หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Overlord Volume 4 Chapter 2



Part 1

การเดินทางด้วยโรโรโร่บนพื้นที่ชุ่มน้ำผ่านมาครึ่งวันแล้ว พระอาทิตย์ลอยสูงเด่นอยู่บนท้องฟ้า
ซาริวสุไม่เจอแม้แต่เงาของศัตรูมาขัดขวาง จนในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง





ในพื้นที่ชุ่มน้ำตรงนั้น มีบ้านสำหรับอยู่อาศัยที่สร้างเป็นแบบเดียวกันอยู่หลายหลังเหมือนกับที่
หมู่บ้านเผ่ากรีนคลอ มีรั้วไม้แหลมหันออกมาด้านนอกลายล้อมอยู่ทุกด้าน ถึงแม้ว่าจะมีช่องว่าง
อยู่บ้าง แต่นั้นก็เพียงพอสำหรับป้องกันไม่ให้สัตว์ขนาดใหญ่อย่าง โรโรโร่ บุกรุกเข้าไปได้
แม้ว่าจำนวนบ้านเรือนจะน้อยกว่าที่หมู่บ้านกรีนคลอ แต่ด้านขนาดนั้น ที่แห่งนี้ใหญ่กว่า

ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าจำนวนประชากรมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่

บ้านทุกหลังจะมีธงที่กำลังพริ้วไหว ไปตามแรงลม ธงทุกผืนมีเครื่องหมายของเผ่า เรดอาย
ประดับอยู่

ใช่แล้ว เป้าหมายแรกของซาริวสุ คือที่ตั้งถิ่นฐานของเผ่าเรดอายนั้นเอง

หลังจากกวาดสายตาไปโดยรอบ ซาริวสุก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

นั้นเป็นเพราะโชคเข้าข้างซาริวสุ ที่สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ชุ่มน้ำส่วนเดียวกัน
จากความเข้าใจก่อนหน้านี้ เดิมทีซาริวสุกังวลว่าพวกเขาจะย้ายไปที่อื่นแล้วเพราะ
ผลพวงจากสงคราม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงต้องเริ่มต้นค้นหาสถานที่ตั้งของ
เผ่าเรดอายใหม่ตั้งแต่ต้น

ซาริวสุมองย้อนกลับไปทางทิศที่ตัวเองมา แม้ว่าเขาจะเห็นไม่ชัดเจนนัก
แต่เขาก็ยังเห็นหมู่บ้านของเขาเป็นจุดเล็กๆจนเกือบจะพ้นระยะสายตา
ตอนนี้ ที่หมู่บ้านของเขาคงกำลังเตรียมการเรื่องต่างๆกันอยู่
ตอนออกมาจากหมู่บ้านนั้น เขาก็ยังคงมีความกังวลใจอยู่เช่นกัน
แต่เขาก็มั่นใจว่าหมู่บ้านของเขาจะยังปลอดภัยอยู่ในตอนนี้

หลักฐานคือ การที่เขาสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย

เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขา อยู่ในแผนหรือเป็นความผิดพลาดของ
ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มอนเตอร์นั้นพูดถึงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน
ศัตรูก็คงไม่กลับคำแน่ และไม่โจมตีในขณะที่เราเตรียมการกันอยู่ด้วย

แน่นอนว่า แม้เจ้าผู้ยิ่งใหญ่อะไรนั้นจะสอดมือเข้ามายุ่ง
ซาริวสุก็จะยังทำตามเป้าหมายของเขาให้สำเร็จ

ซาริวสุกระโดดลงมาจากหลังของซาริวสุ แล้วยืดเส้นยืดสาย
การขี่โรโรโร่มาเป็นระยะทางไกล ทำให้กล้ามเนื้อของเขาตึงไปหมด
การได้ยืดหลังซักนิดก็ช่วยได้มากทีเดียว

ทางต่อจากนี้ เขาต้องให้โรโรโร่รอเขาอยู่ที่นี่
เขาควักเอาปลาแห้งออกมาจากกระเป๋าบนหลังให้โรโรโร่
เพื่อเป็นทั้งอาหารเช้าและอาหารกลางวัน

อันที่จริง เขาอยากหาอาหารสำหรับตัวเขาเองจากแถวๆนี้มากกว่า
แต่การที่จะไปล่วงละเมิดพื้นที่ล่าของเผ่าเรดอายนั้นมันไม่สมควร

หลังจากรูปหัวแต่ละหัวของโรโรโร่แล้ว ซาริวสุจัดแจงตัวเขาให้พร้อม
ก่อนจะมุ่งต่อไปข้างหน้า

ถ้าเขาให้โรโรโร่ตามมาด้วยละก็ อีกฝ่ายคงต้องระแวงที่มีไฮดร้าเข้ามา
และไม่ยอมออกมาต้อนรับเขาแน่
ซาริวสุเดินเข้ามาแบบเป็นมิตร และหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงน้ำที่ดังกระฉอก

ในตอนนั้นเองสายตาของซาสุริวพลันปรากฏเหล่านักรบของเผ่าเรดอาย
ยืนเรียงไปกับระนาบของรั้วไม้แหลม พวกเขาสวมใส่อุปกรณ์เหมือนกับของเผ่ากรีนคลอ
ไม่ใส่ชุดเกราะ ถือหอกที่ทำจากไม้ ส่วนปลายเป็นกระดูกที่แหลมคม
นอกจากนี้ ยังมีกระทั่งคนที่ถือเชือกขว้างก้อนหิน อาวุธสำหรับโจมตีระยะไกล
แต่พวกเขายังไม่ได้ใส่หินเอาไว้ นั้นแปลว่าพวกเขาไม่ได้คิดที่จะโจมตีเข้ามาในทันที

ซาริวสุพยายามมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการระวังที่จะไม่ทำอะไรที่เป็นการยั่วยุพวกเขา
เขาค่อยๆก้าวเดินไปช้าๆ จนมาถึงประตูหลัก
ซาริวสุมองไปที่ลิซาร์ดแมนที่จ้องเขาตาเขม็ง ก่อนจะเอ่ยออกมา

"ข้าคือ ซาริวสุ ชาช่า จากเผ่ากรีนคลอ ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดคุยกับ
หัวหน้าของพวกท่าน"

ไม่นาน ก็ปรากฏลิซาร์ดแมนที่คนอื่นๆทำความเคารพเดินถือไม้เท้าเข้ามา
ด้านหลังของเขามีลิซาร์แมนท่าทางแข็งแกร่ง 5 ตนเดินตามมาด้านหลัง
ลิซาร์แมนสูงวัย ผู้แต่งแต้มสีขาวไว้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง

เขาคือดรูอิดอาวุโสงั้นหรือ?

ซาริวสุรักษามาดที่ผึ่งผายของเขาไว้

ผู้ที่อยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ ยังถือว่ามีความเท่าเทียมกันในแง่ของตำแหน่งอยู่
ดังนั้น เขาจะแสดงความด้อยกว่าออกไปไม่ได้
แม้แต่ในตอนที่ดรูอิดอาวุโสคนนั้นมองมาที่สัญลักษณ์บนหน้าอกของเขา
ซาริวสุก็ไม่แสดงออกถึงท่าทีอ่อนไหวใดๆ

"ซาริวสุ ชาช่า แห่งเผ่ากรีนคลอ ข้ามีเรื่องที่ต้องการจะมาปรึกษาหารือด้วย"
"....แม้ว่าจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าต้อนรับเจ้า แต่หัวหน้าของเราก็ปราถนาที่จะรับฟังเจ้า
ตามข้ามาสิ......."

คำพูดที่มีพิรุธนี้ ทำให้ซาริวสุสงสัย

สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยนั้นก็คือ ทำไมพวกเขาถึงไม่เรียกหัวหน้าเผ่าออกมาเลย
อีกอย่าง ทำไมพวกเขาไม่เรียกร้องให้ซาริวสุแสดงหลักฐานพิสูจน์ตัวตน
แต่หากพูดอะไรออกไปตอนนี้อาจจะทำให้เสียเรื่องได้ และนั้นจะเป็นปัญหาซะเปล่าๆ
แม้เขาจะรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็ยังเดินตามหลังลิซาร์ดแมนตนนั้นไป

เขาถูกพามายังกระท่อมหลังเล็กๆที่สวยงาม

แต่กระนั้นมันก็ยังใหญ่กว่าบ้านของพี่ชายซาริวสุ ผนังแต่ละด้านถูกย้อมไปด้วย
ลวดลายที่หาดูยาก บ่งบอกว่าเจ้าของกระท่อมหลังนี้เป็นผู้ที่มียศสูงศักดิ์

มองจากด้านนอก
สิ่งที่เขากังวลคือที่นี่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงช่องระบายอากาศเล็กๆเท่านั้น
ลิซาร์ดแมนสามารถมองเห็นได้ในที่มืดก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า
พวกเขามีความสุขกับการอยู่ในที่มืดเลยซักนิด

ทำไมพวกเขาถึงต้องการมาอยู่ในที่มืดๆแบบนั้น?
ซาริวสุมีข้อสงสัยหลายอย่าง แต่เขาคงไม่สามารถหาคนตอบคำถามเหล่านี้ได้

มองไปด้านหลัง บัดนี้ดรูอิดและเหล่านักรบที่นำทางมาต่างหายกันไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นอย่างนั้น ซาริวสุจึงคิดในใจว่าพวกเขาประมาทเกินไปรึเปล่า
จนเกือบจะพลั้งปากออกมา

แต่เมื่อซาริวสุนึกถึงคำของพวกเขาที่ว่า นี้เป็นความปราถนาของหัวหน้าเผ่าแล้ว
ความสนใจของเขา ต่อหัวหน้าเผ่ารอที่อยู่ในกระท่อมก็ยิ่งสูงขึ้น

แม้ว่าเขาจะสัญญากับพี่ชายของเขาว่าจะกลับไปอย่างปลอดภัย
แต่ในใจของเขาก็เตรียมพร้อมว่าจะทำตามสัญญานั้นไม่ได้ด้วยเช่นกัน
เช่นนี้ แม้จะมียามติดอาวุธคอยเฝ้าอยู่รอบตัว แต่ก็ยังสร้างความกดดันให้เขาไม่ได้
อันที่จริง เขารู้สึกผิดหวังมากกว่า ที่พวกนั้นพาคนมาได้แค่นี้

แต่หากว่าพวกนั้นรู้ความต้องการของเขาอยู่แล้ว แสดงว่านี้เป็นความใจกว้างของพวกนั้น
อีกฝ่ายคงจะเป็นคนเจรจาต่อรองเก่ง, เจอคู่สนทนาที่รับมือยากซะแล้ว

เขาไม่สนใจสายตาของพวกที่จ้องมองมาจากระยะไกล ซาริวสุเดินไปที่ประตูแล้วกระกาศเสียงดัง

"ข้าคือซาริวสุ ชาช่า แห่งเผ่ากรีนคลอ และข้ามาที่นี่เพื่อพบท่านหัวหน้าเผ่า!!"

เสียงเล็กๆดังออกมาจากด้านใน มันเป็นเสียงของผู้หญิง เอ่ยคำอนุญาตให้เขาเข้าไปได้

ซาริวสุเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล ภายในนั้นมันช่างมืดมิด สุดที่เขาจะจินตนาการได้

เพราะความต่างของแสงภายในกับภายนอก แม้จะมีสายตาที่มองเห็นในความมืดได้
แต่ซาริวสุก็ยังต้องกระพริบตาปรับแสง สองสามครั้ง

ภายในมีกลิ่นคล้ายกับยา ผสมกับกลิ่นหอมของสมุนไพรฟุ้งแทงจมูกเขา
ซาริวสุคิดในใจว่าเธอคนนั้นคงเป็นลิซาร์ดแมนหญิงสูงอายุ
แต่ความเป็นจริง ได้ทำลายความคิดของเขาลงทันที

"ยินดีต้อนรับค่ะ"

เสียงพูดดังออกมาจากในความมืด เขาเข้าใจผิดว่าเสียงที่ได้ยินผ่านประตู
เป็นเสียงของผู้หญิงสูงวัย แต่พอฟังใกล้ๆ มันคือเสียงของหญิงสาววัยเยาว์

เมื่อตาของเขาชินกับแสง ก็มีลิซาร์ดแมนปรากฏขึ้นมาบนสายตาเขา

ขาว.....

นั้นคือสิ่งแรกที่กระแทกเข้ากลางใจซาริวสุ

เกร็ดสีขาวดั่งหิมะ บริสุทธื์ผุดผ่อง ดวงตาสีแดงอันสดในเหมือนกับทับทิม
แขนขาที่เรียวบางนั้นไม่ใช่ของผู้ชาย แต่เป็นของผู้หญิง

ร่างกายของเธอประดับไปด้วยลวดลายสีแดงและสีดำแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่
อีกทั่งยังสื่อความหมายว่าเธอสามารถใช้เวทมนต์ได้หลากหลาย
และอีกอย่างนึงคือ.......เธอยังโสด

เหมือนโดนหอกแทงเข้ามาที่กลางหัวใจ

ในชั่ววินาทีนั้นเอง ซาริวสุรู้สึกว่าร่างกายของเขาเหมือนโดนทะลวงด้วย
เหล็กร้อนและเช่นเดียวกัน หัวใจของเขาก็เต้นอย่างรวดเร็วรุนแรง
อาการทั้งสองที่เกิดขึ้นมาพร้อมกันในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างกาย

มันไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่มันเป็นความ........

ซาริวสุหยุดคำสุดท้ายไป แล้วยืนนิ่ง

ชายหนุ่มยืนแข็งทื่อเป็นตอม่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว ส่วนหญิงสาวเพียงแค่ยิ้มอย่าง แหยๆ

"เหมือนว่าข้าได้เห็นของหายากซะแล้ว แม้ว่าข้าจะเป็นคนครอบครองหนึ่งในสี่สมบัติอย่าง
ฟรอสต์ เพน อยู่ก็ตาม"

สัตว์เผือกในธรรมชาตินั้นเป็นของที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันได้ง่ายๆ
เพราะรูปลักษณ์ของพวกเขามองเห็นง่ายเกินไป การเอาตัวรอดในธรรมชาตินั้น จึงเป็นเรื่องยาก

ธรรมชาติของพวกลิซาร์ดแมนนั้น ค่อนข้างไม่ถูกกับแสงแดดจ้า มันทำให้การมองเห็น
ของพวกเขาแย่ลง
และอารยะธรรมของพวกเขายังไม่เจริญถึงขั้นที่คนอ่อนแอจะสามารถเอาชีวิตรอดอยู่ได้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะเจอลิซาร์ดแมนผิวเผือกที่โตเป็นผู้ใหญ่
บางครั้ง พวกเขาก็ถูกฆ่าตั้งแต่เกิดมาเลยด้วยซ้ำ

มันคงจะเป็นชะตากรรม ที่ลิซาร์ดแมนผิวเผือกจะเป็นที่รังเกียจจากเหล่าลิซาร์ดแมนธรรมดา
บางคนก็มองพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาด นั่นคงเป็นสาเหตุที่เธอมีท่าทางเหยาะแหยะไม่มั่นใจ

แต่ซาริวสุไม่ได้เป็นเช่นนั้น

"อะ....อะไรเหรอค่ะ?"

ลิซาร์ดแมนสาวถามคำถามออกไปเพราะท่าทีของชายหนุ่ม
ซาริวสุยังยืนนิ่งอยู่ที่ประตู เขาไม่แสดงปฏิกิริยาต่อคำถามของเธอ
แต่เขากลับครางเสียงลูกคอออกมา

เมื่อได้ยินเสียงนั้น สาวน้อยถึงกับเบิกตากว้างอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ
ผสมกับความรู้สึกที่ตะขิดตะขวงใจ

เสียงนั้นคือ เสียงของการเกี้ยวพาราสีนั้นเอง

ซาริวสุตั้งสติกลับมา และตระหนักถึงสิ่งที่เขาทำลงไป
เช่นเดียวกับมนุษย์ แก้มของเขาแดงไปถึงหู หางของเขาสะบัดเป๋ไปเป๋มา

"อ่ะ,ไม่.....ไม่ใช่นะ.....เดี๋ยวๆ.....อย่าพึ่งเข้าใจผิด มันไม่ใช่อย่างนั้น.....ข้าไม่ได้......"

อาการลุกลี้ลุกรนของซาริวสุ ทำให้สาวน้อยสงบใจลงจนยิ้มออกมา
แต่ซาริวสุกลับยืนงงแทน

"กรุณาใจเย็นลงก่อนเถอะค่ะ ถ้าท่านเคลื่อนไหวรุนแรงแบบนั้น มันจะเป็นปัญหาได้นะคะ"
"อ่ะ!! ขะ....ขอโทษ"

ซาริวสุ ก้มหัวลงเป็นการขอโทษและเดินเข้าไปในห้อง
ในตอนนั้นหญิงสาวเองก็ลดหางลงราวกับว่าเธอรู้สึกผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
แต่ยังไงซะ ส่วนปลายหางของเธอก็ยังกระดกอยู่นิดหน่อยแสดงว่าเธอยังไม่วางใจ 100%
"กรุณามาตรงนี้เถอะค่ะ....."
"ขะ.....ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง"

พอก้าวเข้าไปในบ้าน ซาริวสุก็เห็นพื้นที่ที่หญิงสาวเชิญให้เขานั่ง ตรงนั้นมีเบาะที่สานจากหญ้า
ซึ่งเป็นพืชที่เขาไม่รู้จัก วางอยู่ตรงข้ามกับตำแหน่งที่เธอนั่ง

"นี้เป็นครั้งแรก ที่พวกเราได้พบกัน, ข้า....คือนักเดินทางจากเผ่ากรีนคลอ ซาริวสุ ชาช่า"
"ขอบคุณสำหรับไมตรีจิตของท่าน ตัวข้าคือผู้ทำหน้าที่หัวหน้าเผ่าเรดอาย ครูสช์ ลูลู่"
(***ผมขอใช้การออกเสียงแบบเยอรมันเป็น ครูสช์ นะครับ)

หลังจากแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ต่างก็เฝ้าดูอีกฝ่ายราวกับกำลังคาดเดาเจตนาของอีกคนอยู่

กระท่อมแห่งนั้นจมอยู่ในความเงียบกริบ.....
แต่จะปล่อยให้มันเป็นอยู่แบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้ ซาริวสุเป็นแขก
ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ้านอย่าง ครูสช์ ควรจะเป็นฝ่ายเริ่ม

"ก่อนอื่น ท่านคนส่งสาร,ตัวข้าไม่อยากให้มันเป็นพิธีการมากนัก ข้าชอบพูดคุยกัน
แบบสบายๆมากกว่า เพราะฉะนั้น เชิญทำตัวตามสบายนะคะ"

ซาริวสุพยักหน้ารับข้อเสนออย่างไม่ท่าทียึกยัก

"ข้าขอขอบคุณ สำหรับความเป็นกันเองที่ท่านมอบให้ เพราะข้าเองก็ไม่ค่อยถนัด
การพูดแบบเป็นทางการซักเท่าไรนัก"
"ถ้างั้น ท่านพร้อมจะคุยธุระที่ท่านมาที่นี่เลยไหมค่ะ?"

แม้ว่าจะถามออกไปอย่างนั้น,แต่ในใจของครูสช์นั้นรู้และคาดการณ์เรื่องทั้งหมดไว้แล้ว

อันเดดปริศนาได้ปรากฏตัวขึ้นมากลางหมู่บ้าน มันมาพร้อมกับเวทมนต์ควบคุม
สภาพอากาศ เวทมนต์ระดับ 4 [ควบคุมเมฆ]
และตอนนี้ชายหนุ่มลิซาร์ดแมนจากเผ่าต่างๆ มีใครคนใคคนหนึ่งที่จะได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษ

จากตรงนี้ ตำตอบคงจะมีเพียงอย่างเดียว......
เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับคำตอบจากชายหนุ่มดี
แล้วการคาดการณ์ทั้งหมดของเธอป่นปี้พังทลายลงไปภายในพริบตา

"ได้โปรด.....แต่งงานกับข้าเถอะ"
.....
.......?
.........?!
".......ห๊า?!"

ทันใดนั้น ครูสช์ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง

"อันที่จริง นั้นไม่ใช่จุดประสงค์เดิมของข้าที่มาที่นี่หรอกนะ
ข้ารู้ดีว่าข้าควรจะทำภารกิจของข้าให้สำเร็จก่อน แต่ข้าโกหกหัวใจตัวเองไม่ได้จริงๆ
ท่าน.....คงจะหัวเราะเยาะชายผู้โง่เขลาคนนี้สินะ"
"เอ๊ะ.....อะ.....เอ่อ....อ่า....."

คำพูด(เสี่ยวๆ)เหล่านี้ เป็นคำพูดที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนตั้งแต่เกิดมา
แถมมันยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอเลยด้วยซ้ำ
ความคิดในหัวของเธอป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีเหมือนโดนพายุพัดถล่มกระจุยกระจาย
จนเธอไม่สามารถเรียบเรียงมันขึ้นมาใหม่ได้

ในขณะที่ ครูสช์กำลังลนลาน ซาริวสุฝืนยิ้มสู้แล้วพูดต่อทันที

"ข้าต้องขออภัยจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่แท้ๆ
เอาเป็นว่ารอให้เรื่องทุกอย่างจบลงก่อน ท่านค่อยให้คำตอบข้าก็ได้"
"เอ่อ....,ฮะ.....ฮ่ะฮ่ะ"

ในที่สุด ความคิดและสติของเธอก็กลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง
ครูสช์ เรียกคืนความสุขุมของเธอกลับมา แต่พอนึกถึงคำพูดของซาริวสุที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่นี้
ก็ทำเอาจิตใจของเธอถึงกับระส่ำระส่ายกันเลยทีเดียว

ครัชส์พยายามแอบๆชำเลืองมองใบหน้าของชายที่อยู่ต่อหน้าเธอ ซึ่งตอนนี้ในหน้าของเขา
สงบนิ่งเป็นอย่างมาก

เล่นมาพูดแบบนั้นกับข้า แต่ยังทำหน้านิ่งแบบนั้นได้อีก.....บางทีเขาคงจะพูดแบบนี้กับ
หญิงสาวคนอื่นๆเหมือนกันสินะ?! หรือว่าเขาจะทำแบบนี้ด้วยความเคยชินจนเป้นกิจวัตร?!
แม้ว่าบุคลิกของเขาจะค่อนข้างห้าวเป้งก็เถอะ.....อ่า,ข้าคิดอะไรของข้าอยู่เนี่ย!!
นี้ต้องเป็นแผนของเขาแน่เลย,เขาคงกำลังคิดที่จะควบคุมจิตใจข้า
ที่มาบอกรักข้าและขอข้าแต่งงานด้วยแบบนี้,สะ.....สะ.....เสนอให้กับคนอย่างข้า.... >///<

หญิงสาวผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ ของการถูกปฏิบัติแบบผู้หญิงมาก่อนอย่างเธอ
ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้เย็นอยู่ได้จนลืมที่จะสังเกตปลายหางของซาริวสุ
ที่กำลังสั่นอยู่เล็กน้อย ตอนนี้ชายหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเธอกำลังใช้พละกำลังที่มีในการ
ควบคุมความรู้สึกของตัวเองเพื่อไม่ให้มันแสดงออกมาทางสีหน้า

นั่นคือสาเหตุที่ช่วงเวลาแห่งความเงียบมีประโยชน์ขึ้นมา
ตอนบุคคลทั้งสองต่างก็ต้องการเวลาเงียบๆเพื่อให้อะไรที่มันฟุ้งซ่านสงบลง

เกืยบสิบนาทีต่อมา ดูเหมือนว่าจะได้เวลาเข้าหัวข้อหลักกันได้เสียที

ครูสช์ ตั้งใจจะถามถึงสาเหตุที่ซาริวสุเดินทางมาอีกครั้ง แต่พอหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ขึ้นมา
.......จะให้เอ่ยถึงมันได้ยังไงกันเล่า!!

ครัชน์ เผลอกระดกหางตีกับพื้น, ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้ง ราวกับว่าเขาโดนตีซะเอง

การกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นการเสียมารยาท, ภายในใจของครัชน์ตื่นตระหนกไปหมด

แม้ว่าเขาจะเป็นนักเดินทาง แต่ก็เป็นถึงตัวแทนจากหัวหน้าเผ่า แถมเขาไม่ใช่
ลิซาร์ดแมนธรรมดาทั่วไป เขาเป็นถึงวีรบุรุษผู้ครอบครองฟรอสต์ เพน
การเสียมารยาทกับบุคคลระดับนี้ ย่อมไม่มีทางได้รับการให้อภัย

แต่นี้มันเป็นความผิดของเจ้า !! แล้วไงล่ะ.....พูดอะไรบ้างสิ !!

ซาริวสุกำลังเผชิญกับความลำบากใจที่เกิดจากการกระทำที่บ้าบิ่นของเขา
และเขาเลือก ที่จะอยู่เงียบๆ ส่วนฝ่ายหญิงนั้น ตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับกับการเก็บอารมณ์
ความรู้สึกของเธอในตอนนี้นั้น ราวกับกำลังปิดปากปล่องภูเขาไฟที่
กำลังจะระเบิดโดยไม่มีวี่แววแจ้งเตือนล่วงหน้า

ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป แต่นี้ไม่ใช่วิธีการณ์์แก้ปัญหาที่ถูกต้อง
ครูสช์ ตระหนักได้ว่าการเปลี่ยนหัวข้อคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

"แล้วท่าน ไม่กลัวรูปลักษณ์ของข้าหรือ? รึว่าเพราะท่านเป็นถึงวีรบุรุษ?"

ต่อหน้าคำพูดที่ทิ่มแทงของครูสช์ ซาริวสุแสดงท่าทีที่ข้องใจในคำพูดของเธอ

ครูสช์เห็นดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ เธอเลยคิดว่าคงต้องอธิบายเพิ่มเติมอีกหน่อย

"ข้ากำลังถามท่านว่า ท่านไม่รู้สึกขยะแขยงร่างกายสีขาวเผือกของข้าหรือไร"
".....สีขาวนั้น เหมือนดั่งหิมะที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขา"
".....เอ๊ะ?!"
".....มันเป็นสีที่สวยงามมาก"

แน่นอน ว่าหญิงสาวไม่เคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนในชีวิต

อะ.....อะ.....อะไรกัน ผู้ชายคนนี้ !!

ความกดดันภายในกระท่อมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ครูสช์ มาถึงในจุดที่ไม่สามารถรับอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ความอดทนที่เธอพยายามรักษามันเอาไว้ปลิวหายไปด้วยคำพูดเพียวประโยคเดียว
ในขณะที่ครูสช์กำลังสับสนวุ่นวายอยู่กับห่วงความคิดของตัวเอง
ซาริวสุก็ยืนมือมาลูบที่เกร็ดของเธอ สีสดใสของเกร็ดเหล่านั้นเรียงตัวกันอย่างสวยงาม
มือของเขาลูบไปบนเกร็ดเย็นๆของเธออย่างแผ่วเบา เหมือนน้ำที่ไหลไปในธารา

ฟู่วว! เสียงขู่สั้นๆดังออกมา แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ผสมเข้ามาภายในลมหายใจของเธอเช่นกัน

มันทำให้ทั้งสองมีโอกาสเรียกสติกลับคืนมา

ทั้งสองตระหนักถึงสิ่งที่เขาพึ่งทำกับเธอลงไป ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา
ทำไมข้าถึงทำอย่างนั้น ?!
ทำไมข้าถึงปล่อยให้เขาทำอย่างนั้น ?!
ความสงสัยกลายเป็นความวิตก และความวิตกกลายเป็นความสับสน

ผลคือ ทั้งสองคนเผลอฟาดหางลงกับพื้นจนกระท่อมสั่นสะเทือน

จากนั้นทั้งสองต่างมองหน้ากัน ตอนนี้ทั้งสองคนรู้สถานะหางของอีกฝ่ายแล้ว
ราวกับเวลาถูกหยุดลง หางของทั้งคู่ต่างหยุดนิ่ง

".........."
".........."

บรรยากาศหนักอึ้ง.....หรือจะบอกว่าเต็มไปด้วยความกังวลใจของทั้งสองคนดี
ความเงียบมาเยือนทั้งคู่อีกครั้ง ตามมาด้วยการแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายไปมา
จนในที่สุด ความคิดของเธอก็ถูกเรียบเรียงใหม่ได้ซะที
ครูสช์ถามชายหนุ่มด้วยสายตาที่เย็นชา มุ่งมั่นกับการจับผิดคำโกหกในคำพูดของเขา

".....แล้วทำไม.....มะ.....มันถึงกะทันหันนักล่ะ?"

แม้คำพูดของเธอจะยังติดๆขัดๆอยู่บ้าง แต่ซาริวสุก็เข้าใจและตอบกลับไปแบบตรงไปตรงมา

".....มันเป็นรักแรกพบ นอกจากนั้น ข้าอาจจะตายในสงครามครั้งนี้ก็เป็นได้
ข้าไม่อยากมานั่งเสียใจภายหลัง"

คำพูดง่ายๆที่ซื่อสัตย์ไร้การปิดบังซ่อนเร้น ทำเอาครูสช์ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
แต่ก็มีคำพูดส่วนหนึ่งที่เธอคิดว่ามันไม่เกี่ยวกันอยู่

"แม้แต่ผู้ที่กวัดแกว่ง ฟรอสต์ เพน อันโด่งดังก็เตรียมใจที่จะตายในการต่อสู้งั้นหรือ?"
"ถูกต้อง เพราะศัตรูคราวนี้ เป็นอะไรที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างนึงที่เราไม่รู้ก็......
ท่านเห็นมอนเตอร์ที่มาส่งสารนั้นไหม? เจ้าตัวที่ปรากฏขึ้นมากลางที่มั่นของพวกเรา
มันมีลักษณะอย่างนี้....."

ครูสช์ฟังการอธิบายลักษณะของมัน จากซาริวสุจนจบ เธอพยักหน้าตอบรับหลังจาก
มองเห็นภาพรวมของมันได้คร่าวๆ

"ใช่ มันเป็นมอนเตอร์ตัวเดียวกันแน่นอน"
"แล้วท่านรู้หรือไม่ว่ามันเป็นมอนเตอร์แบบไหน?"
"ข้าไม่รู้ ทั้งข้าและคนในเผ่าของข้าไม่มีใครรู้จักมันเลย"
"จะว่าไป.....ที่จริงแล้วข้าเคยเจอมอนเตอร์แบบนั้นมาก่อน"ซาริวสุพูดขึ้นมาแล้วหยุดลง
เพื่อสังเกตการตอบสนองของครูสช์ ก่อนจะจบประโยคว่า".....และข้าก็หนีจากมันมา"
"--เอ๋?!"
"มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะมัน ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ดูดีก็คงมีโอกาส 50-50"

ครูสช์ เข้าใจแล้วว่ามอนเตอร์ตัวนั้นเป็นอันเดดที่น่าขนลุกขนาดไหน
แล้วเธอก็ถอนหายใจโล่งอก ว่าการตัดสินใจหยุดพวกนักรบเอาไว้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

"มันสามารถเปล่งเสียงกรีดร้อง ที่มีผลทำให้จิตใจสับสนออกมาได้
ไม่ใช่แค่นั้น มันยังมีร่างกายที่ไร้ตัวตน การโจมตีด้วยอาวุธที่ไม่ได้ลงอาคมเอาไว้ไม่มีผลกับมัน
การใช้จำนวนเข้าข่มนั้น ย่อมไม่สำเร็จอย่างแน่นอน"
"ในบรรดาเวทมนต์ที่ดรูอิดของพวกเราใช้ได้ มีเวทมนต์ที่สามารถลงอาคมไว้ที่ดาบได้ชั่วคราวอยู่"
".....แล้วมันสามารถป้องกันการโจมตีทางจิตได้หรือไม่?"
"มันเป็นความสามารถที่จะสร้างพลังต้านทาน แต่การป้องกันการโจมตีทางจิตใจให้กับทุกคนคงจะมากเกินไป
พลังของพวกเราในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ""
"งั้น.....ถ้าเป็นดรูอิดทั้งหมดของพวกเรา จะสามารถใช้เวมนต์นั้นได้หรือไม่?"
"ถ้าเป็นเวทมนต์เสริมความต้านทาน ดรูอิดเกือบทุกคนสามารถใช้มันได้
แต่ข้าเป็นเพียงคนเดียวในเผ่าที่สามารถป้องกันจิตใจจากความสับสนได้"

ครูสช์สังเกตเห็นการหายใจของซาริวสุเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจแล้วว่า ตำแหน่งของครูสช์นั้น ไม่ได้มีแต่ชื่อเปล่าๆ

ที่ถูกคือ ครูสช์ ลูลู่ เป็นดรูอิดป่าที่มีทักษะสูงมาก ในหมู่ลิซาร์ดแมนด้วยกัน
บางทีทักษะของเธออาจจะสูงกว่าดรูอิดอาวุโสบางคนเลยด้วยซ้ำ

"แล้วลำดับที่มอนเตอร์ตัวนั้นบอกว่าจะมาโจมตีล่ะ?"
"ศัตรูบอกว่า พวกเราเป็นลำดับที่ 4"
"เข้าใจล่ะ......แล้วแผนของท่านคือ?"

เวลาผ่านไป

ครูสช์กำลังใคร่ครวญว่าการเปิดเผยแผนออกไปจะเป็นผลดีหรือไม่
เผ่ากรีนคลอนั้นคงจะมั่นใจแล้วว่าเลือกที่จะทำสงคราม และที่ซาริวสุมาที่นี่
ก็คงเป็นการมาเพื่อหาพันธมิตร เรียกร้องให้หัวหน้าไปไปร่วมรบด้วยกัน
ในใจของข้า,ข้าควรจะทำอย่างไร เพื่อประโยชน์สูงสุดของเผ่าเรดอายดี?

เผ่าเรดอายนั้น เดิมทีไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างพันธมิตร ความคิดของพวกเขาคือการหาที่หลบภัย
การจะไปทำสงครามกับผู้ที่ใช้เวทมนต์ระดับ 4 ได้ มันเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี
ยิ่งกว่านั้น พอได้รู้ถึงความสามารถที่น่ากลัวของศัตรูแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าพวกเขา
ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม การบอกไปตรงๆ มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงหรือ?
ต่อหน้าครูสช์ที่กำลังตรึกตรองอยู่ในห่วงความคิดของเธอเอง
ซาริวสุหรี่ตามองแล้วขยับปากเอ่ยคำพูดออกมา

"งั้นให้ข้าบอกความจริง ถึงสิ่งที่ข้ากำลังคิดอยู่ให้ฟังเถิด"

ไม่รู้ว่าซาริวสุจะพูดอะไรออกมา ครูสช์จ้องมองเขาตาไม่กระพริบ

"สิ่งที่ข้ากังวล คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการหาที่หลบภัย"

สำหรับครูสช์ที่ยังไม่เข้าใจความหมายของประโยคเมื่อครู่ ซาริวสุอธิบายต่ออย่างใจเย็น

"ท่านคิดว่าหลังจากย้ายออกไปจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยแล้ว ที่ที่ท่านจะไปอยู่
ท่านคิดว่าท่านจะสามารถรักษาวิถีชีวิตเหมือนตอนนี้ไว้ได้หรือ?"
"เป็นไปไม่ได้......ไม่สิ,มันคงจะค่อนข้างยากทีเดียว"

ถ้าพวกเขาย้ายออกไปจากที่นี่แล้วสร้างที่อยู่ใหม่ พวกเขาต้องต่อสู้กับเส้นทางใหม่ของพวกเขา
และพวกเขาต้องชนะเท่านั้นเพื่อมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เพราะความเป็นจริงที่ว่าลิซาร์ดแมนนั้น
ไม่ใช่ผู้อยู่อาศัยเพียงผู้เดียว บนทะเลสาบแห่งนี้ พวกเขาได้รับพื้นที่ชุ่มน้ำส่วนหนึ่งจากการ
ต่อสู้ที่น่าเบื่อยาวนานหลายปี สำหรับสายพันธุ์อย่างพวกเขา มันไม่ง่ายเลยที่จะไปตั้งถิ่นฐานใหม่
ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

"นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาการขาดแคลนอาหารด้วย"
"คงจะเป็นอย่างนั้น"

ครูสช์ ผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจลิซาร์ดแมนหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเธอ
ตอบกลับไปอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงที่คาใจ

"แล้วถ้า.....ทั้งห้าเผ่าต่างก็หาที่หลบภัยพร้อมกันล่ะ ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรชึ้น?"
"แบบนั้นมัน.....!!"

ครูสช์นิ่งเงียบ เพราะเธอเริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดที่ซาริวสุต้องการจะสื่อแล้ว

แม้ว่าทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดใหญ่ เมื่อแต่ละเผ่าเลือกพื้นที่ที่จะใช้เป็นที่หลบภัย
ย่อมมีการเลือกพื้นที่ซ้อนทับกัน ดังนั้นการย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ก็เหมือนกับการลั่นไก
ของการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดขึ้นมานั้นเอง ส่วนพื้นที่ใกล้เคียงกัน ก็จะมีผู้ที่จ้องจะต่อสู้
เพื่อแย่งชิงปลา อาหารหลักของพวกเขาอยู่ เช่นนี้แล้ว สถานการณ์แบบนั้น
จะดำเนินต่อไปได้นานซักเท่าไหร่กัน? สุดท้าย ก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดจะเกิดขึ้น,
จุดเริ่มต้นของสงครามเหมือนในอดีต

"อย่าบอกนะว่า.....เหตุผลที่ท่านเลือกการต่อสู้ทั้งๆแทบจะไม่มีโอกาสชนะแบบนี้....."
"ถูกต้อง เมื่อแต่ละเผ่ามารวมตัวกัน ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะมีซักกี่ปากท้องที่พวกเราจะเลี้ยงดูได้"
"เรื่องแบบนั้นมัน!!"

นั้นคือเหตุผลที่เขาต้องการสร้างกองกำลังขึ้นมานั้น เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ในสงคราม
ความต้องการด้านอาหารก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย

ในสงครามเพื่อความอยู่รอด แม้ว่ามันจะรุนแรง แต่ก็เข้าใจได้ว่าพวกที่ไม่สามารถทำการต่อสู้ได้
เหมือนพวกนักรบ นักล่า หรือดรูอิด นั้น ไม่มีค่าพอกับการมีชีวิตอยู่
ไม่สิ.....หากคิดในระยะยาวแล้ว มันอาจจะดีกว่าที่พวกเขาแค่ตาย

จำนวนปากที่มีน้อย ย่อมหมายถึงความต้องการอาหารที่น้อยลง
ในกรณีนั้น การอยู่ร่วมกันก็พอจะเป็นไปได้

ครูสช์ พยายามอย่างหนักที่จะหาเหตุผลมาปฏิเสธความคิดนี้

"ท่านไม่รู้ด้วยว่า สถานที่แห่งใหม่จะมีอันตรายอะไรรอเราอยู่ แล้วท่านยังคิดที่จะลด
จำนวนพรรคพวกลงก่อนเลยหรือ?"
"เช่นนั้น ข้าก็อยากจะถามท่าน
สมมติว่าพวกเราเอาชนะปัญหาการอยู่รอดได้อย่างง่ายดาย,แล้วมันจะยังไงล่ะ?
เมื่อจำนวนปลาเริ่มลดน้อยลง ทั้งห้าเผ่าก็จะเริ่มต่อสู้กันใหม่ อีกงั้นหรือ?"
"พวกเราก็จะจับปลาให้มากยิ่งขึ้น!!"
"แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ?"

เธอไม่สามารถตอบคำถามของซาริวสุได้

ซาริวสุคำนึงถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด ส่วนครูสช์คิดถึงแค่สิ่งที่เธอปราถนาจากพื้นฐาน
ความคิดของเธอ ถ้าหากกรณีที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น ตัวเลือกของเธอจะนำพาไปสู่หายนะทันที
ในขณะที่ทางของซาริวสุนั้นไม่ใช่

แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้และจำนวนลิซาร์ดแมนผู้ใหญ่ลดน้อยลง
พวกเขาก็ยังตายอย่างมีเกียรติในการต่อสู้

"......ถ้าหากท่านปฏิเสธ พวกเราจะโจมตีเผ่าเรดอาย เป็นอันดับแรก"

ด้วยเสียงอันดุดันของเขา ทำเอาครูสช์ถึงกับสะดุ้ง

มันเป็นการประกาศที่ชัดเจนว่าพวกเขา ไม่อนุญาตให้เผ่าเรดอายหนีไปหาที่อยู่ใหม่
ด้วยจำนวนประชากรที่เท่าเดิม อย่างแน่นอน

นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

ถ้าหากเผ่าเรดอายยังคิดที่จะลี้ภัยไปหาที่อยู่ใหม่ ด้วยกำลังรบที่ลดน้อยลง นั้นหมายความว่า
หนทางที่รอพวกเขาอยู่มีแค่อย่างเดียว นั้นคือความตาย
เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยง มาตรการเดียวที่ควรใช้ก็คือเลือกที่จะสู้
มันเป็นตัวเลือกเดียวที่ชัดเจนสำหรับคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบเผ่าทั้งเผ่า
ถ้าเธออยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา เธอก็คงจะตัดสินใจแบบนี้เหมือนกัน

"แม้ว่าเราจะแพ้สงคราม แต่ข้าเชื่อว่าพันธมิตรที่เหลือรอดมา จะลดโอกาสการนองเลือด
ระหว่างเผ่าในที่อยู่อาศัยใหม่ได้"

ครูสช์ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร จนแสดงความสับสนงุนงงออกมาทางสีหน้า
ซาริวสุอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เธอเข้าใจได้อย่างชัดเจน

"มันจะปลูกฝั่งความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้ว่าจะมากจากคนละเผ่า
แต่พวกเรา จะยอมรับอีกฝ่ายได้จากการที่ต่อสู้ร่วมกันมา"

ถูกต้อง

ครูสช์ รำพึงรำพันคำพูดของซาริวสุอยู่ในปากของเธอ

เขาคือคนที่อ้างว่ามีเวลาพอมากพอที่จะต่อสู้กับเผ่าอื่นๆก่อนจะสู้กับฝ่ายตรงข้าม
เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เมื่ออาหารเริ่มหายาก
แต่ด้วยความคิดและประสบการณ์ของเธอ ทำให้เธอเกิดสงสัย
เธอก้มหน้าลงราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดที่ลึกที่สุด ซาริวสุจึงเกิดคำถาม

"อีกอย่างนึง ข้าอยากรู้ว่าเผ่าเรดอายผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร?"

ความรู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง, ก่อนที่เธอจะรู้ตัว ครูสช์ลุกพรวดขึ้นมา
จ้องมองหน้าเขา, เธอเห็นความตกใจบนใบหน้าของซาริวสุ คนที่ถามคำถามเธอ

อ่า.....เขาถามเพราะเขาไม่รู้จริงๆ

แม้ว่าเธอจะรู้จักเขาได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ครูสช์ก็เข้าใจบุคลิกของชายที่ชื่อซาริวสุ
เธอเข้าใจว่าคำถามที่เขาถามมานั้น ไม่ใช่เพื่อเอามาใช้ข่มขู่พวกเธอ

ครูสช์หรี่ตาจ้องมองไปที่ซาริวสุ สายตาที่แหลมคมของเธอยังกับจะเจาะเข้าไปในตัวของเขา
ชายหนุ่มไม่รู้เหตุผลที่เธอทำอย่างนั้น สายตาที่เธอมองมาทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ครูสช์ ก็ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

"--ข้า......จำเป็นจะต้องบอกท่านด้วยหรือ"

เธอพ่นถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ ทำให้ซาริวสุประหลาดใจว่าใช่คนเดียวกันกับคนที่คุย
กับเขาก่อนหน้านี้หรือไม่

แต่ซาริวสุถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว มันอาจจะมีคำตอบที่จะทำให้ทุกอยู่รอดก็เป็นได้

"ข้าแค่อยากจะรู้เท่านั้นเอง, พวกท่านใช้พลังของดรูอิดหรือ? รึว่าใช้วิธีการอย่างอื่น?
นั้นอาจจะเป็นหนทางที่จะช่วยให้พวกเราอยู่รอด......"

ซาริวสุหยุดปากของเขาอยู่แค่นั้น

ถ้าคำตอบเป็นวิธีการที่ดี ครูสช์คงไม่มีท่าทีเจ็บปวดทรมานเหมือนตอนนี้

ราวกับว่าเธออ่านใจของเขาออก ครูสช์รู้สึกเหมือนกำลังโดนเยาะเย้ยจากทุกๆสิ่ง
รวมถึงจากตัวของเธอเองด้วย

"ถูกต้อง มันไม่ใช่หนทางรอด"

หลังจากชะงักไปชั่วครู่ เธอออกมายิ้มอย่างอ่อนแรงแล้วพูดต่อ

"สิ่งที่เราทำคือการเข่นฆ่าพวกพ้องของตัวเอง --- พวกเรากินพวกพ้องที่ตายไปแล้ว"

ซาริวสุตกใจจนไม่อาจเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมาได้
การฆ่าผู้ที่อ่อนแอเพื่อลดจำนวนปากท้องลงไปนั้น ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม
แต่การกินกันเองมันเป็นสิ่งที่เลวทรามที่สุด เป็นข้อห้ามในหมู่ข้อห้ามทั้งปวง

แล้วทำไม เธอถึงบอกเขาอย่างเต็มใจ? เรื่องแบบนี้ควรจะเก็บเงียบฝังดินเอาไว้
ทำไมเธอถึงเปิดเผยต่อคนภายนอกที่มาในฐานะทูตอย่างเขา? หรือเธอตั้งใจว่า
จะไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตรอดออกไปได้? ไม่ใช่......บรรยากาศรอบตัวเธอมันไม่ใช่อย่างนั้น

แม้แต่ตัวของครูสช์เองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงบอกเขาอย่างนั้น

เธอรู้ดีว่าเรื่องนี้จะทำให้เผ่าอื่นเหยียดหยันพวกเธอขนาดไหน แบบนั้นแล้ว ทำไม---

ปากของเธอขยับพูดอย่างนุ่มนวล ราวกับว่ามันไม่ใช่ของเธอ

"ในวันนั้น วันที่เผ่าอื่นๆเริ่มทำสงครามกัน พวกเราก็ประสบสภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก
และตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต แต่สาเหตุที่เผ่าเราไม่เข้าร่วมสงครามเพราะเผ่าเรา
ประกอบด้วยไปดรูอิดมากมายกับนักรบเพียงเล็กน้อย และดรูอิดของพวกเราสามารถ
สร้างอาหารจากเวทมนต์ได้"

คำพูดของครูสช์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ราวกับว่าถูกควบคุมด้วยจิตสำนึกที่ต่างออกไป

"แต่อาหารจากพวกดรูอิดก็ยังไม่เพียงพอ ทางที่เราเลือกกำลังค่อยๆพาเราไปสู่หายนะ
แล้ววันหนึ่ง หัวหน้าเผ่าของเราก็น้ำเนื้อสีแดงสดกลับมา"

บางที.....คงเป็นเพราะข้าอยากให้เขารับฟัง.....ฟังบาปที่เธอเคยทำ

ครูสช์กัดฟันแน่น ส่วนชายหนุ่มนั้นนั่งฟังอยู่เงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะรังเกียจ,เขาก็เก็บอาการและฟังต่อไป

เมื่อเห็นเช่นนั้น ครูสช์ได้แต่รู้สึกขอบคุณ

"ทุกคนเดาได้เลาๆ ว่ามันเป็นเนื้ออะไร,ในเวลานั้น พวกเรามีกฏที่เข้มงวดและคนที่ผิกกฏจะถูกเนรเทศ
เนื้อในตอนนั้นที่หัวหน้าเผ่านำมา คงจะเป็นของใครซักคนที่ถูกเนรเทศ และถึงแม้จะรู้อย่างนั้น
พวกเราก็ยังหลับตาแล้วกินเข้าไปเพื่อความอยู่รอด แต่เรื่องแบบนั้นก็ดำเนินไปได้ไม่นาน
ความคับข้องใจได้ระเบิดออกมาในวันหนึ่ง และเกิดการจราจลขึ้นมา"

เธอหลับตาลง นึกถึงหัวหน้าของพวกเธา

"เรากิน......เรารู้ แต่ก็ยังกิน เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแล้วยังจะ.......พอลองกลับไปตอนนี้ มันช่างน่าหัวเราะสิ้นดี"

ครูสช์สิ้นสุดการสาธยายแล้วจ้องมองไปที่ใบหน้าของซาริวสุ เธอมองเข้าไปในดวงตาที่สงบนิ่งของเขา
เธอไม่เห็นความรังเกียจซ่อนอยู่เลย มันทำให้เธอรู้สึกถึงความสุขที่เอ่อ ออกมาจากตรงไหนซักแห่ง
ในหัวใจเธอ

ทำไมเธอถึงรู้สึกมีความสุข?
ครูสช์เอง ก็พอจะรู้คำตอบนั้นรางๆ

"......มองข้าสิ เมื่อนานมาแล้ว คนอย่างข้าที่เกิดในเผ่าเรดอาย,
ในสมัยโบราณ พวกเขาจะโอ้อวดพลังดัน ในกรณีของข้าก็คือพลังของดรูอิด
มันทำให้เรามีสิทธิอำนาจเกือบจะเท่าหัวหน้าเผ่า......และข้า ก็กลายเป็นศูนย์กลาง
ของการก่อกบฏ เผ่าของเราแตกออกเป็นสองฝ่าย แล้วพวกข้าก็ชนะเพราะจำนวนที่มากกว่า"
"สุดท้าย อาหารก็ถูกแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมให้กับคนที่เหลือรอด?"
"ใช่......เป็นเพราะพวกเราเตรียมการเพื่อความอยู่รอดเอาไว้ในระหว่างการก่อกบฏ
ในตอนนั้น หัวหน้าเผ่าไม่คิดที่จะยอมจำนน เขาตายไปด้วยร่างกายที่มีแต่บาดแผลนับไม่ถ้วน
และในตอนที่เขากำลังจะรับการโจมตีครั้งสุดท้าย เขาได้หันมายิ้มให้ข้า"

ราวกับว่าเธอไอออกมาเป็นเลือด ครูสช์ยังคงพูดต่อไป

มันราวกับแผลกลัดหนองที่ค่อยๆเกาะกุมหัวใจของเธออย่างช้าๆ ตั้งแต่วันที่เธอลงมือสังหารหัวหน้าเผ่า

บาดแผลที่ไม่สามารถเปิดเผยให้สมาชิกเผ่าที่นับถือและต่อสู้ร่วมกันมารู้ได้
แต่ตอนนี้ครูสช์เพิ่งจะสารภาพบาปออกไปให้คนคนหนึ่งฟัง คนที่ชื่อซาริวสุ
นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่หยุดพูด เหมือนกับน้ำที่ถูกเทลงไปสู่เบื้องล่าง

"นั้นไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังจะถูกข้า,มันไม่มีความเกลียดชัง,ความริษยา,การต่อต้าน,คำสาปแช่ง
มันไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากรอยยิ้มที่งดงาม หัวหน้า.....มักจะหันหน้าให้กับความจริงและใช้ชีวิต
อยู่บนความเป็นจริง แต่แล้วพวกเรา.......เราคิดถึงแต่อุดมการณ์ที่มีแต่ความเกลียดชัง
ข้าได้แต่เฝ้าคิดอยู่เสมอว่าบางที คนที่ถูกอาจจะเป็นหัวหน้าเผ่าก็ได้
เพราะความตายของเขา ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง ทำให้เผ่าของเรา
กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง และที่น่าอนาถก็คือ ตั้งแต่วันที่เผ่าของเรามีประชากรน้อยลง
ปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย"

นี่คือขีดจำกัดของเธอ

ในฐานะผู้ทำหน้าที่แทนหัวหน้าเผ่า ในฐานะคนคนหนึ่งที่แบกตราบาปไว้บนบ่า
ทุกสิ่งที่อดกลั้นเอาไว้พังทลายไม่เป็นท่า ความเจ็บปวดของเธอมันมากพอๆกับความพยายามที่เธอ
อดทนกับมันมาจนถึงตอนนี้ ความหม่นหมองคลืบคลานปกคลุมไปทุกสรรพสิ่ง
ความคิดภายในหัวถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ มันยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว

ด้วยเสียงที่อ่อนแรง แม้ว่าน้ำตาของเธอจะไม่ได้ไหลออกมา แต่ภายในจิตใจ เธอกำลังร้องไห้อยู่

เธอก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ

พวกเราเข้าใจในธรรมชาติ ว่าความอ่อนแอคือสิ่งเลวร้าย แน่นอนว่าพวกเด็กๆจะได้รับการปกป้อง
แต่ไม่ว่าจะเป็นลิซาร์ดแมนชายหรือหญิง สุดท้ายแล้วผู้แข็งแก่งก็คือฝ่ายถูกต้อง
ณ จุดนี้ หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเขาคงกำลังถูกมองด้วยความเย้ยหยัน คนๆหนึ่งที่รวบรวมเผ่าขึ้นมา
ทำไมเธอถึงมาแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนแปลกหน้า คนที่มาจากเผ่าอื่นแบบนี้?

แต่ถึงกระนั้น ความรู้สึกภายในจิตใจของซาริวสุกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

มันอาจจะเป็นเพราะเธอเป็นหญิงสาวที่งดงาม แต่เท่าที่เขาคิดได้
หญิงสาวผู้อยู่ต่อหน้านักรบอย่างเขา ทั้งบอบช้ำ ทั้งคร่ำครวญทรมานอยู่กับความเจ็บปวด
แต่เธอก็ยังเลือกที่จะก้าวเดินต่อไป สำหรับชายหนุ่มที่มีความคิดของนักรบเป็นจุดศูนย์กลางอย่างเขา
คิดแค่ว่าสิ่งที่เธอทำ เป็นแค่แสดงความอ่อนแอออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

คนที่พยายามจะลุกขึ้นยืนและกล่าวเดินต่อไป ย่อมไม่ใช่คนอ่อนแอ

ซาริวสุเดินเข้าไปหาเธอ แล้วโอบกอดที่ไหล่ของครูสช์

"พวกเราไม่ได้รอบรู้หรือมีอำนาจทำอะไรได้ทุกอย่าง ในบางเวลาพวกเราก็จำเป็นต้องเลือก
ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าก็อาจจะทำแบบเดียวกัน แต่ข้าจะไม่ขอพูดปลอบใจท่านหรอกนะ
การจะหาคำตอบที่ถูกต้องในโลกนี้ เราก็แค่ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็พอ แม้ว่าฝ่าเท้าของเรา
อาจจะต้องมีบาดแผลมากมายที่เกิดจากความเสียใจและความทุกข์ทรมานนับไม่ถ้วน
เหมือนอย่างท่านที่เลือกจะก้าวเดินต่อไป ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ข้าเชื่อ"

อุณหภูมิจากร่างกายของพวกเขาส่งผ่านไปหาอีกคนนึง แม้ว่าจะแค่เล็กน้อย แต่พวกเขาก็
รู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ของอีกฝ่ายได้ ดั่งต้องมนต์อยู่ในโลกมายา พวกเขารู้สึกว่าหัวใจ
ของพวกเขาเต้นเป็นจังหวะเดียวกันและค่อยๆกลายเป็นหนึ่งเดียว

มันเป็นความรู้สึกที่น่าพิศวง

ซาริวสุรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนตั้งแต่เกิดมา ไม่ใช่เพราะว่าเขาได้กอดลิซาร์ดแมน

แต่เป็นเพราะเขากำลังกอดผู้หญิงคนนี้, ครูสช์ ลูลู่

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ครูสช์ก็ถอยออกมาจากอ้อมกอดของซาริวสุ

ความอบอุ่นที่จากออกไปนั้นช่างน่าเสียดาย แต่เขาพูดออกมาไม่ได้อยู่แล้ว

"ข้าแสดงสิ่งที่น่าขายหน้าออกไปซะแล้ว......ท่านรังเกียจข้าหรือเปล่า?"
"น่าขายหน้าตรงไหนกัน? ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้ชายที่หัวเราะเยาะคนที่ลุกขึ้นสู้และก้าวเดินไปข้างหน้า
ผ่านความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ? คนสวย"
" -- ! -- !!!! "

หางสีขาวฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง

"ข้า......ควรจะทำอย่างไรดี"

โดยที่ยังไม่ได้ถามว่าสิ่งที่ครูสช์เอ่ยออกมานั้น เธอหมายถึงอะไร ซาริวสุก็ถามอีกคำถามนึงออกมา

"อย่างไรก็ตาม ทำไมเผ่าเรดอายไม่เพาะเลี้ยงปลาเองล่ะ?"
"เพาะเลี้ยง??"
"ใช่, เลี้ยงพวกมันเอาไว้กินเป็นอาหาร"
"พวกเราไม่ทำอย่างนั้น ปลา เป็นสิ่งที่ธรรมชาติประทานมาให้นะ"

การเพาะเลี้ยงปลาของซาริวสุเป็นเทคนิคที่ไม่มีลิซาร์ดแมนเผ่าไหนรู้จัก
เพราะสามัญสำนึกของพวกเขาที่ว่า การเลี้ยงเหยื่อที่พวกเขาต้องล่าด้วยมือของพวกเขาเองนั้น
ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของพวกเขาเลย

"นั้นคงจะเป็นสิ่งที่ดรูอิดคิดกันสินะ แต่ท่านไม่คิดที่จะออมชอมลงหน่อยหรือ?
การเลี้ยงปลา มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว นั้นก็คือเอาไว้กิน บรรดาดรูอิดในเผ่าข้า
ต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย"

ครูสช์พยักหน้าตอบ

"แล้วข้า จะสอนวิธีการเพาะเลี้ยงปลาให้ ส่วนสำคัญก็คือการให้อาหารพวกมัน
ท่านสามารถใช้ผลไม้ที่สร้างจากเวทมนต์ของดรูอิดได้ แบบนั้นจะยิ่งทำให้พวกมันเติบโตได้ดีขึ้น"

"แล้วท่านบอกข้าอย่างนี้ จะไม่เป็นอะไรหรือ?"
"แน่นอน มันไม่จำเป็นต้องปิดบังกัน ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นวิธีที่จะช่วยให้หลายเผ่าอยู่รอดต่อไปได้"

ครูสช์โค้งหัวลง แล้วยกหางขึ้น

"ขอบคุณ"

"ท่านไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไร ในทางกลับกัน ข้าอยากจะถามท่านอีกครั้งหนึ่ง"

ความตื้นตันใจบนใบหน้าของครูสช์พลันหายไป
เมื่อเห็นอาหารของเธอ ซาริวสุค่อยๆทำใจให้เย็นลง

คำถามที่อาจเลี่ยงได้, ทั้งซาริวสุและครูสช์ สูดอากาศหายใจเข้าไปพร้อมกัน

แล้วเขาก็เอ่ยคำถามออกมา

"เผ่าเรดอายจะทำอย่างไรกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้?"
"......จากที่พวกเราลงมติกัน พวกเรากำลังจะหนี"
"เช่นนั้น ข้าขอถามท่าน, ท่านครูสช์ ลูลู่ ผู้ทำหน้าที่แทนหัวหน้าเผ่า ณ ตอนนี้
การตัดสินใจนั้น จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่"

ครูสช์ไม่ตอบคำถาม

คำตอบของเธอ จะเป็นตัวกำหนดชะตาของเผ่าเรดอาย จึงเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังลังเล

แต่ถึงอย่างนั้น ซาริวสุก็ไม่มีสิ่งที่เขาจะทำได้อีก นอกจากค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาช้าๆ

"......มันเป็นการตัดสินใจของท่าน ที่หัวเผ่าคนนั้นยิ้มให้ท่านก่อนจากไป อาจเป็นเพราะ
เขาได้ฝากอนาคตของเผ่าไว้ในมือท่านแล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ได้เวลาทำหน้าที่ของท่าน
ตัวข้าได้พูดทุกสิ่งที่อยากจะพูดไปแล้ว ที่เหลือก็แค่ให้ท่านเลือก"

สายตาของครูสช์มองไปโดยรอบ เธอไม่ได้มองหาทางหนีหรือความช่วยเหลือ
แต่เธอกำลังมองหาคำตอบที่ถูกต้องจากภายในตัวของเธอเอง

ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง ซาริวสุก็จะยอมรับมัน

"ข้าขอถามท่านในฐานะผู้ทำหน้าที่แทนหัวหน้าเผ่า จำนวนผู้ลี้ภัยที่ท่านวางแผนจะอพยพไปมีเท่าไหร่หรือ?"
"สำหรับแต่ละเผ่า ข้าคิดว่าคงจะมี นักรบ 10, นักล่า 20, ดรูอิด 3, ผู้ชาย 70, ผู้หญิง 100,
กับเด็กๆอีกนิดหน่อย,
"......แล้วที่เหลือล่ะ?"
"----มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่พวกเขาคงจะไม่รอด"

ครูสช์คอแข็งจ้องมองขึ้นไปสู่ความว่างเปล่า พลันบ่นพึมพำขึ้นมา

"---เข้าใจล่ะ"
"ถ้างั้น ท่านจะตอบคำถามข้าได้หรือยัง ผู้ทำหน้าที่หัวหน้าเผ่า ครูสช์ลูลู่"

ครูสช์ครุ่นคิดแผนการออกมานับไม่ถ้วน

แน่นอนว่า การฆ่าซาริวสุก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเช่นกัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
แต่ในฐานะผู้ทำหน้าที่ของหัวหน้าเผ่ามันต่างออกไป แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากฆ่าเขาไปแล้ว?

เธอทิ้งความคิดนั้นไป แบบนั้นในอนาคต มันจะนำอันตรายมาสู่เผ่าของเธอเอง นอกจากนี้
ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเขามาแค่คนเดียว

ถ้างั้นก็ส่งสัญญาณให้เขาหนี

แต่หากผิดพลาด มันจะกลายเป็นปัญหาทันที มันจะกลายเป็นสงครามระหว่างเรดอายกับเผ่าของเขา
เป้าหมายของพวกเขาอาจจะเป็นการลดประชากร ถ้าความตั้งใจที่แท้จริงของอีกฝ่ายคือการลดประชากร
มันก็ไม่สำคัญว่าเป้าหมายจะเป็นใคร

สุดท้าย ถ้าเธอปฏิเสธการจับมือเป็นพันธมิตร ซาริวสุก็อาจจะกลับไปที่หมู่บ้านแล้วนำกองทัพมา
ทำลายเผ่าเรดอายก็เป็นได้

แต่อย่างไรซะ ไม่รู้ว่าซาริวสุจะตระหนักถึงช่องโหว่อย่างหนึ่งได้หรือไม่ ในท้ายที่สุดปัญหาเรื่อง
อาหารก็จะไม่ได้รับการแก้ไข

อยู่ๆ ครูสช์ก็ยิ้มออกมา ตั้งแต่เริ่มมันก็ไม่มีทางออกอยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ซาริวสุชวนเธอมาเป็นพันธมิตร
ตั้งแต่เผ่ากรีนคลอตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการนี้---

เส้นทางแห่งความอยู่รอดของเผ่าเรดอาย มีเพียงแค่เส้นทางเดียว
นั้นคือจับมือเป็นพันธมิตรและเข้าร่วมในสงคราม และเช่นเดียวกัน ซาริวสุเข้าใจถึงจุดนี้ดีอยู่แล้ว

ดังนั้นเขาก็แค่รอให้ครูสช์ตอบกลับมาเท่านั้นเอง เขาคงจะมองออกอยู่แล้วว่าครูสช์
ซึ่งเป็นผู้นำเผ่าเรดอาย มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมเป็นเป็นพันธมิตร

ที่เหลือก็แค่รอเสียงยืนยันของเธอ

นอกเสียจากคนตอบของเธอ จะนำพาความตายมาสู่คนจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม---

"ข้าขอยืนยันเรื่องหนึ่งให้ชัดเจนก่อน พวกเราไม่ได้เข้าร่วมสงครามเพื่อเอาชีวิตไปทิ้งหรอกนะ
แต่เไป......เพื่อชัยชนะ ข้าคงจะพูดได้เลยว่ามีหลายอย่าง ที่ทำให้ท่านรู้สึกว่ามันยังไม่เรียบร้อย
แต่เราต้องการคนที่จะมายืนเคียงข้างและหัวเราะไปกับชัยชนะของพวกเรา กรุณาอย่าคิดเป็นอย่างอื่น"

ครูสช์พยักหน้า แสดงความเข้าใจ

เจ้าหนุ่มลิซาร์ดแมนคนนี้นี่ช่างใจดีเสียจริงๆ, ด้วยความคิดเช่นนั้น ครูสช์ จึงเปล่งเสียงการตัดสินใจ
ของเธอออกมา

"......พวกเรา เผ่าเรดอาย จะร่วมมือกับท่าน เพราะข้าไม่อยากให้รอบยิ้มของหัวหน้าเผ่าต้องไร้ความหมาย
และมันยังทำให้เผ่าเรดอายอยู่รอดต่อไปด้วย"

ครูสช์ก้มหัวโค้งตัวลง และหางของเธอชูขึ้นตั้งตรง

"---ข้าขอขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง"

ซาริวสุก้มหัวเล็กน้อย เขาชูหางแสดงความคิดที่ซับซ้อนเข้มข้น ซึ่งมากกว่าคำพูดของเขา

------ ------

เช้าตรู่

ซาริวสุยืนอยู่หน้าโรโรโร่ จ้องมองไปที่ประตูหลักของเผ่าเรดอาย

เขาอดที่จะอ้าปากหาวไม่ได้ เพราะเมื่อวานเขาต้องเข้าร่วมการประชุมของเผ่าเรดอายจนดึกดื่น
ดังนั้นจึงเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น เวลาก็เหลืออีกไม่มากแล้ว เขาจำเป็นต้องไปอีกเผ่า
ให้ทันภายในวันนี้

ซาริวสุแพ้หมดรูปในการต่อสู้กับความง่วง ไม่นานเขาก็หาวอีกครั้ง และทีนี้มันยิ่งหนักกว่าเดิม

ถึงแม้บนหลังของโรโรโร่จะไม่สบายพอสำหรับการนอนหลับ แต่ซาริวสุคิดว่าเขาหลับได้แน่นอน

หลังจากเหลือบมองดูพระอาทิตย์สีเหลืองอร่ามที่ค่อยๆขึ้นมา เขาหันหน้ามองไปที่ประตูทางเข้าอีกครั้ง
แล้วเขาก็รู้สึกงงงวย เมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่าง วิ่งออกมาจากประตูหลัก

กอหญ้ากำลังมาหาเขา

มีวัชพืชขึ้นอยู่บนชุดคลุมซึ่งตัดเย็บมาจากผ้ายาวๆแล้วร้อยเข้าด้วยกัน
หากมันถูกวางไว้บนพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อมองจากระยะไกล มันจะดูเหมือนกอหญ้ากอนึง

อา.....ข้าว่าข้าเคยเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ที่ไหนมาก่อน---

ซาริวสุนึกย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่เขาออกเดินทาง
โรโรโร่ ส่งเสียงคำรามขู่ออกมาเล็กน้อย

แน่นอน ซาริวสุพอจะนึกได้ว่าตัวจริงของเจ้ากอหญ้านั้นมันคืออะไรกันแน่
และไม่มีทางเดาผิดแน่นอน เพราะเหางสีขาวของเธอโผล่ออกมาให้เห็นนิดหน่อย

เขาจ้องมองหางที่แกว่งไกว่อย่างตื่นเต้นด้วยสายตาที่ราบเรียบพร้อมกับปลอบให้โรโรโร่ใจเย็นลง
แล้วกอหญ้านั้นก็มาหยุดอยู่ใกล้ๆซาริวสุ

"---อะ......อรุณสวัสดิ์"
"อืม,.อรุณสวัสดิ์......ดูเหมือนท่านจะทำให้เผ่ายอมรับได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆสินะ"

ชายหนุ่มหันไปมองทางเผ่าเรดอาย
ตั้งแต่เช้ามานี้ ภายในเผ่าทั่วบริเวณเหล่าลิซาร์ดแมนมากมายต่างวิ่งกันให้พล่าน
ใจที่เต้นระรัวกับบรรยากาศแห่งการเข่นฆ่าครุ้งไปทั่วทั้งเผ่า
ครูสช์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็หันมองไปดูเช่นกัน ก่อนจะตอบกลับมาว่า......

"ถูกต้อง,ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น วันนี้พวกเราก็น่าจะไปถึงที่อยู่ของเผ่า ราซอเทล
ส่วนผู้ที่จะอพยพก็เก็บของเตรียมพร้อมแล้ว"

เหล่าดรูอิดที่อยู่ในหมู่บ้านจะใช้เวทมนต์ในการรายงานสถานการณ์
เผ่าราซอเทลแจ้งมาว่าพวกเขาจะถูกโจมตีเป็นลำดับที่หนึ่ง ไม่ใช่ดราก้อนทัสก์
ตอนนี้จึงเป็นข้อได้เปรียบของเราในเรื่องระยะเวลา

"เพราะเหตุนั้น ท่านถึงมาอยู่ข้างพวกเราหรือ ครูสช์?"
"คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว ซาริวสุ แต่ก่อนที่ข้าจะตอบท่าน ท่านบอกข้าก่อนได้ไหม
ว่าแผนของท่านคืออะไร?"

หลังจากการประชุมเมื่อวานตั้งแต่เย็นจนเกือบเช้า บุคคลทั้งสองก็เลิกเกรงใจกันจนหันมาเรียกชื่อกันได้แล้ว
เพราะทั้งสองเริ่มที่จะสนิทกันมากขึ้นจนวิธีการพูดจาได้เปลี่ยนไป

"ขั้นต่อไป.....ข้าวางแผนจะไปที่เผ่าดราก้อนทัสก์"
"พวกเขาเป็นเผ่าที่แข็งแกร่ง ไปแบบนั้นจะไม่เป็นอะไรหรือ? ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาแข็งแกร่งที่สุด
ในบรรดาเผ่าลิซาร์ดแมนทั้งหมดเลยนะ"
"อืม...,ก็ถูกของเจ้า หากมองจากมุมที่พวกเราไม่เคยติดต่อกับพวกเขามาก่อน พวกเราก็คงต้องเตรียมใจ
เอาไว้บ้าง"

ข้อมูลส่วนอื่นๆของพวกเขาก็ยังคงเป็นปริศนา ดังนั้น การจะก้าวเข้าไปจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังรับคนที่เหลือรอดจากเผ่าทั้งสองที่พ่ายแพ้ในสงครามเอาไว้ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ยิ่งเพิ่มระดับความอันตรายมากขึ้นไปอีก

สำหรับเผ่าทั้งสองที่พ่ายแพ้ในครั้งนั้น ตัวซาริวสุที่มีบทบาทสำคัญในการศึกอย่างเขา
ย่อมเป็นที่เกลียดชังของทั้งสองเผ่าแบบเข้ากระดูกดำ

ถึงอย่างนั้น ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาก็เป็นที่ต้องการให้มาร่วมมือมากที่สุด

"ถ้าอย่างนั้น.....หากข้าไปกับเจ้าด้วยก็คงจะดีสินะ"
"---หือ?"
"มันแปลกเหรอ?"

เจ้ากอหญ้ากระดุกกระดิกเล็กน้อย แล้วสงเสียงเบาๆออกมา
ชายหนุ่มมองไม่เห็นหน้าของหญิงสาว เขาก็เลยไม่รู้ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

"เปล่าๆ.....มันก็ไม่แปลกหรอก แต่มันอันตรายเกินไป"
"ตอนนี้ ยังมีที่ที่ปลอดภัยอยู่อีกหรือ?"

ซาริวสุนิ่งเงียบ แล้วค่อยๆคิดว่า การพาครูสช์ไปด้วยนั้น จะเป็นประโยชน์ในหลายๆทาง
แต่ยังไงซะ ในฐานะลิซาร์ดแมนหนุ่ม เขาก็อยากปกป้องลิซาร์ดแมนสาวที่เขามีความรู้สึกให้
เขาไม่อยากให้เธอไปเสี่ยงในสถานที่ที่มีอันตราย

"---ใจข้ามัน......ยังนิ่งไม่พอ"

แม้ว่าครูสช์จะอยู่ในกอหญ้าจนมองไม่เห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มอยู่เล็กน้อย

"......ถ้างั้น ข้าขอถามเจ้าคำถามนึง ทำไมเจ้าถึงแต่งตัวอย่างนั้น?"
"มันดูไม่ดีหรอ?"

คำถามที่ว่าดูดีหรือไม่มันก็แปลกพอกัน แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าจะพูดชมนิดๆหน่อยๆ ?
ซาริวสุไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี, หลังจากที่คิดอย่างถี่ถ้วนและประเมินจากท่าทางที่มองไม่เห็น
ของเธอแล้ว เขาจึงตอบกลับไปว่า......

"ข้าควรจะพูดว่ามันดูดี......ใช่ไหม?"
"จะเป็นไปได้ยังไง"

ครูสช์ปฏิเสธกลับมาอย่างแน่วแน่ ทำเอาซาริวสุใจหายวูบ, อาการแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้

"เพราะว่าข้าแพ้ต่อแสงแดด เวลาข้าออกมาด้านนอก ข้าเลยต้องแต่งออกมาแบบนี้"
"โอ้.....อย่างนั้นเองรึ......"
"อ่า,ว่าแต่ว่า เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะ เจ้าจะให้ข้าไปกับเจ้าด้วยหรือไม่?"

จะเอาข้ออ้างอะไรมาพูดก็คงจะสั่นคลอนจิตใจของเธอไม่ได้แน่ จากมุมมองที่ต้องการสร้างพันธมิตร
การพาเธอไปด้วยจะเป็นประโยชน์อย่างมาก การที่เธอเสนอตัวมาแบบนี้ก็คงเป็นเพราะเธอเองก็
คิดเช่นเดียวกัน จากที่กล่าวมา ไม่มีเหตุผลเลยที่จะปฏิเสธคำของเธอ

"......เข้าใจแล้ว,เช่นนั้น กรุณาให้ข้ายืมมือเจ้าหน่อยแล้วกัน ครูสช์"

ครูสช์รู้สึกดีใจขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วตอบกลับไปว่า......

"---เข้าใจแล้วจ้า,ซาริวสุ ให้เป็นหน้าที่ข้าเองนะ"
"แล้วเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?"
"แน่นอน กระเป๋าของข้าใส่ของที่จำเป็นไว้หมดแล้ว"

เมื่อได้ยินดังนั้น ซาริวสุจึงมองไปที่บริเวณด้านของเธอก็ปรากฏว่าหญ้าตรงนั้นมันนูนๆขึ้นมานิดหน่อย
กลิ่นหญ้าสดๆโชยออกมาจากบริเวณนั้นเช่นเดียวกับกลิ่นหอมเข้มข้น เพราะเธอเป็นดรูอิดป่า
เธอจึงเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ดังนั้น ในกระเป๋าของเธอจึงเต็มไปด้วยของที่เกี่ยวข้อง

"ซาริวสุ,เจ้าดูเหนื่อยๆนะ"
"อ่า,ใช่,ก็นิดหน่อยน่ะ สองวันมานี้ค่อนข้างจะหนักเอาการ ข้าเลยพักผ่อนไม่เพียงพอ"

ในเวลานั้น มือที่มีเกร็ดสีขาวก็ยื่นออกมาจากใต้ชุดกอหญ้า

"นี่สำหรับเจ้า ผลไม้นี้จะช่วยเพิ่มพลังให้เจ้าได้ กินมันทั้งเปลือกไปเลยนะ"

ผลไม้สีม่วงอยู่ในมือที่ยื่นออกมา ซาริวสุลังเลเล็กน้อย แต่ก็หยิบมันเข้าปากแล้วกัดลงไป

ทันใดนั้น ภายในปากของเขาก็เต็มไปด้วยความเผ็ดและปวดแสบปวดร้อน
ความเหนื่อยล้าของเขาหายไปนิดหน่อย,แน่นอน ถ้าอยากทำให้รู้สึกตื่นตัวละก็ เจ้านี้ถือว่าสอบผ่าน
แต่พอเคี้ยวไปหลายๆครั้ง ก็มีรสชาติระเบิดขึ้นมาบนลิ้นของเขา ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่ลมหายใจของเขา
ก็มีรสชาตแบบเดียวกันพ่นออกมา

"มู~~, ไอ้ความเย็นที่ขึ้นมาทางโพรงจมูกนี้มันอะไรกัน?"

ซาริวสุถึงกับหลุดวลีประจำตัวของพี่ชายออกมา เมื่อเห็นอาการของซาริวสุ ครูสช์ก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้

"เจ้ารู้สึกว่าความง่วงของเจ้าค่อยๆหายไปหรือเปล่า? แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้หายไปหรอกนะ
เจ้าอย่าเคยชินความรู้สึกแบบนี้มากเกินไปล่ะ มันจะดีกว่าถ้าเจ้าหาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง"

ซาริวสุรู้สึกสดชื่น โล่ง โปร่งสบายด้วยการหายใจเข้าออกที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่เย็นไปทั้งร่างกาย
พอรู้สึกสาแก่ใจแล้ว ซาริวก็พยักหน้าพร้อมกับตอยกลับไป

"ถ้างั้น เดี๋ยวหาเวลางีบบนหลังโรโรโร่เอาก็แล้วกัน"

พอพูดเช่นนั้น ซาริวสุก็ปีนขึ้นไปบนหลังของโรโรโร่ทันที แล้วครูสช์ก็ปีนตามเขาขึ้นไป
ด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยที่มีกอหญ้ามาแปะอยู่บนหลังแบบนี้ทำให้โรโรโร่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวซักเท่าไหร่
มันถึงกับหันมามองซาริวสุ แต่ในที่สุดก็คิดวิธีทำให้มันวางใจจนได้

"ถ้างั้น ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา การขี่โรโรโร่ไปแบบนี้มันจะมีการกระเทือน เพราะงั้นจับข้าเอาไว้สิ"
"เข้าใจแล้ว"

ครูสช์โอบกอดมาที่เอวของซาริวสุ ความรู้สึกที่โดนหญ้าแทงทำให้เขาเกิดอาการคันยุบยิบ

".........."

ความรู้สึกในความเป็นจริงกับสิ่งที่เขาคิดไว้ ทำเอามุมปากของซาริวสุม้วนต้วนขยุกขยิก

"---เป็นอะไรหรอ?"
"เปล่า.....เปล่า!! ,ไม่มีอะไร!! ,โรโรโร่ ออกเดินทาง"

จะเพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ที่ทำให้เธอรู้สึกปิติยินดี? ครูสช์ หัวเราะร่าอยู่ด้านหลังของเขา
จนเขาอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มจนแก้มปริอยู่บนหลังของโรโรโร่

เมื่อเร็วๆนี้ ป่าโธฟนั้น ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ สรรพชีวิตต่างหวาดกลัวจนลืมหายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าราชา

แต่มีเพียวสถานที่ตรงนี้ที่แตกต่างออกไป

เสียงต้นไม้ที่โดนตัดลง ดังระงมไปทั่วบริเวณ

มีโกเลมที่คิดได้เพียงอย่างเดียวว่ามันเป็นสิ่งก่อสร้าง เป็นเครื่องจักรขนาดยักษ์
ใกล้กันนั้นกำลังมีการขนส่งไม้แปรรูปไปยังพื้นที่ก่อสร้างขนาดมโหฬาร สิ่งปลูกสร้างนี้ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสร้างเสร็จ
มันมีโคลงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ส่วนจุดเล็กๆน้อยๆนั้นเสร็จสมบูนณ์ไปหมดแล้ว

การทำงานในพื้นนี้ดำเนินการโดยเหล่าโกเลมและบรรดาอมนุษย์ทั้งหาย

นอกจากอมนุษย์แล้วยังมีบรรดาเหล่า เอลเดอร์ ลิคซ์(Elder Liches) อีกหลายตนที่สวมเสื้อคลุมสีแดง ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน

บนไหล่ของพวกมันแต่ละตนมีปีศาจสูงประมาณ 30 เซนติเมตร มีปีกเหมือนค้างคาว และผิวสีทองแดง ที่รู้จักกันในนาม อิมป์(Imp)
พวกมันต่างชูหางที่มีพิษของมันเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มันไปขัดขวางการทำงานของพวกเอลเดอร์ ลิคซ์

มีลิคซ์ตนหนึ่งที่ทำงานหนักกว่าตนอื่นๆ เปิดแบบแปลนที่อยู่ในมือออกมาดู จากนั้นก็ออกคำสั่งไปยังพวกโกเลมที่ทำงานอยู่

โกเลมพวกนั้นหยุดมือลงอย่างเชื่อฟัง มันเทียบแบบแปลนในมือกับขนาดของสิ่งก่อสร้าง
หลังจากพิจารณาดูนิดๆหน่อยๆแล้ว มันก็หันไปพูดกับอิมป์บนไหล่ของมัน

หลังจากฟังจบ อิมป์ตัวนั้นก็แสดงความเข้าใจ ก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

ด้วยการบินที่ไม่ค่อยสวยงามซักเท่าไหร่ จากนั้นมันก็เปิดตากว้างตรวจสอบโดยรอบบริเวณ
ไม่นาน มันก็พบเป้าหมายของมัน แล้วมันก็บินลงไปที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

ท่านผู้นั้นคือ ฟลอร์ กาเดี้ยนแห่งมหาสุสานนาซาริค ออร่า เบลลา ฟีโอเร่( Aura Bella Fiore )
ราชาคนใหม่ของป่าแห่งนี้

สาวน้อยดาร์กเอลฟ์ใช้กระดาษมาม้วนทำเป็นโทรโข่ง เพื่อให้เสียงของเธอดังขึ้น
เจ้าอิมป์บินลงมาแล้วทำความเคสรพเธอ ออร่าจึงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย

"หวัดดี~~ แล้วเจ้า มาจากกลุ่มไหนล่ะ?"
"ข้ามาจากกลุ่ม [อุ] หลายเลข 3 ครับ ท่านออร่า"
"กลุ่ม อุ รึ อืม,อืม, เข้าใจล่ะ แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรรึ?"

คนงานที่อยู่ที่นี่จะแบ่งเป้นกลุ่มตามตัวสระของญี่ปุ่น คือ อะ อิ อุ เอะ โอะ โดยแต่ละกลุ่มจะทำงานคนละพื้นที่กัน
เท่าที่ออร่าจำได้ กลุ่ม อุ รับผิดชอบพื้นที่ในส่วนของโกดัง ซึ่งมีความคืบหน้าเร็วที่สุดเป็นอันดับสอง

"พวกเรามีปัญหาเรื่องขนาดของไม้แปรรูปที่ใช้ก่อสร้าง จึงมาขอความกรุณาจากท่าน เรื่องระยะเวลาเพิ่มเติ่---"

ในตอนนั้นเอง เสียงของเจ้าอิมปืก็หยุดลงทันควัน เนื่องจากเสียงๆหนึ่งที่ดังออกมาจากแผ่นเหล็กที่อยู่บนข้อมือของออร่า

"ได้เวลาพักแล้วค่า~~~"

ได้ยินเสียงใสใสของผู้หญิงดังออกมา สีหน้าของออร่าก็เปลี่ยนไปทันที หูของเธอเลื่อนลง และเปลี่ยนเป้นสีหน้าลำบากใจ

"ค่ะ,เข้าใจแล้วค่ะ,ท่านบุกุบุกุชากามะ" (Bukubukuchagama แปลว่า กาน้ำชาที่กำลังเดือดกรุ่นๆ)

ออร่าตอบกลับเสียงที่ดังจากข้อมืออย่างตั้งใจ

"เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว งานในช่วงเช้าก็พักเอาไว้เท่านี้แหละ"

มอนเตอร์ที่ทำงานอยู่ในบริเวณนี้ เกือบทั้งหมดไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ส่วนออร่าเองก็สวมแหวนแห่งการยังชีพอยู่(Ring of Sustenance)
เธอเองก้ไม่จำเป็นต้องกินอาหารหรือนอนหลับเช่นกัน แต่เนื่องจากเจ้านายของเธอกังวลเรื่องสุขภาพของทุกคนและมักจะ
พูดเสมอว่า "ต้องพักผ่อนให้เพียงพออย่างสม่ำเสมอ" ,ออร่า ทำตามตำสั่งนั้นอย่างมีความสุข

"ถึงมันอาจจะไม่ดีต่อเจ้า แต่ตอนนี้ถึงเวลาพักแล้ว เพราะงั้น ช่วยมาใหม่อีกทีตอนหนึ่งชั่วโมงให้หลังนะ"
"เข้าใจแล้วครับท่าน ถ้างั้นข้าน้อยขอลา"

อิมป์ตัวนั้นบินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่เสียงกระพือปีกของมัน

พอมองตามเจ้าอิมป์ตัวนั้นไปที่บริเวณก่อสร้างโกดัง ออร่าได้แต่หยักไหล่ แล้วหันกลับมามองสายรัดข้อมือของเธอ

ตอนนี้ สีหน้าของเธอนั้น เต็มไปด้วยความสุข

นี่คือรางวัลที่ได้มาจากนายท่าน หลังจากที่เธอทำงานอย่างหนัก
แน่นอน งานหลักของเธอคือการเป็น ฟลอร์กาเดี้ยน งานหนักที่เธอถูกมอบหมายเอาไว้และเป็นงานที่ไม่มีผลตอบแทนใดๆ
ในความเป็นจริง มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอควรจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างของเธอเพื่อเจ้านาย

แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับนาฬิกาข้อมืออันนี้จากเจ้านายของเธอ

"โฮะโฮะโฮ่, ข้าอยากได้ยินเสียงของท่านบุกุบุกุชากามะมากกว่านี้จัง"

ออร่าจับไปที่สายรัดข้อมือของเธออย่างอบอุ่น ท่าทางของเธอในตอนนี้ มันอบอุ่นเสียยิ่งกว่าตอนที่เธอสัมผัสสัตว์เลี้ยงของเธอเสียอีก

เสียงทั้งหมดที่ออกมาจากอุปกรณ์ชิ้นนี้ เต็มไปด้วยกิ่นอายของผู้ที่สร้างออร่า

แม้ว่าจะเป็นเสียงเพื่อใช้แค่บอกเวลา แต่แค่นั้นก็ทำให้ออร่าพึงพอใจอย่างมหาศาล

ตั้งแต่ที่เธอได้ยินว่าน้องชายของเธอได้รับแหวน ไอนซ์ อูล โกว์น มันก็ทำให้เธอรู้สึกอิจฉาเล็กๆมาโดยตลอด
แต่พูดตามตรง ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เธอได้รับมานั้นมันดีกว่ามากเลย

"โฮ่ว....โฮะโฮะโฮะโฮะ"

หูของออร่าเอียงลง แล้วเธอก็มองไปที่สายรัดข้อมืออย่างอายๆ เธอมองไปยังแสงที่ส่องสว่างออกมาจากสายรัด
แล้วพยักหน้าอย่างกรุ่มกริ่ม

"ทำไมท่านไอนซ์ถึงตั้งค่าไว้ ให้มันมีเวลาที่ใช้ไม่ได้ด้วยนะ?"

ท่านไอนซ์สั่งไว้ว่า ในเวลา 7.21 กับ 19.19 นั้น ห้ามตั้งเป็นนาฬิกาปลุกเด็ดขาด

"เอ๊ะ.....นี่เราสงสัยในตัวท่านงั้นเหรอ? อ่า,แบบนี้ไม่ดีแน่"
(เวลาดังกล่าวสามารถอ่านเล่นลิ่นเป็นมุขทะลึ่งได้ในภาษาญี่ปุ่น บุกุบุกุชากามะ เลยเอาเสียงสำหรับพากย์ H-game ใส่เป็นเสียงปลุกไว้ในเวลานั้น
ป.ล. บุกุบุกุชากามะเป็นนักพากย์ H-game ที่มีสไตล์เสียงเป็นแนวโลลิครับ)

ออร่ามองไปยังตัวเลขบนสายรัดข้อมือแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ตรงด้านหนัาที่เธอกำลังไปมีเมดรออยู่

1 ใน 41 เมดสาวแห่งมหาสุสานนาซาริค โฮมุนครูส ที่มีลักษณะเหมือนสาวงาม เว้นเสียแต่.....

เธอมีหัวเป็นสุนัข และมีรอยเป็นเส้นตรงอยู่กลางใบหน้าเหมือนรอยแผลที่ถูกเย็บ มันทำให้มีความรู้สึกเหมือนว่าใบหน้าของเธอ
เคยถูกแยกออกเป็นสองส่วนแล้วนำกลับมาเย็บติดกันใหม่

ชื่อของเธอคือ เพสทูเนีย เอส วังโกะ (Pestunia S Wanko.)

เธอเป็นเมดและนักบวชชั้นสูงแห่งมหาสุสานนาซาริค

"ตามที่ท่านออร่าสั่งการมา ข้าได้นำอาหารมาแล้วค่ะ ประกอบไปด้วยแฮมเบอเกอร์ แตงกวาดองสองชิ้น มันฝรั่งทอดทั้งเปลือก
ส่วนเครื่องดื่มเป็นโคล่า......โฮ่ง"

หลังจากชะงักไปสักพักหนึ่ง เธอก็พูดเสียง "โฮ่ง" ออกมา ทำให้ออร่านึกว่าเธอจะลืมพูดปิดประโยคซะแล้ว
แต่ออร่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมีสิ่งพิเศษอย่างอื่นที่เธอกำลังสนใจอยู่
มันเป็นกลิ่นที่ทำให้คนท้องร้องขึ้นมาได้เลย แม้ว่าเธอจะใส่แหวนแห่งการยังชีพที่ทำให้เธอไม่จำเป็นต้องกินอาหารอยู่ก็ตาม
แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเธอกินอาหารไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นการกินอาหารถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารอร่อยๆ

"เมื่อพูดถึงเอฟเฟคที่จะได้รับเมื่อรับประทานอาหารจานนี้......"
"อ่ะ, ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้กินเพื่อเอฟเฟคอะไรหรอก"
"เข้าใจแล้วค่ะ โฮ่ง"

ออร่าเดินไปที่ข้างๆ เพสทูเนีย ตรงที่อาหารบนรถเข็นส่งกลิ่นหอม ตลบอบอวลออกมา

"ได้เวลากินข้าว,ได้เวลากินข้าว"

เพสทูเนียได้ยินออร่าพูดออกมาเป็นเพลง แล้วเธอก็ยกฝาครอบสีเงินออกจากจานบนรถเข็น

"โอ้ววว~~~"

ออร่าไม่สามารถละสายตาออกมาจากอาหารที่อยู่ต่อหน้าเธอได้
ในตอนนั้นเอง เธอก็เอ่ยคำที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ

"แม้ว่าเนื้อ A7 มันจะอร่อยดีก็เถอะ แต่ข้าชอบแบบผสมเนื้อหมูกับเนื้อวัวเข้าด้วยกันมากกว่า
ถ้ามีโอกาสก็อยากลองเอามาผสมกันทำเป็นพายเนื้อ 3 ชั้นดูบ้างจัง"
"เช่นนั้น ข้ารับใช้คนนี้จะนำเสนอต่อพ่อครัวให้เอง โฮ่ง"
"อ่า โทษทีนะ รบกวนเจ้าแล้ว"

ออร่ายกจานอาหารขึ้นมา แล้วเดินออกไปอย่างลัลล้ามีความสุข



Part 3
ซาริวสุ สังเกตการณ์ไปยังฐานที่มั่นของเผ่า ดราก้อนทัสก์ ที่อยู่ด้านหน้าเขา
ในตอนนั้นเอง ก็มีกอหญ้าโผล่พรวดขึ้นมาข้างๆเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่ากอหญ้านั้นก็คือครูสช์นั่นเอง
เธอใช้มือแหวกกอหญ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ซาริวสุคิดในใจว่า ช่างงดงามอะไรอย่างนี้

"เจ้าอยากจะเข้าไปตรงๆ เลยรึเปล่า? จะเผชิญกับพวกเราแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเลยไหม?"

"ผิดแล้ว,ตรงกันข้ามเลยต่างหาก เผ่าดราก้อนทัสก์นับถือความแข็งแกร่งเป็นใหญ่ ถ้าเราไม่ให้โรโรโร่เข้าไปด้วยละก็
เราอาจจะเจอพวกที่มาหาเรื่องแล้วเกิดการปะทะกันก่อนที่จะได้เจอหัวหน้าเผ่า แบบนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
พวกเราขี่โรโรโร่ไปแบบนี้แหละ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น"

พอขี่โรโรโร่เข้าไปได้ระยะหนึ่ง บรรดาเหล่านักรบในหมู่บ้านย่อมมองเห็นพวกเขา
แต่ละคนถืออาวุธเตรียมพร้อมไว้ในมือ สายตามองมาที่พวกซาริวสุอย่างไม่ละสายตา

เมื่อรับรู้ถึงจิตมุ่งร้าย โรโรโร่ก็ส่งเสียงขู่เบาๆออกมา ซาริวสุได้ยินเสียงขู่ของโรโรโร่ แต่ก็ยังบอกให้มันเดินหน้าต่อไป

พวกเราคืบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่สามารถเกิดการปะทะได้ แน่นอน ว่าพวกเขายังคงก้าวต่อไปจนถึงธรณีประตู
ณ จุดๆนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ จากนั้นซาริวสุก็สั่งให้โรโรโร่หยุด ก่อนจะกระโดดลงมา ส่วนครูสช์ก็ตามเขาลงมาติดๆ

บรรดานักรบทั้งหลายส่งสายตาที่ทิ่มแทงมาที่พวกเขาทั้งสอง เป็นสายตาที่รุนแรงพร้อมที่จะสังหารเป้าหมายทันที
หากสองคนนั้นแสดงความไม่เป็นมิตรออกมา

ครูสช์โดนสายตาของพวกเขากดดันจนถึงกับก้าวขาแทบไม่ออก แม้ว่าเธอจะมีทักษะที่เหนือล้ำในบรรดาเหล่าอรูอิด
แต่เธอยังขาดประสบการณ์ในการอยู่แนวหน้า

ตรงกันข้ามกับซาริวสุที่ก้าวล้ำไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เขาใช้ร่างกายของตัวเองครึ่งตัวเป็นโล่ให้กับครูสช์ แล้วตะโกนออกมาเสียงดัง

"---ข้า !! เป็นตัวแทนจากเผ่ากรีนคลอ ซาริวสุ ชาช่า, ที่ข้ามาในวันนี้ เพราะข้ามีเรื่องต้องการพูดคุยกับหัวหน้าเผ่าของที่นี่"

เสียงอันทรงพลังของเขา ราวกับจะทำให้จิตสังหารของพวกที่มองมากระจายหายไปเลย
เหล่านักรบเผ่าดราด้อนทัสก์ต่างตกใจราวกับกำลังถูกข่มขู่อยู่

ตามมาด้วยการประกาศแนะนำตัวของครูสช์

"ส่วนข้า คือผู้ทำหน้าที่ของหัวหน้าเผ่า เรดอาย,ครูสช์ ลูลู่ มาเพื่อพบหัวหน้าเผ่าของพวกท่านเช่นกัน"

แม้ว่าเสียงของเธอจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ก็เต็มไปด้วยความทิฐิและความตระหนักในฐานะหัวหน้าเผ่า
หญิงสาวเอวบางร่างน้อยมีความมั่นใจขึ้นมา เพราะเสียงของชายหนุ่มก่อนหน้านี้

"จะขอพูดอีกครั้ง พวกเรามาที่นี่เพื่อพบหัวหน้าเผ่าของพวกเจ้า!! เขาอยู่ที่ไหน!!"

ในตอนนั้นเอง บรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนราวกับถูกฉีกออกจากกัน
มันเป็นอารมณ์ที่ราวกับว่าอยู่ๆก็มีการโจมตีพุ่งเข้ามาหาพวกเขาทั้งสองคน

หัวทั้งสี่ของโรโรโร่พลิกกลับไปกลับมา อ้าปากคำรามออกไปทั้งสี่ทิศ ถลึงตากว้างจ้องมองอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อเสียงของไฮดร้าตัวใหญ่คำรามดังขึ้นมา น่ากลัวว่าจะทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งตึงเคลียดมากกว่าเดิม

"ไม่จำเป็นต้องปกป้องข้าจากอะไรที่มันเล็กน้อยแบบนั้นหรอก"
"ข้าไม่ได้ปกป้องเจ้าหรอก เพราะว่าเจ้ามาที่นี่ด้วยความตั้งใจของเจ้าเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ข้าเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้เผ่าของพวกเขาต้องพังพินาศ
เพราะฉะนั้น ข้าจึงควรเป็นคนที่ต้องรับสายตาอาฆาตของพวกเขาด้วยตัวเอง"

นักรบทั้งหลายต่างมารวมตัวกันที่ตรงกลางของเผ่า พวกเขาแต่ละคนต่างมีร่างกายที่กำยำและแข็งแกร่ง
บนเกร็ดของพวกเขาต่างมีรอยแผลเป็นประดับอยู่ พวกเขาต่างเป็นนักรบที่ผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่อย่างไรก็ตาม ซาริวสุก็ยังมองไม่เห็นผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกเขา

พวกเขาแต่ละคนเป็นเพียงนักรบ ไม่มีใครในพวกเขาที่ดูท่าทางมีบารมีเหมือนพี่ชายของเขา
หรือมีบรรยากาศรอบตัวที่มาดมั่นเหมือนครูสช์

ในช่วงเวลานั้น มีเพียงแค่โรโรโร่ที่เปล่งเสียงขู่ออกมา
ลิซาร์แมนแต่ละตัวเพิ่มระดับความตื่นตัว แล้วในตอนนั้นเอง---

"ฮ๊าา!!"

ครูสช์พ่นลมหายในออกมาพร้อมกับเสียงอุทานที่อ่อนไหวของเธอ
แต่ซาริวสุคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเสียงนั้นเป็นของใคร แล้วลิซาร์ดแมนก็แหวกออกเป็นทาง
เขาหยุดหนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพราะก่อนที่ศัตรูจะปรากฏตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่กำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว

แต่ถึงกระนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองลิซาร์ดแมนที่ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขา

พูดง่ายๆคือ ลิซาร์ดแมนตัวนั้นมีรูปร่างที่ค่อนข้างประหลาด

รูปร่างของเขามีขนาดใหญ่โต สูงประมาณ 230 เซนติเมตรได้ แต่แค่นั้นยังเรียกว่าประหลาดไม่ได้
เพราะเขายังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เขาดูแปลกประหลาดกว่าคนอื่น

ประการแรก ไหล่ขวาของเขาดูแปลกออกไป มันมีขนาดใหญ่หนากว่าอีกข้าง มองดูแล้วเหมือนปูที่มีกล้ามใหญ่เพียงข้างเดียว
แต่ไหล่ซ้ายของเขาก็ไม่ได้เล็กเลยซักนิด ขนาดมันพอๆกับไหล่ของซาริวสุเลยด้วยซ้ำ
ที่ไหล่เขาเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเขาพิการหรือผิดปกติอะไร แต่มันเกิดจากกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของเขา

นิ้วนางและนิ้วก้อยที่มือซ้ายของเขาหายไป

ปากของเขาแยกลึกเข้าไปด้านหลัง บางทีอาจจะเป็นผลมาจากการได้รับบาดเจ็บที่เกิดจากตัด
หางของเขาก็ค่อนข้างแบนราบไม่เหมือนลิซาร์แมน แต่คล้ายพวกจระเข้มากกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสิ่งมากล่าวมาแล้ว สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ เครื่องหมายบนหน้าอกของเขา
แม้ว่ามันจะไม่เหมือนกับอันที่อยู่บนหน้าอกของซาริวสุก็ตาม แต่มันก็คือหลักฐานที่แสดงว่าลิซาร์ดแมนตนนี้เป็น นักเดินทาง

ลิซาร์ดแมนประหลาดเข้ามายืนเทียบไซส์กับซาริวสุ แล้วปล่อยเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่ากลัวออกมาเมื่อฟันของเขากระทบกัน

"ยินดีต้อนรับ, ผู้ถือครอง ฟรอสต์ เพน"

เสียงทุ้มลึกของเขา เข้ากับการปรากฏตัวของเขาเป็นอย่างมาก
เสียตรงที่มันทำให้การพูดคุยธรรมดาฟังดูเหมือนการข่มขู่กันซะมากกว่า

"นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน ข้าเป็นตัวแทนมาจากเผ่ากรีนคลอ ชื่อ ซาริว--"

ลิซาร์ดแมนตนนั้นยกมือขึ้นมาขัด แสดงให้รู้ว่าการแนะนำตัวนั้นไม่จำเป็น

"แค่ชื่อก็พอ"
"......ข้าคือซาริวสุ ชาช่า ส่วนท่านนี้คือ ครูสช์ ลูลู่"
"เจ้าตัวนั้นคงไม่ใช่......มอนสเตอร์พืชใช่ไหม? ถึงจะไม่ใช่ แต่เจ้าก็พาไฮดร้าเข้ามาด้วยนินะ
การพามอนสเตอร์ที่จะกินพวกข้าเข้ามา คงไม่มีมากเกินไปที่จะพวกข้าจะตกใจกัน"
"......มันไม่ใช่อย่างนั้น"

ต่อหน้าครูสช์ที่อยู่ในชุดคลุมกอหญ้า ลิซาร์ดแมนประหลาดตนนั้นโบกมือแสดงความไม่จำเป็นขึ้นมาอีกครั้ง

"ไม่ต้องจริงจังกับมุขของข้านักก็ได้,ช่างน่ารำคาญจริงๆ"
"---!!"

ท่าทางที่เหมือนกับไม่ใส่ใจอะไร ลิซาร์ดแมนประหลาดชำเลืองผ่านๆไปที่กอหญ้าของครูสช์แล้ววกกลับมาที่ซาริวสุ

"แล้ว......พวกเจ้ามาที่นี่ทำไม"
"ก่อนหน้านั้น ท่านช่วยบอกชื่อของท่านให้เรารู้ก่อนได้หรือไม่?"
"อ่าา......ข้าคือหัวหน้าเผ่าดราก้อน ทัสก์, เซนเบรุ กูกุ เรียกว่าเซนเบรุเฉยๆก็ได้"

เซนเบรุยิ้มโชว์ฟันหรา แม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่คาดคิดได้ เรื่องที่ว่านักเดินทางกลายเป็นหัวหน้าเผ่า
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่ดี

แต่ในทางตรงกันข้าม คำตอบที่ยอมรับได้มากที่สุดก็คือ มันเป็นไปไม่ได้ที่ลิซาร์ดแมนคนนี้จะเป็นแค่เพียงนักเดินทางธรรมดาๆ
อันที่จริง ตอนที่เขาคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมา จิตมุ่งร้ายทั้งหลายจากพวกนักรบก็พลันหายไปอย่างกับควัน
บ่งบอกว่าชายคนนี้มีอำนาจบารมีสูงส่งเช่นเดียวกับความสามารถในการต่อสู้ของเขา

"เช่นนั้นก็เรียกข้าว่า ซาริวสุ เถิด, แล้วก็ เซนเบรุ ช่วยบอกให้พวกเรารู้ที ว่ามีมอนเตอร์แปลกๆ มาที่หมู่บ้านของพวกท่าน
เมื่อเร็วๆนี้"

"อืม,เจ้าตัวสุดโต่งนั้นสินะ"
"ถ้าเจ้านั่นมาที่นี่เช่นเดียวกัน งั้นเรื่องที่ข้าจะมาคุยกับท่านก็ง่า---"

เซนเบรุยกมือขึ้นขัดจังหวะการพูดของซาริวสุ

"ข้าพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ แต่ว่านะ พวกข้าน่ะเชื่อถือแต่ความแข็งแกร่ง เพราะงั้น ชักดาบของเจ้าออกมาซะ"

ลิซาร์ดแมนร่างกำยำเดินมายืนอยู่ต่อหน้าซาริวสุ --- หัวหน้าเผ่าดราก้อน ทัสก์ --- เซนเบรุ กูกุ ---
เขายิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันที่เรียงรายอยู่เต็มปากของเขา

"อะไรนะ?!"

มีแต่เสียงของครูสช์อุทานขึ้นมา ส่วนซาริวสุกับนักรบที่อยู่รอบๆต่างแสดงอาการที่เห็นด้วยออกมา

"......วิธีแบบนี้มันก็ง่ายดี,ท่านหัวหน้าเผ่าดราด้อน ทัสก์, เป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วดีมาก จะได้ไม่ต้องเสียเวลา"
"เจ้าเองก็เป็นทูตที่เจ๋งดีเหมือนกันนินา ไม่สิๆ นับแค่เรื่องที่เจ้าเป็นเจ้าของ ฟรอสต์ เพน ,แค่นั้นเจ้าก็คู่ควรแล้ว ใช่ไหม?"

----- ----- ----- ----- -----

การเลือกผู้แข็งแกร่งขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาของเหล่าลิซาร์ดแมน

แต่อย่างไรก็ดี การตัดสินใจเดิมพันเรื่องที่มีผลกับทิศทางของเผ่า ด้วยวิธีการง่ายๆแบบนี้นั้น มันเหมาะสมแล้วหรือ?
เรื่องแบบนี้มันมันควรจะปรึกษาและวิเคราะห์ร่วมกันกับทุกๆคนก่อน ค่อยสรุปผลออกสิ?

ครูสช์คิดว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้เธอเริ่มกังขากับความคิดนี้แล้ว

พอมาลองดูดีๆแล้ว บรรดานักรบที่อยู่โดยรอบ ไม่ว่าทั้งชายหรือหญิง ต่างก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหัวหน้าพวกเขา
ถ้าเป็นในสมัยก่อน เธอเองก็รู้สึกว่าการตัดสินใจแบบนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเช่นกัน

แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงรู้สึกแคลงใจแบบนี้ล่ะ?

แล้วไอ้ความแคลงใจแบบนี้มันมาจากไหนกัน?

ที่เธอคิดแบบนี้ เป็นเพราะเธอเดือดร้อน จากการโดนโจมตีด้วยเวทมนต์โดยบุคคลภายนอกที่เป็นปริศนางั้นหรือ?
เป็นไปไม่ได้, ถ้าเป็นเรื่องเวทมนต์ เธอมั่นใจว่าเธอเอง ก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน

ครูสช์หันไปมองที่บุคคลทั้งสอง

ซาริวสุ กับ เซนเบรุ

พอทั้งสองยืนประจัญหน้ากัน มันดูราวกับเด็กเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่อยู่เลย

แน่นอนว่า ขนาดร่างกายนั้นไม่สามารถตัดสินได้ทุกสิ่ง และผู้ใช้เวทมนต์ก็เช่นกัน ครูสช์เข้าใจตรงจุดนี้ดี
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยร่างกายที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน มันช่วยไม่ได้ที่เธอจะกรีดร้องอยู่ในใจ

ไม่ต้องการงั้นหรือ? ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่-- ไม่สิ, ข้าไม่ได้หวังให้พวกเขาสู้กันงั้นหรือ?

ครูสช์อยากเข้าใจว่า ทำไมความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ ถึงผุดขึ้นมาในใจเธอได้
ทำไมเธอถึงไม่ต้องการให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น?
ทำไมเธอถึงไม่อยากให้พวกเขามาต่อสู้กันเอง?

มีเพียงคำตอบเดียวที่เห็นได้ชัดเจน

ครูสช์เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวและกำลังยิ้มเยาะตัวเองอยู่

เธอควรจะซื่อตรงกับหัวใจของตัวเองได้แล้ว,ครูชส์......เธอไม่ต้องการให้ซาริวสุต่อสู้ เพราะกลัวเขาจะได้รับบาดเจ็บ
กลัวว่าเขาอาจจะตายได้

มันเป็นเรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง

ในการต่อสู้ลักษณะนี้ มันเป็นไปได้ยากที่จะจบลงด้วยความตาย
แต่ถึงอย่างนั้นคำว่า "เป็นไปได้ยาก" ก็ยังหมายความว่ามันยังมีโอกาสเป็นไปได้อยู่เช่นกัน
ถ้าการต่อสู้บานปลายจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียความยับยั้งชั่งใจไปละก็ ชีวิตที่มีอยู่ก็อาจจะเสียไปอย่างง่ายดายเช่นกัน
สำหรับลิซาร์ดแมนที่เกิดมาเป็นผู้หญิง ย่อมไม่อยากให้คู่ของตัวเองเสียชีวิตไป เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้

ตรงนี้ยังบ่งบอกความจริงที่อยู่ในใจของเธอว่า ครูสช์ได้ยอมรับความรักของซาริวสุมานานแล้ว

เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่คอยดูแลข้าเหมือนที่เขาทำ......นั้นเป็นเหตุผลที่ข้าตกลงปลงใจง่ายๆแบบนี้......ถ้าหากเป็นเช่นนั้น,
มันจะหมายความว่าข้าเป็นคนใจง่ายรึเปล่านะ?
เอ๋,แต่อย่างน้อยที่สุด ข้าก็รู้สึกมีความสุขนิดๆ......กับความเศร้าหน่อยๆ......อ๊ะ?,จริงๆเลยข้าเนี่ย,พอแล้วๆ!!

เธอยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองซะที, ครูสช์เดินไปข้างๆซาริวสุที่กำลังเตรียมตัวต่อสู้อยู่ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะที่ไหล่ของเขาเบาๆ

"เจ้าลืมเตรียมของอะไรรึเปล่า?"
"ไม่นิ,ไม่มีปัญหา"

ครูสช์แตะที่หัวไหล่ของเขาอีกครั้ง

ไหล่ที่ทรงพลังของเขา

ตั้งแต่เด็ก เธอก็เลือกเดินบนเส้นทางของดรูอิด และเธอก็เคยสัมผัสร่างกายของผู้ชายโดยตรงตอนทำพิธีสวดภาวนา ตอนทายา
และตอนร่ายเวทมนต์ แต่ถึงกระนั้น ครั้งนี้กลับดูเหมือนว่าเวลาที่เธอสัมผัสไปที่ร่างกายของซาริวสุจะยาวนานกว่าทุกครั้งที่เธอเคยทำมา

นี่คือร่างกายของซาริวสุงั้นหรือ...... อ่า......

เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้ เลือดที่เดือดพล่านก็ไหลไปทั่วทั่งร่างกาย เพิ่มพลังไปให้กับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
ทำให้ผู้อื่นสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา

"......มีอะไรรึ?"

เนื่องจากครูสช์ไม่ยอมปล่อยมือเธอออกมาซักที ไม่นาน ซาริวสุก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ

"---เอ๊ะ?! อ่า, หนะ......นี่เป็น......การอวยพรของดรูอิดน่ะ"
"แบบนี้.....วิญญาณบรรพบุรุษของเจ้าจะช่วยข้า แม้ว่าข้าจะมาจากคนละเผ่ากับเจ้างั้นหรือ?"
"บรรพบุรุษของเผ่าข้า พวกเค้าไม่ค่อยเรื่องมากน่ะ, โชคดีแล้วกันนะ"

ครูสช์ดึงมือของเธอกลับมามาจากไหล่ของซาริวสุ และอธิษฐานขอโทษบรรพบุรุษของเธออยู่ในใจ
เพราะเธอได้ทำการโกหกเพื่อผู้ชาย ที่เอาชนะใจของเธอได้นั่นเอง

ในขณะเดียวกัน เซนเบรุก็กำลังเตรียมการอยู่เหมือนกัน ที่มือขวาของเขา มีอาวุธขนาดมหึมาอยู่ --- ง้าวเหล็กยาวประมาณ 3 เมตร
ง้าวที่ลิซาร์ดแมนทั่วไปต้องใช้ถึงสองมือถึงจะสามารถใช้งานมันได้

จากนั้น เขาก็ยกมันขึ้นมากวัดแกว่ง

การตวัดง้าวของเขา ทำให้เกิดลมที่รุนแรงพัดออกมา ขนาดที่ครูสช์ซึ่งอยู่ห่างออกไปยังสัมผัสได้

"จะชนะ-......ไม่สิ, ทุกอย่างจะไม่เป็นไรสินะ?"
"ไอ้เรื่องแบบนี้......การทำตัวให้เข้ากับสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญ"

เดิมที ครูสช์ตั้งใจจะถามว่าเขามีโอกาสจะชนะไหม แต่เธอก็ไม่ถามแบบนั้นออกไป
ซาริวสุรู้ตัวเองดีว่าเขา กำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่แพ้ไม่ได้เด็ดขาด

เช่นนี้แล้ว ลิซาร์ดแมนหนุ่มคนนี้จะแพ้ได้อย่างไร, พวกพึ่งจะได้ทำความรู้จักกันจากการเดินทางเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น
และพึ่งจะได้พบกันเมื่อวานนี้เอง แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ครูสช์นั้น เข้าใจสิ่งหนึ่งดี

ว่าลิซาร์ดแมนหนุ่มคนนี้ คือฝันที่มีตัวตนของเธอ

"ถ้างั้น......เจ้าเตรีมตัวพร้อมแล้วหรือยัง? ผู้ถือฟรอสต์ เพน .....อ่าา~~,ซาริวสุ"
"เรียบร้อยแล้ว, เริ่มได้ทุกเมื่อเลย"

ซาริวสุหมุนตัวหันหลังมาให้ครูสช์อย่างเยือกเย็น แล้วก้าวเข้าสู่สังเวียนแห่งการต่อสู้

เธอพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก เพราะอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังแผ่นหลังของเขา

มือของครูสช์ที่ได้สัมผัสกับไหล่ของเขาเป็นเวลานาน --- อันที่จริงก็ไม่นานนักหรอก ---
ความอบอุ่นจากไหล่ของเขา ค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ

การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น มีกติกาที่ง่ายมาก,มันคล้ายกับการตัดสินคัดเลือกตัวหัวหน้าเผ่า เพราะเป็นการต่อสู้แบบ ตัวต่อตัว
ดังนั้น การใช้เวทมนต์จากบุคคลที่สามเพื่อเสริมพลังจึงเป็นข้อห้าม

แต่ความอบอุ่นจากมือของเธอยังคงอยู่บนหัวไหล่ของเขา, ในหัวของซาริวสุสับสนไปหมด ในตอนที่ครูสช์วางมือลงที่หัวไหล่ของเขา
แล้วไม่ยอมปล่อย ตอนแรกก็เกือบจะคิดว่าเธอกำลังร่ายเวทมนต์เพิ่มพลังป้องกันให้เขา แต่เธอที่เป็นถึงผู้ทำหน้าที่แทนหัวหน้าเผ่า
ย่อมต้องรู้กฏข้อนี้ดี

เช่นนั้นแล้ว เมื่อเธอไม่ได้ร่ายเวทมนต์ใดๆเสริมพลังให้เขา แล้วทำไมภายในตัวของเขาถึงรู้สึกเร่าร้อนแบบนี้ล่ะ?

เพราะชายหนุ่มอย่างเขา ต้องการโชว์ออฟ ต่อหน้าผู้หญิงอย่างงั้นหรือ?
พี่ชายของเขาเคยบอกกับเขาว่า ตัวพี่ชายเขานั้นเป็นคนหัวทึบ......สงสัยตอนนี้ มันจะไม่เป็นจริงซะแล้วสิ

ซาริวสุเข้ามาในวงกลม แล้วชักฟรอสต์ เพน ออกมาจากฝักอย่างรวดเร็ว
ตัวดาบเอง ก็ตอบสนองต่อซาริวสุ มันปล่อยหมอกสีขาวออกมา

ลิซาร์ดแมนรอบๆ ร้องส่งเสียงโห่ร้อง

พวกเขารู้จักผู้ที่ถือครองฟรอสต์ เพน คนก่อนหน้านี้และยังเป็นผู้เหลือรอดจากเผ่า ชาร์ป เอด
ดังนั้นพวกเขาจึงจำพลังของฟรอสต์ เพน ได้เป็นอย่างดี

เมื่อเห็นความสามารถเฉพาะสำหรับผู้ที่ถือครอง ฟรอสต์ เพน เท่านั้นที่จะใช้งานได้
หน้าตาน่ากลัวของเซนเบรุก็พลันแสดงออกมาถึงความสุข เขาอ้าปากโชว์ฟันคำรามออกมาเสียงดังเหมือนสัตว์ร้าย

ลิซาร์ดแมนตรงหน้าเขาแสดงความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้
ส่วนซาริวสุ ทำแค่เพียงเอ่ยประโยคที่เย็นเฉียบออกมา

"ข้าไม่อยากทำให้เจ้า ต้องบาดเจ็บสาหัสเลย"

นี่เป็นคำพูดดูถูกที่ทำให้พวกลิซาร์ดแมนรอบๆเพิ่มความเกียจชังขึ้นจนถึงขีดสุด
แต่หลังจากนั้น ก็มีเสียงน้ำสาดกระจายพร้อมกับเสียงกระทบกับผิวน้ำที่ไม่ธรรมดา
รอบๆ พลันเงียบลง

นั้นคือเสียงที่เกิดจากการปักง้าวลงไปบนพื้นที่ชุ่มน้ำของเซนเบรุ

"โอ้......ถ้างั้นก็ให้ข้าได้ลิ้มรสของความพ่ายแพ้ให้เต็มอิ่มซักหน่อยเถอะ!!
ฟังข้าให้ดี!! หากข้าตายในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาจะกลายเป็นหัวหน้าคนใหม่ของพวกเจ้า!!
และจะไม่มีการคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น!!"

โดยปกติบรรดานักรบที่รายล้อมอยู่ควรจะไม่เห็นด้วย แต่กลับไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านออกมาแม้แต่คนเดียว
ในความเป็นจริง แม้ว่าซาริวสุจะฆ่าเซนเบรุก็ตาม ทุกคนก็จะยังคงเชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด แม้ว่าต้องทนกัดฟันก้มหัวให้ก็ตาม

"ดีมาก เข้ามาแบบจะฆ่าข้าให้ตายได้เลย ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ที่เจ้าเคยเจอมาเอง!!"
"ก็ดี......เข้าใจแล้ว,ถ้างั้น,ถ้าข้าตายด้วยน้ำมือของเจ้าล่ะก็---"

ซาริวสุจ้องมองดูนิดหน่อย ก่อนจะขยับถอยไปทางครูสช์

"แน่นอน, ข้าจะส่งคุณผู้หญิงของเจ้ากลับบ้านอย่างปลอดภัยเอง"
"......ไม่ใช่"ของข้า"หรอก"
"โฮ่......ดูเหมือนเจ้า จะปราถนาเจ้าปีศาจกอหญ้านั้นจังเลยนะ, ผู้หญิงคนนั้น มีดีมากขนาดนั้นเลยรึ?"
"มากขนาดนั้นเลยล่ะ"

ซาริวสุทำเป็นไม่สนใจ ลิซาร์ดแมนสาวที่ตอนนี้กำลังนั่งลงเอามือปิดหน้าอยู่

"ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าเองก็อยากจะเห็นด้วยตาของตัวเองขึ้นมาแล้วสิ ถ้าข้าชนะ ก่อนที่ข้าจะปล่อยเธอไป
คงต้องขอผ่าเธอออกมาดูก่อนละนะ"

จนถึงตอนนี้ ซาริวสุต่อสู้ด้วยแรงจูงใจของนักรบ แต่ตอนนี้เขามีแรงจูงใจอื่นเพิ่มขึ้นมาแล้ว

"......ดูเหมือนว่าตอนนี้ ข้า, จะมีเหตุผลส่วนตัวที่จะแพ้ไม่ซะแล้วสิ, ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้เห็นใบหน้าของครูสช์เป็นอันขาด"
"เจ้าคงจะรักผู้หญิงคนนั้น ถึงขนาดที่ยาอะไรก็ช่วยไม่ได้แล้วสินะ"
"ถูกต้อง, ข้ารักผู้หญิงคนนี้ ถึงขนาดนั้นนั่นแหละ"

สาวๆลิซาร์ดแมนหลายคน เอ่ยคำบางคำกับครูสช์ที่ตอนนี้นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
และครูสช์เองก็ส่ายหัวทันทีเป็นการบ่งบอกว่า "ได้โปรด อย่ามาสนใจพวกเธอทั้งสองคนเลย" "

"ฮ๊ะ!!"

เซนเบรุหัวเราะร่าออกมาอย่างสำราญใจ

"เช่นนั้นก็เอาชนะข้าซะ!! ถ้าหากเจ้าตาย เจ้าจะไม่เหลืออะไรเลย"
"นั้นแหละคือสิ่งที่ข้าตั้งใจเอาไว้"

ซาริวสุและเซนเบรุ ยุติการสนทนาแต่เพียงเท่านี้
สายตาของทั้งคู่จ้องมองอยู่ที่อีกฝ่าย

"--- ข้าจะลุยล่ะนะ"
"--- จัดมา!!"

ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนถ้อยคำสั้นๆกัน แต่ยังไม่ทำการเคลื่อนไหวใดๆ

เช่นเดียวกับลิซาร์ดแมนที่สังเกตการณ์อยู่โดยรอบ ที่เริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
ซาริวสุเริ่มเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ขึ้น แม้พวกเขากำลังยืนอยู่บนพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่กลับไม่มีเสียงน้ำกระเด็นเลยแม้แต่นิดเดียว

เซนเบรุยังคงนิ่งสงบ อยู่ในท่าเดิม

ครู่ต่อมา ในจังหวะที่ซาริวสุก้าวเข้าไปใกล้ --- ก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไหว
ต่อหน้าต่อตาซาริวสุที่กระโจนไปด้านข้าง, มันคือเสียงที่เกิดจากง้าวของเซนเบรุ

นี่ไม่ใช่เทคนิคอะไรทั้งสิ้น เป็นแค่การเหวี่ยงอาวุธเข้ามาธรรมดาๆเท่านั้น

และนั้นแหละคือสิ่งที่น่าตกใจ

เซนเบรุยกง้าวกลับมาเตรียมจะโจมตีเซนริวสุอีกครั้ง ด้วยมือขวาของเขา เซนเบรุดึงง้าวกลับมาควงราวกับพายุทอร์นาโด
แล้วกลับมาสู่ท่าเตรียมพร้อม

เซนริวสุถึงกับงง

ดังนั้น เพื่อยืนยันท่าทีของคู่ต่อสู้อีกครั้ง เขาจึงกระโจนเข้าไปในระยะโจมตีของศัตรู
และได้รับการต้อนรับอย่งาดุดันด้วยการฟาดเข้ามาเป็นแนวนอน
เซนริวสุยก ฟรอสต์ เพน ขึ้นมาตั้งรับ แรงปะทะสะเทือนไปทั้งแขนของเขา
ร่างของเขาถอยครูดกลับมาตามแรงเหวี่ยงของคู่ต่อสู้

การโจมตีที่ทำให้ลิซาร์ดแมนโตเต็มวัยถึงกับตัวลอยได้ด้วยมือข้างเดียว มือข้างนั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

--- เลือดภายในกายเดือดพล่านด้วยความเร่าร้อน

บรรดาลูกเผ่า เมื่อเห็นหัวหน้าของตัวเองโชว์พาว ต่างก็ส่งเสียงเฮกันดังกระหึ่ม

เซนริวสุใช้หางรักษาสมดุลขณะถอยหลังกระเด็นออกมา

เขาสะบัดมือที่กำลังชาไปหมดของเขา พร้อมกับทำตาหยี

อะไรกัน......แค่นี้เนี่ยนะ?

ซาริวสุหันกลับมาเพ่งมองไปยังศัตรูตัวโตที่อยู่ต่อหน้าเขา

อะไรของมันกัน? ทำไมมันถึงได้......อ่อนหัดขนาดนี้

เซนเบรุพุ่งมีความไวปานแสง ถึงขนาดสามารถซัดซาริวสุให้ลอยถอยกลับมาได้
แต่มันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย

เพราะท่วงท่าของเขามันยังกับเด็กเล่นถือไม้ พูดง่ายๆว่ามันไม่มีเทคนิคอะไรเลย
เป็นแค่การฟาดด้วยพลังที่รุนแรงก็จริง แต่มันมีแค่นี้จริงๆงั้นเหรอ?
ด้วยแขนขนาดใหญ่แบบนั้น เซนเบรุน่าจะมีทักษะหรืออะไร มากกว่านี้

หรือจะเป็นแผนลวงให้เราตายใจ?

แต่ซาริวสุไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเลย

เพราะเกิดความรู้สึกแปลกๆแบบนี้ขึ้นมา เขาจึงต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่
เซนเบรุที่รออยู่ก็เอ่ยคำถามขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

"ไง? เจ้าจะไม่ใช้ความสามารถพิเศษของ ฟรอสต์ เพน รึ?"

คำพูด เยาะเย้ย ยั่วยุ แต่ซาริวสุก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร

"ในอดีต ข้าเคยแพ้ผู้ใช้ ฟรอสต์ เพน มาก่อน"

เซนริวสุจำได้ เขารู้ว่าเซนเบรุหมายถึงใคร
คนผู้นั้นคือหัวหน้าเผ่า ชาร์ป เอด คนก่อน คนที่ถูกฆ่าโดยน้ำมือของซาริวสุ

ซาริวสุลดการโฟกัสจากตัวเซนเบรุลงนิดหน่อย ก่อนจะสังเกตมองดูรอบๆ

ท่ามกลางจิตมุ่งร้ายที่เขารู้สึกว่ามาจากรอบๆ ,
มีจิตที่อาฆาตอยากจะฆ่าเขาให้ได้ ล้วนเป็นจิตที่มาจากเหล่าผู้รอดชีวิตของเผ่า ชาร์ป เอด

"นิ้วทั้งสองบนมือซ้ายของข้าหายไปก็เพราะการต่อสู้ในครั้งนั้น"

เซนเบรุ ยกมือซ้ายที่มีนิ้วเพียงสามนิ้วของเขาขึ้นมาให้ซาริวสุดู

"ถ้าเจ้าใช้พลังเหมือนกับตอนที่ชายคนนั้นใช้กับข้าแล้วละก็, เจ้าอาจจะชนะข้าก็ได้นะ"
"งั้นรึ?"

เซนริวสุตอบกลับไปอย่างใจเย็น

ที่จริงแล้ว มันเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมาก

แต่ความสามารถนั้นสามารถใช้ได้เพียงแค่วันละสามครั้งเท่านั้น ถ้าเขาใช้มันละก็ โอกาสชนะของเขาจะสูงมาก
ที่ซาริวสุสามารถเอาชนะเจ้าของคนเก่าของฟรอสตื เพน ได้ เป็นเพราะตอนนั้นคู่ต่อสู้ใช้พลังทั้งสามครั้งหมดไปแล้ว
ถ้าหากเขายังใช้ได้อีกละก็ ซาริวสุคงตายไปแล้ว

ทั้งๆที่รู้ถึงพลังของมันดีแบนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยั่วยุให้ซาริวสุใช้มันออกมา

ซาริวสุตั้งการ์ดอย่างแน่นหนา

ข้าไม่เข้าใจเลย......แต่จะยังไงก็ตาม, เรื่องมันจะไม่จบซักทีถ้ายังยืดเยื้อกันอยู่แบบนี้ , ข้าควรเข้าโจมตี

เซนริวสุคิดขึ้นมาในใจก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปด้วยความเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า

เซนเบรุก็ไม่น้อยหน้า เขาฟาดง้าวไปที่ซาริวสุด้วยความเร็วที่น่าตกใจ

เซนริวสุไม่หลบไปไหน เขาบล็อคการโจมตีด้วยฟรอสต์ เพน
ทุกคนที่เห็นต่างก็คิดว่าซาริวสุคงจะตัวลอยเหมือนกับทีแรก

ดาบกับง้าวเข้าปะทะกัน --- การโจมตีครั้งนี้ถูกรับอย่างง่ายดาย

ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถพิเศษ, เซนเบรุถือง้าวอย่างกับเด็กแบบนี้ การจะรับมันเป็นเรื่องง่ายๆ
แม้ว่าเขาจะเหวี่ยงมาแรงแค่ไหนก็ตาม

เซนเบรุตาโตด้วยความตกใจ --- ไม่สิ,เพราะความยินดีต่างหาก

ในตอนนั้นเอง ซาริวสุก็พุ่งพรวดเข้ามาต่อหน้าเซนเบรุ --- ไม่มีเวลาให้เซนเบรุยกง้าวกลับมาป้องกัน
เพราะเขาจะมีกล้ามเนื้อแบบนั้น การดึงง้าวกลับมารับการโจมตีจึงต้องใช้เวลา......เวลามากพอที่จะทำให้ซาริวสุเข้ามาประชิดตัวเขาได้

ต่อด้วยฟรอสต์ เพน ที่พุ่งเข้าไปยังร่างของเซนเบรุ

--- เลือดสีแดงสด สาดกระเซ็นออกมา

เสียงเชียร์เฮดังลั่นขึ้นมา พร้อมกับเสียงร้องเบาๆที่พอจะได้ยิน

ผู้ที่เลือดไหลจนต้องถอยหลังออกมาไม่ใช่เซนเบรุ แต่เป็นซาริวสุที่มีรอยถูกเฉือนสองที่บนใบหน้าเขา

ผิดแผนโดยสิ้นเชิง, เซนเบรุก้าวตามออกมาใช้อาวุธโจมตีซาริวสุ ไม่ให้เขาหนี

อาวุธนั้นก็คือ --- กรงเล็บ

ฟรอสต์ เพน กับกรงเล็บ เข้าปะทะกันเกิดเสียงเหมือนโลหะกระทบกันไปมา หลังจากนั้น ก็ตามด้วยเสียงง้าวเหล็กหล่นลงน้ำ

"ว๊ากกก---!!"

เซนเบรุหายใจลึก แล้วเดินหน้า ระดมการโจมตีเข้าไปอย่างต่อเนื่องด้วยแขนขนาดใหญ่ของเขา

มันแตกต่างจากเด็กเล่นง้าวเมื่อครู่นี้เลย การโจมตีด้วยกรงเล็บของเซนเบรุ อยู่ในระดับมาสเตอร์เลย
ในที่สุดซาริวสุก็เข้าใจ หลังจากข้อมูลที่สำคัญที่สุดหลุดออกมา

เซนเบรุไม่ใช่รักรบ !! แต่เป็น ม้อง (Monk) ผู้ที่ใช้ร่างกายเป็นอาวุธ โดยใช้ประโยชน์จากพลังงานพิเศษที่เรียกว่า ชี่(Qi)
[*** Qi ประมาณลมปราณในหนังจีนกำลังภายในอะครับ ใครอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมลองเสิร์ชกูเกิ้ลดูนะ]

ซาริวสุบล็อคการโจมตีที่ฟาดฟันเข้ามาด้วย ฟรอสต์ เพน

กงเล็บของลิซาร์ดแมนนั้น แข็งแกร่งกว่าของมนุษย์ แต่ก็ใช่ว่าเวลาปะทะกันแล้วจะเกิดเสียงโลหะดังขึ้นมาได้
ใช่แล้ว, นี้คือผลจากการทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแข็งแกร่งขึ้น --- เช่น กงเล็บ หรือเขี้ยว เป็นต้น
และความสามารถนี้รู้จักกันในชื่อ "Natural Steel Weapon( เนเทอรัล สตีล เวพเพิน )" เป็น อะบิลิตี้ (Ability)ของ ม้อง

มันเป็นการบ่งบอกว่าหมัดของม้องระดับสูงนั้น สามารถทำลายวัตถุที่แข็งเหมือนเพชรได้เลยทีเดียว
แต่ดูจากการปะทะกันที่ผ่านมา เซนเบรุยังไปไม่ถึงขั้นนั้น อย่างมากก็แค่ระดับต่อยเหล็กกล้าได้
แต่ถึงแม้กระนั้น ตอนนี้เขาก็ต่อสู้อย่างสูสีกับผู้ใช้หนึ่งในสี่สมบัติของลิซาร์ดแมนอย่าง ฟรอสต์ เพน
แถมไม่ใช่เล่นๆเลยด้วย

ทั้งสองฝ่ายแลกอาวุธกันอย่างดุเดือด

เซนเบรุพุ่งกรงเล็บเข้าจู่โจมเป้าหมาย ฝ่ายซาริวสุก็ตวัดฟรอสต์ เพน ตอบโต้
ทั้งสองหลบการโจมตีจากอีกฝ่ายมาด้านหลัง ก่อนจะถอยห่างออกจากกัน

"--- ฮ่ะ ฮ่า !! เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ"

เซนเบรุ เลียเลือดและเศษเนื้อที่ติดอยู่บนกรงเล็บเขา

ซาริวสุใช้ลิ้นยาวๆของเขาเลียหยาดโลหิตบนในหน้าของตัวเอง

ซาริวสุรู้สึกว่ายังโชคดี ที่ไม่โดนดวงตาของเขา, เขาเจ็บก็จริง แต่มันก็แค่รอยบาก, เขายังสู้ไหว
ต้องขอบคุณเหล่าบรรพบุรุษที่ปกป้องเขาและก็ ---

ที่ข้าหลบออกมาได้ทันอาจจะเป็นเพราะบรรพบุรุษของครูสช์ก็เป็นได้

ซาริวสุกำลังรู้สึกขอบคุณ ในขณะที่เซนเบรุกำลังรู้สึกไม่ชอบใจอย่างแรง

"จากที่พูดมา, ดูเหมือนว่ายังไง เจ้าก็จะไม่ใช้ความสามารถพิเศษนั้นสินะ"

เซนเบรุกระแทกกำปั้นชนกัน แล้วทุบที่หน้าอกตัวเอง

"คงต้องขออภัย, แต่ข้าตั้งใจว่าจะไม่นำมันออกมา"
"หืมม ? ถ้างั้นก็อย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน ว่าเจ้าแพ้เพราะยังไม่ได้เอาจริง"
"หลังจากการดวลกันเมื่อครู่, เจ้ายังคิดว่าข้า จะเป็นคนที่พูดอะไรเช่นนั้นอยู่อีกหรือ?"
"......เปล่า, ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าคงจะพูดมากไปหน่อย,
แต่อย่างไรก็ตาม --- ถ้าเจ้าไม่คิดจะใช้ท่านั้นแล้วละก็, งั้นถึงตาข้าบ้างล่ะนะ!!"

เสียงสายลมถูกตัดออกจากกัน, เซนเบรุเตะไปทีซาริวสุด้วยท่อนขาที่ใหญ่ราวกับลำต้นของต้นไม้

การเคลื่อนไหวที่ปราศจากความลังเล

ซาริวสุหลบการปะทะกับท่อนขาของคู่ต่อสู้, ตามด้วยการฟาดฟรอสต์ เพน ใส่ร่างของอีกฝ่าย,
......แต่แล้วมันกลับเกิดโลหะกระแทกกันดังขึ้น พร้อมกับดาบของเขาที่กระดอนออกมา

ซาริวสุเบิกตากว้าง ร้องอุทานออกมาด้วยความงุนงง

ถ้าใครใช้ร่างเนื้อไปรับใบมีดเข้าล่ะก็ ฝ่ายที่ถูกโจมตี ย่อมต้องได้รับบาดเจ็บ,นั้นคือสามัญสำนึกโดยทั่วไป
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยพลังงาน ชี่ ของม้อง มันได้เปลี่ยนตรรกะนี้ไปแล้ว

มันคือผลของเ อะบิลิตี้ " Steel Skin (สตีล สกิน) " , ในขณะที่การโจมตีกำลังจะสัมผัสร่างของผู้ใช้
อะบิลิตี้ นี้จะนำพลังชี่มาห่อหุ้มร่างกาย ทำให้ร่างกายของผู้ใช้แข็งเหมือนเหล็กกล้า
อะบิลิตี้ นี้เหมือนกับ "Natural Steel Weapon" , มันคล้ายกันตรงที่ปริมาณการฝึกฝน การขัดเกลาเทคนิคใส่ลงไป
นั่นหมายถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น

ผิวของคู่ต่อสู้สามารถที่จะทำให้ดาบเวทมนต์กระดอนออกมาได้ ก็แสดงว่าคู่ต่อสู้ของเขาขัดเกลา อะบิลิตี้ นี้มาอย่างโชกโชน
แต่ถึงกระนั้น ซาริวสุก็ยังมั่นใจว่าชัยชนะยังอยู่ในกำมือเขาอยู่ดี

มันไม่ใช่เพราะว่าเทคนิคของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากมาย
แต่ตอนนี้ สถานณการณ์ทางฝั่งเซนเบรุนั้น กำลังเสียเปรียบ

การโจมตีประดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้ง เตะ, ฟาดหาง, หมัด, สับ, การโจมตีทุกรูปแบบ

เซนเบรุอาศัยสมรรถนะทางร่างกายของเขาเข้าโจมตี, นอกจากจะเร็วมากแล้ว ยังรุนแรงสุดๆเลยด้วย
เมื่อเจอกับศัตรูเช่นนี้ แม้แต่ซาริวสุเองก็ยังต้องลดการโจมตี หันมาป้องกันแทน

การโจมตียังคงโหมเข้ามาไม่ขาดสาย

ถ้าเขาเผลอลดการป้องกันจากการโจมตีที่ไม่มีทางตอบโต้ของคู่ต่อสู้เพียงเสี้ยววินาที
ซาริวสุก็ไม่แปลกใจเลยว่าเขาต้องแพ้แน่นอน
เหล่าลิซาร์ดแมนรอบๆที่เห็นหัวหน้าเผ่าของตัวเอง ประเคนการโจมตีใส่คู่ต่อสู้ไม่ยั้ง
ต่างก็คิดว่าชัยชนะต้องเป็นของหัวหน้าเผ่าตัวเองอย่างแน่นอน ทุกคนต่างตะโกนเชียร์กันเสียงดังสนั่น

กรงเล็บของเซนเบรุถากโดนซาริวสุ, มันสามารถทะลวงผ่านเกร็ดที่ปกป้องร่างกายของซาริวสุได้อย่างง่ายได้
เลือดสดๆไหลออกมา, บาดแผลของเขาไม่เบาเลยทีเดียว

ร่างกายของซาริวสุเต็มไปด้วยบาดแผลเหล่านี้, ชีวิตของเขาเปรียบดั่งไฟเทียนที่โดนลมพัดอยู่
ถ้าเขาจะแพ้ลงไปตอนนี้ก็ไม่น่าแปลกใจเลยซักนิด , หลักฐานก็คือใบหน้าที่ยิ้มร่าอย่างมีความสุขของเหล่า
ลิซาร์ดแมนที่ยืนดูชัยชนะของหัวหน้าเผ่า

แต่กระนั้น ซาริวสุก็ยังไม่สูญเสียความมั่นใจ

ทุกครั้งที่การโจมตีถูกบล็อค เซนเบรุก็รู้สึกได้ว่าชัยชนะของเขาห่างไกลออกไปทุกที
มันทำให้เขารู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก

ใบดาบของ ฟรอสต์ เพน , มันซ่อนความเย็นยะเยือกที่จะ สแตค (stack - ทับซ้อน) เอฟเฟคความเย็นทุกครั้งที่ฟาดฟันคู่ต่อสู้
ยิ่งกว่านั้น แค่ไปปะทะกับมัน ก็มีโอกาสที่คู่ต่อสู้จะโดนผลจากความสามารถนี้แล้ว

พูดอีกอย่างก็คือ เพียงแค่ร่างกายของเซนเบรุไปสัมผัสกับใบดาบของฟรอสต์ เพนเข้า
ความเย็นยะเยือกก็ค่อยๆกัดกินร่างกายของเขาเข้าไปทุกทีแล้ว

เมื่อน้ำแข็งแช่แช็งมือและเท้าทั้งสองข้างของเขาจนด้านชา การเคลื่อนไหวของเขาก็เริ่มช้าลงเรื่อยๆ

น่าอายอะไรอย่างนี้......เพราะการต่อสู้ครั้งก่อนพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ข้าเลยไม่รู้ว่าเดิมทีแล้วความสามารถของมันคือแบบนี้
ไม่ใช่ใช้ได้แค่ความสามารถ"นั้น"เท่านั้น, ไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นหนึ่งในสมบัติทั้งสี่

ซาริวสุรู้จักเอฟเฟคของไอเทมชิ้นนี้ดี เขาจึงยึดติดอยู่กับการป้องกันไปเรื่อยๆ --- ถ้าจะพูดให้ถูก ที่เขาเลือกป้องกันแบบนี้
ก็เพื่อรับประกันว่าจะไม่เกิดอันตรายอะไรกับคู่ต่อสู้ของเขา เขาจึงไม่หลบการโจมตีของเซนเบรุ แต่ตั้งรับมันตรงๆ

การตัดสินใจแบบนี้ต้องอาศัยความรอบคอบและความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก เพื่อปูเส้นทางไปสู่ชัยชนะ

แล้วมันก็สมบูรณ์แบบ, สำหรับเซนเบรุ, ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของเขา

ซาริวสุกระโจนขึ้นไปด้านบน, เซนเบรุ ปล่อยหมัดเข้าใส่เต็มแรง, ถ้าการโจมตีนี้ยังถูกบล็อคได้ โอกาสชนะของเขาก็แทบไม่เหลือ

เซนเบรุรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังดวลเดี่ยวกับป้อมปราการที่แข็งแกร่งอยู่

อะ, อ่า, อดสูอะไรเช่นนี้, ข้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้......แต่ว่านะ, ข้าน่ะ รอเวลานี้มานานแล้วล่ะ

เขารำลึกถึงความทรงจำในอดีต ที่ตัวเขาท้าสู้กับลิซาร์ดแมนคนนั้น,
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ต้องการความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น, เขาคิดที่จะกลับไปแก้แค้นอยู่เสมอ
เขาจึงฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะกลับไปคว้าชัยชนะมาให้ได้
แต่เมื่อเขาได้ยินข่าวว่าชายคนนั้นถูกฆ่าตายไปแล้ว เขาจึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่หยุดที่จะฝึกฝนต่อไป

ทั้งหมด ก็เพื่อวันนี้

พอขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า, ข้างกายเขาก็ไม่มีอะไรให้เขาท้าทายอีก, ดังนั้น เมื่อเขาได้ยินว่าผู้ครอบครองฟรอสต์ เพน
ปรากฏตัวขึ้นมาในหมู่บ้าน, มันจึงยากมาก กับการกดความรู้สึกปิติยินดีของเขาเอาไว้

เขาไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปแน่, สิ่งที่เขาเฝ้ารอมาตลอดเวลา, มันกลับจบลงอย่างง่ายดาย

เซนเบรุทั้งชกทั้งเตะใส่คู่ต่อสู้, แต่ประสาทความรู้สึกของเขาค่อยๆหายไปทีละน้อย,
เขาเร่งพลัง ชี่ ของเขาไปที่แขนและขา แต่มันก็ไม่ได้ผล, ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังโจมตีต่อไปอย่างไม่ลดละ

แข็งแกร่ง, แข็งแกร่งยิ่งกว่าคนคนนั้นในอดีตเสียอีก

เหมือนกับเห็นตัวเองที่เฝ้าฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้ง, ลิซาร์ดแมนหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้
จะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่อง ไม่น้อยลงเลย จนมาถึงจุดๆนี้แน่

ตั้งแต่เริ่มมา, ลิซาร์ดแมนทั้งสองก็ไม่ได้ดึงใครเข้ามาใกล้การต่อสู้,
และแน่นอน เขาสามารถแก้ตัวว่าเขาแพ้เพราะความสามารถของฟรอสต์ เพน
แต่เขา ไม่อยากใช่คำพูดเยี่ยงคนขี้ขลาดแบบนั้น

เหลือเชื่อ!! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้เป็นเจ้าของ ของฟรอสต์ เพน !!
ชายหนุ่มลิซาร์ดแมนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลิซาร์ดแมน!!

ภายนอก, เซนเบรุยังคงโจมตีอย่างไม่ลดละ
ส่วนภายใน เขากำลังชมเชยซาริวสุที่ใช้ฟรอสต์ เพน หยุดการเคลื่อไหวของเขา

บาดเจ็บ, เลือดไหล, และบาดแผลที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

ครูสช์ จ้องมองดูการต่อสู้อันดุเดือดอย่างไม่หวั่นไหว ,เธอเห็นทุกอย่าง ผ่านความสามารถของดรูอิดที่โดดเด่นของเธอ

มันเป็นความจริงอันน่าเหลือเชื่อ.......ที่เขาสามารถกำหนดทุกอย่างเอาไว้คร่าวๆ ได้แล้ว หลังจากเริ่มการต่อสู้

เธอต้องตกอยู่ในตระลึงครั้งใหญ่ ที่ซาริวสุเก่งกาจขนาดนี้ ในฐานะนักรบ

รอบๆต่างระงมไปด้วยเสียงเชียร์ให้กำลังใจ

เสียงเชียร์ที่กระตือรือร้น การเร่งเร้าให้โจมตีเข้าไป, ถูกส่งไปให้เซนเบรุ ที่ดูท่าทางกำลังได้เปรียบคู่ต่อสู้
จนลืมสังเกตถึงความเป็นจริงที่ว่าตอนนี้ การเคลื่อไหวของเซนเบรุนั้น กำลังช้าลงเรื่อยๆ

ซาริวสุ แข็งแกร่ง, ครูสช์มั่นใจในข้อนี้ดี

เกือบทั้งหมดของลิซาร์ดแมนนั้น ล้วนเก่งกาจและมีร่างกายที่แข็งแกร่ง พวกเขาจะใช้พละกำลังที่ดุดันเข้าห่ำหั่นกัน
แต่ซาริวสุนั้นไม่, เซนเบรุเองก็เช่นกัน พวกเขาต่อสู้ด้วยเทคนิคที่มีชั้นเชิง, ส่วน ฟรอสต์ เพน เพียงแค่ของที่มีไว้ใช้สนับสนุนเท่านั้นเอง

เช่นนี้, สถานการณ์ในปัจจุบัน...... ช่องว่างระหว่างบุคคลทั้งสองในตอนนี้, ฟรอสต์ เพน มีผลเป็นอย่างมาก
แต่ครูสช์ก็เข้าใจกระจ่างชัดว่าแค่ ฟรอสต์ เพน เพียงอย่างเดียว ยังไม่พอที่จะทำให้สถานการณ์มันออกมาเป็นแบบนี้

สมมติว่ามอบ ฟรอสต์ เพน ให้กับคนทั่วไปใช้ คนคนนั้นจะสามารถดวลกับเซนเบรุได้หรือไม่?

คำตอบนั้นแน่นอนว่า......ไม่, เซนเบรุไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่หวานหมูขนาดนั้น

อาวุธนั้นมีอานุภาพสูงจริง, แต่ซาริวสุ ผู้ที่สามารถดึงความสามารถของมันออกมาใช้ได้อย่างตระการตา เสมือนกับนักรบชั้นหนึ่ง

แต่สิ่งที่น่ายกย่องกว่านั้นก็คือความคิดที่เฉียบคมและลึกซึ้งของเขา

ซาริวสุสามารถหลบการโจมตีของศัตรู ในตอนที่เซนเบรุทิ้งง้าวไปแล้วได้, เพราะเขาไม่เคยประมาทและคอยสังเกตสถานการณ์
อยู่ตลอดเวลา, ครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นไพ่ตายของคู่ต่อสู้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าง้าวนั้นเป็นเพียงแค่ปลัฟ

หลังจากเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากกับการที่เขาจะไปเป็นนักเดินทาง, เผชิญกับการแก้ปัญหามากมายที่เขาแบกอยู่บ่นบ่า
การเลี้ยงปลากับกลยุทธ์การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น
ความรู้ที่เขาได้รับระหว่างการเดินทางของเขาจะมีมากมายแค่ไหนกันนะ?

ไม่ต้องคำนึงถึงข้อนี้, ครูสช์ศรัทธาอย่างเชื่อมั่นแล้วว่า ชัยชนะต้องเป็นของซาริวสุอย่างแน่นอน
ตอนนี้หัวใจของเธอเต้นอย่างรวดเร็ว, ไม่ใช่เพราะความกังวลใดๆ แต่เป็นเพราะการที่เธอกำลังจ้องมองอย่างเงียบๆ
ไปที่หน้าของชายหนุ่มลิซาร์ดแมนคนนั้น

"เขาช่างเป็นลิซาร์ดแมนที่โดดเด่นจริงๆ"

การต่อสู้ที่ตื่นตาตื่นใจ ดึงทุกคนให้เคลิ้มไป จนดูเหมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว, แต่สำหรับคนที่กำลังต่อสู้อยู่ มันช่างเนินนานเหลือเกิน
พวกเขาต่างพ่นลมหายใจออกมา ทั้งร่างกายและจิตใจต่างเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเวลาที่ใช้ไป

ซาริวสุยังคงยืนหยัดต่อสู้ แม้ว่าจะมีแผลมากมายจนเลือดไหลเต็มตัวไปหมดก็ตาม ช่างน่าชื่นชมในความกล้าหาญของเขาจริงๆ ,
บรรดาลิซาร์ดแมนที่ดูการต่อสู้อยู่ต่างยกย่องเขา ที่เขาสามารถรับมือหัวหน้าของพวกเขาได้นานกว่าทุกคนที่ผ่านมา

ทันใดนั้นเอง เซนเบรุที่เห็นว่าชัยชนะของเขาถอยไกลออกไปแล้ว ก็ลดการ์ดลง

ลิซาร์ดแมนรอบๆต่างลุ้นกับการประกาศชัยชนะของหัวหน้าตัวเองจนแทบลืมหายใจ

แต่สิ่งที่ประกาศออกมากลับตรงกันข้าม

"ข้าแพ้แล้ว!!"

ชัยชนะของหัวหน้าพวกเขานั้นอยู่แค่เอื้อม

แล้วทำไมหัวหน้าถึงประกาศว่า แพ้ ออกมาล่ะ? มีแต่ครูสช์ที่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอวิ่งโหยงเหยงเข้ามากลางวงล้อมทันที

"เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?"

ซาริวสุหายใจออกยาวเหยียด เมื่อได้ยินคำถามนี้
เขาลดดาบในมือลง แล้วตอบกลับไปอย่างอิดโรย

"ไม่มีบาดแผลสาหัส......การต่อสู้ในอนาคคตก็คงไม่มีปัญหาอะไร"
".....ดีแล้ว, ข้าจะใช้เวทมนต์รักษาให้เจ้านะ"

ครูสช์ขยับชุดกอหญ้าของเธอ เป็นเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ก่อนจะเผยใบหน้าของเธอออกมา

ซาริวสุรู้สึกถึงการปลอบโยนที่อบอุ่นเหลือปากแผลของเขา, มันแตกต่างจากความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ลิบลับเลย
ซาริวสุจดจ่ออยู่กับตัวเอง เขารู้สึกถึงพลังงานที่ไหลเข้ามาในร่างกาย แล้วเขาก็หันไปทางลิซาร์ดแมนตัวใหญ่
ที่พึ่งจะผ่านการประลองเป็นตายกับเขามา

รอบกายเซนเบรุรายล้อมไปด้วยบรรดาลูกน้องของเขา ในขณะที่เขากำลังอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"ทีนี่ก็เรียบร้อยแล้ว"

หลังจากร่ายเวทมนต์ไปสองครั้ง, ครูสช์ก็เอ่ยออกมา
ซาริวสุสำรวจไปที่ร่างกายตัวเอง

ยังคงมีเลือดแห้งๆ ติดอยู่บนผิวของเขา แต่บาดแผลนั้นสมาานกันเรียบร้อยแล้ว
ซาริวสุยังคงรู้สึกตึงๆอยู่ เมื่อเขาขยับแผลเหล่านั้น, แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแผลจะเปิดเลย

"--- ขอบคุณนะ"
"ด้วยความยินดี"

ครูสช์ยิ้มแฉ่ง , หญิงสาวยิ้มโชว์ฟันขาวสวยของเธอ

" --- งดงามอะไรอย่างนี้"
" อ๊ะ......!! "

หางเธอฟาดกับพื้นอย่างแรง

ทั้งสองคนยืนนิ่งเงียบเป็นสากกะเบือ

ครูสช์นิ่งไปเพราะเธอกำลัง งงงวย กับคำพูดที่ลิซาร์ดแมนหนุ่มคนนี้เอ่ยออกมา
สำหรับครูสช์ที่ไม่เคยมีใครชมเธอต่อหน้าแบบนี้ มันไม่ดีกับหัวใจของเธอเลย ที่ซาริวสุพูดอะไรแบบนี้ออกมาบ่อยๆ

ส่วนทางซาริวสุ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมครูสช์ถึงนิ่งเงียบไม่ตอบกลับมา, หรือว่าเขาทำอะไรผิดงั้นหรือ ---
ความรู้สึกสับสนมึนงงตีกันอยู่ในหัวของเขา, ที่จริงแล้วเขาเคยคิดว่า ชีวิตเขาคงไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนแล้ว
ดังนั้น เขาเลยไม่รู้ว่าเขาจะต้องทำตัวยังไงถึงจะถูก

อยู่ดีๆ , ซาริวสุก็รู้พ่ายแพ้......

ขณะที่หนุ่มสาวกำลังเผชิญกับความรู้สึกที่น่าประหลาดใจนี้, เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมา ช่วยพวกเขาไว้

"เฮ้ เฮ้ เฮ้, จะน่าอิจฉาเกินไปแล้วม๊างงงง เจ้างั่ง!!"

ทั่งสองหันไปหาเจ้าของเสียง --- เซนเบรุ

เซนเบรุถึงกับตะลึงไปแว่บหนึ่ง เมื่อสองคนคนนั้นแสดงอาการออกมาเหมือนกันเป๊ะ

"เอ๋~ คุณตัวขาวคนนั้นน่ะ, จะช่วยรักษาให้ข้าบ้างได้ไหม?"

เซนเบรุไม่ได้มีท่าทีอะไรเลย แม้ว่าจะเห็นผิวขาวเผือกของครูสช์ก็ตาม
ครูสช์เองก็เรียกสติกลับมาได้ เมื่อเห็นท่าทีของเซนเบรุ, เธอเข้าใจที่เซนเบรุไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาเลย

"ก็ได้......แต่ไม่ให้ดรูอิดในเผ่าเจ้ารักษาให้มันจะดีรึ?"
"อ่า, มันไม่สำคัญหรอก, อย่าพูดเยอะนักสิ ข้าเจ็บไปหมดแล้วนะ กระดูกก็โดนแช่แข็งไปด้วย, เจ้าช่วยเร่งมือหน่อยได้ไหม?"
"เจ้าเป็นคนขอให้ข้ามาช่วยเอง อย่าลืมไปชี้แจงให้ดรูอิดของเจ้าฟังด้วยล่ะ"
"จ้ะ จ้ะ, ข้าเป็นคนบังคับเจ้าเอง, ดังนั้น ขอรบกวนด้วย"

ครูสช์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเริ่มรักษาให้เขา

ซาริวสุรู้สึกว่าสายตาที่มุ่งร้ายเริ่มลดน้อยลง ส่วนสายตาที่เป็นมิตรนั้น มีเพิ่มมากขึ้น

"เอาล่ะ, เสร็จแล้ว"

ครูสช์ร่ายคาถาใส่เซนเบรุมากกว่าตอนซาริวสุ แสดงว่าแผลของเซนเบรุนั้นลึกกว่า แต่ไม่แสดงออกมาเท่านั้นเอง

"โอ้, เจ้าเก่งกว่าดรูอิดของเผ่าข้าเสียอีกนะ"
"ขอบใจ, แต่ข้าไม่ค่อยทำแบบนี้ให้เผ่าอื่น......ไม่สิ, ขอบคุณสำหรับคำชมของเจ้า"

"ดี, อาการบาดเจ็บก็หายหมดแล้ว มาเข้าเรื่องหลักกันดีกว่าไหม? จะเป็นการเร่งเจ้าเกินไปหรือเปล่า?"
"โอ๊ะ!! มาฟังกันเลยว่าเจ้ามีเรื่องอะไร ---- ก็อยากจะพูดแบบนั้นหรอกนะ......"
เซนเบรุหยุดลงตรงจุดนี้ แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า "เอาเป็นว่าพวกเราไปดื่มกันก่อนดีกว่า"

ซาริวสุกับครูสช์ --- ทั้งสองคนดูท่าทางสับสนไปหมด, ราวกับพวกเขาไม่เข้าใจว่าเซนเบรุพูดอะไรออกมากันแน่

"ปัญหาบางเรื่องมันต้องคุยกันบนโต๊ะอาหารนะ , พวกเจ้าเข้าใจรึเปล่า?"

ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้ถึงความแข็งแกร่งของคุณ จะทำให้คุณได้เปรียบในการเจรจา
ซาริวสุเข้าใจว่าเขาต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้เพราะมันเป็นวิถีของลิซาร์ดแมน
แต่เขาไม่เข้าใจประเพณีบนโต๊ะอาหารอะไรนั่น เพราะที่เผ่ากรีนคลอของเขาไม่มีอะไรแบบนี้

มันดูประหลาดไปไม่ใช่หรือ ที่จะมาจัดงานเลี้ยงด้วยกันหลังจากการประลองเป็นตายแบบนั้น

"ข้าไม่เข้าใจ......"

ซาริวสุเต็มไปด้วยความรู้สึกยอมจำนน มันทำให้เขาประหลาดใจจนตอบคำามออกมาเสียงอ่อย
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดผุดขึ้นมากลางใจของเขา ที่เขาแสดงอาการไร้เดียงสาแบบนี้ต่อหน้าหัวหน้าเผ่าที่จะจับมือเป็นพันธมิตรด้วย
ซาริวสุรู้สึกเหมือนกับว่าครูสช์กำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆด้วย

สำหรับซาริวสุ ผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้ว่า ครูสช์ กำลังมองเขาเพราะคนที่เธอชอบ
กำลังแสดงด้านใหม่เขาของออกมา, มันเป็นการมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นอะไรบ้างอย่างที่น่ารักน่าเอ็นดู

"เอ่อ....อ่า.....ข้าหมายความว่าถ้าเกิดดื่มมากไปแล้ว เดี๋ยวมันจะกลายเป็นปัญหาสำหรับข้าน่ะ"

ซาริวสุเปลี่ยนคำพูดด้วยท่าทีร้อนรน แต่เซนเบรุท่าทางจะไม่ใส่ใจอะไรแล้วตอบกลับไปว่า

"เฮ้ เฮ้ เฮ้ ,เจ้าเป็นนักเดินทาง, ถูกไหม? ถ้าเจ้าอยากจะศึกษาความรู้อะไรแถวๆนี้, ก็คงจะเรียนจากพวกคนเคระใช่ไหมล่ะ?"
"เปล่า, ข้าไม่ได้เรียนมากจากคนแคระ แต่เรียนจากชายคนหนึ่งที่อาศัยออยู่ในป่า"
"อย่างงั้นรึ? ถ้างั้นจำนี้ไว้นะ, เพื่อนที่ดื่มด้วยกันจะกลายเป็นสหาย นั่นคือสิ่งที่คนแคระสอน
ตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่มาก แต่เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลังก็ได้ , ใช่ไหมล่ะ ซาริวสุ ชาช่า?"

"เข้าใจล่ะ......ช้าเข้าใจแล้ว, เซนเบรุ กูกุ"
"เยี่ยม!! เอาล่ะทุกคน, พวกเราจะจัดงานเลี้ยงกัน เอาของมาที่นี่เลย!! เริ่มเตรียมการได้!! "

----- ----- ----- ----- -----

กองไฟขนาดเกือบสองเมตรถูกเตรียมอยู่บนพื้น เปลวไฟลุกโชนสูงเหมือนกำลังเผาไหม้ท้องฟ้า
แสงสีแดงของมันปัดเป่าความมือยามค่ำคืนออกไป

ใกล้ๆกันมีหม้อขนาดใหญ่กว่า 1 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 80 เซนติเมตร
กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยฟุ้งไปในอากาศ

เหล่าลิซาร์ดแมนกว่าโหลผลัดกันตักของเหลวจากในนั้น, แต่ดูเหมือนน้ำที่อยู่ข้างในจะอยู่ลึกลงไปซักหน่อย

เช่นเดียวกันกับฟรอสต์ เพน ของซาริวสุ,
1 ใน 4 สมบัติลิซาร์ดแมน "Giant Pot of Wine" (ไจแอนท์ พอต ออฟ ไวน์ - หม้อต้มเหล้าเถื่อนขนาดยักษ์ 555)

รสชาติอันไร้ขอบเขตของไวน์ที่นุ่มละมุน มันทำให้บรรดาผู้คนที่นิยมแอกอฮอล์ต่างเบือนหน้าหนี
แต่สำหรับลิซาร์ดแมน รสชาติของมันนั้นบอกได้เลยว่า เดลิเชียชชช~~ (อร่อย)

นั้นคือสาเหตุที่พวกเขาเติมแล้วเติมอีก

ห่างจากหม้อไวน์ออกมานิดหน่อย ตรงนั้นค่อนข้างเงียบสงบ เพราะมันเป็นของพวกลิซาร์ดแมนที่เมาแล้วมาหลับกันอยู่

ลิซาร์ดแมนที่ไปต่อไม่ไหวแล้ว มานอนกองกันอยู่ตรงนี้

ครูสช์เคลื่อนตัวของเธอในชุดกอหญ้าอย่างระมัดระวัง --- ถึงจะไปเหยียบโดนหางแบบไม่ตั้งใจของใครบางคนก็ตาม
เธอเดินออกมาข้างนอก จากการก้าวเดินของเธอดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เมา แต่ตอนนี้เธอก็ไม่ได้สบายเต็มร้อยด้วยเหมือนกัน

หางของเธอแกว่งไกว่ไปมาอย่างอิสระ มันโบกไปมาอย่างมีชีวิตชีวา แล้วขดงอ - เหยียดตรง - ตั้งขั้น - ตกลงมา -
ตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ

อันที่จริง, ครูสช์รู้สึกว่ามีสายลมที่สดชื่นพัดผ่านหัวใจของเธอ, สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากแอลกอฮอล์
แต่การที่ได้ออกมาเป็นอิสระแบบนี้ก็ช่วยด้วยเช่นกัน

นี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เปิดเผยผิวสีเผือกขาวของเธอต่อหน้ากลุ่มคนเยอะๆแบบนี้
ถึงจะมีบางคนที่รู้สึกตกใจบ้าง แต่หัวหน้าของพวกเขาก็เป็นอย่างที่เห็น ตัวครูสช์เองจึงเข้ากับคนอื่นๆได้ในเวลาไม่นาน

ครูสช์ถืออาหารมาเต็มสองมือ แล้วก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว

เธอมาถึงตรงที่ซาริวสุกับเซนเบรุนั่งขัดสมาธิดื่มกินกับคนอื่นๆอยู่

พวกเขาทั้งสองใช้อะไรบางอย่างคล้ายๆกะลามะพร้าวแทนแก้ว ภายในนั้นมีน้ำใสๆ ส่งกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นออกมา

ปลาสดๆวางอยู่ต่อหน้าพวกเขาเคียงคู่กับไวน์, เซนเบรุทักทายครูสช์ที่เดินมาด้วยรอยยิ้ม

"อ่ะ, เจ้าสัตว์ประหลาดกอหญ้า"
".....เจ้าช่วยเปลี่ยนวิธีเรียกชื่อข้าซักทีจะได้ไหม?"

ถึงเธอจะถอดชุดกอหญ้าออกไปแล้วก็ตาม แต่เจ้าลิซาร์ดแมนคนนี้ก็ยังเรียกเธอแบบนั้นอยู่ดี
ดูเหมือนว่าเขาคิดจะล้อเธออยู่แบบนี้ตลอดไปแน่ พอครูสช์เห็นดังนั้น เธอก็เลยเลิกหวังไป

"แล้วพวกเจ้าคุยธุระกันเสร็จแล้วรึยัง?"

ซาริวสุและเซนเบรุหันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้า

"ก็ส่วนใหญ่ล่ะนะ"

พวกเขาต้องการคุยกันแบบตัวต่อตัว จึงขอให้ครูสช์ไปที่อื่นก่อน
ตอนนี้พวกเขาเคลียร์กันได้แล้ว, ครูสช์ที่ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงไปหอบอาหารมาให้เท่านั้น
แม้เธออยากจะอยู่ร่วมสนทนาด้วยก็ตาม เพราะถ้าพวกเขาพูดคุยเรื่องสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอจะร่วมพูดคุยด้วยแน่นอน

เธออยากจะรู้ส่วนสำคัญๆ แล้วหลีกเลี่ยงรายละเอียดปลีกย่อยไป

"มันเป็นการสนทนาของลูกผู้ชาย"

เซนเบรุตัดบทอย่างเย็นชา, ครูสช์แสดงความไม่พอใจออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน
เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย

"แล้วเจ้ามีแผนการอะไรบ้าง? จับมือเป็นพันธมิตรแล้วไปลุยด้วยกันรึ?"
"หือ? แน่นอน พวกเราจะสู้, แม้ว่าพวกเจ้าสองเผ่าจะไม่มาด้วย พวกเราก็จะสู้"

เสียงแผ่นไม้กระทบกันดังออกมาจากปากของเซนเบรุ

"เจ้านี้มันคลั่งการต่อสู้จริงๆเลยนะ"
"อย่าชมกันอย่างนั้นสิ, ข้าเขินตายเลย"

เซนเบรุเมินครูสช์ที่กำลังงงอยู่ แล้วขออะไรบางอย่างจากเธอ

"โอ้ จริงสิ, เจ้าปีศาจกอหญ้า ช่วยข้ากล่อมเจ้าหมอนี้หน่อยได้ไหม? ข้าพูดยังไงเจ้าซาริวสุมันก็ไม่ยอมมาเป็นหัวหน้าเผ่า
แทนข้าซักที"

ซาริวสุยังคงแสดงท่าทีไม่ต้องการและท่าทีเหนื่อยหน่ายออกมา ครูสช์บอกได้ทันทีจากท่าทีเบื่อๆของเขา
แม้ว่าครูสช์จะไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วยก็ตาม , คำถามนี้คงจะถูกถามขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน

"ตำแหน่งนี้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาหรอก เขามาจากเผ่าอื่นแถมยัง ---
ครูสช์ตั้งใจจะพูดว่าเขาเป็นนักเดินทาง แต่เซนเบรุก็ดันเป็นนักเดินทางเหมือนกันอีก,
เธอเลยเปลี่ยนประเด็นซะ "ทำไมเจ้าถึงไปเป็นนักเดินทางล่ะ?"

"หือ? โอ้ , ตอนแพ้เจ้าของฟรอสต์ เพน คนก่อน มันทำข้าจี๊ดมากๆเลยล่ะ แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมล่ะ?
ที่ข้าอยากจะออกไปเห็นสถานที่ใหม่ๆ เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้น ข้าจึงไปเป้นนักเดินทางซะ"

ซาริวสุที่นั่งอยู่ข้างๆเขา ไหล่ตกลงมาอย่างเหน็ดเหนื่อย, ครูสช์จำได้ว่าซาริวสุเองก็เคยพูดถึงการเดินทางของเขา

ตอนซาริวสุกลายเป็นนักเดินทาง มันมีสาเหตุมาจากปณิธานของเขา การตัดสินใจและสำนึกในหน้าที่ต่อเผ่าของเขา
เซนเบรุที่เป็นนักเดินทางก็คิดคล้ายๆกัน.......แต่เขาไม่ได้ประพฤติตัวให้เห็นออกมา

ครูสช์วางมืออย่างนุ่มนวลบนไหล่ของซาริวสุเพื่อปลอบใจ, มันเป็นเหมือนการบอกข้อความกับเขาว่า
เขาก็คือเขา ส่วนเจ้าก็คือเจ้า

สำหรับคนอื่นที่ดูอยู่ภายนอก ท่าทางของครูสช์เหมือนกับคนรักกันไม่มีผิด และเมื่อเธอเริ่มนึกได้
หางเธอก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา ส่วนหางของซาริวสุนั้นสะบัดอย่างบ้าคลั่ง

พวกเขาสองคนมองไปที่สายตาของคนอื่นแล้วยิ้มอย่างอายๆ

เซนเบรุแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วพูดต่อไปอย่างมีความสุข

"ข้าคิดว่าที่นั่นต้องมีพวกคนที่แข็งแกร่งสุดๆ อยู่ในภูเขานั้นแน่ เพราะมันใหญ่โตขนาดนั้น
ข้าเรียนรู้อะไรมาหลายอย่างจากพวกคนแคระที่ข้าเจอตอนออกเดินทางแถมได้เคียวสงครามมาด้วย,
ตอนแรกข้าก็ไม่อยากได้มันหรอก แต่พวกเขาบอกว่ามันเป็นของที่ระลึกที่ได้พบกัน ข้าเลยไม่มีทางเลือก
นอกจากรับมันไว้"

"......ยังงั้นรึ, ยอดไปเลยนะ"

ครูสช์ตอบอย่างเย็นชา

"อ่า, ขอบใจ"

--- การถากถางไม่ได้ผล

บรรยากาศดีๆพังหมด, ครูสช์หยิบแก้วขึ้นมาซัดโฮกเดียวหมด เธอรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาที่คอ
ความอุ่นจากไวน์ในท้องของเธอแพร่กระจายไปทั้งร่างกาย , ซาริวสุเห็นก็เอามั้ง

ในตอนนั้น, เสียงคำถามดังขึ้นมาเบาๆ ความรู้สึกที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้
ทำให้ยากที่จะมองเห็นได้ในทันทีว่าใครเป็นคนถาม

"แล้ว......เจ้าคิดว่าเราจะชนะมันได้ไหม?"

ซาริวสุตอบกลับมาเบาๆ

"......ข้าก็ไม่รู้"
"อืม, ข้าก็ว่างั้น , ในสงครามมันไม่มีอะไรรับประกันได้ , ถ้ามีใครซักคนที่มั่นใจว่าจะชนะสงครามโดยที่ยังไม่รู้
กำลังของอีกฝ่ายได้ละก็ ข้าเอามันมาอัดให้น่วมแล้วบอกให้เลิกตอแหลได้แล้ว"

ครูสช์ไม่ได้พูดอะไรต่อจากเซนเบรุที่กำลังหัวเราะเบาๆ

"แต่......ศัตรูของเราค่อนข้างประมาท นั้นแหละคือโอกาสที่จะชนะของเขา"

ครูสช์อธิบายให้เซนเบรุที่กำลังงงแทนซาริวสุ

"เจ้าจำที่มอนสเตอร์นั้นพูดเอาไว้ได้ไหม?"
"โทษที ตอนนั้นข้าหลับอยู่"
".....แล้วมีใครได้ยินมันบ้าง?"
"อืมมมม ข้าลืมไปแล้วเพราะว่ามันยุ่งยาก แต่ยังไงซะ จุดสำคัญก็คือมันจะมาโจมตีเรา, เราก็โจมตีพวกมันกลับ ใช่ไหม?"

ไอ้หมอนี้สิ้นหวังสุดๆ --- ครูสช์อธิบายด้วยสีหน้าแบบนั้น ส่วนซาริวสุอธิบายพร้อมกับรอยยิ้มแหยๆ

"......มันบอกว่า "ดิ้นรนขัดขืนกันให้สุดกำลัง...พวกเจ้าทั้งหลาย"

ท่าทีวิตกกังวลปรากฏบนสีหน้าของเซนเบรุ จากหน้าตึงเคลียดเปลี่ยนเป็นสีหน้าเยาะเย้ย

"น่าโมโหอะไรอย่างนี้ ดูถูกพวกเราตั้งแต่แรกเลยรึ"

เซนเบรุคำรามออกมาด้วยความโกรธ

มันเเฝงไปด้วยความแค้นเคือง ไม่พอใจ

"ใช่แล้ว, พวกมันดูถูกพวกเราอยู่ ,ท่าทางมั่นใจแบบนั้น......หมายความว่าพวกมันสามารถล้างบางพวกเราได้โดยง่าย
แต่พวกเราจะทำลายความหยิ่งผยองของพวกมันซะ พวกเราทั้งห้าเผ่าจะร่วมมือกัน แสดงพลังความสามัคคีของพวกเรา
ให้พวกมันเห็น เราจะชนพวกมันให้ร่วงแล้วบอกพวกมันว่าเราไม่ได้อ่อนแอ"

"หืมมม, ไม่เลวๆ , เป็นวิธีที่ง่ายดี ข้าชอบ"

ในขณะที่สองหนุ่มกำลังคุยกันเรื่องการต่อสู้กันอย่างเร่าร้อน ครูสช์ก็เทน้ำเย็นลงบนแผนของพวกเขา

"ไปทำลายความภูมิใจของพวกมันน่ะ ไม่ดีหรอก, เราต้องแสดงความสุดยอดของพวกเราให้พวกมันเห็นต่างหาก,จริงไหม?
ถ้าพวกเราเห็นว่าเราใช้ประโยชน์ได้ พวกมันอาจจะไม่ล้างบางพวกเราก็ได้นะ"
"เฮ้ เฮ้ เฮ้ เจ้าจะบอกว่าให้พวกเราก้มหัวให้กับเจ้าพวกปากดีแบบนั้นเนี่ยนะ?"
"ซาริวสุ......ข้ารู้ดีถึงอันตรามในการอพยพ แต่ข้าว่าการมีชีวิตอยู่นั้น สำคัญกว่าอิสระภาพ"

ครูสช์เอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล

อีกสองคนไม่ได้ตำหนิความคิดของเธอ หรือเยาะเย้ยอะไร

ไม่มีใครอยากอยากโดนปกครองหรอก แต่อย่างน้อยมันก็มีอนาคตกว่าการตายจากไป
เพราะถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดรออยู่

ตัวอย่างเช่น ถ้าเขาสอนการเพาะเลี้ยงปลาให้ทุกคน การอพยพหนีไปก็สามารถทำได้

ถ้าหากมีใครยอมแพ้ต่อความเป็นไปได้นี้แล้วสั่งให้ทุกคนไปตาย คนที่จะเป็นผู้นำก็คือเขา

"ฟังเสียงนี้นะ"

หลังจากได้ฟังเรื่องเมื่อครู่ ซาริวสุก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ,ทั้งสามคนเงื้อหูฟังก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากงานเลี้ยง
ดังมากับสายลม

"ถ้าเราโดนปกครอง เราจะได้ยินเสียงสนุกสนานแบบนี้อีก"
"บางทีเราอาจจะมีโอกาสอยู่, จริงไหม?"
"จะจริงหรือ? ข้าไม่คิดแบบนั้นนะ ข้าไม่คิดว่าการอยู่รอดจะมีความสุขกว่าความตาย
ถ้าพวกมันมีความเมตตาบ้างละก็ พวกมันคงไม่คิดจะกวาดล้างเราอย่างสนุกสนานแบบนั้นหรอก"

ครูสช์พยักหน้าเข้าใจ

แม้ว่ามัน---

"สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือ......ช่วยอย่าตายทีนะ"
" ----ข้าไม่ตายหรอก, จนกว่าข้าจะได้ยินคำตอบนั้น จากปากเจ้า"
" ---!! "

ครูสช์และซาริวสุจ้องมองตากันภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วสาบานต่อกัน

...
...
...
...
---- โดยเมินสายตาอันเซงเป็ดของเซนเบรุที่นั่งอยู่ตรงนั้น ไปโดยสิ้นเชิง

Overlord Vol.4 Intermission
ณ ห้องประชุม ด้านหลังเขาเริ่มพูดคุยกันในหลากหลายหัวข้อ
แต่งานของเขาในห้องประชุมนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงออกมา
งานของเขาเพียงแค่ทำรายงานเสร็จ เขายังมีงานในฐานะตำแหน่งที่หนึ่งของกลุ่มคัมภีร์ดำ (Black Scripture)
ซึ่งก็คือผู้นำ เพื่อที่จะทำให้เสร็จสิ้น มันยังรวมถึงการคืนชีพให้กับเหล่าสมาชิก เลือกสมาชิกชั่วคราวเพื่อเติมเต็มช่องว่าง ฝึกฝน และทดลอง ทดสอบ
เขายังมีชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งในฐานะสายลับในเทวธิปไตย (Theocracy)
และสำหรับชีวิตทั่วไปของเขา เขายังคงต้องการเข้าร่วมการชุมนุมจับคู่ ภายใต้หลักการของการแต่งงานที่มีภรรยาหลายคน นั่นก็เฉพาะสามคนเท่านั้นที่ ‘สายเลือดเทพเจ้า’ (‘God-kin’) ได้ตื่นขึ้น ในเทวาธิปไตยสเลน ดังนั้น
เป็นการขอร้องเขาอยางชาญฉลาดที่ให้ความเป็นไปได้ที่เขาจะมีลูกที่ถอดแบบจากเขาเหมือนเขา ก็จะมีมากขึ้นมีสูงขึ้น
เหมือนเป็นทาสดังกล่าวที่ซ้อนทับกัน พรากเวลาว่างของเขาทั้งหมดไป
“ข้าหวังว่าพวกเขานั้นจะให้เวลาว่างกับข้าบ้างที่จะพักผ่อนในวันนี้.”

หลังจากถูกปลดปล่อยจากการประชุมระดับสูงสุดในเทวาธิปไตยสเลน การประชุมอาร์คบิชอป (Archbishop) เขายืดเส้นยืดสาย ขยับไหล่เล็กน้อย และสายตาของเขาก็กวาดไปทางที่มีเสียง คลิ๊ก กริ๊ก คลิ๊ก

เขารู้จัก ผู้ซึ่งทำเสียงแบบนั้นก่อนที่เขาจะหันไปมองที่บุคคลนั้น มีคนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นในเทวาธิปไตยสเลนที่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้ในทันที ผู้ซึ่งขาดการร่วมประชุม

เป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ เด็กสาวกำลังพิงอยู่ที่กำแพง

เธอมีเส้นผมบนศรีษะที่ไม่เหมือนใคร ด้วยสีผมที่แตกต่างในแต่ละด้าน ด้านหนึ่งสีผมเป็นสีเงินแซมขาวนั้นสว่างแยงสายตา ส่วนอื่น ๆ เป็นสีดำที่ดูเหมือนจะกลืนกินทุก ๆ สิ่ง ดวงตาของเธอยังมีสีที่แตกต่างกัน

ด้านข้างของเด็กสาวคือ ง้าวสงคราม (War Scythe) ที่มองดูเหมือนไม่มีด้าม

เธอมีรูปร่างที่ดูมีอายุน้อยกว่า 15 ปี แต่ อายุจริง ๆ ของเธอต่างจากที่เห็นมาก ๆ แม้ว่าเขาจะมาเป็นผู้นำของกลุ่มคัมภีร์ดำ ตำแหน่งที่หนึ่ง ในสายตาของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไป

เขาเคลื่อนสายตาของเขาไปที่หูของเธอ ที่ซ่อนไว้ด้วยเส้นผมของเธอ แต่เขาก็ระลึกได้ด้วยตัวเอง

เด็กสาว ไม่ชอบให้คนอื่นมองหูของเธอ

ริมฝีปากที่เงางามของเด็กสาวกลายเป็นจันทร์เสี้ยว ราวกับเธออ่านใจเขาได้

เธอคือเชื้อสายของเด็กที่เกิดจากการผสมที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้ ตำแหน่งพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดภายในกลุ่มคัมภีร์ดำ ฉายา ‘มรณาเที่ยงแท้’ (‘Certain Death’) งานของเธอคือการป้องกันสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมี 5 อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เก็บรักษาอยู่

เสียงคลิ๊กนั้นมาจากของเล่นที่อยู่ในมือของเด็กสาว เรียกว่า ลูกเต๋ารูบิค (Rubik's Cube) สร้างด้วยความนิยมในหมู่ 6 เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เธอขมักขเม้นทำเสียงคลิ๊ก คลิ๊ก เด็กสาวก็พูด

“มันง่ายมากที่จะทำหนึ่งด้าน, แต่มันจะยากมากจริง ๆ ที่จะทำสองด้าน, ถูกไหม?”

มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา แต่เขาไม่แน่ใจ ถ้าเขาตอบตรง ๆ ดังนั้น เขาจึงตอบกลับด้วยยิ้มเจื่อน ๆ เด็กสาวก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจในคำตอบไม่ว่าจะตอบอะไร และเธอก็ถามต่อ
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอาร์คบิชอปถึงมารวมตัวกัน?”

“รายงานก็ถูกส่งให้ท่านนี่นา.”

“ไม่ได้อ่าน.”
เธอตอบห้วน ๆ
“มันเร็วกว่า หากถามใครบางคน. แล้วการทำนายของ ‘โหราจารย์พันโยชน์’ (‘Thousand Miles Astrologer’) ทายผิดเหรอ? ภารกิจกำหลาบ ราชามังกรหายนะ (Catastrophic Dragon Lord)… มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา ถูกไหม?”

พวกเขาไม่ได้สบสายตากันขณะสนทนา ขณะที่เด็กสาวมองและเล่นของเล่นในมือของเธอ

“... พวกเขาสู้กับผู้ไม่ตายลึกลับ (undead) และล่าถอยหลังจากตายไปสองคนและอีกหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัส.”

“ใครตาย?”

มันไม่มีความรู้สึกเศร้าเสียใจสำหรับใครบางคนที่ตายสำหรับพวกเดียวกัน ทัศนคติของเธอก็เหมือนกัน ที่ถามเกี่ยวกับบางสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ ทัศนคตินี้เหมาะสมกับวิถีทางของเด็กสาวคนนี้

“ผู้คุ้มกันของท่านไคเร่ (Kaire-sama), ซีดราน (Cedran), และ บัวมาร์แชส (Beaumarchais) ผู้ซึ่งพยายามเข้าไปจับกุมแวมไพร์ ผู้ซึ่งยังคงปรากฏตัวอยู่.”

“ถ้างั้น ที่ ‘โล่พันปราการ’  และ ‘โซ่ศักดิ์สิทธิ์’  'เจ้าหญิงคนทรงแม่พระธรณี' (The 'Earth Miko Princess') ตายจากเหตุการณ์ลึกลับที่ประทุออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้, และกลุ่มคัมภีร์ดำสูญเสียคนเก่งสองคน… มันหายนะอะไรกัน. ใครคือคนที่บาดเจ็บสาหัส?”


“เป็นท่านไคเร่. เป็นคำสาปบางอย่างที่ดูเหมือนจะขัดขวางมนตราแห่งการรักษา (healing magic) จากการรักษาบาดแผลของเธอ, เพราะงั้น เธอจึงล่าถอย.”


“และแวมไพร์ตัวนั้นล่ะ?”


“ทิ้งไว้คนเดียว. เมื่อเราพยายามที่จะเข้าไปใกล้หรือจับกุมมัน, เจ้าแวมไพร์ก็โจมตีสวนกลับทันที. เพราะงั้น คนของเราจึงตัดสินใจที่จะทิ้งมันไว้ที่นั่นคนเดียว.”


“นั่นมันไม่ใช่แค่เพียงหลีกเลี่ยงปัญหาเหรอ?”


“... มันเป็นการตัดสินใจระหว่างการประชุมที่จะรักษาสภาพการณ์ในตอนนี้.”


มันเป็นข้อสรุปที่ทำก่อนหน้านี้ในห้องประชุม

แทนที่จะต้องสูญเสียกำลังหลักที่สำคัญไป มันเป็นการดีกว่าหากปล่อยมันไปก่อน แล้วรวบรวมกำลังรบขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตาม ประเทศอื่น ๆ ก็ไม่มีความสามารถในการเอาชนะผู้ไม่ตายตนนั้นได้แต่อย่างใด ถ้าหากมีคนที่เอาชนะได้ปรากฏขึ้นมา นั่นก็หมายความว่า ใครคนนั้น เป็นคนที่พวกเขาจะต้องระมัดระวัง และพวกเขาก็ต้องเพิ่มแนวป้องกันก่อนเป็นอันดับแรก ในท้ายที่สุด พวกเขาก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ที่จะทิ้งทีมส่วนน้อยไว้ และถอนกำลังทุกคนออกมา

เขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้

ใครบางคนเท่านั้นที่อยู่ในระดับเดียวกับ ‘สายเลือดเทพเจ้า’ หรือราชามังกร ถึงจะเอาชนะแวมไพร์ตัวนั้นในการต่อสู้ซึ่งหน้า มันจะฉลาดกว่าหากปล่อยให้ทีมอยู่แนวหลัง และจับตาดู คอยเฝ้าระวัง คนที่สามารถเอาชนะแวมไพร์ตัวนั้น

“ฮืมมม, มันไม่ใช่แวมไพร์, ถูกไหม?”


เขาก็เห็นด้วยเหมือนกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงบอกว่าเป็นผู้ไม่ตายลึกลับ

“หรือมันจะเป็นราชามังกร? ราชามังกรแวมไพริค หรือ ราชามังกรโลงศพชั้นสูง ?”


รูปโค้งของริมฝีปากของเธอเริ่มชันขึ้นจนเป็นรอยยิ้มอย่างชัดเจน นั่นคือ ถ้านั่นคือการแสดงออกถึงความกระหายเลือด (blood lust expression) ที่เรียกว่ารอยยิ้ม

“... ไม่ใช่ว่ามังกรทั้งสองถูกทำลายแล้วหรือ?”


เขาตอบ ขณะที่บรรยากาศเริ่มอึดอัด แต่ก็ตอบในทันที

“พวกเขาทั้งคู่เป็นราชามังกรผู้ไม่ตาย, มันพูดยากถ้าบอกว่าพวกเขาตายจริง ๆ.”


เด็กสาวเงยหน้าขึ้้นเป็นครั้งแรก และมองตรงไปที่เขา มันมีประกายแวววาวในสีที่แตกต่าง ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้ มีความสุขและแรงกระตุ้นให้ต่อสู้

“ระหว่างแวมไพร์ตัวนั้นและข้า, ใคร ที่เจ้าคิดว่าแข็งแกร่งกว่ากัน?”



เขาตอบคำถาม ที่เขาคาดหวังด้วยคำตอบที่เตรียมไว้แล้ว

“แน่นอน ต้องเป็นท่าน.”


“อย่างนั้นหรือ…”


เธอดูเหมือนสูญเสียความสนใจและมองไปที่ของเล่นอีกครั้ง เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“น่าสมเพชอะไรเช่นนี้, ข้าคิดว่าข้าจะมีโอกาสได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ซะอีก.”


ขณะที่เขาฟังเสียงบ่นอู้อี้ของเด็กสาว เขาสงสัย: ใครจะชนะถ้าทั้งคู่สู้กันจริง ๆ

เขาเคยสู้กับเด็กสาวและแวมไพร์ตัวนั้นมาก่อน ขณะที่แวมไพร์ก็รู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่า แต่นั่นก็ไม่มีทางที่แวมไพร์ตนนั้นจะชนะถ้าสู้กับ ‘มรณาเที่ยงแท้’

อุปกรณ์สวมใส่มีความแตกต่างกันมาก

แวมไพร์ตนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้สวมใส่อะไร ซึ่งคือจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดทรงพลัง(เต็มเปี่ยม ๆ ๆ ๆ ๆ) พวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สวมใส่เครื่องป้องกันเต็มกำลัง

ในมุมหนึ่ง เด็กสาวสวมใส่ด้วยอุปกรณ์ของ 6 เทพเจ้า ดังนั้นเขาจึงตัดสินว่าเธอแข็งแกร่งกว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทั้งคู่สวมใส่อุปกรณ์ในระดับเดียวกัน?

เป็นไปไม่ได้

เขาลบคำถามนั้นทิ้งทันที มันเป็นไปไม่ได้ที่จะค้นหาและเก็บอุปกรณ์เหล่านั้น ที่อาจเป็นคู่แข่งกับอุปกรณ์เทพเจ้าของเด็กสาว

แต่ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าแวมไพร์ตัวนั้นค้นพบอุปกรณ์แบบนั้น?

ในกรณีนี้... บางที คนที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ อยู่ในตำแหน่งพิเศษของเทวาทิปไตยสเลน ก็จะรู้จักความล้มเหลว และมันคงจะเป็นเวลาแห่งการสูญสลาย ด้วยความพ่ายแพ้ของ ผู้พิทักษ์แห่งมนุษยชาติ (guardian of mankind)

ไม่ ทำไมเขาต้องการสันนิษฐานว่าเด็กสาวจะสู้เพียงลำพัง?

เขา ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเธอ แต่เขาคือคนที่ ‘สายเลือดเทพเจ้า’ ในตัวเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว และมีไอเท็มมากมายในการจัดการของพวกเขา ถ้าพวกเขาใช้ไอเท็มเหล่านั้น พวกเขาก็สามารถเอาชนะแวมไพร์ตัวนั้นได้ ถ้านั่นเป็นทางเดียว นั่นมันไม่มีทางสำหรับผู้ไม่ตายที่แข็งแกร่งแบบนั้นมีอยู่เยอะมาก (ผู้แปล- เฮ้ย ๆ ในนาซาริกมีเป็นร้อย ขอบอก มีเป็นกองทัพ)

เขาได้ยินเสียงหัวเราะ ขณะที่สูญเสียความคิด และมองไปที่ต้นเสียงด้วยคิ้วที่ขมวด

“มาคุยเรื่องอื่นเหอะ, เมื่อไหร่นายจะแต่งงาน?”

นี่เป็นหัวข้อที่ไม่มีในวาระการประชุม ที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาระหว่างการประชุมก่อนหน้านี้ เธอหมายถึงเมื่อไหร่เขาถึงจะมีแฟน ที่จะมีสิ่งดี ๆ ภรรยา จะบอกว่ามันน่ารังเกียจ เครื่องมือที่ใช้ทำลูก

“ยังไม่มีสักคน แต่.”

“อืม, นายยังหนุ่มแน่นอยู่.”

เมื่อสมาชิกกลุ่มคัมภีร์ดำออกไปทำภารกิจ พวกเขาจะสวมใส่หน้ากากมนต์ก็จะร่ายมนตราสร้างใบหน้าปลอม

ด้วยกฏที่บอกโดยเทพเจ้าของพวกเขา บางคนที่มีอายุมากกว่า 20 ปี จะได้รับพิจารณาเป็นผู้ใหญ่ในเทวาทิปไตยสเลน เขามีอายุน้อยกว่า 20 ปีมาก เมื่อเขาถอดหน้ากากออก (ผู้แปล- กฏเหมือนกฏหมายในโลกเดิมของนายกระรอก 20 ปี บรรลุนิติภาวะ ทำได้ทุกอย่างตามกฏหมายกำหนด)

“หลังจากแต่งงาน, คู่ชีวิตของนายก็จะถูกคุมขังภายในเทวาธิปไตย… แต่ไม่ต้องกังวล, เธอก็ยังเลี้ยงเด็กได้.”

“ผมรู้เรื่องนั้น, ผมยังเป็นสมาชิกของกลุ่มคัมภีร์ดำ.”

“นั่นก็จริง. อ้าา, มันจะดีกว่านี้ ที่บอกภรรยาที่คาดหวังของนาย ว่านายต้องการแต่งงานแบบว่ามีภรรยาหลายคน. นั่นก็ไม่มีปัญหาอะไรในแง่ของกฏหมาย, แต่ พวกเขาก็เป็นคน มีจิตใจ ผู้ซึ่งไม่ชอบคนที่มีภรรยาหลายคน แม้จะมีการศึกษาหนทางนั้นอยู่.”

ด้วยการได้รับอนุญาติโดยเทวาธิปไตย มันเป็นไปได้สำหรับผู้ชายที่จะแต่งงานมีภรรยาหลายคน มันเป็นข้อปฏิบัติโบราณในการป้องกันสายเลือดของผู้ชายที่มีพลัง(เต็มเปี่ยม ๆ ๆ ๆ ๆ)ในอดีต แต่ปกติคือการมีภรรยาคนเดียว มีเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการสำกรับการมีภรรยาหลายในปีหนึ่ง ๆ ถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จ พวกเขาก็มีขีดจำกัด ที่มีภรรยาเพียงสองคน

“ขอบคุณ สำหรับความห่วงใยที่น่าจดจำ, แล้วท่านล่ะ… ท่านไม่มีแผนที่จะแต่งงานบ้างหรือ?”

เขาถามเพราะว่าเธอนั้นแก่กว่าที่เห็นอย่างมาก

“อืม, ถ้ามีผู้ชายที่สามารถเอาชนะข้าได้, เราจะแต่งงานกัน. แม้ว่าเขาจะน่าเกียจและร่างกายแปลกพิศดารหรือพิกลพิการ… มันก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่ใช่มนุษย์ ถ้าเขาเอาชนะข้าได้. ลูกของพวกเราจะแข็งแกร่งขนาดไหน?”
เด็กสาววางมือของเธอบนท้องและยิ้มเป็นครั้งแรกในวันนี้ เขาแน่ใจว่านี่เป็นคำตอบที่หมายถึง เด็กสาวไม่ได้มีแผนที่จะแต่งงานอยู่เลย
แต่ จะเป็นอย่างไรหากมีบางอย่างเปลี่ยนไป ถ้ามีคนที่เอาชนะแวมไพร์ตนนั้นปรากฏออกมาล่ะ?
สัมผัสของความไม่สบายใจคุกรุ่นอยู่ในหัวใจของเขา

6 ความคิดเห็น:

  1. กราบงามๆๆๆ สนุกมากๆๆๆๆ

    ตอบลบ
  2. หกเทพ หมายถึงผู้เล่นในสมัยก่อนใช่ป่าว ตอนนี้ยังมีชีวิตอยุ่หรือว่าตายแล้วอ่อ อยากอ่านเล่มหกต่อจัง ขอบคุนทีมงานผุ้แปลด้วยนะคับ

    ตอบลบ