภาวะคับขันไปแล้ว
ทัพซากกระดูกผีคงจะขยี้ลิซาร์ดแมนด้วยจำนวนไปแล้ว แต่อย่างไรเสียตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้ว


ลิซาร์ดแมนละความสนใจทัพซากกระดูกผี(skeletons)ที่จำนวนร่อยหรอลงแล้วพุ่งเข้าหามือธนู(skeleton archers)ทัพข้าศึก


ลูกศรจากมือธนูซากกระดูกผี(skeleton archers)ร้อยห้าสิบตนร่วงลงมาเป็นฝน ลิซาร์ดแมนที่ถูกมันก็ล้มลงจมโคลน แต่ก็มีเพียงจำนวนไม่มากเท่านั้น
ด้วยหนังที่หนาเหนียวและเกล็ดแข็งๆของลิซาร์ดแมน มันเทียบได้กับมนุษย์ที่สวมเกราะหนัง ต่อให้ลูกศรทะลุเข้าเนื้อก็ไม่มีดอกไหนร้ายแรง
อีกประการคือธนูที่พวกซากกระดูกผีมือธนู(skeleton archers)ใช้นั้นอ่อนกำลังเกินกว่าจะเอาชีวิตลิซาร์ดแมนได้แต่แรก


บรรดาลิซาร์ดแมนคำรามแล้วทะยานเข้าหามือธนูผี(skeleton archers)อย่างฮึกเหิมไร้ความหวาดกลัว
พวกเขาเกร็งแขนทั้งสองขึ้นบังหน้าแล้ววิ่งฝ่าฝนลูกศรเข้า ไม่ยอมหยุดแม้ร่างกายจะถูกปักไว้ด้วยลูกดอก


และในการโจมตีระลอกที่สาม—


นี่เป็นลิมิตที่มือธนูกระดูก(skeleton archers)จะสามารถทำได้ ถ้าพวกมันคิดเป็นพวกมันก็คงจะวิ่งหนีไป
แล้วจากนั้นก็ค่อยจัดกระบวนทัพห่างออกไป จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า


แต่พวกมันไม่ได้ฉลาดพอจะบันทึกรับคำสั่งซับซ้อนอย่างนั้นไว้ในหัว
พวกมันทำตามคำสั่งใหม่โดยไม่ยกเลิกคำสั่งเก่าไม่ได้— แม้ลิซาร์ดแมนจวนจะประชิดตัวแล้วที่พวกมันทำได้คือระดมยิงต่อไป
ใต้เสียงคำรามบรรดามือธนู(skeleton archers)ก็ต่างถูกกลุ้มรุมด้วยลิซาร์ดแมน เหมือนที่ซากกรดูกผี(skeletons)เคยทำ
ที่ระยะนี้พวกมันหมดความได้เปรียบและถูกล้อมกำจัดโดยสิ้นเชิง ร่างของรายต่อรายกระจายทั่วพื้นที่ ตอนนี้เหลือเพียงแต่ทัพซอมบี้แล้ว


ในที่สุดข้าศึกชุดใหม่ก็ปรากฎ


สัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)


มันคือผู้ไม่ตาย(undead)ที่ถูกสร้างจากหมาป่า งูพิษและสัตว์หลายจำพวก กล่าวคือซอมบี้ที่มีความคล่องตัวอย่างสัตว์นั่นเอง
ฝูงสัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)พุ่งเข้าหาลิซาร์ดแมน ตัวที่เร็วก็เร็วตัวที่ช้าก็ช้า เต็มฝีเท้าแต่ไม่เป็นกระบวนทัพ


การโจมตีนั้นมาจากมุมต่ำและหลบยากอย่างประหลาด พวกมันฝังเขี้ยวเล็บลงทำให้ลิซาร์ดแมนหลบไม่ได้
จากนั้นก็จะลงมือสังหาร พูดไปเทคนิคก็ไม่ต่างอะไรกับที่สัตว์ร้ายในธรรมชาติทำอยู่ตามปกติ
สำหรับลิซาร์ดแมนที่เหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆการปัดป้องแทบทำไม่ได้อีกแล้ว ที่ทำไม่ได้ก็จะถูกขย้ำคอหอยกระจุยไป
แม้จะเป็นพวกที่เชื่อว่าถูกคุ้มครองโดยวิญญาณบรรพชนก็อดตระหนกขวัญเสียไม่ได้ต่อภาพพวกพ้องที่พากันตายรายรอบตัว


ผู้นำกลุ่มนักรบถูกบังคับให้ต้องล่าถอยอย่างช้าๆ ขณะที่พวกเขาคิดว่าอีกไม่นานกระบวนทัพคงแตกพ่าย พื้นที่ชุ่มน้ำก็สะท้านไหว
ที่ปรากฎขึ้นคือกรวยดินที่งอกจากพื้นสูง 160ซม. ไร้หัวไร้แขนขา และมวลทั้งสองเริ่มเคลื่อนที่
พวกมันเคลื่อนที่ได้แม้ไร้แขนขาไปบนพื้นที่ชุ่มน้ำตรงดิ่งเข้าหาสัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)
แส้ที่ยาวกว่าตัวปรากฎจากบริเวณที่ควรจะเป็นไหล่ของพวกมันขณะประชิด


พวกมันเป็นหนึ่งในไพ่ตายของลิซาร์ดแมน ภูติหนองน้ำ(wetland fairies)ที่ถูกดรูอิดทั้งห้าเผ่าร่วมกันอัญเชิญออกมาอย่างลำบาก
ภูติหนองน้ำเข้า(wetland fairies)เผชิญกับสัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)ด้วยระยางที่ฟาดและเหนี่ยวรัด สัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)พุ่งเข้าสู้ด้วยเขี้ยวเล็บ
มันเป็นศึกของชีวิตสังเคราะห์ที่ไร้ความกลัว แต่ภูติหนองน้ำ(wetland faries)เป็นฝ่ายมีชัยด้วยกำลังที่เหนือกว่า
พวกดรูอิดของเผ่าพวกเขาทรงอำนาจเหนือพวกผีร้าย ลิซาร์ดแมนรับรู้เช่นนี้กำลังใจที่สั่นคลอนก็ลุกโชนอีกครั้งและเริ่มโต้ตอบ


การรบดำเนินไปอย่างเข้มข้น
เผชิญหน้ากับศัตรูใหม่ลิซาร์ดไม่เริ่มมีการตายเกิดขึ้นต่างจากตอนสู้กับกระดูกผี(skeletons)
แต่พวกเขาก็ยังล้ำจำนวนศัตรูมากโขอยู่ ชัยนะนั้นเห็นอยู่รำไร





เขากำลังจะแพ้


โคคิวทัสรับรู้ความเป็นจริงข้อนี้


ทัพของเขาขลาดแคลนผู้ไม่ตาย(undead)ที่คิดอ่านเองเป็น มันเป็นสาเหตุของความพ่ายแพ้ และเป็นสิ่งที่โคคิวทัสกังวลมาแต่ต้น
แต่เขาไม่คาดว่าผู้ไม่ตาย(undead)จะเปราะบางถึงเพียงนี้
โคคิวทัสเสียใจกับความประมาทของตนอย่างยิ่ง มันยังมีวิธีเปลี่ยนผลของสงครามแต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากความพ่ายแพ้
แล้วเขาจะนำความบกพร่องนี้ไปรายงานเจ้านายของเขาอย่างไร? โคคิวทัสใช้ม้วนแผ่นหนังสื่อสารติดต่อคนที่ควรติดต่อที่สุดตอนนี้—


“... เดมิเรอะ?”

?ข้าเองสหาย แล้วที่ติดต่อเข้ามามีอะไรรึ??


เสียงที่มั่นใจดังถนัดหูอยู่ในหัวโคคิวทัส ไหวพริบปัญญาของเดมินั่นอยู่ระดับชั้นยอดของนาซาริก เขาน่าจะมีทางออกให้
เดมินั่นเป็นเพื่อนและคู่แข่งอยู่ในทีเช่นกัน ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากติดต่อหา แต่เพื่อเลี่ยงความพ่ายแพ้มันจำเป็น
ทัพของมหาสุสานนาซาริก
เขาจะยอมให้พ่ายแพ้การศึกได้อย่างไร?เพื่อชัยนะโคคิวทัสโยนศักดิ์ศรีของตนทิ้งไปแล้วก้มหัวร้องขอความช่วยเหลือ


“จริงๆแล้ว—”


หลังจากบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านการสื่อสารด้วยมนตรา เดมิก็ถอนหายใจออกมาหลังรับฟัง


?แล้วเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร??

“ไหวพริบของเจ้า การศึกจะพ่ายแพ้ถ้ามันยังดำเนินอย่างนี้ต่อไป ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวข้าคงยอมรับผลของมันไป
แต่นี่เป็นศักของนาซาริก เกียรติยศของท่านเจ้าชีวิตจะยอมให้แปดเปื้อนไม่ได้ ข้าไม่ปราถนาให้มันเกิดขึ้น”

?แล้วเจ้าว่าไอนส์-ซามะต้องการชัยนะรึ??

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

?ข้าหมายความว่าทำไมท่านไอนส์-ซามะจัดทัพให้เจ้าด้วยพวกข้ารับใช้ต่ำชั้นแบบนั้น?


โคคิวทัสก็สงสัยอยุ่เหมือนกันว่าทำไมทัพของเขาถูกจัดมาด้วยพวกระดับล่างที่สุดในกองกำลังของนาซาริก


“... ไอนส์-ซามะคงมีเหตุผลของท่าน แต่อะไรคือประสงค์ของท่านกันแน่?”

?... ข้านึกออกได้หลายความเป็นไปได้?


สมแล้วที่เป็นเดมิ— โคคิวทัสไม่ได้พูดออกมาแต่แสดงความนับถืออยู่ในใจ


?ข้าขอถามหน่อยโคคิวทัส… เจ้าอยู่ที่นั่นก็หลายวัน เจ้าได้สำรวจหาข้อมูลแย้พวกนั้นบ้างไหม??


เดมิพูดไม่ผิดหรอก แต่ว่า—


“แต่ว่าไอนส์-ซามะบัญชาข้ามาว่าให้เข้ารบโดยกำลังที่ได้รับมอบตรงๆซึ่งๆหน้า”

?มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อข้าคิดอย่างรอบคอบแล้วนะโคคิวทัส
สิ่งสำคัญคือจะเอาอะไรไปนำเสนอท่านถูกไหม?
ถ้าเป้าหมายคือการกวาดล้างพวกมันเจ้าก็ควรทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุถูกไหม??


โคคิวทัสไร้ถ้อยคำใด เดมิกล่าวได้ตรงจุดแล้ว


?ไอนส์-ซามะรู้อยุ่แล้วว่ามันจะเป็นเช่นนี้ตอนมอบข้ารับใช้พวกนั้นให้เจ้ามา?

“... เจ้าหมายถึงไอนส์-ซามะให้ทัพที่ยังไงก็พ่ายแก่ข้ามางั้นรึ?”

?ความเป็นไปได้มันสูง ถ้าเจ้าเอาข้อมูลที่รวบรวมได้มาประเมินเจ้าก็น่าจะนึกขึ้นได้ว่า
ทัพที่เจ้ามีมันด้อยประสิทธิภาพเมื่อเผชิญหน้ากับแย้พวกนั้น เจ้าควรจะรายงานไอนส์-ซามะตามตรงและขอกำลังเสริม
นั่นน่าจะเป็นเป้าหมายของไอนส์-ซามะ?


นั่นหมายถึงโคคิวทัสควรเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของนายเขา โคคิวทัสไม่ควรทำตามสั่งอย่างมืดบอดนั่นคือสิ่งที่เดมิพยายามจะพูด


?นี่เป็นกลวิธีเปลี่ยนวิธีคิดของพวกเราของไอนส์-ซามะ แต่ก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่ามีเป้าหมายอื่นรวมอยู่ด้วย…?

“ยังมีอะไรอีกรึ?”


โคคิวทัสถามอย่างตระหนก เขาทำพลาดไปแล้วและไม่ต้องการให้ความบกพร่องนั้นสุมเพิ่มขึ้นอีก


?ไอนส์-ซามะส่งคนไปประกาศศึกแต่กลับไม่แจ้งนามนาซาริกให้พวกนั้นทราบและก็ยังห้ามเจ้าลงไปสอดมือด้วย นั่นน่าจะ—?


โคคิวทัสกลืนน้ำลายด้วยใจระทึกขณะรอประโยคถัดไปของเดมิ


?อ๊ะ! โคคิวทัส ข้ามีธุระด่วนเข้ามา ข้าหยุดแค่นี้ ขอให้เจ้ามีชัย?


เดมิตัดการสื่อสารกระทันหันไปทั้งอย่างนั้น
โคคิวทัสพอจะเดาได้ว่าเดมิที่สุขุมตระหนกได้ปานนี้เพราะอะไร เขาเบนสายตาไปที่เอนโทม่าที่กำลังง่วนกับแผ่นยันต์
เธอเป็นผู้ใช้แผ่นยันต์และนั่นหมายถึง—


ทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว.
มันได้เวลาที่จะใช้งานผู้ไม่ตาย(undead)ที่จะต้องใช้เมื่อคราวสุดท้ายจริงๆ เป็นไพ่ใบสำคัญ แต่นี่เป็นประสงค์เจ้านายเขาจริงรึ?
นี่เป็นครั้งแรกที่โคคิวทัสมองหาเจตนาเบื้องหลังคำสั่งเจ้านายเขา แต่บทสรุปมันก็มีอย่างเดียว
โคคิวทัสใช้เวทย์สื่อสารติดต่อ


“— ลิชผู้บัญชาการ(lich commander) ข้าสั่งให้เจ้าแสดงพลังที่เจ้ามีให้พวกมันเห็นประจักษ์ ออกโจมตีได้”





ผ้าคลุมที่ทั้งเก่าและหรูหราคลุมซากร่างเอาไว้ มือข้างหนึ่งของมันถือไม้เท้าที่บิดเบี้ยว ใบหน้าที่เน่าเปื่อยเผยกระโหลกให้เห็น
ดวงตาที่ชั่วร้ายและเปี่ยมปัญญาอยู่ในเบ้าทั้งคู่ ไอที่ชั่วร้ายรั่วออกมารอบกายราวกับหมอกบางๆ


ซากผีร้ายผู้ใช้เวทย์นี้คือ — ลิช(lich)


ซากผีร้าย(lich)น้อมรับคำสั่งของโคคิวทัสแล้วมองไปยังหมู่บ้านลิซาร์ดแมน
จากนั้นมันก็บงการหุ่นพยนต์เลือด(blood meat hulks)ที่อยู่เบื้องหลังมัน
มันเป็นผู้ไม่ตาย(undead)ที่สร้างโดยเจ้าชีวิตเช่นเดียวกับเขา


“ฆ่าลิซาร์ดแมนสามคนนั่น”


หุ่นพยนต์เลือด(blood meat hulks) มุ่งหน้าเข้าหาลิซาร์ดแมนสามคนที่กำลังล่มทัพม้าอยู่
พวกมันเป็นผู้ไม่ตาย(undead)ระดับล่างๆที่ทำได้แค่โจมตีด้วยกำลัง
แต่พวกมันสามารถฟื้นตัวจากการโจมตีทางกายภาพได้ ถ้าการโจมตีนั้นอยู่ระดับเดียวกับมัน การศึกมีแต่ต้องยืดเยื้อ
ซากผีร้าย(lich)มั่นใจว่ามันจะต้องถ่วงเวลาเอาไว้ได้แน่


นี่ไม่ใช่กลยุทธที่ดีสำหรับผู้ใช้เวทย์ ลิช(lich)นั้นบอบบางกับการสู้รบกระชิดตัว การให้หุ่นพยนต์เลือด(blood meat hulks)คุ้มครองข้างกายเป็นแบบแผนปกติ
แต่เขาใช้กลยุทธที่ว่าไม่ได้
คำสั่งที่ได้รับมาคือ 'แสดงพลังที่เจ้ามีให้พวกมันเห็นซะ' เขาจึงต้องถล่มค่ายของอีกฝ่ายด้วยอำนาจเปี่ยมล้นเองลำพัง
ขณะที่คืบหน้าไป ผีร้ายก็หัวเราะค่อยๆออกมา


มันรู้สึกว่านี่มันง่ายเหลือเกิน
ในฐานะชีวิตที่รับมาจากเจ้าชีวิต ไอนส์ โอลด์ กูล เขานั้นเหนือว่าผีร้าย(lich)ที่ผุดขึ้นมาเองในนาซาริกเป็นไหนๆ
และคำสั่งที่ได้รับก็คือการแสดงพลังที่ล้นเหลือให้พวกลิซาร์ดแมนเห็น
เขาปฎิญาณตนต่อเจ้าชีวิต


“ข้า อิกูหว้า(Iguvua) จะนำชัยนะไปมอบให้นายของข้า”

Part 4
หลังเสร็จสิ้นการกำจัดสัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)


บรรดาลิซาร์ดแมนก็ลู่ไหล่ลงอย่างเหนื่อยอ่อนและปล่อยลมหายใจออกอย่างโล่งอก
พวกเขาเสียใจกับความตายของพวกพ้องแต่ก็ดีใจที่รอดมาได้เช่นกัน
พวกเขาหลายคนต่างก็บาดเจ็บแต่ก็ยังดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้
ถ้าภูติหนองน้ำ(wetland fairies)ไม่เข้ามาช่วยทันเวลา… ทัพพวกเขามีแต่จะล่มเท่านั้น


“ไปกันเถอะ”


ผู้นำนักรบสั่งการให้เริ่มเข้าสู้ศึกต่อไปได้แล้ว พวกเขาเหนื่อยอ่อนจนแกว่งอาวุธที่ถือก็ยังแทบจะไม่ไหวแต่สงครามยังไม่จบ
พวกเขายังเหลือซอมบี้ให้จัดการแล้วก็ยังต้องระวังป้องกันทัพเสริมของข้าศึกหลังจากนั้น


“เอาล่ะ พาคนที่เจ็บหนักกลับไปรักษาตัวที่หมู่บ้านส่วนคนที่เหลือตามข้า—”


จู่ๆก็มีการระเบิดของลูกไฟมาตัดกลางประโยค


ไอร้อนแผ่ออกสู่พื้นที่โดยรอบ แฟรี่หนองน้ำ(wetland fairies)ซึ่งอยู่จุดศูนย์กลางสะท้านไหว
หลังเปลวไฟหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือไว้แต่แฟรรี่สองตนที่อยู่ในสภาพเสียหายหนักจากการโจมตีครั้งเดียวเมื่อสักครู่นี้
ก่อนที่จะมีใครได้ส่งเสียงอะไรการโจมตีอีกครั้งก็ตามมา แฟรรี่ทั้งสองที่ไม่อาจรับการโจมตีได้อีกแล้วถูกทำลายและสลายไปในเปลวไฟ
แฟรรี่ที่ไร้เทียมทานที่กำจัดฝูงสัตว์ร้ายผู้ไม่ตาย(undead beasts)อย่างง่ายดายหายไปแล้ว ไม่มีลิซาร์ดแมนคนไหนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


มันเกิดอะไรขึ้น?


พวกเขารู้ว่าแฟรรี่ทั้งสองถูกทำลายลงแล้วจากการโจมตีเมื่อครู่แต่ปฏิเสธความจริงดังกล่าว
เพราะถ้าเช่นนั้นมันจะหมายถึงศัตรูที่ร้ายกาจกำลังมาถึง
ลิซาร์ดแมนไม่อาจทนรับต่อไปได้อีกแล้ว พวกเขาสับสนและเริ่มมองไปรอบๆอย่างหวาดกลัว
เมื่อพวกเขามองเห็นผู้ไม่ตาย(undead)ที่อยู่ไกลออกไป ลูกไฟก็ถูกยิงมาอีกแล้ว


ลูกไฟมีขนาดเท่าๆกับหัวมนุษย์ มันพุ่งผ่านอากาศแล้วแตกออกเมื่อกระทบกับลิซาร์ดแมน
ปกติแล้วไฟจะต้องดับเมื่อสัมผัสกับน้ำ แต่นี่เป็นไฟจากเวทย์มนต์ที่จะเอาตรรกะสามัญมาใช้ด้วยไม่ได้
เมื่อลูกไฟกระทบผิวน้ำมันระเบิดออกแล้วเปลี่ยนเป็นพายุเพลิงแทน
เมื่อไฟที่คลอกลิซาร์ดแมนหลายคนหายไป— ลิซาร์ดแมนเหล่านั้นก็หายไปพร้อมกับไฟนั้นด้วย


ตาฝาดแน่ๆ— มันเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วจนรู้สึกได้เช่นนั้น
แต่ว่ากลิ่นเนื้อไหม้— และซากลิซาร์ดแมนที่ไหม้เกรียมนั้นไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน
ผีร้ายนั่นเคลื่อนที่อย่างช้าๆอย่างผยองอวดดี ด้วยย่างก้าวของผู้ทรงอำนาจที่มั่นใจในพลังของตน
ขณะที่ลิซาร์ดแมนลังเลว่าจะบุกเข้าไปรุมเหมือนตอนมือธนูผีดีหรือไม่ ลูกไฟก็ถูกยิงเข้าใส่อีกครั้ง


ลูกไฟระเบิดออกเป็นเปลวเพลิงที่ร้อนแรง พรากเอาชีวิตลิซาร์ดแมนหลายคนไปในชั่วพริบตา
ชัยชนะอย่างท่วมท้นเมื่อศึกก่อนหน้าราวกับเป็นเรื่องขำขัน


“Warrgghh!


ลิซาร์ดแมนคำรามก้องออกมาเพื่อเขย่าเอาความหวาดกลัวที่เริ่มมีอำนาจเหนือจิตใจของพวกเขา
หลายคนในที่นั้นพุ่งเข้าใส่โดยไม่คำนึงถึงชีวิต ทำให้เสียงเย็นๆดังขึ้นจากระยะที่ไกลออกไป


“— พวกโง่”


ขณะที่พูดลูกไฟก็ถูกยิงออกไป ลิซาร์ดแมนที่พุ่งเข้าหาต่างตายโดยไม่ทันได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีก
ผีร้ายยังคงก้าวย่างเข้าหาอย่างช้าๆขณะที่ลิซาร์ดแมนถอยหลังกันอย่างไม่รู้ตัวราวกับมีกำแพงความแตกต่างผลักพวกเขา


“วิ่ง!”


เสียงตะโกนที่เปี่ยมพลังสะท้านบรรดาลิซาร์ดแมน มาจากหัวหน้านักรบ


“มันต่างจากศัตรูก่อนหน้านี้! เราต่อกรกับมันไม่ได้!”


นั่นคือความจริง ศัตรูที่เข้าหาพวกเขาช้าๆอย่างอวดดีนั้นทำให้ลิซาร์ดแมนหนาวสะท้านทุกอย่างก้าวที่สั้นเข้า


“วิ่งกลับไปแจ้งเรื่องนี้กับบรรดาหัวหน้าเผ่าและซาริวสุ”

“พวกเราจะซื้อเวลาไว้เอง!”


ลูกไฟอีกลูกระเบิดออกและดับอีกหลายชีวิตของลิซาร์ดแมนไป


“วิ่ง! แจ้งพวกเขา!”


หัวหน้านักรบทั้งห้าเผ่าสั่งให้ลิซาร์ดแมนที่เหลือหนีไป ส่วนพวกเขาเข้าขวางศัตรูเอาไว้
พวกเขากระจายตัวออกจากกันให้แต่ล่ะคนนั้นไม่โดนลูกไฟไปพร้อมกันกับคนอื่น
มันเป็นกระบวนทัพเพื่อเตรียมตัวตาย เพื่อที่สักคนจะบุกเข้าถึงศัตรูได้


พวกเขาทั้งห้าคนมองหน้ากันและกันก่อนจะพุ่งตัวออกไปเต็มฝีเท้า


ร้อยเมตรเป็นระยะที่ชวนสิ้นหวังแต่พวกเข้าก็ยังพุ่งออกไปสุดกำลัง
พวกเขารู้ว่าต่อให้พวกเขาตายก็ยังเหลือข้อมูลไว้ให้บรรดาหัวหน้าเผ่าและซาริวสุที่สังเกตุการอยู่แนวหลัง





บรรดาลิซาร์ดแมนนั้นหนีราวกับลูกแมงมุมแตกรัง


ซาริวสุเฝ้ามองเหตุการนี้อย่างสงบนิ่ง ไม่สิ ซาริวสุจดจ่อกับผีร้ายที่ปลดปล่อยไฟมรณะมาตั้งแต่มันปรากฎตัวแล้ว
การเคลื่อนไหวของมันต่างจากข้าศึกไร้ปัญญาที่ผ่านๆมาโดยสิ้นเชิง มันคงเป็นผู้หัวหน้าของข้าศึก
ผีร้ายนั่นเริ่มใช้เวทย์ลูกไฟวงกว้างตั้งแต่ลิซาร์ดแมนทั้งห้าเข้าสู่ระยะร้อยเมตร
ถึงแม้จะแยกกันโจมตีพร้อมกันจากห้าทิศทาง แต่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้คือเพียงครึ่งทางเท่านั้น


“ศึกของพวกเรามาถึงแล้ว”


ซาริวสุพยักหน้าเห็นด้วยกับเซ็นบูรุ ครัชเองก็แสดงความเห็นพ้องด้วยเช่นกัน
เธอเห็นว่าเวลาที่อาจต้องสละชีพได้มาถึงแล้ว


“ถูกแล้วมันเป็นศึกของเรา เจ้านั่นมันร้ายกาจเหลือเกิน
มันน่าจะเป็นมือขวาของเจ้าชีวิตนั่นหรืออย่างน้อยก็ผู้บัญชาการทัพ… หรืออย่างน้อยก็น่าจะระดับหัวกระทิ”

“อืม มันยากจะเชื่ออยู่แล้วที่จะมีใครบงการผู้ไม่ตาย(undead)มากมายปานนี้ แล้วยังเจ้าผีร้ายนี่อีก? นี่มันเกินคาดจริงๆ”


คำถามของครัชทำให้ซาริวสุปวดหัว


พวกเขาไม่ต้องการจะสละชีวิตในการรบ กลยุทธนั้นจำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซาริวสุแล้วก็เซ็นบูรุนั่นสู้ที่ระยะไกลขนาดนั้นไม่ได้ พวกเขาต้องเข้าประชิดตัวเพื่อเข้าต่อสู้ แต่ปัญหาคือระยะทางนี่เอง
ซาริวสุและคนอื่นๆอาจทนทานรับลูกไฟได้สักครั้งสองครั้ง แต่พวกเขาคงต้องเจอมากกว่านั้นกว่าจะสิ้นระยะห่าง
และการต่อสู้มันจะเริ่มต้นหลังจากนั้น กล่าวคือการฝ่าห่าลูกไฟเข้าไปตรงๆคือมีแต่ตายอย่างเดียว


“เป็นระยะห่างที่ชวนสิ้นหวังจริงๆ”

“อา… ใช่เลย ข้าไม่เคยคิดเลยเลยว่าร้อยเมตรจะไกลได้ขนาดนี้”


ซาริวสุและพวกพยายามคิดหาวิธีเข้าประชิดโดยไม่บาดเจ็บเสียก่อน— หรือบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


“สร้างอุโมงลอดใต้แผ่นดินเป็นไง?”

“นั่นมันยากนะต่อให้มีดรูอิดก็เถอะ… มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราใช้เวทย์ล่องหนได้”


พวกเขาคงจะลอบเข้าประชิดตัวได้ทันถ้าใช้เวทย์ล่องหนและเวทย์เหาะ
แต่เวทย์ที่ว่ามาไม่มีดรูอิดคนไหนเรียนรู้มาก่อนหรือใช้เป็นสักคน


“สร้างโล่ห์ขึ้นมาแล้วฝ่าเข้าไปล่ะ?”

“โล่ห์ที่ทำแบบนั้นได้มันสร้างเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอก”

“แล้วถ้าเราใช้ชิ้นส่วนจาก... บ้านล่ะ?”


เซ็นบูรุยิ้มแห้งเพราะรู้ว่าข้อเสนอเขาคงไม่ได้เรื่องตามเคย ลูกไฟมันไม่ใช่แค่ลุกไฟม้แต่มันระเบิดออกด้วย
ต่อให้กำบังด้านหน้าได้ก็ป้องกันแรงระเบิดทางด้านข้างไม่ได้ และจะสร้างเกราะที่ป้องกันรอบทางตอนนี้ก็ไม่ได้ด้วย


“เออใช่… ยังมีอีกทาง”

“ยังไงรึซาริวสุ?” ครัชที่เริ่มหวาดกลัวน้อยๆถามขึ้น


นี่การแสดงออกของข้าน่ากลัวมากไปไหมนะ? ซาริวสุคิดในใจ
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้แม้แต่เขาเองก็กลุ้มจนอยากตะโกนสบถสาปใครบ้างแล้ว


“ไม่ใช่อะไร… ข้าแค่… เจอโล่ห์แล้ว”





อิกูหว้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับสถานะการปัจจุบัน


ทุกอย่างนั้นดำเนินไปอย่างราบลื่นแม้หุ่นพยนต์เลือด(Blood Meat Hulks)สองตัวนั่นยังคงรับศึกอยู่ แต่เขาใกล้หมู่บ้านมากแล้ว
ลิซาร์ดแมนโง่เง่าหลายคนพยายามพุ่งเข้าประชิดตัวเขา แต่พวกนั้นดูจะเข้าใจแล้วว่ามันไร้ประโยชน์ต่อหน้าเวทย์ลูกไฟ
ห้าคนล่าสุดที่แยกกันเข้าหาเป็นสถิติที่ดีที่สุด แต่คนสุดท้ายก็มาได้แค่ห้าสิบเมตร
เขาคืบหน้าไปเงียบๆราวกับผ่านทางร้างไร้ผู้ใด เขาสมเพซลิซาร์ดแมนว่าอ่อนด้อยแต่เขาก็จะไม่ประมาทเช่นกัน


ระยะห่างระหว่างเขาและหมู่บ้าเหลือไม่มากแล้ว เขาตั้งใจจะระดมยิงลูกไฟเผาบ้านเรือนและสังหารคนไปพร้อมกัน
แต่จะต้องมีการต่อต้านจากลิซาร์ดแมนก่อนแน่ และตอนนี้ก็น่าจะเป็นเวลาดังกล่าว
อิกูหว้าพึงพอใจมากเพราะเขาเดาถูก


“... โอ เข้าใจล่ะ”


อิกูหว้าเห็นไฮดร้าตัวหนึ่งวิ่งมาทางเขา


ถ้านั่นเป็นหัวกระทิของลิซาร์ดแมนเขาก็จะกำจัดมันซะเพื่อทำลายขวัญกำลังใจอีกฝ่าย การทำลายหมู่บ้าน่าจะง่ายขึ้น
เพื่อเป็นการรอบคอบอิกูหว้าสำรวจพื้นที่โดยรอบและท้องฟ้า เมื่อแน่ใจว่าไร้ผู้ใดอีกเขาก็รอให้ไฮดร้านั้นเข้าสู่ระยะเขา
เมื่อเข้าสู่ระยะที่ไม่แน่ใจว่ายังอยู่นอกรัศมีโจมตีอยู่รึเปล่า ไฮดร้าก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มฝีเท้า ถูกแล้ว มันทะยานหาอิกูหว้า


“โง่เง่า เจ้าคิดจะเข้าหาข้าด้วยฝีเท้าราวกับหอยทากเรอะ? สัตว์ก็ยังเป็นสัตว์อยู่นั่นเอง”


อิกูหว้าหัวเราะหยันแล้วยิงลูกไฟใส่ไฮดร้า
ลูกไฟพุ่งเข้าปะทะไฮดร้าอย่างจังมันระเบิดออกแล้วคลอกไฮดร้า
ถึงแม้ฝีเท้าจะตกไปบ้างแต่มันก็ยังคงพุ่งเข้าหาเขาแม้ตัวมันจะไฟลุกท่วมอยู่ก็ตาม
ไม่สิ ลูกไฟเมื่อแตกออกมันก็หายไปทันที อิกูหว้าแค่คิดไปเอง ภาพที่ปรากฎอยู่แสดงถึงความมุ่งมั่นของไฮดร้า


อิกูหว้าท่วมท้นไปด้วยความไม่พอใจ สัตว์ตัวนี้ทนรับการโจมตีของเขาแล้วยังรอดมาได้
มันก็ใช่ที่ไฮดร้าได้ลงอาคมลดความเสียหาย แต่ขั้นเวทย์นั้นไม่สูงพอจะลบล้างแรงทำลายได้หมด

… ข้าจำได้ว่าไฮดร้านั่นฟื้นสภาพได้อย่างรวดเร็ว… แต่มันไม่น่าจะต้านทานไฟได้…
เออช่างเถอะ ยังไงมันก็เป็นสัตว์ร้ายอยู่แล้ว จะทนทานได้สักลูกก็ไม่แปลก

อิกูหว้าปลอบใจตัวเองก็จริงแต่เขาไม่อาจข่มความโกรธเอาไว้ได้อยู่ดี
เพราะอิกูหว้าได้รับชีวิตมาจากเจ้าชีวิต ไอนส์ โอลกูลด์ มันเป็นการหยามหยันของข้าศึกที่ไม่ดับดิ้นใต้การโจมตีของเขา


อิกูหว้าจ้องมองอย่างเยียบเย็นไปที่ไฮดร้า ซึ่งสวนทางกับลูกตาที่เผยที่ถึงโทสะที่ปะทุอยู่


“... หยาบคายสิ้นดี ตายซะ!”


เขายิงลูกไฟออกไปอีกลูกและมันก็ครอกไฮดร้าอีกครั้ง มันถึงขนาดให้ภาพลวงตาว่าเนื้อนั้นไม้เกรียม
แผลนั้นอาจไม่ถึงตายแต่มันก็ควรจะลังเลไม่บุกต่ออีก

แต่ว่า—

“— ทำไมมันไม่หยุด? ทำไมมันยังเข้ามาอีก?”

Part 5
โรโรโร่ยังคงวิ่งฝ่าไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าตัวของมันจะมีขนาดใหญ่ แต่ความเร็วของมันนั้นพอๆกับ
ลิซาร์ดแมนที่วิ่งบนพื้นที่ชุ่มน้ำเลยทีเดียว, เสียงคลื่นสาดน้ำกระจายดังไปทั่วบริเวณ

ดวงตาสีเหลืองอำพันของมันกลายเป็นสีขาวเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น
หัวสองในสี่ของมันไร้เรี่ยวแรงไปแล้ว

แต่กระนั้น มันก็ยังคงวิ่งต่อไป

[ไฟบอล] อีกลูก ลุกไหม้อยู่เต็มตัวของมัน, ความร้ิอนจากข้างใน [ไฟบอล] ระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน
มันเจาะทะลุร่างของโรโรโร่, มันรู้สึกเจ็บเหมือนถูกชกไปทั่วทั้งร่าง ตาของมันแห้งเหือดเช่นเดียวกับ
ปอดของมันที่ถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง

ด้วยเปลวไฟที่โหมท่วมทั้งร่างของมัน ความเจ็บปวดทั่วร่างกายที่ประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
เป็นสัญญาณเตือนบอกโรโรโร่ว่า ถ้ามันถูกโจมตีอีกครั้งนึงละก็ มันต้องตายแน่

แม้ว่าอย่างนั้น --- มันก็ยังคงวิ่งต่อไป

วิ่ง

และวิ่งต่อไป

มันไม่หยุดที่จะพุ่งตัวไปข้างหน้าหรือหยุดฝีเท้าของมันเลยแม้แต่น้อย ความร้อนสูงเผาเกร็ดมันจนลอก
เนื้อข้างใต้ผิวของมันมีแต่เลือดไหลพรั่งพรูออกมา แม้ว่าจะทรมานแค่ไหน แต่มันก็ยังคงวิ่งต่อไป

สัตว์ป่าที่ไม่มีสมองคงต้องหนีไปแล้วอย่างแน่นอน, แต่โรโรโร่นั้นไม่

โรโรโร่เป็นมอนสเตอร์ที่เรียกกันว่า ไฮดร้า

ไฮดร้ามีส่วนประกอบของสัตว์หลายชนิด, มันมีทั้งพวกที่มีสติปัญญาเหนือกว่ามนุษย์
กับพวกที่ไม่ต่างจากสัตว์ทั่วไป ซึ่งโรโร่นั้นเป็นอย่างหลัง

สำหรับโรโรโร่ที่มีสติปัญญาเหมือนสัตว์ธรรมดาๆ มันยังคงวิ่งไปข้างหน้า, วิ่งไปสู่ปากเหวแห่งความตาย
ไปทาง อิกูหว้า ที่มอบความเจ็บปวดให้กับมัน, สิ่งที่มันทำนั้น เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ

อันที่จริง ขนาดตัวอิกูหว้าที่เป็นศัตรูเองก็ยังงง และสงสัยว่าโรโรโร่กำลังถูกควบคุมด้วยการเวทมนต์

แต่มันไม่ใช่, นั้นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

อิกูหว้าอาจจะไม่มีวันเข้าใจได้

โรโรโร่ที่มีสติปัญญาเพียงแค่สัตว์เดรัจฉาน --- ที่มันยังคงวิ่งต่อไป ทั้งหมดก็เพื่อครอบครัว

โรโรโร่ไม่รู้จักพอแม่ตัวเอง, ปรกติไฮดร้าไม่ใช่มอนสเตอร์ที่จะทิ้งลูกของตัวเองก่อนถึงอายุที่กำหนด
ลูกๆจะอยู่กับพ่อแม่ของมันและเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดต่างๆ , แต่ทำไมโรโรโร่ถึงไม่เป็นเช่นนั้น?

นั้นเป็นเพราะว่าโรโรโร่เกิดมาพิการ ไฮดร้าทั่วไปปรกติจะมี 8 หัว, ,และจะเพิ่มขึ้นเมื่อมันเติบโต
สูงสุดเต็มที่พวกมันจะมีถึง 12 หัวเลยทีเดียว

แต่โรโรโร่มีแค่ 4 , พ่อแม่ของมันจึงทิ้งมันแล้วจากไปพร้อมกับพี่น้องตัวอื่นๆ

แม้ว่าไฮดร้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งในวัยของมันก็ตาม แต่การอยู่ในธรรมชาติที่รุนแรงโหดร้าย
โดยไม่มีพ่อแม่คอยดูแลในวัยเด็ก ความตายของโรโรโร่จึงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

ถ้าหากไม่มีลิซาร์ดแมนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางผ่านมาเจอแล้วเก็บมันขึ้นมาละก็.....

--- ดังนั้น, โรโรโร่ก็เลยมีครอบครัวที่มีทั้ง พ่อ, แม่, และเพื่อนสนิท

ความเจ็บปวดทรมานไปทั่วทั้งตัว ทำให้สติของโรโรโร่เริ่มเลือนลาง ในตอนนั้นมันก็นึกถึงคำถาม
ที่มันเคยครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา

ทำไมตัวมันถึงใหญ่กว่าคนอื่น ? ทำไมถึงมีหัวมากมายขนาดนี้ ?

มันคิดเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง ตอนมันมองไปยังผู้ปกครองที่ชุบเลี้ยงมันขึ้นมา
แต่ทุกครั้งมันก็สรุปความคิดของตัวเองจากความเชื่อเดิมๆที่ผ่านมาของมัน

ว่าหัวบางหัวของมันคงจะหลุดไปออกไปในอนาคต มีแขนขางอกออกมาเหมือนกับหน่อต้นกล้า
และในที่สุดซักวัน มันจะเป็นเหมือนกับคนที่เลี้ยงมันมา

ถ้าโรโรโร่กลายเป็นแบบนั้นจริงๆ --- มันจะถามคนที่เลี้ยงมันมาว่าจะทำอะไร?

แค่นี้แหละ, พวกเขาไม่ได้นอนด้วยกันมานานมากแล้ว ถ้าถามว่าทำไมละก็ เพราะขนาดตัวที่ใหญ่เกินไป
ของโรโรโร่นั้นแหละ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกเหงานิดหน่อย

เปลวไฟที่ลุกโชนประหนึ่งกับจะเป่าความคิดของโรโรโร่ออกไปแล้วเติมเต็มเข้ามาแทนด้วย
ความเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ถาโถมไปทั้งร่างร่างกายของมัน

มันร้องโหยหวนอย่างอ่อนแรง เพราะความเจ็บปวดที่แผ่ไปทั่วทั่งตัว

ความเจ็บปวดทรมานที่เปรียบดั่งโดนค้อนทุบร่างนับครั้งไม่ถ้วน

มันเจ็บซะจนคิดอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ขาที่หดเกร็งของมันเป็นสัญญาณบ่งบอกให้มันหยุดก้าวไปข้างหน้า

แต่ถึงกระนั้น......

แต่ถึงกระนั้น.......โรโรโร่ก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่งต่อไป

ความเร็วของโรโรโร่ลดลง, กล้ามเนื้อของมันโดนเผาจนแข็งไปหมด
จนไม่สามารถทำความเร็วเหมือนปกติได้

การก้าวขาไปข้างหน้านั้นช่างยากเย็น

การหายใจที่ทำได้ยากกับความทรมานเมื่อสูดอากาศเข้าไป,
ปอดของมันคงจะเสียหายจากความร้อนไปแล้ว

มันเหลือเพียงแค่หัวเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้
ส่วนที่เหลือตอนนี้กลายเป็นเพียงภาระเท่านั้น
ภาพของอันเดดที่กำลังร่าย [ไฟบอล] ปรากฏขึ้นลางๆ บนดวงตาที่พร่ามัวของมัน

สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมัน บอกมันอย่างหนึ่ง

ว่าถ้ามันโดนการโจมตีอีกครั้ง มันต้องตายอย่างแน่นอน,
แต่โรโรโร่ไม่เคยกลัว มันยังคงพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ

มันเป็นคำขอจากผู้ที่เป็นพ่อและเพื่อนๆของเขา, นั้นคือสาเหตุที่มันไม่หยุดวิ่ง

โรโรโร่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มันมี --- แม้ว่าจะมันจะอ่อนล้า --- ก้าวขาสะดุดอยู่หลายครั้ง

ลูกไฟสีแดงลอยออกมาจากมือของอันเดดอีกครั้ง มันพุ่งทะลวงผ่านอากาศมาที่โรโรโร่

การโจมตีครั้งนี้ จะปลิดชีวิตของมันอย่างแน่นอน, มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

ความตายรอคอยมันอยู่

นี้.....คือจุดจบของมัน......

---

ถ้าหาก......

ถ้าหากว่าลิซาร์ดแมนหนุ่มไม่ได้อยู่ตรงนั้น

มีหรือที่ลิซาร์ดแมนหนุ่มจะปล่อยให้โรโรโร่ตายไปต่อหน้าต่อตา?

จะมองดูความไม่ถูกต้องที่ตีแผ่อยู่ต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ?

มันเป็นไปไม่ได้......

"--- [ไอซ์ เบิร์ส] " (Ice Burst)

ซาริวสุที่วิ่งตามหลังของโรโรโร่กระโดดฉากออกมาด้านข้างพร้อมกับสะบัด ฟรอสต์ เพน ออกมา

อากาศด้านหน้าดาบของเขาเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน
เกิดเป็นกำแพงหมอกสีขาวด้านหน้าโรโรโร่
มันคือคลื่นอากาศที่เย็นอย่างสุดขั้ว

หนึ่งในอะบิลิตี้ของ ฟรอสต์ เพน

ทักษะอานุภาพสูง ที่สามารถใช้ได้เพียงวันละ 3 ครั้งเท่านั้น --- [ไอซ์ เบิร์ส]
มันสามารถแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างในระยะได้อย่างเฉียบพลัน พร้อมกับสร้างความเสียหายอย่างหนัก

กำแพงหมอกหนาวบล็อคการโจมตีจาก [ไฟบอล] ที่พุ่งเข้ามาราวกับบาเรียอันแข็งแกร่ง
ลูกบอลไฟที่ร้อนแรงกับกำแพงที่เย็นเยือก --- ตามทฤษฎีทางเวทมนต์, มันเป็นการตอบโต้ที่ชาญฉลาด

เวทมนต์ปะทะกัน ---

ลูกบอลระเบิดกลายเป็นเปลวเพลิง, ยื้อต้านอยู่กับกำแพงสีขาว

ทั้งสองฝั่งดูคล้ายงูสีแดงกับสีขาวที่กำลังผลักดันและกลืนกินกันเอง หลังจากยื้อกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
พลังงานทั้งสองก็มลายหายไป

ฝ่ายอันเดดถึงกับสะดุ้งถอยหลังออกมา, มันเป็นปฏิกิริยาที่ธรรมดามาก
เมื่อมันเห็นเวทมนต์ของตัวเองสลายหายไป

ตอนนี้ยังมีระยะห่างอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่มันก็ใกล้พอที่จะท่าทางและการกระทำของอีกฝ่าย
ระยะทางที่ไกลเกินไปถูกย่นระยะเข้ามา ต้องขอบคุณในความพยายามและความมุ่งมั่นของโรโรโร่
ที่นำลิซาร์ดแมนทั้งสามมาถึงจุดนี้ได้ โดยไร้ซึ่งบาดแผล

"โรโรโร่....."

ซาริวสุคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรออกมาดี, ในที่สุด เขาก็เลือกวลีที่ง่ายและชัดเจนที่สุดจากหลายล้านคำ
ในหัวของเขา

"ขอบคุณนะ"

หลังจากเขาตะโกนขอบคุณ, ซาริวสุก็พุ่งตัวต่อไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ตามมาด้วยครูสช์และเซนเบรุที่อยู่ด้านหลังเขา

เสียงร้องเบาๆดังมาจากด้านหลังของพวกเขา มันคือเสียงเชียร์ให้กำลังจากคนในครอบครัว



เงียบกริบ, [ไฟบอล]ของเขาโดนลบล้างได้ ทำให้เขาแสดงความไม่อยากจะเชื่อออกมาเป็นคำพูด

" เป็นไปไม่ได้ !! "

อิกูหว้าร่าย [ไฟบอล] ออกมาอีกครั้ง, เขาไม่อยากยอมรับว่าลิซาร์ดแมนที่วิ่งเข้ามาสามารถลบล้าง
เวทมนต์ของเขาได้

[ไฟบอล] พุ่งออกไปเหมือนจรวด มุ่งไปยังลิซาร์ดแมนทั้งสามคน

มันโดนบล็อคโดยกำแพงหมอกที่ร่ายขึ้นมาโดยลิซาร์ดแมนที่นำหน้าอยู่พร้อมกับดาบของเขา
เวทมนต์ทั้งสองสลายหายไป เหมือนกับก่อนหน้านี้ ---

"มีอะไรใส่มาให้หมด !! ข้าจะบล็อคการโจมตีของแกเอง !!"

เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวของลิซาร์ดแมนดังกระจายไปทั่ว

อิกูหว้าส่งเสียงไม่พอใจออกมา (ใช้ลิ้นทำเสียง ชิ!!) พร้อมกับสีหน้าที่หงุดหงิด

เวทมนต์ที่ร่ายจากข้า, ผู้ซึ่งถูกสร้างโดยผู้ปกครองสูงสุดอย่างท่านไอนซ์
โดนบล็อคโดยลิซาร์ดแมนเนี่ยนะ !!

อิกูหว้าระงับโทสะเอาไว้ด้วยกำลังทั้งหมดของเขา

ดูท่าแล้ว [ไฟบอล] คงจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป, แต่พวกนั้นหลบอยู่หลังไฮดร้าตอนที่วิ่งเข้ามา,
มันคงจะมีขีดจำกัดในการใช้การป้องกันได้, อาจจะ 10 ครั้ง
หรือมันอาจจะเสียแค่พลังงานบางส่วนไปในแต่ละครั้ง
แล้วสามารถใช้ได้เรื่อยๆหลังจากฟื้นพลัง

ช้าจะจัดการกับพวกมันยังไงดี? ถ้าเป็นไปได้, ข้าก็ขอลองทำตามคำพูดของเจ้าหน่อยแล้วกัน....

อิกูหว้ายังสามารถใช้ [ไฟบอล] ได้อีกหลายครั้ง, แต่มันอยากที่จะตัดสินว่าคำพูด
ของลิซาร์ดแมนนั้นจริงแค่ไหน

อิกูหว้ากับลิซาร์ดแมนอยู่ห่างกันไม่ถึง 40 เมตรแล้ว

ลิซาร์ดแมนที่พุ่งเข้ามาดูท่าทางจะเป็นนักรบ ในฐานะอันเดดนักเวทย์อย่างเขา
อิกูหว้าจึงอยากหลีกเลี่ยงการต่อสู้ระยะประชิด

ในสถานการณ์ตอนนี้ เขาใช้ [ไฟบอล] ไม่ได้ อิกูหว้าไม่โง่พอที่จะมานั่งคอนเฟิร์มว่าพวกนั้นสามารถ
บล็อคการโจมตีของเขาได้กี่ครั้ง, ถ้าพวกนั้นไม่ได้หลบมาด้านหลังไฮดร้าตั้งแต่แรกจนเข้ามาใกล้ขนาดนี้
อิกูหว้าก็คงจะลองดู แต่โอกาสของเขาโดนเจ้าไฮดร้าบ้านั้นทำลายไปแล้ว

"ชิ......เป็นแค่ไฮดร้าแท้ๆ"

หลังจากสบถถ้อยคำออกมา อิกูหว้าตัดสินใจท่าทีของเขา

" --- ถ้างั้น, แล้วแบบนี้ล่ะ? "

มันเกิดขึ้นมากการที่พวกเขาทั้งสามคนวิ่งมาเป็นทางเดียวกัน
อิกูหว้าชี้นิ้วไปยังลิซาร์ดแมนทั้งสามคนที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ประกายแสงปรากฏขึ้นมาบนนิ้วของเขา

" เอานี้ไปกินซะ [ไลท์นิ่ง] (Lightning) !! "

แสงแฟรชสีขาวจากสายฟ้าปรากฏขึ้นมา และ ---

แม้ระยะจะห่างกันขนาดนี้, ก็ยังสามารถมองเห็นได้ว่าแสงสีขาวบนนิ้วของอิกูหว้านั้นคือ--- "สายฟ้า"

[ไอซ์ เบิรส] จาก ฟรอสต์ เพน สามารถปัดป้องการโจมตีจากธาตุไฟหรือธาตุน้ำแข็งได้
แต่ซาริวสุไม่เคยลองใช้กับสายฟ้ามาก่อน จึงไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่

พวกเขาน่าจะลองเสี่ยงโชคดูหรือกระจายกันออกไปเพื่อลดความเสียหายดี?

ซาริวสุกำ ฟรอสต์ เพน ไว้แน่น

อากาศเกิดการแปรปรวณจนดังเป็นเสียงขึ้นมาเพราะไฟฟ้าสถิต พิสูจน์ว่าสายฟ้ากำลังโจมตีเข้ามา

"ให้ข้าจัดการเอง---!!"

เซนเบรุทำการตัดสินใจก่อนหน้าซาริวสุ เขากระโดดออกมาพร้อมกับเสียงตะโกน
เวทมนต์ถูกร่ายออกมาในเวลาเดียวกัน

" ---[ไลท์นิ่ง] "
" ว๊ากกกกก!!! [รีซิสแตนค์ แมสซิฟ] (Resistance Massive) !! "

สายฟ้าพุ่งเข้าใส่เซนเบรุราวกับจะทะลวงร่างของเขา, บัฟของเขาก็เด้งขึ้นมา
มันหักเหวิถีของสายฟ้าที่ควรจะไปโดนบุคคลทั้งสองด้านหลังของเขาด้วย ให้โค้งงอออกไป

[รีซิสแตนค์ แมสซิฟ]

ทักษะของม้อง, เป็นความสามารถที่จะลดทอนดาเมจจากเวทมนต์โดยการกระจายพลัง ชี่ จากร่างกาย
ออกมาอย่างฉับพลัน

นี่คือ สกิล ที่เซนเบรุเรียนรู้มาจากการเดินทางของเขาหลังจากที่เขาพ่ายแพ้ให้กับ
พลังของฟรอสต์ เพน [ไอซ์ เบิร์ส] ที่แม้ว่าจะมีพื้นที่การโจมตีที่กว้าง, แต่มันก็ยังทำงานกับ
เวทมนต์ทุกชนิดที่ทำความเสียหาย

ทั้งเพื่อน ทั้งศัตรูของเขาพากันร้องเสียงหลง แต่ซาริวสุกับครูสช์นั้นเชื่อใจในเพื่อนร่วมทีมของเขา
ก็เลยไม่ตกใจเท่าไหร่, ตอนนี้ ลิซาร์ดแมนพุ่งเข้ามาใกล้แล้ว ในขณะที่อันเดดกำลังผวา

ในตอนที่ซาริวสุวิ่งเข้ามา เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้

ถ้าเขาใช้ [ไอซ์ เบิร์ส] ตอนที่ดวลกับเซนเบรุ, เขาก็คงจะบล็อคด้วยสกิลนี้ได้
แล้วในจังหวะที่เขาเปิดโอกาส เขาก็จะโดนโจมตีแล้วพ่ายแพ้ไป
นั้นคือสาเหตุที่เซนเบรุยั่วยุให้เขาใช้สกิลออกมา

"ฮ่าฮ่า!! กระจอกน่า"

เสียงสบายๆของเซนเบรุ ทำให้ซาริวยิ้มออกมา, แต่เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดในเวลาต่อมา
เพราะซาริวสุรู้ถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในเสียงของเซนเบรุ

แม้แต่ลิซาร์ดแมนอย่างเซนเบรุยังไม่สามารถระงับอาการเจ็บปวดเอาไว้ได้ทั้งหมด
บาดแผลของเขาคงจะร้ายแรงน่าดู นอกจากนี้ ถ้าสกิลของเขาสมบูรณ์แบบละก็
เขาก็คงไม่ต้องไปหลบด้านหลังของโรโรโร่มาตั้งแต่แรกแล้ว

ซาริวสุจ้องไปยังใบหน้าของศัตรูที่อยู่ห่างอีกไม่ถึง 20 เมตร
มันเป็นระยะที่ไม่สามารถทอนลงไปได้อีกแล้ว

ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ อิกูหว้าพิจารณาแล้วว่ากลุ่มลิซาร์ดแมนที่อยู่ต่อหน้าเขานั้นแข็งแกร่ง
ไม่อาจดูถูกพวกเขาได้อีกแล้ว
พวกนั้นสามารถป้องกันการโจมตีจากเวทมนต์ของเขาได้ก็สมควรที่จะได้รับ
คำชมเชยแล้ว, อิกูหว้ายังมีการโจมตีอยู่อีกหลายอย่าง แต่ระยะนี้เขาต้องพิจารณาถึงการป้องกันด้วย

"ไม่เลวเลยสำหรับเครื่องสังเวย, คุ้มค่าพอที่จะให้ข้าแสดงพลังออกมา"

อิกูหว้า เปิดใช้เวทมนต์ของเขาด้วยเสียงเยาะเย้ยที่เย็นยะเยือก

"[ เวทมนต์ระดับ 4 ซัมมอน อันเดด ] (4th Tier Summon Undead) "


บนพื้นที่ชุ่มน้ำเกิดฟองขึ้นมา แล้วปรากฏร่างโครงกระดูกที่มีสี่แขนหลายตน ถือโล่ทรงกลม
พร้อมกับดาบสั้น
ออกมาปกป้องอิกูหว้า มันคืออันเดดที่รู้จักกันในชื่อ สเกเลตัน วอริเออร์ (Skeleton Warriors)

เขายังสามารถซัมมอนอันเดดแบบอื่นๆได้อีก แต่เขาเลือกสเกเลตัน วอริเออร์
เพื่อป้องกันการโจมตีจากความเย็น
อิกูหว้าและมอนเตอร์ของเขาที่เป็นกระดูกนั้นมีภูมิคุ้มกันการโจมตีจากความเย็น

อิกูหว้าวางท่าอย่างสูงส่งอยู่ในวงคุ้มกันของเขา
นั้นคือท่าทางของราชาที่กำลังมองลงมายังเหล่าผู้ท้าชิง

ระยะทางหดเข้ามา

เหลือเพียงแค่ 10 เมตรเท่านั้น

นั้นคือระยะที่เหลืออยู่, หลังจากเห็นสัญญาณแสดงการโจมตีของอันเดด เขาชำเลืองมองไปด้านหลัง

เขามองไปยังระยะทางที่เขาได้รับการปกป้องที่ผ่านมา มันเป็นระยะทางการวิ่งช่วงสั้นๆ
แต่ 100 เมตรบนพื้นที่แห่งความตาย ที่ไม่มีอะไรกำบังพวกเขานั้น ถ้าหากไม่ได้โรโรโร่แล้วล่ะก็
ฟรอสต์ เพน เซนเบรุหรือครูสช์ คงช่วยให้มาถึงตรงนี้แบบตลอดรอดฝั่งไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้พวกเขามาถึงจุดที่สามารถเข้าถึงตัวของศัตรูจนได้

พวกเขาเอาชนะระยะทางได้แล้ว

ซาริวสุรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อเห็นลิซาร์ดแมนคนอื่นๆ มาช่วยพาโรโรโร่กลับไปที่หมู่บ้าน
เขาด่าทอตัวเองเพื่อให้จิตใจผ่อนคลายขึ้น แล้วจ้องมองไปยังอันเดด

ซาริวสุยอมรับว่ามันเป็นศัตรูที่น่ากลัว

ถ้าเขาไม่ได้เจอมันในสถานการณ์แบบนี้ เขาคงเลือกหนีจากมันมาอย่างแน่นอน
สัญชาตญาณบอกเขาให้หนีออกมาเมื่อเห็นหน้าของมันตรงๆ
แม้แต่ปลายหางของเขาก็ยังตั้งขึ้น, ซาริวสุเห็นจากมุมหางตาของเขาว่า
หางของเซนเบรุกับครูชน์ก็มีอาการเช่นเดียวกัน

พวกเขาทั้งสองคงกำลังคิดแบบเดียวกับซาริวสุอยู่เป็นแน่
ใช่แล้ว --- พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะหลุดจากจากข่ม เมื่อเผชิญหน้ากับอันเดด

ซาริวสุใช้หางของเขาแตะหลังของทั้งสองคนเบาๆ

ทั้งสองหันควับมาที่ซาริวสุด้วยอาการตกใจ

"หากเราร่วมมือกัน พวกเราต้องชนะแน่"

นั้นคือทั้งหมดที่ซาริวสุพูดออกมา

"ใช่แล้ว !! เราชนะมันได้แน่ , ซาริวสุ"

ครูชส์ตอบกลับไป พร้อมกับลูบหลังตรงที่ซาริวสุแตะตัวเธอ

"ฮ๊าา !! มันช่างน่าสนใจจริงๆ"

เซนเบรุตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่อหังการ

พวกเขาทั้งสามมุ่งเข้าสู่ด่านสุดสุดท้าย !!



--- ห่างจากกกัน 8 เมตร

กลุ่มของซาริวที่ทำทุกวิถีทางเพื่อมาถึงตรงนี้ต่างหอบหายใจออกมา
ตรงข้ามกับอันเดดที่ไม่ต้องหายใจ ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันก่อนที่อันเดดจะเอ่ยขึ้นมาก่อน

"ข้าคือลิคผู้รับใช้ ท่านผู้ปกครองสูงสุด, อิกูหว้า -- ถ้าพวกเจ้ายอมรับโทษเสียแต่โดยดี
ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องทรมาน"

ช่วยไม่ได้ที่ซาริวสุจะยิ้มออกมา เขาสามารถบอกกับเจ้าอันเดดที่ชื่ออิกูหว้าซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

ไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่คำตอบของพวกข้านั้นมีอยู่แค่อย่างเดียว

แม้ว่าซาริวสุจะยิ้มออกมา แต่อิกูหว้ากลับไม่รู้สึกโกรธอะไรแล้วรอคำตอบอย่างเงียบๆ
อิกูหว้ามั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะกำจัดกลุ่มของซาริวสุได้
นั่นคือสาเหตุที่เขาแสดงท่าทีเย่อหยิ่งของผู้มีอำนาจออกมา
รู้สึกขอบใจอีกฝ่ายด้วยซ้ำที่ช่วยเป็นคู่มือให้เขามาตลอดเส้นทาง

"มาฟังคำตอบของเจ้ากัน"
"ฮ่าฮ่า, ถ้าเจ้าต้องการอย่างนั้นจริงๆ......"

ซาริวสุยก ฟรอสต์ เพน ขึ้นมากำแน่น เซนเบรุก็ยกหมัดขึ้นมาตั้งท่า ส่วนครูสช์ยังคงไม่ทำอะไร
แต่ภายในลึกๆของเธอสัมผัสได้ถึง มานา ที่เตรียมพร้อมจะร่ายเวทมนต์ได้ทุกขณะ

"ข้าก็จะตอบให้เจ้า --- อย่าหวังไปหน่อยเลย !!"

สเกเลตัน วอริเออร์ ตัดสินใจยกดาบและโล่ของมันตั้งท่าพร้อม

"งั้นตายไปอย่างเจ็บปวดทรมานซะเถอะ, เจ้าต้องเสียใจที่ปฏิเสธความเมตตาครั้งสุดท้ายของข้า !!"
"นั้นก็เป็นสิ่งที่ข้าอยากพูดเช่นกัน , ลงนรกไปซะ เจ้าอันเดดอิกูหว้า"

การต่อสู้ที่จะตัดสินผลของสงครามในครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้น



"ซาริวสุ จัดการมันซะ"

เซนเบรุ ผู้ที่พุ่งตัวเข้าไปก่อนใครเพื่อนยืนแขนขนาดยักษ์ของเขาเข้าโจมตีสเกเลตัน วอริเออร์

เขาไม่สนใจที่สเกเลตัน วอริเออร์ยกโล่ขึ้นมารับการโจมตีของเขาแล้วใช้พละกำลังอันดุดัน
อัดมันจนถอยหลัง
โล่ถึงกับยุบบู้บี้, สเกเลตัน วอริเออร์กระเด็นโซเซไปชนตัวอื่นๆจนเสียสมดุล
พร้อมกันนั้น เซนเบรุก็ใช้หางของเขาฟาดใส่ สเกเลตัน วอริเออร์ ตัวอื่น แต่พลาด

กระบวนแถวของสเกเลตัน วอริเออร์พังลง ซาริวสุถึงใช้โอกาสนี้ไถลเข้ามา

"หยุดมันไว้!!"

สเกเลตัน วอริเออร์สองตัวฟันไปที่ซาริวสุ หลังจากได้ยินคำสั่งของอิกูหว้า

ซาริวสุสามารถหลบมันได้หรือถ้าเขาต้องการเขาก็สามารถยกฟรอสต์ เพน ขึ้นมาป้องกัน
แต่เขากลับไม่ทำอะไรเลย, ถ้าหลบ เขาจะช้าลง ซาริวสุไม่ต้องการเคลื่อนไหวอย่างเสียเปล่า
ต่อหน้าอิกูหว้า

และที่สำคัญ มีคนรับหน้าที่ดูแลตรงส่วนนี้อยู่แล้ว

" [เอิร์ท ไบนด์] (Earth Bind) "

ดินขยับขึ้นมาเหมือนกับแส้ แล้วล็อคสเกเลตัน วอริเออร์ทั้งสองตัว
แส้ที่ทำจากโคลนเป็นเหมือนกับโซ่เหล็ก รั้งการเคลื่อนไหวของสเกเลตัน วอริเออร์เอาไว้
ซาริวสุพุ่งเข้าไปทางช่องว่างของพวกมัน

ใช่แล้ว --- ครูสช์เองก็อยู่ด้วย

ซาริวสุไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เขาเชื่อใจสหายทั้งสองของเขา

แต่ว่าเวทมนต์ของครูสช์จะไม่สามารถผนึกการเคลื่อไหวของพวกมันโดยสมบูรณ์ได้
ดาบของสเกเลตัน วอริเออร์ครูดซาริวสุไป แต่ไม่เป็นอะไร เลือดที่กำลังเดือดพล่านของเขา
ทำให้เขาผ่านความเจ็บปวดนี้ไปได้

ซาริวสุวิ่งไปด้วยก้าวย่างที่รวดเร็ว

เขาพุ่งตรงไปที่อิกูหว้าซึ่งกำลังชี้นิ้วมาที่เขา
ถึงซาริวสุจะโดนเวทมนต์โจมตี แต่เขาก็จะพุ่งเข้าไปหาเป้าหมายให้ได้
เขามุ่งไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ประหนึ่งเหล็กกล้า

"เจ้าโง่ !! จงรู้จักความน่ากลัวที่แท้จริงซะ !! [สแกร์] (Scare)"

ทัศนวิสัยของซาริวสุสั่นไหว เขาสับสนว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่
ความแปรปรวณที่แปลกประหลาดแพร่ไปทั่วจิตใจของเขา
เขาหวาดระแวงทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัว ว่าจะเข้ามาโจมตีเขา

"ซาริวสุ !! [ไลออน ฮาร์ท] (Lion’s Heart) !!"

ตอนนั้นเองที่ครูสช์ตะโกนขึ้นมา ความหวาดระแวงของเขาหายไปทันที
และสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งจากภายในที่พรั่งพรูออกมา
เวทมนต์เมื่อครู่ มอบความกล้าที่เอาชนะความกลัวของเขา

อิกูหว้ามองไปทางครูสช์อย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่เธอ

"น่ารำคาญ !! [ไลท์นิ่ง] !!"
"กรี๊ดดด!!"

--- ครูสช์กรีดร้องออกมา

ซาริวสุที่เริ่มออกวิ่งได้อีกครั้ง เกือบจะโดนความโกรธชักนำไปแล้ว แต่เขาก็ห้ามใจตัวเองได้ในที่สุด
ความโกรธ ความเกลียด อาจจะเป็นอาวุธที่ดีในบางเวลา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง
มันจะย้อนกลับมาทำร้านตัวเองได้ สิ่งที่เขต้องการเวลาต่อสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจนั้นก็คือหัวใจที่ลุกโชน
กับความคิดที่เยือกเย็น

ซาริวสุจะไม่หันหัวกลับไป

เมื่อครู่ อิกูหว้า พึ่งโจมตีครูสช์ไป, แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นโอกาสที่ซาริวสุจะเข้าประชิดด้วยเช่นกัน
อาการตกใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของ อิกูหว้า และเขาก็รู้ตัวว่าเขาพลาดไปแล้ว
อาการที่แสดงออกมา ทำให้ซาริวสุ ที่คนรักพึ่งโดนทำร้าย ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน

"ชิ [ไลท์......"
"ช้าไป !!"

ฟรอสต์ เพน ฟาดฟันไปที่นิ้วของอิกูหว้า

"อั่ค !!"
"นักรบมาถึงตัวแกเเล้ว เจ้าจอมเวทย์ !! ข้าจะทำให้เข้าทรายซึ้ง ว่าเวทมนต์ของเจ้าน่ะ มันไร้ประโยชน์"

เหล่าจอมเวทย์ในตำนาน, ผู้ใช้เวทมนต์ทั้งหลาย เมื่อโดนประชิดตัว พวกเข้าก็ไม่สามารถร่ายคาถาได้

แม้แต่จอมเวทย์อันเดดอย่าง อิกูหว้า ก็ไม่มีข้อยกเว้น

ซาริวสุหรี่ตาลง, เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นสัมผัสแปลกๆเมื่อเขาฟันไปที่ อิกูหว้า
อิกูหว้าน่าจะมีการป้องกันจากอาวุธกายภาพ

แต่เขาไม่ได้เป็นอมตะ, ใช้แล้ว ถ้าเขาต้านทานความเสียหายได้
ซาริวสุก็แค่เพิ่มความเสียหายเข้าไปให้มากขึ้นอีก

สิ่งที่เขาต้องทำก็คือฟาดฟันต่อไป

การพูดนั้นง่าย แต่ทำนั้นยาก, ซาริวสุรู้เรื่องนี้ดี แต่นั้นคือสิ่งเดียวที่นักรบอย่างเขาจะทำได้

"อย่ามาดูถูกข้านะ, เจ้าลิซาร์ดแมน !!"

อยู่ๆ ก็มีศรแสง 3 ดอกปรากฏขึ้นมาจากร่างของอิกูหว้าแล้วพุ่งเข้าใส่ซาริวสุ
ลูกศรพวกนี้ปรากฏขึ้นมาโดยไม่มีท่าทีหรือสัญญาณอะไร ทำให้ซาริวสุต้องยกดาบขึ้นมาบล็อค
แต่ศรเวทมนต์พวกนั้นกลับทะลุดาบของเขา เข้ามาโดนตัวซาริวสุ สร้างความเจ็บปวดให้เขา

นี่คือ "ไซเลน เมจิค:เมจิค แอโรว" (‘Silent Magic: Magic Arrow) ไซเลนเมจิคไม่ต้องมีท่าร่าย
จึงไม่สามารถหยุดมันได้ แถมยังไม่สามารถหลบได้อีกด้วย
ดังนั้น ซาริวสุจึงโดนเต็มๆ

ซาริวสุกัดฟันแน่น แล้วฟันไปที่อิกูหว้าด้วยฟรอสต์ เพน

"อั่คค !! --- เจ้า !! เป็นเพียงแค่ลิซาร์ดแมนแท้ๆ "

แม้ [เมจิค แอโรว] จะหลบไม่ได้ก็จริง แต่ความเสียหายที่ทำได้นั้นก็ต่ำด้วยเช่นกัน
สำหรับคนที่ฝึกฝนมาอย่างหนักแบบซาริวสุ
เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดว่าโดนเวทมนต์แค่นี้แล้วจะจอดได้

[เมจิค แอโรว] พุ่งเข้าใส่ซาริวสุอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่เหมือนกับถูกแทงเข้าที่หัวใจปรากฏขึ้นมา
ซาริวสุอดทนเอาไว้ แล้วโต้กลับไป

หลังจากแลกการโจมตีกันหลายครั้ง การเคลื่อนไหวของซาริวสุเริ่มทื่อลง
ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่ได้
ตรงกันข้ามกับอันเดดที่มันไม่รู้จักความเจ็บปวด

อิกูหว้าและซาริวสุเข้าใจตรงจุดนี้ดี อาการที่แสดงออกมาจึงแตกต่างกัน

ผู้อ่อนแอย่อมร่วงหล่น ส่วนผู้แข็งแกร่งย่อมได้ชัย มันคือกฏของโลกนี้
ผลการดวลตัวต่อตัวของทั้งสองออกมาอย่างชัดเจน
แต่ในความเป็นจริง ความสามัคคีของผู้อ่อนแอก็สามารถให้โอกาสพวกเขาต่อสู้ร่วมกันอย่างเข้มแข็งได้

"[มิดเดิ้ล เคียว วูนด์] (Middle Cure Wounds - รักษาบาดแผลระดับกลาง) "

ความเจ็บปวดของซาริวสุหายไปด้วยเสียงนี้ และพลังของเขาฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง

อิกูหว้าที่กำลังใจเย็นกลับมาเดือดดาลทันทีเพราะเวทมนต์ฟื้นฟูที่มาจากด้านหลัง ก่อนจะตะโกนขึ้นมา

"เจ้าสวะลิซาร์ดแมน !!"

ซาริวสุกำลังต่อสู้ร่วมกับสหายที่ไว้ใจได้, ครูชส์ เซนเบรุ และ ---

"โรโรโร่......ข้าจะไม่ยอมแพ้ !!"
"โงเง่า......ทำไมข้า, ผู้ที่ถูกสร้างโดยท่านผู้ปกครองสูงสุดเนี่ยนะจะแพ้? โง่เง่าอะไรอย่างนี้ !!"

อิกูหว้าจ้องมองไปที่ลิซาร์ดแมนทั้งสามคนด้วยสายตาที่มุ่งร้าย
เขาไม่ใช้ซัมมอนอันเดดขึ้นมาอีกเพราะซัมมอนตัวเก่าของเขายังคงอยู่
ตราบใดที่พวกมันยังไม่หายไป เขาก็จะเรียกมาใหม่อีกไม่ได้
ดังนั้น อิกูหว้าจึงยังคงใช้ [เมจิค แอโรว] ต่อไป ในขณะที่ซาริวสุก็ฟาดฟันไปที่ร่างของอิกูหว้า
การต่อสู้รูปแบบเดิมวนกลับมาอีกครั้ง

มันทำให้รู้สึกยังกับว่าสงครามครั้งนี้ไม่มีวันจบ

ในกรณีนี้ หน้าที่ที่เหลือจะขึ้นอยู่กับพวกที่อยู่ด้านหลังพวกเขา
ถ้าฝ่ายใดได้กองหนุนเข้ามาละก็ การต่อสู้นี้จะถูกตัดสินทันที

ทั้งซาริวสุและอิกูหว้ามั่นใจตรงจุดนี้

อดทนความเจ็บปวดจากการโจมตีด้วย [ไลท์นิ่ง] ที่แล่นผ่านร่างกายของเธอ
ครูสช์ผ่านพ้นมันมาได้ แล้วใช้เวทมนต์ระดับ 3 ของเธอ "[ซัมมอน บีสท์]
(3rd Tier Summon Beast - อัญเชิญสัตว์)"

ด้วย"ดุ้น"อันหนึ่ง(eng ใช้คำว่า ‘dong’ มันแปลว่า ปิกาจู๊ อะครับ หรือครูสช์ใช้
ไอเทมรูปร่างปลัดขิกเพื่อซัมมอน ผมก็ไม่ทราบ ผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ) ,

ปูขนาด 150 เซนติเมตรพลันปรากฏขึ้นมา --- ปูยักษ์ที่มีก้ามขวาขนาดใหญ่

มันปรากฏขึ้นมาราวกับว่าซุ่มรออยู่ใต้ผิวน้ำมาตลอดเวลา
แต่จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องปกติเวลาใช้ [ซัมมอน บีสท์ ] ระดับ 3

เจ้าปูเดินไปด้านข้างเซนเบรุ แล้วทุบไปที่ สเกเลตั้น วอริเออร์ ด้วยกล้ามอันใหญ่โตของมัน

เซนเบรุที่ได้กำลังเสริมแบบไม่คาดฝัน ยิ้มออกมา
สำหรับเซนเบรุที่ต้องทนรับการโจมตีจากทุกทิศทางแถมยังต้องปกป้องครูสช์ไปด้วย
เขาจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความช่วยเหลือ

"เฮ้ !! เจ้าปูประหลาด ข้ายกเจ้าสองตัวนั้นให้แกจัดการก็แล้วกัน"

เจ้าปูยักษ์ตอบรับคำสั่งตามหน้าที่, มันขบกล้ามของมันเป็นแทนคำตอบรับ
มันโบกกล้ามอันเล็กของมันก่อนจะพุ่งเข้าใส่ สเกเลตั้น วอริเออร์

ข้าควรจะทำยังไงดี.......สถานการณ์อาจจะเลวร้ายขึ้น.......แต่ทางสองคนนั้นก็ไม่ต่างกัน

ครูสช์คิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะคิดในเวลานี้ก่อนจะยิ้มออกมา
แต่เธอก็หยุดยิ้มทันทีแล้วหันมาสนใจการต่อสู้
เธอควบคุมการหายใจของเธอด้วยการสูดลมเข้าไปลึกๆ

เธอร่ายบัฟป้องกันกับฟื้นฟูไว้บนตัวโรโรโร่ ตอนที่พวกเธอวิ่งเข้ามา
แถมยังร่ายบัฟสนับสนุนให้เซนเบรุด้วย ทำให้ตอนนี้เธอกำลังฝืนตัวเองมากเกินไป

การใช้เวทมนต์ติดๆกันแถมปิดท้ายด้วยเวทย์ซัมมอนทำให้ครูสช์เหนื่อยล้า
ขนาดที่ทำให้เธอไม่สามารถยืนตรงๆได้เลยด้วยซ้ำ

เธอไม่มีแม้แต่พลังสำรองที่จะเอาไว้รักษาตัวเอง เมื่อคิดอย่างใจเย็นจนถี่ถ้วน
ครูสช์ก็ตัดสินใจว่าฐานะของเธอในตอนนี้มีค่าน้อยที่สุด
และการใช้เวทย์ฟื้นฟูให้ตัวเองจะทำให้เสียมานาไปเปล่าๆ

แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเธอหมดท่าไปก่อนละก็ เซนเบรุกับซาริวสุที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้าจะยิ่งลำบาก
ครูสช์กัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดไหลออกมาเพื่อประคองสติตัวเองไว้

" [มิดเดิ้ล เคียว วูนด์] "

เวทมนต์ฟื้นฟูถูกร่ายให้ซาริวสุ ในขณะที่เขากำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับอิกูหว้า

ขาของเธอไร้เรี่ยวแรง ตาของเธอพร่ามัวไปหมด ครูสช์รู้สึกว่ามีน้ำอยู่บนผิวเธอเต็มไปหมด

เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น, ทำไมและตั้งแต่ตอนไหนที่เธอจมอยู่ในโคลน

แต่เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ได้รับบาดแผลอะไรเพิ่มเติม แสดงว่าเธอคงกำลังจะเป็นลม

ครูสช์รู้สึกโล่งอก, เธอไม่ได้โล่งอกที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอโล่งอกที่เธอยังสามารถต่อสู้ต่อไปได้

เธอไม่ฝืนตัวเองให้ยืนขึ้น, ไม่สิ เธอไม่มีแรงพอจะยืนแล้วต่างหาก เธอจึงตัดสินใจเก็บแรงไว้ดีกว่า

ในทัศนวิสัยที่พร่ามัวของเธอ เธอยังเห็นซาริวสุกับเซนเบรุต่อสู้อยู่
เซนเบรุที่กำลังต่อสู้กับ สเเลตั้น วอริเออร์ถึงสี่ตัว
และซาริวสุที่ต้องทนกับเวทมนต์ของอิกูหว้าจนทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

ครูสช์ปรับลมใจของเธอแล้วร่ายเวทมนต์

[มิดเดิ้ล เคียว วูนด์]

เธอรักษาบาดแผลให้เซนเบรุ

[มิดเดิ้ล เคียว วูนด์]

คราวนี้เป็นบาดแผลของซาริวสุ

"แฮ่ก, แฮ่ก......."

ครูสช์หอบหายใจอย่างหนัก

การหายใจของเธอตะกุกกตะกัก เธอรู้สึกว่าอากาศไม่ได้เข้ามาเลย
แม้ว่าเธอจะพยายามสูดหายใจอย่างหนักก็ตาม

นี้เป็นอาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากมานาของเธอ
เธอรู้สึกสั่นเทาจากอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ครูสช์ทุ่มสุดแรงเพื่อลืมตาขึ้นมา

ในการต่อสู้นี้พวกเขาต้องเสียสละอย่างมาก ครูสช์อาจจะเป็นคนแรกที่ต้องถอนตัวจาก
การต่อสู้ครั้งนี้ไป

ครูสช์รวบรวมความพยายามทั้งหมดของเธอลืมตาขึ้นมาแล้วสวดภาวนา

[มิดเดิ้ล เคียว วูนด์]



เซนเบรุทุบไปที่กระโหลกของ สเกเลตั้น วอริเออร์ ด้วยกำปั้นของเขา
สัมผัสที่หมัดของเขาจากความรู้สึกที่ยุบลงไปกลายเป็นความรู้สึกของกระโหลกที่แตกกระจาย
เขาปิดบัญชี สเกเลตั้น วอริเออร์

"ตัวที่สอง,ฮึ่ย......ฮ๊าา !!"

เขาไล่อากาศออกจากตัว และพยายามที่จะทำให้ความหนื่อยล้าออกไปพร้อมกันด้วย
ก่อนจะกลับมาจ้องมองไปที่ สเกเลตั้น วอริเออร์, ปูที่ครูสช์เรียกมาหายไปแล้ว
เซนเบรุจัดการไปแล้วสองตัว ต้องขอบคุณมันจริงๆที่ช่วยยื้ออีกสองตัวเอาไว้ให้

เขายังยืนอยู่ได้เพราะการสนับสนุนของครูสช์

จัดการเจ้าสองตัวนี้ได้ คิวต่อไปก็จะเป็นตาของเจ้าอิกูหว้า

เขาขยับแขนขวาอันใหญ่โตของเขา เพื่อยืนยันว่ามันยังใช้การได้อยู่

ส่วนแขนซ้ายของเขาบาดเจ็บหนักจนเร่งพลังออกมาไม่ได้ เพราะเขาใช้แขนซ้ายแทนโล่
เขาเหลือบมองไปยังแขนขวาที่อ่อนปวกเปียกของเขา

"ไม่เป็นไรหรอกน่า, คิดซะว่าเป็นการต่อให้มันนิดหน่อยก็แล้วกัน"

เซนเบรุจ้องไปยังศัตรูที่น่ารำคาญของเขา, เขาลองพยายามจะขยับแขนซ้ายดู
แต่ความเจ็บปวดกลับแล่นไปทั่วทั้งร่างของเขา
นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังไว้จากการขยับนิ้วเลยซักนิด

แบบนี้มันไม่ใช่ , ไอ้เพื่อนเกลอ แกต้องลุยต่อไปแม้ว่าหลังจากนี้จะต้องดันทุรังจนกลายเป็นภาระก็ตาม
ข้า, เซนเบรุ, จะไม่ยอมให้พวกเขาหัวเราะเยะข้าได้เด็ดขาด

เซนเบรุเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของสเกเลตั้น วอริเออร์หลังจากที่ได้สู้กับพวกมัน
พวกมันสองตัวสามารถสู้กับเขาได้อย่างสูสี นั้นแหละระดับความแข็งแกร่งของมัน

ถ้ามาสี่ตัวพร้อมกันละก็ โอกาสชนะของเขาคงจะริบหรี่เหลือเกิน

ขอบใจมาก เจ้าปูยักษ์, เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะไม่กินปูดำไปอีกนานเลย

หลังจากขอบใจอาหารจานโปรดของเขาเสร็จแล้ว เซนเบรุก็หันกลับมาเพ่งจิตสังหาร
ไปที่สเกเลตั้น วอริเออร์ทั้งสองตัวที่กำลังใกล้เขามา

เขากำหมัดแน่น

ข้ายังยืนอยู่ได้ , ข้าก็ยังสู้ไหว

บอกตามตรง, เซนเบรุเองก็ยังแปลกใจที่เขายังยังสู้ต่อไหว

"หยุดคิดเรื่องไร้สาระได้แล้ว!!"

มันมีเพียงแค่สาเหตุเดียว

เซนเบรุนึกขำในอดีตที่ผ่านมา

ด้านหลังของ สเกเลตั้น วอริเออร์ ยังมีแผ่นหลังของซาริวสุอยู่
คนที่สู้ไม่ถอยแม้ว่าคนๆนั้นกำลังเผชิญกับพลังที่ยิ่งใหญ่ของอิกูหว้า

"แผ่นหลังนั้นมันช่างยิ่งใหญ่เสียจริง"

ความจริงแล้ว---

ซาริวสุ ครูสช์ และ โรโรโร่, พวกเราต่อสู้ร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ มันทำให้ข้ายังคงอยู่ต่อไปได้

"เฮ้ เฮ้ ซาริวสุ, แผลเต็มตัวเลยนี้หว่า สะบักสะบอมยิ่งกว่าตอนที่สู้กับข้าอีกรึ?"

เซนเบรุส่งสเกเลตั้น วอริเออร์ลอยขึ้นไปด้วยแขนใหญ่ๆของเขา
ส่วนมือซ้ายยกขึ้นมารับดาบจากอีกตัวนึง

แต่เขาพลาด ท้องของเขาโดนดาบฟันจนเกิดบาดแผล ตรงที่ครูสช์เคยใช้เวทมนต์รักษาให้

"ครูสช์กำลังแบกรับภาระหนักอยู่แล้ว, แต่เจ้ากลับมาทำอย่างนี้"

เขาได้รับเวทย์ฟื้นฟูจากครูสช์อีกครั้ง บาดแผลของเขาค่อยๆสมานกันอย่างช้าๆ
เซนเบรุไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ได้ยินเสียงของเธออยู่ใกล้กับพื้นผิวน้ำ
ทำให้เขาเดาได้ง่ายๆว่าเธอร่ายคาถาอยู่สภาพยังไง

แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่หยุดร่ายคาถาต่อไป

"......เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีเลยนิ"

ถ้าข้าจะมีเมียซักคน ผู้หญิงแบบนั่นเนี่ยใช้ได้เลย

เซนเบรุอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาซาริวสุ

"ข้าไม่อยากร่วงเป็นคนแรกแล้วโดนคนหัวเราะเยาะหรอกนะ"

เขาล่อหลอกด้วยแขนขวาของเขา แล้วโจมตีด้วยหางแทน
เซนเบรุหัวเราะร่าออกมา, ข้าน่ะ เก๋ากว่าเจ้าสองคนนั้นนะ

สเกเลตั้น วอริเออร์ทั้งสองยกโล่ขึ้นมากัน บังภาพซาริวสุที่อยู่ด้านหลังจนมองไม่เห็น
มันยิ่งกระตุ้นอารมณ์รุนแรงของเซนเบรุออกมาจากภายใน

"อย่ามาขวางข้า !! ข้ามองไม่เห็นแผ่นหลังอันยอดเยี่ยมของบุรุษผู้นั้น !!"

เซนเบรุคำรามก้อง แล้วพุ่งเข้าใส่ด้านหน้า---



อิกูหว้ากับซาริวสุยังคงแลกหมัดกันต่อไป ใบหน้าของพวกเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
ซาริวสุสังเกตเห็นว่าสายตาของอิกูหว้าเบี่ยงออกไปจากตัวเขาเล็กน้อย
ใบหน้าที่เฉยเมยของอิกูหว้าอยู่ๆก็บิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว
สิ่งที่เกิดขึ้นตาอมาทำให้จิตใจและร่างกายของซาริวสุต้องแข็งทื่อ

เสียงน้ำสาดกระจายมาจากด้านหลังของเขา, มีใครบางคนล้มลงไป

"ดูนั่นสิ !! เพื่อนของเจ้าร่วงไปแล้ว"

เขาไม่หันกลับไป, มันจากจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ , ความคิดของเขาทำให้เกร็ดลุกชูชัน
แต่ศัตรูที่อยู่ต่อหน้าเขานั้น แข็งแกร่งอย่างล้นหลาม, เขาไม่มีเวลาพอจะหันหน้าออกไปจาก
ศัตรูของเขาได้, การต่อสู้ครั้งนี้คงจบลงแน่, ซาริวสุไม่ได้ต่อสู้มานานขนาดนี้เพื่อแพ้ด้วยเหตุผล
โง่ๆแบบนั้น

ซาริวสุต่อสู้เพื่อรักษาชัยชนะไว้ในมือของเขา

ถ้าหากอิกูหว้าพูดความจริง มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากเขาไม่กำจัดศัตรูที่กำลังจะเข้ามาเสริมในไม่ช้า

ซาริวสุเกร็งกล้ามเนื้อรับเวทมนต์ที่โจมตีเข้ามา เมื่อเขาได้ยินเสียงใครบางคนลุกขึ้นมาจากน้ำ
พร้อมกับเสียงกระดูกแตก

"ซาริวสุ พวกเราจัดการด้านนี้แล้ว !! ที่เหลือ--- ฝากเจ้าจัดการด้วยแล้วกัน !!"

" [มิดเดิ้ล เคียว วูนด์] "

เซนเบรุคำรามดังทั้งๆที่กำลังเจ็บอยู่ และเสียงของเขาที่ล้มลงไปนอนบนผิวน้ำจนซาริวสุได้ยิน

ในตอนนั้นเอง เสียงแหบๆของครูสช์ก็ดังออกมา, บาดแผลของซาริวสุค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้น

"มู~~"

ความไม่พอใจทำเอาอิกูหว้าหน้าเคลียด,
ซาริวสุรู้ว่าสหายทั้งสองของเขาทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว,
ส่วนที่เหลือก็ ---

"ตาข้าบ้างล่ะ !!"

อิกูหว้าใช้คฑาของเขารับการโจมตีจาก ฟรอสต์ เพน ที่ฟาดเข้ามา

"คุ คุ คุ......ข้าคือ ลิค อิกูหว้า, อย่ามาดูถูกข้า เพียงเพราะข้าไม่ถนัดต่อสู้ระยะประชิดนะ !!"

แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น, แต่อิกูหว้าก็รู้ว่าโอกาสชนะของเขานั้นต่ำ

ในการต่อสู้ตัวต่อตัว, อิกูหว้านั้นมีศักยภาพทางร่างกายที่เหนือกว่า
แต่เจ้าลิซาร์ดแมนสีขาวนั้น คอยใช้เวทย์รักษาอยู่ด้านหลัง
ทำให้ด้านพลังชีวิตของพวกเขานั้น กลับตาลปัดกันเลย

เพียงหนึ่งจากสามการโจมตีที่สามารถป้องกันได้ ส่วนที่เหลืออีกสองพุ่งเข้าฉีกร่างของอิกูหว้า
แม้ว่าเขาจะมีความต้านทานต่ออาวุธทางกายภาพประเภทฟันเหมือนสเกเลตั้นและความสามารถ
ป้องกันธาตุน้ำแข็งก็ตาม แต่มันก็ยังเลวร้ายอยู่ดี

อิกูหว้าร้อนรน

ข้าคือผู้ที่เกิดจากท่านผู้ปกครองสูงสุดอย่างท่าน ไอนซ์ โอว โกวซ์
เป็นผู้นำกองทัพ, ข้าจะพ่ายแพ้ไม่ได้ !!

เขาอยากเรียกซัมมอนอันเดดออกมาเป็นโล่เนื้อให้ แต่เขาต้องโดนโจมตีแน่ตอนที่กำลังร่ายเวทย์
มันยากมากที่จะแบบนั้นต่อหน้าศัตรู

ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เขาได้แพ้แน่

อิกูหว้าตัดสินใจงัดท่าไม้ตายออกมา มันไม่ใช่แผนที่ดีนัก---มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เขาอาจจะพาหายนะมาสู่ตัวเองได้, แต่นี้เป็นทางเลือกสุดท้ายที่เขามี

อยู่ๆเขาก็หันหลังแล้ววิ่ง, ซาริวสุรู้สึกตกใจ, แต่เขาก็ยังใช้โอกาสนี้ฟันไปที่หลังของอิกูหว้า
อิกูหว้าที่โดนฟันเข้าอย่างจังถึงกับเซ แต่ยังไม่ล้ม
ซาริวสุเดาะลิ้นเพราะเห็นอิกูหว้าที่ไม่ยอมตายซักที ก่อนจะพุ่งไปทันอิก็หว้าที่กำลังวิ่งหนีออกไป

อิกูหว้าหันกลับมาพร้อมกับใบหน้าอันเดดที่เต็มไปด้วยความโกรธของเขา
แต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกดีใจกับอะไรบางอย่าง

ลูกบอลสีแดงปรากฏอยู่บนมือของอิกูหว้า, [ ไฟบอล ]

จะใช้เวทมนต์โจมตีในระยะแต่นี้เนี่ยนะ? เขาจะฆ่าตัวตายงั้นหรือ --- ไม่ใช่ !!

นึกขึ้นได้ว่า อิกูหว้า ไม่ได้หันมามองเขา, ซาริวสุรู้สึกถึงความกลัวขึ้นมา
อิกูหว้ามองข้ามไปที่ด้านหลังของซาริวสุ เขาเล้งไปที่ครูสช์กับเซนเบรุที่นอนอยู่บนพื้น

--- ข้าจะทำยังไงดี?

ซาริวสุคิดอย่างหนัก

นี่คือการตัดสินใจที่สำคัญ, เขาสามารถปลิดบัญชีอิกูหว้าได้โดยแลกกับสองคนข้างหลัง
มันบอกไม่ได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร
สหายทั้งสองของเขากำลังรวยริน หากพลาดละก็ อันตรายถึงชีวิตแน่

เอาชนะอิกูหว้า --- ที่พวกเขาทำมาทั้งหมด ไม่ใช้เพราะจุดประสงค์นี้หรือ?
มีลิซาร์ดแมนกี่คนแล้วที่ต้องสังเวยชีวิตเพื่อการนี้

ถ้างั้นก็ต้องสังเวยสองคนนั้น พวกเขาต้องให้อภัยด้วยรอยยิ้มอย่างแน่นอน
ถ้าสลับเป็นเขาที่อยู่ตรงนั้น เขาเองก็อยากให้สหายของเขาทำแบบนั้นเช่นกัน

--- แต่ถึงกระนั้น

ซาริวสุไม่ใช้คนที่จะทิ้งเพื่อนที่ต่อสู้ร่วมกันมาได้

ทางเดียวที่เหลืออยู่--- ช่วยพวกเขาทั้งสองคน แล้ว ค่อยฆ่าอิกูหว้า

ความคิดง่ายๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา

"--- [ไอซ์ เบิร์ส]"

ซาริวสุสร้างบาเรียอากาศที่เย็นเฉียบขึ้นมาบนพื้นใกล้ๆกับเท้าของเขา

" ว๊ากกกก!! "

ร่างของซาริวสุถูกแช่แข็งด้วยความเย็นที่ระเบิดออกมา ความเจ็บปวดมากมายจนบรรยายไม่ถูก
แพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างของเขา

เขามองไปที่อิกูหว้าด้วยสายตาที่คมกริบ แม้ว่าเขาใกล้จะสูญเสียสติสัมปชัญญะแล้วก็ตาม
แต่เขาก็ยังกัดฟันทน

มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะกรีดร้องออกมาเพราะความพยายามของเขาที่เอาหมอกเย็นยะเยือก
มาปกคลุมไปทั่วทั้งตัว

หมอกสีขาวปกคลุมไปหมด อิกูหว้าหัวเราะออกมา เพราะแผนการของเขาสำเร็จ

คุ คุ, ถ้าจะทิ้งสองคนนั้นไป เจ้าก็ชนะแล้ว

อิกุหว้ามีภูมิคุ้มกันธาตุน้ำแข็งและสายฟ้า เขายังสบายๆอยู่ในหมอกอันหนาวเหน็บที่พรั่งพรูเข้ามา
หมอกเย็นๆพัด [ไฟบอล] ในมือของเขาหายไป ถ้าเขายังร่ายมันละก็ มันจะหักล้างกับหมอกสีขาวนี้
แล้วเกิดการระเบิดขึ้น

เขารอให้หมอกหายไปแล้วค่อยปิดบัญชีอีกสองคนที่เหลือ
ที่สำคัญ, เขาต้องกำจัดลิซาร์ดแมนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาก่อน
เมื่อเขามองไปรอบๆ อิกูหว้าก็ทำหน้าบึ้ง เขาคำนวณบางอย่างผิดไป

"เอาล่ะ, เจ้านั้นมันหายไปไหน?"

หมอกปิดบังทัศนวิสัยไว้หมด
ตาของอิกูหว้ามีความสามารถมองเห็นในความมืดได้ แต่เขามองผ่านวัตถุแบบนี้ไม่ได้
เขาคิดไม่ออกมาว่าศัตรูของเขาไปอยู่ที่ไหน

แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่, เจ้าลิซาร์ดแมนที่ร้องเสียงหลงอยู่เมื่อกี้ ท่าทางมันจะเจ็บหนัก
เขาปล่อยหมอกเย็นนี้ออกมาเพื่อต้าน [ไฟบอล]
ดังนั้น เขาต้องได้รับบาดเจ็บระดับเดียวกับโดน [ไฟบอล] แน่นอน

ความเสีบหายระดับนั้น บนร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล, เขาอาจจะกำลังสาหัสอยู่
ที่เหลือก็ค่อยๆ ขยี้มันอย่างช้าๆ

ออกไปจากเจ้าหมอกนี้ก่อนดีกว่าไหม?

หลังจากครุ่นคิด, อิกูหว้าคิดว่า ไม่

--- ถ้าเขาเคลื่อนไหวตอนนี้ละก็, เขาจะคลาดตำแหน่งของเขาไป

ที่สำคัญต้องเรียกอันเดดออกมาเป็นโล่ให้ก่อน
ถ้ามีโล่เนื้อละก็ ถึงเจ้าลิซาร์ดแมนนั้นจะยังไม่ตาย แต่เขาก็จะชนะอยู่ดี

อิกูหว้าที่คิดจะร่ายเวทย์ ได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อม

--- หนึ่งในสี่สมบัติของลิซาร์ดแมน ฟรอสต์ เพน

อาวุธที่สกัดมาจากทะเลสาบตอนมันแช่แข็งในครั้งหนึ่ง และเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
มันเก็บงำพลัง 3 แบบเอาไว้

หนึ่ง ตัวดาบถูกย้อมไปด้วยพลังความเย็น มันจะทำความเสียหายเพิ่มเติมด้วยธาตุน้ำแข็ง
ใส่เป้าหมาย

สอง สกิลที่ใช้ได้สามครั้งต่อวัน [ไอซ์เบิร์ส]

และสาม---

เสียงของอากาศที่ถูกฝาน ดังออกมา

ก่อนที่จะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น อิกูหว้าพลันเห็นปลายแหลมของบางอย่าง

หัวของเขาถูกกระแทกอย่างเต็มแรง

ดาบแทงทะลุเข้าไปในค้างอยู่ในเบ้าตาขวาของอิกูหว้า
ในที่สุดเขาก็รู้ตัว แล้วกรีดร้องออกมาดังลั่น

"ฮี่ยย !! ทำไม !! ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตาย"

ฟรอสต์ เพน ถูกกดลึกเข้าไปในเบ้าตาของอิก็หว้า เขารู้สึกถึงพลังชีวิตของเขาที่หายไปอย่างฮวบฮาบ

เบื้องหน้าอิกูหว้าที่ยืนโซเซโดยมีดาบปักอยู่ที่หัวนั้น
คือซาริวสุที่โดนน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วทั้งตัว

อิกูหว้าไม่เข้าใจว่าทำไมซาริวสุถึงยังยืนอยู่ได้ทั้งๆที่โดนพลังน้ำแข็งระดับนั้นเข้าไป

ความสามารถอย่างที่ 3 ของฟรอสต์ เฟน

ทำให้ผู้ใช้มีความต้านทานการโจมตีจากธาตุน้ำแข็ง---

แม้ว่า ฟรอสต์ เพน จะทำให้ทนทานต่อความเย็นได้ แต่มันก็ไม่ได้ลบความเสียหายจาก
สกิลที่รุนแรงอย่าง [ไอซ์ เบิร์ส] ได้ทั้งหมด, ความเสียหายจากสกิลแช่แข็งซาริวสุไปถึงกระดูก
เขาเกือบจะหยุดหายใจ, ลมหายใจของเขาติดขัด การเคลื่อนไหวของเขาก็ทื่อลง
หางของเขาตก จนมันจุ่มลงไปในน้ำ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้อีกเมื่อหายใจลำบากเช่นนี้
การโจมตีของเขาไม่ได้มาจากการเล็งอย่างดี แต่มาจากสัญชาตญาณทั้งหมดของเขา

มันเป็น ลัคกี้ ฮิต

ซาริวสุพยายามลืมตาเอาไว้

เขาทุ่มสุดตัวโจมตีอิกูหว้า และเขารู้สึกได้ว่ามันเป็นการโจมตีที่ถึงตาย

ซาริวสุซึ่งตอนนี้สู้ต่อไม่ไหวแล้วมองไปยัง อิกูหว้า ด้วยความหวังที่ส่องประกาย

อิกูหว้าเอนไป เอนมา, เขาไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
ผิวบนใบหน้าของเขาร่วงหล่นลงมา กระดูกของเขาปรากฏรอยแตก
แม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็ค่อยๆ เน่าเปื้อยสลายหายไป
การหายไปของเขาขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ชัยชนะตกเป็นของซาริวสุอย่างแน่นอนแล้วในตอนนี้--

มือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเอื้อมไปคว้าคอของซาริวสุ

"ข้า......ข้าคือผู้ที่ถูกสร้างโดยท่านผู้ปกครองสูงสุด.....แล้วทำไม ข้าถึง......หมดท่าเช่นนี้"

อิกุหว้าหมดแรงที่จะประคองตัวเอง ตอนนี้ซาริวสุน่าจะสามารถกำจัดเขาได้อย่างงายดาย แต่----

"---อ๊ากกก---!! "

--- ซาริวสุโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด ที่แผ่ซ่านไปทั้งร่างกายของเขา

พลังงานเชิงลบไหลเข้าสู่ร่างกายของซาริวสุ, พลังชีวิตของเขาขโมย
แม้แต่วาริวสุที่ผ่านการฝึกฝน ความเจ็บปวดมาอย่างหนักก็ยังไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดที่
เกิดจากความเย็นซึ่งถูกฉีดเข้ามาผ่านขาของเขาโดยตรง

"ตายซะ--- !! เจ้าลิซาร์ดแมน !!"

ชิ้นส่วนใบหน้าของอิกุหว้าร่วงหล่น สลายหายไปกลางอากาศ

พลังชีวิตของอิกูหว้าเองก็กำลังวิกฤติเช่นกัน แต่ความจงรักภักดีต่อเจ้านายของเขา ทำให้ยึดติดเช่นนี้

ซาริวสุขัดขืนด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี เขาเอาชนะความกลัวได้
แต่ร่างกายของเขาไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการ

ซาริวสุเหลือพลังชีวิตอีกไม่มาก, พลังด้านลบที่อิกูหว้าฉีดเข้ามามันดูดพลังชีวิตของเขาไป

สายตาของซาริวสุสั่นไหว วิสัยทัศน์ของเขาเบลอไปหมด

โลกทั้งใบเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ

อิกูหว้า ผู้จงรักภักดี ยังคงมีสติอยู่อีกมาก เขายิ้มอย่างผู้มีชัย ในขณะที่กำลังเฝ้าดูซาริวสุหมดแรงไป
อย่างช้าๆ

ฆ่าลิซาร์ดแมน, อีกสองคนที่อยู่ด้านหลังนั้นด้วย พวกนั้นเป็นลิซาร์ดแมนชั้นยอด

การฆ่าลิซาร์ดแมนพวกนี้ จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุด ที่จะมอบให้แด่เจ้าเหนือหัวที่สร้างเขาขึ้นมาได้

การแสดงออกของอิกูหว้านั้น สื่อออกมาได้โดยไม่ต้องพูด
ทำให้ซาริวสุคาดการณ์ได้ว่าอิกูหว้าคิดอะไรอยู่

"ไปลงนรกซะ"

ร่างกายของเขาไม่มีการตอบสนอง เขารู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายลดลง
ราวกับมีพิษแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายของเขา
เขาหายใจอย่างยากลำบาก สมองของเขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัดอยู่เรื่องเดียว

คือเขายังมีชีวิตอยู่

โรโรโร่ที่วิ่งเป็นโล่ให้พวกเขาอย่างสุดกำลัง

เซนเบรุที่คุ้มกันให้เขา

ครูสช์ที่เหนื่อยล้าเพราะใช้มานาจนหมด

ไม่เพียงแค่นั้น, เขายังต้องแบกภาระของเหล่าเพื่อนพ้องที่สละชีวิตในสงครามครั้งนี้

แล้วซาริวสุที่กำลังเค้นสมองเพื่อหาทางเอาตัวรอดก็ได้ยินเสียงกระซิบ

--- เสียงที่อ่อนโยนของครูสช์
--- เสียงที่จริงใจของเซนเบรุ
--- เสียงร้องที่สนุกสนานของโรโรโร่

เสียงที่เขาไม่น่าจะได้ยิน

ครูสช์หมดสติไปแล้ว เซนเบรุก็น็อคเอ้าท์

โรโรโร่ยิ่งอยู่ห่างไกลจากที่นี่

สิ่งที่ซาริวสุได้ยินตอนที่เขาเกือบจะหมดสติคือมันอะไร?
จินตนาการเสียงของเพื่อนๆที่รู้จักกันไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์งั้นหรือ?
หรือจะเป็นเสียงจากครอบครัวของเขา?

ไม่ใช่เลย

แนวคิดพวกนี้เป็นเรื่องเหลวไหล

ทุกๆคนอยู่ที่นี้กับเขา---

" ---อ๊ากกก......อาาา---!! "
" ---? เจ้ายังเหลือพลังมากขนาดนี้เชียวหรือ?! "

ซาริวสุที่เกือบจะสิ้นสติเต็มทีคำรามออกมา และเสียงของอิกูหว้าที่กำลังตกใจดังขึ้นมาให้ได้ยิน

ซาริวสุเหลือบตาลงมามองที่อิกูหว้า ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความไม่ย่อท้อ
มันยากที่จะเชื่อว่าเป็นดวงตาที่สั่นไหวเมื่อครู่นี้
อิกูหว้าตัวแข็งทื่อ

" ครูสช์ !! เซนเบรุ!! โรโรโร่!! "
" ---! ทำอะไรของเจ้า !! รีบๆตายไปซะ--- !!"

ต้นกำเนิดพลังของเขามาจากไหน? พลังที่มากกว่าพลังงานเชิงลบที่ถูกฉีดเข้ามา
ซาริวสุยังคงโดนดูดพลังชีวิตออกไปอย่างต่อเนื่อง แขนขาของเขาหนักอึ้ง
ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ

แต่กระนั้น ซาริวสุก็รับรู้ถึงความอบอุ่นจากชื่อทุกชื่อที่เขาตะโกนออกมา
ความอบอุ่นที่ไม่ได้มาจากพลังชีวิตของเขา

มันออกมาจากภายในอก --- ออกมาจากภายในหัวใจของเขา

เสียงกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นดังขึ้นมา มันมาจากแขนขวาของซาริวสุ เขากำลังกำหมัดแน่น
เขารวบรวมแรงทั้งหมดที่เขามีอยู่ในตอนนี้

"เป็นไปไม่ได้ --- !! ทำไมเจ้าถึงยังขยับได้อีก !! เจ้าสัตว์ประหลาด--- !! "

ซาริวสุยังคงเคลื่อนไหวได้ แม้ว่ามันจะเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อก็ตาม

ความเดือดดาลปรากฏขึ้นมาในใจของอิกูหว้า, แต่เขาสะกดมันเอาไว้

เขาคือ อิกูหว้า, ผู้บัญชาการของกองกำลังอันเดดแห่งมหาสุสานนาซาริค และที่สำคัญกว่านั้น
เขายังเป็นอันเดดที่ถูกสร้างโดยมหาราชาแห่งความตาย --- ท่าน ไอนซ์ โอว โกวซ์

เขาไม่ยอมให้อำนาจอันทรงพลังของเขาต้องมาพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ ---

" ตายไปซ๊าา--- !! "
"เจ้าต่างหาก ที่เป็นสัตว์ประหลาด"

ซาริวสุก้าวย่าง อย่างรวดเร็ว

ใช่แล้ว, เขากระแทกอย่างสุดแรง รวดเร็วกว่าพลังเชิงลบที่อิกูหว้าฉีดเข้ามา

หมัดที่กำแน่นของเขากระแทกเข้าไปที่ด้ามของ ฟรอสต์ เพน

เลือดแตกออกมาจากกำปั้นของเขา
หลังจากการโจมตีอันหนักหน่วง ฟรอสต์ เพน ปักลึกลงไปยาวมาถึงตาซ้าย
ทิ่มทะลวงสมองของอิกูหว้า

" โอ๊วววววว !! "

อิกูหว้าที่เป็นอันเดดไม่สามารถที่จะรู้สึกเจ็บปวดได้, แต่เขา --- รู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของเขากำลังสลายไป

"นี้.....มัน.....เป็นไป.....มะ.....ไม่ได้.....ทะ.....ท่านไอนซ์"

ดวงตาของอิกูหว้าสะท้อนออกมาถึงความเข้าใจแล้วว่า ความล้มเหลวนั้นเป็นเช่นไร
ซาริวสุรู้สึกเหมือนร่างกายของเขาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายเชิดออก, ตามมาด้วยเสียงน้ำที่สาดกระจาย

"......ดะ.....ได้โปรด......ยกโทษ......ให้ข้า......"

ร่างของอิกูหว้ากองอยู่กับพื้นในขณะที่เขาเอ่ยขอโทษเจ้านายของเขา



ทั้งห้องเงียบงัน, ภาพที่ฉายอยู่บนกระจกเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
ไม่มีใครเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมา, ยกเว้น เมด --- เอนโทม่า

"ท่านโคไซตัส, ท่านไอนซ์เรียกตัวท่านเจ้าค่ะ"
" --- เข้าใจแล้ว "

โตไซตัสที่กำลังคอตกหันหัวไปเผชิญหน้ากับเอนโทม่าอย่างช้าๆ

ท่ามกลางสายตาที่เป็นห่วงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา, เขากัดฟันแน่นในความอัปยศของเขา

ในขณะเดียวกัน, เขาก็อยากชมเชยพวกลิซาร์ดแมนด้วย

มันเป็นการต่อสู้ที่งดงามมาก

พวกเขาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ จนพวกเขาประสบกับชัยชนะ
แม้ฝ่ายลิคจะมีความประมาทอยู่บ้าง, แต่การจะเอาชนะกันในการต่อสู่ได้ มันต้องมีมากกว่านั้น

".......น่าประทับใจ, น่าประทับใจเป็นอย่างมาก"

โคไซทัสเก็บคำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเอาไว้

ลิซาร์ดแมน เอาชนะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ได้

"......น่าเสียดาย"

โคไซตัสถอนหายใจในขณะที่เขามองดูเหล่าลิซาร์ดแมนที่กำลังดีใจ เต้นรำกันในงานเฉลิมฉลอง

เหล่านักรบที่สะท้อนภาพอยู่ในกระจกแม้ว่าจะอ่อนแอ, แต่พวกเขาก็กระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ของ
โคไซตัสให้ลุกโชนได้

"อ่าา......ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้......"

โคไซตัสลังเล, เขาเลือกบทที่เลวร้ายที่สุด ที่เขาคิดได้,
คิดถึงมันและเขาก็ได้ข้อสรุป

" --- พวกเราไปกันเถอะ"

Part 6
ซาริวสุรู้สึกว่าร่างกายของเขาค่อยๆออกมาจากความมืดมิดทีละนิด
มันช่างรู้สึกปลอดโปร่ง โล่งสบายเสียจริง

เขาลืมตาขึ้นมา พบกับโลกที่เบลอไปหมด, คล้ายๆกับตอนเขายังมีสติอยู่

ข้าอยู่ที่ไหนกัน? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?

คำถามมากมายถาโถมเข้ามา, ในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกดทับเขาอยู่

--- สีขาว

ซาริวสุเพ่งไปยังสีขาวๆ ที่อยู่ตรงนั้น, นั้นคือคำๆ แรกปรากฏขึ้นมามาในหัวที่กำลังสะลึมสะลือของเขา ,
เขาเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้นมากเดิม, เขาเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“อ่า......”

ข้ายังมีชีวิตอยู่

ซาริวสุรู้สึกโล่งใจซะจนเกือบจะร้องออกมาดังๆ, เขาไม่อยากปลุกครูสช์ที่ตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่,
แรงกระตุ้นบางอย่างทำให้เขาอยากสัมผัสเธอ แม้แต่เกร็ดของเธอก็สวยซะขนาดนี้……
แต่เขาจะไปก้อร่อก้อติกกับเกร็ดของลิซาร์ดแมนผู้หญิงแบบนั้นไม่ได้

ซาริวสุสลัดความคิดเรื่องพวกนั้นออกไปแล้วหันไปคิดถึงเรื่องอื่นแทน

ยังมีอีกหลายเรื่องให้เขาต้องคิด

อย่างแรก, ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่

เขาลองนึกๆดู, ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
หลังจากเห็นอิกูหว้าเหลือแต่ซากแล้ว จิตสำนึกของเขาก็ขาดหายไป
แต่เขาไม่ได้โดนศัตรูจับและยังอยู่ตรงนี้ก็แสดงว่าเผ่าของพวกเขาเป็นฝ่ายชนะสินะ

เพื่อไม่เป็นการรบกวนครูสช์ที่กำลังนอนอยู่
ซาริวสุถอนหายใจออกมาเบาๆ เขารู้สึกว่าบ่าของเขาเบาขึ้นเมื่อภาระของเขาหายไป แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ ก็ยังมีเรื่องให้กังวลอยู่
พวกเขายังไม่รู้เรื่องของศัตรู หรือเป้าหมายของพวกมันเลย
มีโอกาสสูงที่พวกมันจะกลับมาโจมตีพวกเขาอีก…..ไม่ใช่สิ
พวกมันต้องกลับมาอย่างแน่นอนต่างหาก

เขาปล่อยให้สมองของเขาพักผ่อน, ซาริวสุรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นจากร่างของครูสช์แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆอีกครั้ง

หลังจากนั้น ซาริวสุก็ค่อยๆขยับตัวเบาๆ ร่างกายของเขาไม่มีปัญหาอะไรเขานึกว่าเขาอาจจะพิการ แต่โชคดีที่เขาไม่เป็นอะไร

ซาริวสุนึกถึงพี่ชายของเขา, นอกจากครูสช์แล้ว ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยแล้วเซนเบรุล่ะ?
หมอนั่นก็ท่าทางจะสาหัสอยู่เหมือนกันแต่ลิซาร์ดแมนที่แข็งแกร่งอย่างเจ้านั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก

ดูเหมือนครูสช์จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะซาริวสุขยับตัว
ราวกับมีวิญญาณพุ่งเข้าไปในร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของครูสช์
เธอกำลังจะตื่นขึ้นมา

“หืออ......”

ครูสช์ครางเสียงน่ารักๆออกมา พร้อมกับสอดส่ายสายตาไปรอบๆ
เพียงแวบเดียว เธอก็สังเกตเห็นซาริวสุที่เธอนอนทับอยู่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข

“มู~~”

ครูสช์ที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นโถมเข้าไปกอดแล้วซบไปที่ซาริวสุ
ท่าทางเหมือนกับสัตว์ที่กำลังฝากกลิ่นไว้กับอะไรบางอย่าง

ซาริวสุตัวแข็งทื่อ, ปล่อยให้ครูสช์คลอเคลียจนสาแก่ใจ,
ความคิดชั่วร้ายกับคำพูดที่ว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนะ” ปรากฏขึ้นมาจากมุมหนึ่งในจิตใจของเขา

เกร็ดสีขาวที่นุ่มนิ่มเรียบเนียน กับกลิ่นหอมอันมีเสน่ห์จากสมุนไพร

กอดเธอกลับคงไม่เป็นอะไรสินะ ใช่ไหม?

เขาไม่สามารถทนต่อไปได้อีกนานนัก, ครูสช์ เพ่งมองไปยังตาของซาริวสุ

--- แล้วติดสตั้นทันที

หน้าของครูสช์ขยับไปไหนไม่ได้เมื่อกอดเขาอยู่, ซาริวสุก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
จนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจเลือกคำที่เขาคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

“--- ข้าขอกอดเจ้าบ้างได้ไหม?”

ที่มันดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะตอนนี้กิเลสตัณหาพุ่งขึ้นหัวเขาแล้ว

ครูสช์ทำเสียงขู่ออกมา หางของเธอตวัดไปทั่ว ก่อนจะกลิ้งตัวออกมาจาก
ซาริวสุจนไปติดกำแพง

ซาริวสุได้ยินเสียงครูสช์ที่กำลังนอนคว่ำอยู่พูดออกมา

“โง่...โง่...โง่...ข้านี่มันโง่ที่สุดเลย”
“......เอ่อ, ข้าดีใจนะ ที่เจ้าปลอดภัย, ครูสช์”

คำพูดของเขาทำให้ครูสช์ได้สติและเริ่มใจเย็นลง---แต่หางของเธอยังตวัดไปมาอยู่ดี--- เธอเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะยิ้มให้ซาริวสุ

“เจ้าเองก็เช่นกัน, ดีจริงๆที่เจ้าไม่เป็นอะไร”

พอเห็นใบหน้าที่อ่อนโยนของครูสช์, ซาริวสุก็เกิดความคิดลามกขึ้นมาอีก
แต่เขาเก็บมันเอาไว้แล้วถามคำถามที่เหมาะสมกลับไป

“เจ้ารู้บ้างไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ข้าหมดสติไป?”
“อืม, ไม่มากก็น้อยล่ะน, หลังจากที่เจ้าชนะอิกูหว้าแล้ว ศัตรูก็ล่าถอยไป
พี่ชายเจ้าก็ตีฝ่าฝูงมอนสเตอร์เข้ามาช่วยพวกเราไว้......เมื่อวานนี้”
“เซนเบรุไม่อยู่ที่นี่.......”
“เขาสบายดี, ความเร็วในการฟื้นฟูของเขามากกว่าเจ้าและได้สติขึ้นมาหลังจากเขาได้รับการรักษาด้วยเวทมนต์
เขาน่าจะต้องพักฟื้นร่างงกายหลังจากการต่อสู้อยู่ดี, ส่วนข้าดูเหมือนจะสลบเพราะความเหนื่อยล้า หลังจากได้ยิน......”

ครูสช์ลุกขึ้นมาแล้วไปนั่งข้างๆซาริวสุ ซาริวสุก็อยากลุกขึ้นบ้างเหมือนกันแต่ครูสช์ห้ามเขาไว้

“อย่าฝืนตัวเองเลย, เจ้าน่ะ บาดเจ็บหนักที่สุดในบรรดาพวกเราเลยนะ”

เธอนึกถึงภาพในตอนนั้น พร้อมกับเสียงของเธอที่เบาลง

“ดีจริงๆที่เจ้าไม่เป็นอะไร, ดีจริงๆ......”

ซาริวสุลูบตัวครูสช์ที่กำลังมองลงมาแล้วปลอบโยนเขา

“ข้าไม่ยอมตาย ก่อนที่จะได้ยินคำตอบของเจ้าหรอก, ข้าเองก็เป็นห่วงเจ้าอยู่เช่นกัน”

คำตอบนี้ หยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขา

พวกเขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั่วทั้งห้องราวกับตกอยู่ในความมืด
เสียงหัวใจของพวกเขาเต้นดังออกมา

ครูสช์ค่อยๆ เคลื่อนหางของเธออย่างช้าๆ ไปพันหางของซาริวสุ
หางสีขาวและสีดำพันกันเป็นเกลียวดูคล้ายกับงูผสมพันธุ์กัน

ซาริวสุมองไปยังครูสช์อย่างเงียบๆ, ครูสช์เองก็มองกลับมาที่เขาเช่นกัน
ภาพของพวกเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย

ซาริวสุพูดบางอย่างออกมาเบาๆ, ไม่สิ มันไม่ใช่คำพูด แต่เป็นเสียงร้อง
เสียงเดียวกันกับตอนที่เจอเธอครั้งแรก

--- เสียงแห่งความพิศวาส
ซาริวสุยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งเสียงนี้ออกมา, ไม่ๆ......เขายังทำอะไรไม่ได้
นอกจากปล่อยให้หัวใจของเขาเต้นตูมตามอยู่อย่างนั้น

ต่อมา, ครูสช์ก็ปล่อยเสียงแบบเดียวกันออกมา, เธอส่งเสียงออกมาพร้อมกับสั่นหางของเธอ,
นั้นหมายถึง --- เธอตกลงกับเสียงพิศวาสของซาริวสุ

เสน่ห์อันเย้ายวนใจ ปรากฏขึ้นมาบนสีหน้าของครูสช์จนซาริวสุไม่อาจละสายตาออกมาจากเธอได้
ครูสช์แนบตัวเองเข้าไปทับร่างซาริวสุ ท่าทางเหมือนกับตอนที่พวกเขายังนอนอยู่

ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันจนแทบจะไม่มีช่องว่าง, ลมหายใจอุ่นๆ ของพวกเขารดกันไปมา,
หัวใจของพวกเขาเต้นเป็นจังหวะเดียวกันผ่านหน้าอกที่แนบชิดติดกันอยู่, และพวกเขากำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

“โอ้!! กำลังยุ่งกันอยู่หรอ?”

ประตูเปิดพรวดอย่างรุนแรง พร้อมกับเซนเบรุที่พุ่งเข้ามา


ครูสช์กับซาริวสุตัวแข็งทื่อเหมือนโดน [ไอส์ เบิร์ส] จนกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง

เซนเบรุมองไปยังทั้งสองคนที่กำลังจะรวมร่าง--- ......มองไปยังครูสช์ที่กำลังขึ้นขี่ซาริวสุอยู่,
เซนเบรุเอียงคออย่างสงสัย ก่อนจะถามว่า

“อะไรกัน, ยังไม่ได้เริ่มกันอีกหรอ?”

พวกเขารู้ว่าเซนเบรุพูดถึงอะไร ก่อนจะแยกออกจากกันอย่างเงียบๆ แล้วลุกขึ้นยืน
จากนั้นก็เดินตรงมาหยุดอยู่ต่อหน้าเซนเบรุ โดยไร้ถ้อยคำใดๆ
เซนเบรุมองทั้งสองคนล่อกแล่กๆ สลับไปมา

“---โอ๊กกกก !!”

หมัดของทั้งสองคนพุ่งเข้าท้องของเขาอย่างแรง, หลังเสียงร้อง, ร่างใหญ่ๆของเซนเบรุก็ทรุดลงไปกองกับพื้น

“อึกกก.....หมะ....หมัดอะไรจะทรงพลังขนาดนี้.....โดยเฉพาะครูสช์......อ๊าาา.....เจ็บจริงๆ”

แม้จะไม่มีซาริวสุ, แค่หมัดแห่งความพิโรธของลิซาร์ดแมนสาวก็เอาชนะเซนเบรุได้ ซึ่งแค่นั้นมันยังไม่พอที่จะระบายความโกรธได้หรอก,
แต่ถึงพวกเขาจะทำอะไรกับเซนเบรุมากไปกว่านี้ก็ตาม บรรยากาศเมื่อครู่มันก็ไม่กลับมาอยู่ดี

ทั้งสองคนจับมือกัน---มันแปลกดีที่ใช้วิธีนี้แทนการกระทืบเซนเบรุ
ซาริวสุถามเซนเบรุ เพื่อผ่อนคลายความกังวลเรื่องหนึ่ง

“ตอนนี้ลืมเรื่องนั้นซะ, ข้ามีคำถามจะถามเจ้า ข้าได้ฟังจากครูสช์มาบ้างแล้ว
แต่ข้าอยากให้เจ้าอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้มาหน่อยได้ไหม?”

เซนเบรุไม่สนใจที่ทั้งสองคนกำลังจับมือกันอยู่แล้วตอบคำถามกลับไป

“เจ้าไม่รู้หริอ? ทุกเผ่ากำลังจัดงานฉลองชัยชนะกันอยู่”
“พี่ชายข้าเป็นเจ้าภาพงั้นรึ?”
“ใช่แล้ว, นอกจากนั้น, พวกนักล่าที่ออกไปลาดตระเวรมาก็ไม่พบสัญญาณของศัตรูเลย
แถมยังไม่มีร่องรอยของกำลังเสริมหรือการซุ่มโจมตีด้วย สภาพแบบนี้คงจะเป็นเรื่องยากที่จะมีกองทัพขนาดใหญ่,
พวกเราก็ยังระวังตัวกันอยู่ แต่พี่ชายของเจ้าประกาศชัยชนะไปแล้ว และข้ามานี่ก็เพราะพี่เจ้าสั่งมา”
“พี่ข้าสั่งมา?”
“อ่า, พี่เจ้าบอกว่า ---[ช่าฮ่าฮ่า ปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันนั้นแหละ
ป่านนี้คงกำลัง โซเดมาคอม กันอยู่แน่เลย, ช่าฮ่าฮ่า ถ้าเข้าไปขัดจังหวะคงดูไม่ดีแน่, แต่ข้าก็สนใจอยู่นะ ช่าฮ่าฮ่า]---แบบเนี้ย”
“อย่ามาตอแหล, แล้วไอ้ ช่าฮ่าฮ่า นั้นมันอะไร?”
“แหมๆๆ......ไม่มี๊ ไม่มี อะไรหรอกน่า ช่าฮ่าฮ่า......”
“พี่ข้าไม่มีทางหัวเราะแบบนั้นแน่, จริงๆเลย......”
“ข้าแค่ทำให้ดูชัดๆ เท่านั้นเอง......”
“--- มารดาเจ้าเถอะ”

ความเย็นยะเยือกพอๆกับ [ไอซ์ เบิร์ส] ออกมาจากปากจองครูสช์พร้อมกับถ้อยคำเหล่านั้น,
เสียงอันอำมหิตเล่นเอาซาริวสุถึงกับขนลุก ส่วนเซนเบรุที่โดนพูดใส่ถึงกับตัวแข็งทื่อ สั่นงันงก

“แล้วตกลง เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“อ๋ออ, ข้ามาเพื่อทำลา......”
“ถ้ายังกวนตีuไม่เลิก, ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติของเวทมนต์ทุกชนิดที่เจ้าจะนึกได้เลย”

ซาริวสุและเซนเบรุมั่นใจอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ้เลยว่าครูสช์ไม่ได้ล้อเล่น

“เอ่อ.....ข้ามาชวนพวกเจ้าไปงานเลี้ยงน่ะ, พวกเราเป็นกุญแจที่พาไปสู่ชัยชนะ ใช่ไหม? งานเลี้ยงก็เลยขาดพวกเราไม่ได้ไง,
และก็นะ พวกเราต้องไปปรึกษาหารือถึงอนาคตของลิซาร์ดแมนในภายหน้าด้วย.....”
“เหรอ......”

หลังจากได้ฟังคำอธิบาย อ้อมๆแอ้มๆของเซนเบรุ, ซาริวสุก็ยิ้มออกมาแบบกลั้นๆเอาไว้เพราะเขาจับได้ว่าเซนเบรุอยากพูดอะไร,
สิ่งที่เซนเบรุอยากจะบอกก็คือ ยังมีการต่อสู้อีก, ตอนนี้ คือเวลาแสดงพลังของพวกเขาแล้ว

“ข้าเข้าใจล่ะ, แล้วเจ้าจะไปด้วยไหม, ครูสช์”
ครูสช์งอนแก้มป่องจนดูเหมือนกับกบเดลมาส กบที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ
แต่ซาริวสุกลับคิดว่าเธอยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่

“งั้น เราไปกันเลยไหม?”

เซนเบรุถามทะลุกลางปล้อง ซาริวสุกับครูสช์ที่กำลังมองตากันอยู่

“อ่ะ......อืม, ถูกของเจ้า, ไปกันเถอะ”

หลังจากที่ทั้งสองคนยอมรับ พวกเขาทั้งสามคนก็เดินออกมาด้วยกัน
เมื่อพวกเขาก้าวลงบันไดมาจนถึงพื้น ทันใดนั้นซาริวสุก็หายลับไปจากสายตาของครูสช์กับเซนเบรุทันที
มีอะไรขนาดใหญ่บางอย่างลากซาริวสุลงน้ำไป

--- ปั๊งงง
--- ฟุบ ฟุบ
--- ซ่า.......

มีแต่เสียงแบบนี้ดังขึ้นมา

ซาริวสุหายไปจากสายตา แล้วแทนที่ด้วยร่างของโรโรโร่
หัวทั้งสี่ของมันหมุนไป หมุนมาอย่างดี๊ด๊า เอาจมูกไปดุนที่ซาริวสุซึ่งตอนนี้ตกลงไปอยู่บนพื้นเลนซะแล้ว

“โรโรโร่ !! เจ้าไม่เป็นอะไรซินะ!!”

ซาริวสุที่มีโคลนเคลือบไปทั้งตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปหาโรโรโร่
กอดร่างของมันอย่างนุ่มนวลแล้วสำรวจร่างกายของมัน
ดูเหมือนว่ามันจะได้รับการรักษาด้วยเวทมนต์ พวกแผลไฟไหม้ก่อนหน้านี้ก็ได้รับการเยียวยาจนดูราวกับว่ามันไม่เคยบาดเจ็บมาตั้งแต่แรก
โรโรโร่ครางหงิงๆ ในขณะที่มันพันหัวของมันไปรอบๆ ซาริวสุจนเกือบจะมิดทั้งตัว

“เฮ้ เฮ้ เฮ้, พอได้แล้ว, โรโรโร่”

ซาริวสุหัวเราะในขณะที่เขาปรามโรโรโร่ด้วยเสียงของเขา, โรโรโร่ได้แต่ร้องออกมาอย่างมีความสุข แต่ยังไม่ปล่อยเขาไป

ซ่าาาา ซ่าาาา ซ่าาาา

ซาริวสุได้ยินเสียงจังหวะน้ำสาดกระจาย แล้วเขาก็ถึงกับงง เมื่อได้เห็นแหล่งที่มาของเสียงนี้

นั้นก็คือครูสช์ ที่กำลังมองซาริวสุกับโรโรโร่ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
แต่หางของเธอกลับฟาดอยู่กับพื้นน้ำด้วยจังหวะที่มั่นคง

เซนเบรุที่ยืนอยู่ข้างครูสช์ ค่อยๆเขยิบถอยห่างออกมาด้วยท่าทางที่แข็งทื่อ

โรโรโร่ก็หยุดด้วยเช่นกัน มันอาจจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ

“มีอะไรเหรอจ้ะ?”
“เปล่าครับ, ไม่มีอะไร.....”

ซาริวสุมองครูสช์ ที่ถามเขาแล้วก็งุนงง ไม่ว่าจะมองยังไง ครูสช์ก็ยิ้มอย่างมีความสุขที่ซาริวสุกับโรโรโร่ได้มาเจอกันอีกครั้ง,
แต่ทำไมกันนะ, เขาถึงได้เย็นสันหลังวูบวาบแบบนี้

“มีอะไรแปลก---”

ครูสช์ยิ้มออกมาอีกครั้ง

โรโรโร่ปล่อยตัวซาริวสุออกมา, ส่วนเซนเบรุกำลังมีท่าทางเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่
เซนเบรุทนกับบรรยากาศแปลกๆนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขาจึงต้องเปลี่ยนหัวข้อให้เร็วที่สุด

“เอาล่ะ โรโรโร่, เจ้ากับข้าควรจะไปกันได้แล้วนะ”

แน่นอน, โรโรโร่ไม่เข้าใจภาษาของลิซาร์ดแมน, แต่มันกลับให้เซนเบรุขึ้นขี่แล้ววิ่งออกไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

หนึ่งคนกับหนึ่งตัวจากไป, เหลือทิ้งไว้แต่บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างซาริวสุกับครูสช์

ครูสช์กอดหัวตัวเองพร้อมกับเขย่ามันไปด้วย

“อ่า~~ จริงๆเลย, ข้าทำอะไรลงไปเนี่ย มันรู้สึกเหมือนหัวใจของข้าไม่เป็นของตัวเองเลย มันไม่สมเหตุสมผลเลยอ่า,
ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้เลย นี้มันคำสาปชัดๆ”

ซาริวสุเข้าใจความรู้สึกของเธอแล้ว, เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนี้ตอนเขาเจอเธอเป็นครั้งแรก

“บอกตามตรงนะ, ครูสช์----ข้ารู้สึกดีใจมากเลย”
“---อะไรนะ?”

ซ่าาาาา, เสียงน้ำดังขึ้นมา ซาริวสุเดินไปข้างๆครูสช์

“ฟังสิ, เจ้าได้ยินไหม?”
“หืออ?”

“สิ่งที่เราปกป้องเอาไว้ได้ รวมทั้งสิ่งที่เราต้องปกป้องจากนี้ต่อไปด้วย”

เสียงหัวเราะ เฮฮา ดังลั่นมาตามสายลม, พวกเขากำลังกินเลี้ยงในงานฉลองกันอยู่,
งานเลี้ยง หมายถึงการสั่งลาเหล่าบรรพบุรุษ การเฉลิมฉลองในชนะ
และการไว้อาลัยแด่เหล่าผู้เสียชีวิต

เดิมที ไวน์ เป็นของหรูหราราคาแพง แต่พวกเขามีการจัดการแจกจ่ายในงานเลี้ยงเยอะๆได้แบบนี้
ต้องขอบคุณเผ่าของเซนเบรุ ที่นำหนึ่งในสี่สมบัติที่สามารถผลิต ไวน์ ได้แบบไม่จำกัด
และเนื่องจากทุกเผ่ามารวมตัวกัน
พวกเขาจึงสนุกไปกับบรรยากาศอันแสนสนุกสนานที่ไม่น่าเชื่อแบบนี้ได้

ซาริวสุฟังเสียงที่ เฮฮา มีความสุข แล้วหันไปพูดกับครูสช์ด้วยรอยยิ้ม

“ตอนนี้มันยังไม่จบ, เจ้าผู้ปกครองสูงสุดนั้น จะต้องมาโจมตีอีกแน่นอน
แต่ว่านะ.....วันนี้เรามาผ่อนคลายกันเถอะ”

ซาริวสุสอดมือเข้าไปโอบที่เอวของครูสช์

ครูสช์ปล่อยตามน้ำไป จนติดอยู่ในอ้อมแขนของซาริวสุ, เธอเอนหัวไปแนบที่ไหล่ของเขา

“เราไปกันเลยไหม?”
“ค่ะ......”
ครูสช์ตอบออกมา แล้วลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง, เธอเอ่ยต่อออกมาอีกว่า
“......ที่รัก”

ลิซาร์ดแมนทั้งสองเดินไปด้วยกัน, ก่อนจะหายเข้าไปในเสียงของฝูงชนที่ดังเซ็งแซ่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น