หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.4 Chapter 1




Part 1

เทือกเขา อาเซลเลริเซีย - เทือกเขาที่แยกจักรวรรดิ บาฮารูท และราชอาณาจักร รี-เอสไทซ์ เป็นชายแดนของทั้งสองประเทศ มีป่าขนาดใหญ่ชื่อว่า โธฟ ปกคลุมทอดยาวไปถึงตีนเขาทางตอนใต้ ส่วนทางเหนือนั้นมีทะเลสาบขนาดมโหฬารทอดตัวยาวขึ้นไป




ทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งนี้มีรัศมีประมาณยี่สิบกิโลเมตร มีลักษณะคล้ายกระบวยน้ำเต้าแบ่งออกเป็นทะเลสาบตอนบนและทะเลสาบตอนล่าง ทะเลสาบตอนบนนั้นค่อนข้างลึก สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่จึงรวมตัวกัน ในขณะที่ทะเลสาบตอนล่างเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กลงมา

ทางตอนใต้สุดของทะเลสาบที่ตอนล่างเป็นภูมิภาคขนาดใหญ่ที่ทะเลสาบกับพื้นที่ราบลุ่มมาบรรจบกัน(ป่าชายเลน) ณ สถานที่แห่งนั้นมีโครงสร้างบ้านเรือนที่สร้างขึ้นด้วยเสาไม้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน และประตูของหนึ่งในบ้านเหล่านี้ถูกเปิดออกมา พร้อมกับเจ้าของบ้านที่เดินออกมารับแสงแดด

เค้าคือ เผ่าครึ่งมนุษย์ ลิซาร์ดแมน

สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะร่วมกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน ที่ต่างจากมนุษย์นั้นคือส่วนหัว พวกเค้าเหมือนตัวตะกวดที่ยืนสองขาและมีมือเท้าที่ขยับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล้ว

พวกเค้าถือว่าเป็น อมนุษย์ เหมือนกับพวกก๊อบบลินและ ออค และแน่นอนอารยธรรมของพวกเค้าไม่ได้เจริญเท่ามนุษย์ ด้วยวิถีชีวิตของพวกเค้าที่ค่อนข้างป่าเถื่อนกับผู้อื่น แต่นั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขามีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง

ลิซาร์ดแมน ผู้ใหญ่เพศชายนั้น มีค่าเฉลี่ยความสูงประมาณ 190 เซนติเมตร มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมแต่กลับมีปริมาณไขมันในร่างกายที่น้อยนิด และยังมีหางแบบสัตว์เลื้อยคลานที่ใช้ในการรักษาความสมดุลอีกด้วย พวกเค้าค่อนข้างภาคภูมิใจกับกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของพวกเขาเลยทีเดียว

พวกเขามีเท้าที่วิวัฒนาการเป็นพังผืดเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวในพื้นที่ชุ่มน้ำถึงจะตะกุกตะกักบ้างบนพื้นดินทั่วไปแต่นั้นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับชีวิตประจำวันของพวกเค้า

พวกเค้ามีเกร็ดสีเขียวดำ และ สีถ่าน เทา คล้ายจรเข้มากกว่าตะกวดหรือตุ๊กแก และมันยังแข็งกว่าเกราะระดับต่ำของพวกมนุษย์เสียอีก

อาวุธของพวกเขานั้นเป็นอาวุธสองมือแบบดั้งเดิม และด้วยที่อยู่อาศัยของพวกเค้าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบแร่ในสถานที่แบบนี้ ดังนั้นอาวุธของพวกเขา เช่น หอก จึงสร้างจากส่วนของสัตว์เวทย์มนต์ หรืออาวุธประเภททุบ ที่สร้างจากการนำหินมาผูกกับไม้

ท้องฟ้าสีครามสดใด กับดวงอาทิตย์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา เมฆก้อนเล็กๆ สีขาวที่ลอยประปรายอยู่บนฟ้า,อากาศดีๆแบบนี้ ทำให้สามารถมองเห็นเทือกเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปได้

วิศัยทัศน์ของ ลิซาร์ดแมนนั้นกว้างไกล แม้แสงจ้าจากดวงอาทิตย์จำทำให้มองไม่ถนัดแต่พวกเขาก็สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องขยับหัวเลยแม้แต่น้อย

"ซาริวสุ ชาช่า"
เขาหรี่ตาก่อนจะเดินลงบันไดมาช้าๆ บนหน้ามีรอยขีดข่วนเอยู่บนกร็ดสีดำของเขา

สังคมของลิซาร์ดแมนนั้นเป็นลำดับขั้นที่เข้มงวด
หัวหน้าเผ่า...ตำแหน่งที่ไม่ได้มาจากการสืบทอด แต่เป็นการคัดเลือกจากบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดโดยจะมีการคัดเลือก หนึ่งครั้ง ทุกปี

หัวหน้าเผ่าจะมีสภาที่จัดตั้งมมากผู้อาวุโสในเผ่าคอยช่วย เหลือส่วนลำดับชนชั้นในเผ่าจะเรียกจาก ลิซาร์ดแมนผู้ชาย ลิซาร์ดแมนผู้หญิงและ ลิซาร์ดแมนอายุน้อย ประกอบเป็นโครงสร้างสังคมของพวกเขา

แน่นอนว่ายังมีตำแหน่งที่อยู่นอกเหนือจากนี้อีก

ลำดับหนึ่ง คือ ดรูอิด(ฤาษี ประมาณนั้น) นำโดยครูอิดอาวุโส ทำหน้าที่ดูแลรักษาชนเผ่าด้วยเวทย์มนต์และการพยากรณ์สภาพดินฟ้าอากาศเพื่อคาดการณ์ภัยอันตราย

ถัดมาเป็นเหล่านักล่า หรือเหล่าเรนเจอร์ รับหน้าที่ในการตกปลา ล่าสัตว์ แต่ตอนยังเป็นลิซาร์ดแมนธรรมดาๆนั้น พวกเค้าจะช่วยงานหรือกิจกรรมทางป่าแทน

ลิซาร์ดแมนนั้น กินได้ทั้งพืชและสัตว์ แต่อาหารหลักของพวกเค้าคือปลาที่มีขนาดยาวประมาณ 80 เซนติเมตร และมีพืชกับผลไม้อีกหลายชนิด ที่พวกเขาไม่กิน

อย่างไรก็ดี เรนเจอร์ที่เข้าป่านั้นหลักๆจะเป็นการหาไม้มากกว่า เพราะสำหรับลิซาร์ดแมนแล้ว บนบกแบบนี้นั้นไม่ปลอดภัยและผู้ที่จะเข้ามาได้ต้องเป็นบุคคลที่มีทักษะ

พวกเขาแต่ละคนมีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องต่างๆได้ด้วยตนเอง แต่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของหัวหน้าเผ่าและต้องทำตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่า เป็นสังคมแบบพ่อปกครองลูก แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของหัวหน้าเผ่าเช่นกัน นั้นก็คือ.....บรรดานักเดินทาง

คนทั่วไปเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าแปลกใหม่จากนักเดินทางต่างถิ่นย่อมรู้สึกตื่นเต้นประทับใจ แต่ในสังคมปิดแบบลิซาร์ดแมนที่ยอมรับคนนอกยากนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย

แล้วเช่นนั้น...ใครเป็นนักเดินทางเหล่านั้นล่ะ?

นั้นก็คือ ลิซาร์ดแมนที่อยากจะเห็นโลกภายนอก

โดยปกติแล้วหากไม่เกิดปัญหาร้ายแรงเช่น ขาดแคลนอาหาร ลิซาร์ดแมนนั้น
จะไม่ทิ้งบ้านเกิดและมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะมีลิซาร์ดแมนที่อยากรู้เรื่องของโลกภายนอก

แต่หากตัดสินใจที่จะออกเดินทางแล้วพวกเขาจะได้รับการสลักสัญลักษณืพิเศษ
ลงบนทรวงอกของพวกเขา เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าพวกเขาหลุดพ้นจากอำนาจหัวหน้าเผ่าและเผ่าของเขาแล้ว

ส่วนใหญ่ผู้ที่ออกเดินทางนั้นจะไม่ได้กลับมา บ้างเสียชีวิตในขณะเดินทาง
บ้างค้นพบสถานที่ ที่เป็นบ้านหลังใหม่ บ้างก็พบโชคชะตาที่แตกต่างกันออกไป ค่อนข้างยากที่พวกเขาจะกลับมาบ้านเกิดหลังจากที่ได้เห็นโลกภายนอก

แต่นักเดินทางที่กลับมา พวกเขาจะได้รับการประเมินในระดับสูงเพราะความรู้ของพวกเขาที่ได้มาจากโลกภายนอก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับชั้นสังคม แต่พวกเขาก็โดดเด่น สะดุดตา

ที่นี่ ลิซาร์ดแมนบางคนพยายามรักษาระยะห่างกับ ซาริวสุ เพื่อแสดงความเคารพ แต่ชื่อเสียงของเขาไม่ใช่แค่เพราะเขาเคยออกเดินทางมาแล้ว และเหตุผลนั้นก็คือ.....

เมื่อเขาก้าวลงบันไดขั้นสุดท้าย อาวุธประจำตัวในซองที่เหน็บอยู่ที่เอวกระทบเข้ากับเกร็ดของเขา จนส่งเสียงดัง "กิ๊ก"

ใบมีดสีฟ้าขาวรูปร่างค่อนข้างประหลาด ส่องแสงสลัวๆ ออกมา ใบมีดและด้ามจับนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลักษณะโดยรวมคล้าย ส้อมสามง่าม จากด้ามจับมันจะบางลงเรื่อยๆไล่ไปที่ปลายมีดจนเหมือนเป็นกระดาษแแผ่นบางๆ

ไม่มีลิซาร์ดแมนตนใดไม่รู้จักอาวุธชิ้นนี้ บรรดาเผ่าลิซาร์ดแมนที่อยู่ที่นี่ต่างขนานนามมันว่า 1 ใน 4 สมบัติ ไอเทมเวทมนต์ "ฟรอสต์ เพน"

นี่คือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังชื่อเสียงของ ซาริวสุ

ซาริวสุ ก้าวขาออกไป.....
วันนี้เขามีจุดมุ่งหมายที่จะเดินทางไปอยู่สองสถานที่ บนหลังของเขาแบกของขวัญที่เขาตั้งใจจะนำไปในสถานที่ หนึ่งในนั้น

มันคือปลาขนาดใหญ่ทั้งสี่ตัว อาหารหลักของลิซาร์ดแมน กลิ่นคาวจากปลาไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด นอกจากมันจะยิ่งกระตุ้นความอยากอาหารของเขามากขึ้นเท่านั้น

ความอยากอาหารที่แรงกล้า - หลังจากพองลมในปอดแล้วไล่กลิ่นปลาออกมาจากจมูกหลายครั้งเพื่อไล่ความอยากออกไป ซาริวสุ ตั้งหน้าตั้งตาซอยเท้าเดินอย่างไม่หยุดพัก จนมาถึงหมู่บ้านของเผ่า "กรีน คลอ"

บรรดาเด็กๆ ผู้มีเกร็ดสีเขียวสดใส วิ่งมารายล้อมรอบตัวเขา ต่างก็ส่งเสียงเรียก
"ชาช่า ชาช่า" กันสนุกสนาน แต่กลับหยุดลงเมื่อพวกเด็กๆสังเกตุเห็นวัตถุที่อยู่บนหลังของ ซาริวสุ ทั้งยังมีเด็กโตที่หลบอยู่ตามเงาบ้านเพ่งเล็ง สายตามองมาที่เขา นั้นก็เพราะปลาที่เค้ารวบรวมมานั้นเอง ปากของพวกเขา แสยะอ้าออกมานิดหน่อยพร้อมกับน้ำลายที่ไหลออกมา พวกเขายืนห่าง ออกมาเล็กน้อยแต่สายตาของพวกเขายังคงจ้องเขม็งมาที่ปลา เหมือนเด็กที่อยากกินขนม

ซาริวสุ ยิ้มออกมา ทำเป็นไม่สนเห็น พร้อมกับก้าวเดินต่อไป เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเอาปลาเหล่านี้ไปให้ใคร น่าสงสารก็จริง แต่ปลาเหล่านี้ไม่ด้มีไว้สำหรับเด็กๆ

เด็กๆจ้องมองเขาเดินจากไปแต่ไม่ใช่เพราะความหิว --- ไม่กี่ปีมานี้มีบางอย่างเกิดขึ้นบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ สิ่งนั้นทำให้ ซาสุริว รู้สึกมีความสุข

ผ่านสายตาที่จ้องมองด้านหลังของเขาอย่างไม่ค่อยอยากให้เขาไป เขาเดินผ่านย่านที่อยู่อาศัยจนมาถึงกระท่อมที่เป็นจุดหมายปลายทางของเขา
ที่นี่ไม่ได้เชื่อมต่อกับตัวหมู่บ้าน มันอยู่ไกลออกมานิดหน่อย แตกต่างจากพื้นที่ชุ่มน้ำ เพราะที่ตรงนี้เป็นระดับความลึกทั่วไปของทะเลสาบ ผ่านแนวรั้วกั้นเป็นกระท่อมขนาดใหญ่ที่แข็งแรงทนทานกว่าที่เห็นภายนอก มันใหญ่ยิ่งกว่าบ้านของ ซาริวสุเสียอีก

กระท่อมรูปร่างประหลาดที่เอียงจมน้ำไปครึ่งหนึ่ง มันไม่ได้จมลงไปเพราะความเสียหาย หากแต่เป็นความตั้งใจของผู้สร้าง

จ๋อม แจ๋ม~ ซาริวสุเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ตัวกระท่อม ทำให้เกิดเสียงจากพื้นน้ำ

มีเสียงออกมาจากกระท่อม ผู้ที่อยู่ข้างในคงจะได้กลิ่นปลาที่เขานำมา

หัวของงู เกร็ดสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีเหลืองอำพัน โผล่ขึ้นมาทางหน้าต่าง เมื่อเห็นเป็น ซาริวสุ เจ้างูนั้นก็ยืดคอ ออกมาพันรอบตัว ซาริวสุ ด้วยท่าทางดีอกดีใจ

"ดีมาก ดีมาก"

ด้วยความเคยชิน ซาริวสุใช้มือของเขาลูบไล้เจ้างูตัวนั้น ส่วนเจ้างูก็เคลิ้บเคลิ้มจนหรี่เปลือกตาของมันลงมาเพราะความสบาย ซาริวสุรู้จักจุดนั้นดี

นี้คือสัตว์ที่ ซาริวสุ จับมาได้ มันชื่อว่า "โรโรโร่"

โรโรโร่ ได้รับการเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก มันจึงเข้าใจภาษาได้

"โรโรโร่ ข้านำอาหารมาให้เจ้าแล้ว เป็นเด็กดีแล้วกินมันซะ ตกลงไหม?"

ว่าแล้วซาสุริวก็โยนปลาเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงปลากระแทกพื้นดัง"ตึ๊ง - ตั๊ง"

"ข้าก็อยากอยู่เล่นกับเจ้าหรอกนะ แต่ข้าต้องไปดูแลปลาเนี่ยสิ แล้วเดี๋ยวค่อยเจอกันนะ"

มันเข้าใจคำพูดของ ซาสุริว เจ้างูส่งเสียงอ่อยๆเหมือนไม่อยากให้เจ้านายมันไปแต่มันก็คลายตัวจากซาสุริว แล้วเลื้อยกลับเข้าบ้านไป จากนั้นก็มีเสียงการกิน ดังออกมา เมื่อเห็นโรโรโร่แข็งแรงดีโดยดูจากการกินอาหารแล้วซาริวสุก็ออกมาจากกระท่อม

จุดหมายปลายทางของ ซาริวสุ หลังออกมาจากกระท่อม คือที่แห่งหนึ่งที่สวยงามห่างออกมาจากหมู่บ้าน

ซาริวสุก้าวย่างอย่างเงียบเชียบผ่านผืนป่าไป การว่ายน้ำนั้นทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น แต่ความคิดที่ว่า"ปัญหาต่างๆ มักจะเกิดขึ้นบนพื้นดิน"นั้น ช่วยหล่อหลอมให้เค้ามีนิสัยระแวดระวังภัยบนทางบกเป็น มีเพียงบรรดาต้นไม้ที่ขวางทัศนวิสัยการมองเห็นของเขาเท่านั้นที่รบกสนสมาธิของเขาเพียงเล็กน้อย

ผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ ในที่สุดเขาก็เห็นจุดหมายปลายทาง ซาริวสุหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น เหลือเพียงระยะทางอีกนิดหน่อยก็จะพ้นป่าออกไป ซาริวสุจึงเร่งฝีเท้าขึ้น

ซาริวสุแหวกกิ่งก้านของต้นไม้ที่ขึ้นขวางทางออกมาจากป่า แล้วดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เนื่องจากเขาได้เห็นรูปร่างด้านหลังของบุคคลที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอ

ลิซาร์ดแมน เกร็ดสีดำ คล้ายกับของ ซาริวสุ.....

"พี่......"
"โอ้...เจ้านี่เอง"

ลิซาร์ดแมนเกร็ดสีดำตนนั้น หันหัวมาแล้วมองมาที่ ซาริวสุ อย่างยินดี
พี่ชายของ ซาริวสุ "ชาาสุริว"หัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันของเผ่า กรีน คลอ
เขาเอาชนะการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าเผ่า สองรอบในปีเดียว ทำให้เขารักษาตำแหน่งในปีนี้โดยไม่ต้องต่อสู้อีกในปีนี้ ร่างกายของเขาใหญ่โตเป็นพิเศษ เมือยืนเทียบกับ ซาริวสุที่มีขนาดร่างกายตามมาตฐาน ยังทำให้ซาริวสุดูตัวเล็กลงไปเลยทีเดียว

บนตัวของเขามีรอบแผลเก่าสีขาวพาดผ่านเกร็ดสีดำ มองดูเหมือนสายฟ้าฟาดบนเมฆฝนสีดำ

บนหลังของเขามีดาบเล่มใหญ่สะพายอยู่ เป็นดาบเรียบๆที่ยาวกว่าสองเมตรลงเวทมนต์ไว้เพื่อเพิ่มความคมและป้องกันสนิม ดาบเล่มนี้เป็นหลักฐานแสดงความเป็นหัวหน้าเผ่า

ซาริวสุและพี่ชายของเขายืนอยู่คนละฟากของริมทะเลสาบ

"เจ้ามาทำอะไร ที่นี่งั้นหรือ?"
"....เจ้าพี่ชาย ไม่ใช่ท่าน....แต่เป็นข้าต่างหากที่ต้องถามท่าน สถานที่แห่งนี้ คงไม่ใช่ที่ที่ท่านหัวหน้าเผ่าจะมาเยี่ยมชมเป็นการส่วนตัวหรอก"
"มู~~"(ประมาณเสียงครางในลำคอเวลาใช้ความคิด ถ้าเป็นคนก็คงเป็น อืม~~)
ไม่มีถ้อยคำตอบกลับมา ชาสุริว เก็บคำพูดของเขาไว้แล้วหันไปมองทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้าเขา

มีแท่นไม้ยืนขึ้นมาจากทะเลสาบ รายล้อมอยู่ในทะเลสาบเป็นบริเวณ มีตาข่ายขึงอยู่ระหว่างแท่นไม้เหล่านั้น พวกมันถูกทำไว้เป็นอย่างดี และจุดประสงค์ของมันก็จัดเจน

มันคือ บ่อเลี้ยงปลา

"หรือว่ามา....ขโมยอาหาร?"
พอได้ยินคำพูดของน้องชาย ชาสุรัวกระดกหางฟาดพื้นจนเกิดเสียงกระทบพื้น
"มู~ อย่างข้าเนี่ยนะจะมาขโมยอาหาร? ข้ามาดูการเจริญเตบโตของพวกมันต่างหาก"
"....."
"เจ้าน้องชาย เจ้าเห็นพี่ชายคนนี้เป็นพวกมือไว แบบนั้นรึ?"

ประโยคคำพูดจบลงด้วยน้ำเสียงที่แข็งแกร่ง ชาสุริวก้าวเท้าออกมาข้างหน้า
ความกดดันเหมือนมีกำแพงขนาดใหญ่กดทับลงมาที่ ซาริวสุ แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์จากการเดินทางและการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ยังรู้สึกอยากถอยหนีจากความกดดันนี้ไป

ยังไงซะ เขาก็ยังพูดตอบโต้กลับไปได้
"ถ้าท่านมาเพื่อดูการเจริญเติบโตของพวกมัน ถ้างั้นท่านก็คงไม่ต้องการพวกมันในสภาพนี้สินะ ช่างน่าอายเสียจริงๆ เอาไว้เมื่อไหร่มันโตได้ที่แล้ว ข้าจะนำพวกมันไปให้ท่านก่อนเลย"

"มู~~" เสียงหางที่กระทบพื้นหยุดลง
"ช่างเป็นกลิ่นที่หอมหวนดีจริงๆ ที่พวกมันโตขึ้นมาได้เช่นนี้คงเป็นเพราะผู้เลี้ยงให้อาหารแล้วดูแลมันเป็นอย่างดีสินะ ขนาดมันใหญ่กว่าปลาที่ล่ามาได้เสียอีก"
"โอ้..."
"ถ้าท่านได้นำมันเข้าปากดูละก็ จะมีน้ำหวานจากเนื้อของมันพุ่งทะลักออกมา เมื่อกัดลงไปจะรู้สึกเหมือนเนื้อมันละลายในปากเลยเชียวละ"
"มู~~"
เสียงของหางที่กระทบกับพื้นดังขึ้นมาอีกครั้งและครั้งนี้มันดังกว่าเดิม
สมาธิครึ่งนึงของซาริวสุถูกหางนั้นตรึงเอาไว้ ส่วนอีกครึ่งสนใจอยู่กับท่าทีกึ่งล้อเล่นของพี่ชาย
"เมื่อก่อน พี่สะใภ้เคยบอกไว้เหมือนกันว่าหางของพี่น่ะ ซื่อตรงเสมอ"
"หือ? ยัยคนน่ากลัวนั้น น่ะนะ เล่นสนุกกับสามีตัวเองอีกแล้ว...ตรงไหนกันที่มันซื่อตรงน่ะ หือ?"
ซาริวสุ ชะงักไปเพราะไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง ก่อนจะตอบกลับไปแบบเจือนๆว่า
"นั้นสินะ"
"หึ ยัยปีศาจนั้น....ถ้าวันไหนเจ้าได้แต่งงาน วันนั้นเจ้าจะเข้าใจความรู้สึกของข้า"
"ข้าคงไม่แต่งหรอก"
"หือ งี่เง่า...เป็นเพราะรอยสัญลักษณ์นั้นรึไง? เจ้านี้ไม่เคยฟังที่พวกผู้อาวุโสพูดเลยนะ พูดก็พูดเถอะ ในหมู่บ้านนี้ไม่มีหญิงสาวคนไหนรังเกียจเจ้าหรอกนะ ขนาดหญิงสาวที่มีหางที่สวยที่สุดยังยอมรับเจ้า"

ลิซาร์ดแมนจะเก็บสารอาหารไว้ที่หางของพวกเขา หาง จึงเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดเพศตรงข้าม สมัยก่อนซาริวสุสนใจผู้หญิงหางใหญ่ๆ แต่เมื่อเขาเติบโตและได้เรียนรู้โลกมากขึ้น เขาก็ไม่ได้สนใจความใหญ่ของหางผู้หญิงอีกแล้ว

"ข้าไม่ต้องการผู้หญิงหางใหญ่ๆหรอก แต่ถ้าจะให้เลือกจากหางละก็ ข้าคงเลือกผู้หญิงที่มีหางเรียวบางแทน มันเป็นสเปคส่วนตัวน่ะ อย่างพี่สะใภ้นี้ก็ใช่ได้เลย"
"ก็จริงที่ต่างคนก็ต่างมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน หรือว่าที่จริงแล้วเจ้า...ใจไม่ถึงกันแน่(เล่นพี่สะใภ้) ข้าน่ะ ไม่อยากฆ่าใครเพราะเรื่องโง่ๆของคนบางคนหรอกนะ บอกตามตรง เจ้าควรจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของชีวิตสมรสซะบ้าง มันไม่ยุติธรรมเลยที่ข้าโดนอยู่คนเดียวแบบนี้"
"โฮะ โฮ่.....เดี๋ยวข้าเอาไปฟ้องพี่สะใภ้นา"
"ฮึ่ม...นี้ก็เป็นหนึ่งในความเจ็บปวดของชีวิตคู่เช่นกัน ขนาดข้า พี่ชายของเจ้าเป็นถึงหัวหน้าเผ่ายังไม่รอดเลย" (พ่อบ้านใจกล้า เป็นกันทุกเผ่าพันธุ๋ - -")
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วทะเลสาบที่เงียบสงบ หลังสิ้นเสียงหัวเราะ ชาสุริว มองไปที่บ่อปลาในทะเลสาบพร้อมกับเอ่ยวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงเสียใจ

"เรื่องจริงหรือนี้? มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆเลยนะ เจ้า....."

ซาสุริวเอ่ยขึ้นมาเพื่อช่วยพี่ชายที่นิ่งเงียบไป

"ท่านหมายถึงบ่อเพาะเลี้ยงปลาสินะ?"
"ใช่ ใช่แล้ว เรื่องนนี้แหละ ในอดีตที่ผ่านมา เผ่าของเราไม่เคยมีใคร ทำอะไรแบบนี้มาก่อน แถมผู้คนยังยอมรับว่าวิธีนี้มันได้ผลจริง อีกหน่อย คงมีคนอิจฉา แล้วคิดเลียนแบบเจ้าแน่นอน"

"ต้องขอบคุณท่านต่างหาก ที่ช่วยพูดกับทุกคนแทนข้า"
"เจ้าน้องชาย ข้าแค่พูดความจริงให้พวกเขาฟัง มันไม่ได้มากมายอะไรเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าพยายามอย่างหนัก จนกลายเป็นที่เพาะเลี้ยงปลาแสนอร่อยเหล่านี้ได้ คำพูดของข้า มันก้ไม่มีความหมาย"

การสร้างที่เพาะเลี้ยงปลา ในตอนแรกนั้นเขาล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี้เป็นความหวังของเขา หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ในระหว่างการเดินทาง แต่แค่การสร้างรั้วเขาก็ยังพลาดไปหลายครั้ง เวลาผ่านไปเป็นปี หลังจากการทดลอง และล้มเหลว ถึงแม้ว่าจะมีปลาที่ได้จากทะเลสาบ แต่ก็ยังมีงานอีกอย่างที่ต้องทำ

ปลา....จะปล่อยให้มันอยู่กันเองไม่ได้ พวกมันจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่จำเป็นด้วย

ปลาที่เขาทดลองเลี้ยงตายไปหลายครั้งเพราะทดลอง ค้นหาอาหารที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ยังมีปลาที่หนีจากตาข่ายไป เพราะมีมอนสเตอร์มาทำลายรั้วด้วย

หลายคนนินทาลับหลังเขาว่า"เขาจับปลาที่เอาไว้กินมาเป็นของเล่น" เขาไม่สนใจคำพูดที่แสดงถึงความเขลาของคนพวกนั้น จนในที่สุด เขาก็ประสบผลสำเร็จ

เงาของฝูงปลามากมายสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ เมื่อเทียบกับปลาที่คนอื่นล่ามาได้ ปลาของที่นี่ตัวใหญ่กว่ามาก ไม่มีลิซาร์ดแมนตนไหนยอมเชื่อว่าปลาเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เกิด นอกจากพี่ชายกับพี่สะใภ้ของเขา

"แต่สิ่งที่น่าตกใจจริงๆ....ก็คือเจ้า ไอ้น้องชาย"

พี่ชายของซาริวสุ กล่าวคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ออกมาเบาๆ
"ยังไงก็ต้องขอบคุณท่านจริงๆนั้นแหละ"
น้องชายตอบกลับไป
"หือ ข้าทำอะไรรึ?"

เป็นความจริงที่ตัวพี่ชายของเขาไม่ได้ลงมือทำอะไร แต่นั้นก็เพื่อความเหมาะสมกับจุดยืนของเขาเท่านั้น

ในช่วงที่สภาพฝูงปลาแย่ลง จะมีเหล่านักบวชโผล่มาอย่างปุบปับ มาช่วยเก็บวัสดุทำรั้ว มีผู้คนมากมายเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เมื่อเขาจับปลาขึ้นมาสดๆ เขาก็จัดสรรแบ่งกันไป นอกจากนี้ยังมีเหล่า นักล่า นำผลไม้กลับมาให้เป็นอาหารปลาอีกด้วย

ผู้คนเหล่านี้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวตน ว่าพวกเขามาช่วยเหลือทำไม
อย่างไรก็ตาม แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าใครเป็นคนชักใยอยู่เบื่้องหลังพวกเขา แม้ว่าพวกเขายืนกรานว่าจะไม่เปิดเผยก็ตาม

เพราะมันไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่หัวหน้าเผ่ามาดูแล นักเดินทาง ที่ถอนตัวจากเผ่าแล้วแบบนี้

"พี่ชาย ท่านรออีกซักนิดเถอะ แล้วข้าจะนำมันไปให้ท่านเป็นที่แรกเลย"
"โฮ่...แล้วข้าจะรอแล้วกัน"

เขาหันหลัง ก้าวเดินจากตรงนั้นไป แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาๆว่า
"ข้า...ขอโทษ"

"...พูดอะไรเช่นนั้น ท่านพี่ ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย"

คำพูดที่เอ่ยออกมาอีกฝ่ายอาจจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม
ซาริวสุทำได้แค่เพียงมองแผ่นหลังพี่ชายที่ห่างออกไปจากริมทะเลสาบ

หลังจากมาตรวจดูสภาพของบ่อเลี้ยงปลาเสร็จเขาก็กลับมาที่หมู่บ้าน จู่ๆซาริวสุก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นเข้ามา พลางแหงนขึ้นมองไปบนท้องฟ้า

ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าปกติ เมฆสีขาวก้อนบางๆลอยอยู่ตรงภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ มันเป็นภูมิทัศน์ที่ปกติ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง....
ชั่วขณะที่เขาจะละความสนใจจากความผิดปกติที่เขาสัมผัสได้
เมฆรูปร่างประหลาดพลันปรากฏตัวขึ้นมากลางท้องฟ้า

ดรูอิดพยากรณ์ไว้ว่าวันนี้ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งตลอดทั้งวัน
นักบวชเหล่านี้พยากรณ์สภาพอากาศจาก เวทมนต์และความรู้ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์นานหลายปี
ดังนั้นความแม่นยำของคำพยากรณ์จึงสูงมาก ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ทุกคนย่อมจกใจเป็นธรรมดา

เมฆดำทมิฬซึ่งดูแล้วไม่น่าจะใช่เมฆฝนเหล่านั้น เข้าปกคลุมหมู่บ้าน
กล่าวได้เลยว่ามีใครเรียกเมฆสีดำเหล่านี้มาไว้เหนือหมู่บ้าน

นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นมา
เมฆเหล่านั้นหมุนวนพร้อมกับขยายตัวออกในอัตราคงที่โดยมีศูนย์กลางคือหมู่บ้าน
ราวกับว่าท้องขนาบบีบเข้ามาด้วยเมฆสีดำแห่งลางร้าย

เหล่านักรบต่างตื่นตัว เฝ้าระวังภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น บรรดาเด็กๆต่างวิ่งกลับเข้าไปภายในบ้านของพวกเขา
ซาริวสุก้มตัวลงแล้วสังเกตุการณ์ไปรอบๆ พร้อมกับมือที่เอื้อมไปที่ ฟรอสต์ เพน

เมฆสีดำปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้า แต่หากมองไปไกลๆจะเห็นสีฟ้าของท้องฟ้าได้อยู่
นั้นบ่งบอกว่าเมฆสีดำพวกนี้มีเป้าหมายมาที่หมู่บ้านของพวกเขา

ที่นั้น เสียงๆหนึ่งขึ้นมาใจกลางหมู่บ้าน ตามมาด้วยเสียงลิซาร์ดแมนที่มากับสายลม
นั้นคือเสียงเตือนภัยของหมู่บ้านเป็นสัญญาณว่ามีศัตรูที่น่ากลัวบุกเข้ามาเพื่อให้ทุกคนเตรียมระวังตัว
หรืออพยพหนีตามสถาการณ์

ซาริวสุ ได้ยินเสียงนั้น เขาจึงวิ่งไปที่นั้นด้วยความเร็วที่เร็วมากสำหรับลิซาร์ดแมน

วิ่ง...วิ่ง...วิ่งต่อไป
แม้นว่าเท้าของลิซาร์ดแมนจะถูกออกแบบให้เหมาะกับพื้นชุ่มน้ำก็ตาม แต่การวิ่งบนพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นเป็นเรื่องยาก
เขาต้องใช้หางในการรักษาสมดุลขณะวิ่งด้วยความเร็วที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
และเขาก็มาถึงต้นตอเสียงของสัญญาณเตือนภัย

ณ ที่แห่งนั้น ชาสุริวและนักรบภายในเผ่าตั้งขบวนเป็นวงกลมอยู่กลางหมู่บ้าน
สายตาทุกคนมองไปที่ตำแหน่งเดียวกัน ซาริวสุเอง ก็หันไปมองตรงนั้นด้วย
ทุกคนจับจ้องอยู่ที่ มอนเตอร์ ที่ราวกับถูกสร้างมาจากหมอกแห่งความมืด

ภายในหมอกสีดำนั้น มีใบหน้าอันแสนน่ากลัวมากมายปรากฏขึ้นมาแวบนึงแล้วหายไป
ใบหน้าที่เหมือนกับกำลังแย่งกันปรากฏออกมา ต่างแสดงถึงความทุกข์ทรมาน
เสียงคนสะอื้นร้องไห้ ความคับแค้นใจ เสียงของคนใกล้ตายที่ดังขึ้นเป็นหมู่คณะลอยผ่านมาตามสายลม

สันหลังของเขาเย็นวาบ ซาริวสุถึงกับตัวสั่นด้วยความกลัว
"....ไม่ดีแน่.....ข้าควรจะให้ทุกคนในบริเวณนี้รีบหนีไปซะ เหลือแค่ข้ากับพี่ชายอยู่รอจัดการมันก็พอ แต่หากเป็นนั้นละก็....."

โดยรอบบริเวณนี้ มีแต่นักรบชั้นยอดของเผ่าลิซาร์ดแมน แต่ฝ่ายตรงข้ามก็น่ากลัวถึงขนาดทำให้ ซาริวสุตัวสั่นได้
"อันเดดระดับสูง"
ในสถานการณ์เช่นนี้มีเพียง ซาริวสุและพี่ชายของเขาที่พอจะรับมือได้ ที่สำคัญคือ ซาริวสุรู้ว่าอันเดดตนนี้มีความสามารถพิเศษอยู่

เขาสังเกตุเห็นเหล่าบรรดา ลิซาร์ดแมน รอบตัวเขาล้วนหายใจติดขัด รุนแรงด้วยความกลัวเหมือนเด็ก
ทั้งๆที่พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักรบชั้นยอดกันทั้งสิ้น

มอนเตอร์ตนนั้นยังอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ไม่ขยับไปไหน

เวลาผ่านไปชั่วครู่ ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียดอย่างหนัก หากมีอะไรต้องสงสัยเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำพาให้เกิดการต่อสู้ได้
เหล่านักรบค่อยๆกระชับพื้นที่เข้าไป พวกเขาต่อต้านแรงกดดันทางจิตใจออกมาเป็นการปฏิบัติ

เขาชำเลืองมองเพื่อยืนยันว่า ชาสุริว ชักดาบออกมาพร้อมแล้ว ซาริวสุจึงชักดาบของเขาออกมาอย่างรวดเร็วและไร้สุ่มเสียง
หากเกิดการต่อสู้ขึ้น....เขาจะเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปโจมตีด้วยความรวดเร็วก่อนทุกๆคน มันเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อบอกให้คนอื่น
รู้ถึงความสามารถพิเศษของมัน ด้วยเหตุนั้น ข้าจะหุนหันไม่ได้เด็ดขาด

ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเคลียด เสียงโหยหวนได้หยุดลง

มอนเตอร์ตัวนั้นเอ่ยเสียงออกมา เป็นเสียงที่เข้าใจได้ ต่างจากเสียงโหยหวนเมื่อครู่นี้
"ฟังให้ดี....ข้า คือ ผู้นำสารแห่งผู้ยิ่งใหญ่ และขามาที่นี้เพื่อแจ้งคำสั่งของท่าน แก่พวกเจ้า"

ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันเลิกลัก มีเพียง ซาริวสุและชาสุริวเท่านั้นที่ยังไม่ละสายตาจากศัตรู

"ประกาศความตายของพวกเจ้า"
"ขณะนี้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ได้ยกกองทัพของท่านมา เพื่อกวาดล้างพวกเจ้าแล้ว
แต่ด้วยความเมตตาของท่าน ท่านยินดียอมให้พวกเจ้าได้ทำการต่อต้านอันไร้ประโยชน์ได้"
"แปดวันหลังจากนี้....หมู่บ้านลิซาร์ดแมนจากทะเลสาบแห่งนี้จะกลายเป็นเครื่องสังเวยแห่งที่สอง"

ซาริวสุแสยะปากเผยให้เห็นฟันอันแหลมคมและเสียงขู่ที่ดังออกมา
"ดิ้นรนขัดขืนกันให้สุดกำลัง...พวกเจ้าทั้งหลาย ทำให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่เพลิดเพลินไปกับความตาย
ของพวกเจ้าซะ"

เหมือนควันที่กำลังเปลี่ยนรูปร่าง ร่างกายของมอนเตอร์ตัวนั้นค่อยๆบิดเบี้ยว ก่อนจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

"จงอย่าลืม แปดวันเท่านั้น!!"
ราวกับไม่มีสิ่งใดจะมาขวางมันได้ มันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพุ่งตรงไปทางป่าจนพ้นสายตาที่มองตามหลังมาของเหล่าลิซาร์ดแมน
ซาริวสุ และ ชาสุริว ได้แต่เหม่อมองท้องฟ้า ที่ห่างไกลออกไปด้วยความเงียบงัน.....

Part 2

ณ กระท่อมที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ที่นี่คือห้องประชุมที่ไม่ค่อยจะมีมีโอกาสได้ใช้ซักเท่าไหร่
นานๆที เหล่าผู้นำหน่อย ผู้ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องต่างๆ จะมาประชุมกันซักครั้ง
ตัวกระท่อมที่สู.ใหญ่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเท่าไหร่ แต่ภายในของมันเต็มไปด้วยเสียงโหวกเวกโวยวาย
และบรรยากาศที่ตึงเครียด

เหล่าลิซาร์ดแมนมากหน้าหลายตามารวมตัวกัน ทำให้กระท่อมที่สูงใหญ่ดูแคบลงไปถนัดตา
บรรดานักรบ ดรูอิด นักล่า สภาอาวุโส และ ซาริวสุที่เป็นนักเดินทาง ทุกคนนั่งขัดสมาธิหันหน้า
ไปทางชาสุริว

เขาทำหน้าที่หัวหน้าเผ่ากล่าวเปิดการประชุม
เริ่มด้วยดรูอิดอาวุโส ลิซาร์ดแมนหญิงสูงอายุ ร่างกายของเธอถูกย้อมไปด้วยสีขาว
เธอยกภาพวาดแปลกประหลาดขึ้นมาแสดงให้ดู
สัญลักษณ์นั้นมีมากมายต่างก็สื่อความหมายที่แตกต่างกัน
แต่สัญลักษณ์ที่พวกเขาเลือกใช้เป็นแบบที่ ซาริวสุ ไม่รู้จัก

"ทุกท่านคงจะเห็นเมฆดำพวกนั้นแล้วใช่ไหม? นั้น....คือเวทมนต์
เท่าที่ข้ารู้ มันเกิดจากร่ายเวทย์สองคาถา หนึ่งคือ [ควมคุมสภาพอากาศ] เวทมนต์ระดับ 6
เวทมนต์ที่อยู่ในระดับตำนาน ส่วนอีกอันคือเวทมนต์ระดับ 4 [ควบคุมเมฆ] เวทมนต์ที่มีแต่
จอมเวทย์ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ หากเป็นเช่นนี้ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ
ที่จะยืนต่อกรกับศัตรูแบบนั้น"

หลังดรูอิดอาวุโสกล่าวจบ เหล่าดรูอิดที่ฟังอยู่ต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
แม้ว่าซาริวสุจะเข้าใจถึงพลังอำนาจของเวทมนต์ระดับ 4 ดี
แต่ลิซาร์ดแมนคนอื่นๆนั้นไม่ไช่ พวกเขาได้แต่ส่งเสียงที่แสดงความสงสัยดังระงมไปทั่ว

ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้พวกเขาเข้าใจดี....
ดรูอิดอาวุโส แสดงสิ่งที่คลุมเครือให้เหล่าลิซาร์แมนฟังก่อนจะอธิบายว่าสิ่งที่เธอพูด
นั้นมันหมายถึงอะไร ก่อนที่อะไรๆมันจะวุ่นวายไปกว่านี้
เธอชี้นิ้วไปที่ลิซาร์แมนคนหนึ่ง

"ใช่....เจ้านั้นแหละ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ไหม"
ลิซาร์ดแมนตนนั้น ส่ายหัวช้าๆ

เขาอาจจะสู้ได้หากทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธประลองกัน แต่เมื่ออีกฝ่ายมีเวทมนต์
โอกาสชนะของเขานั้นมันช่างต่ำเสียจริงๆ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าโอกาสชนะของนักรบนั้น
แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ

"แต่ถึงอย่างนั้น ตัวข้าเองก็ใช้เวทมนต์ได้แค่ระดับ 2 เท่านั้น"
"จะบอกว่า ศัตรูแข็งแกร่งเป็น 2 เท่าของท่าน?"

เมื่อเจอคำถามสิ้นคิดเช่นนี้ ดรูอิดอาวุโสได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

"มันไม่ง่ายเลยกับการเผชิญหน้ากับเวทมนต์ระดับ 4 แม้แต่หัวหน้าของเรา
ก็อาจถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ เช่นกัน"
"ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่เป็นเช่นนั่นร้อยเปอร์เซนก็ตาม" ดรูอิดอาวุโสกล่าวเพื่อแสดง
ว่านี้เป็นเพียงการคาดเดา ก่อนเธอจะเงียบไป

เมื่อทุกคนเข้าใจถึงความน่ากลัวของเวทมนต์ระดับ 4 แล้ว สุ้มเสียงในห้องพลันเงียบงัน
ชาสุริวจึงเอ่ยขึ้นมา

"สรุปแล้ว สิ่งที่ท่านดรูอิดอาวุโสต้องการจะสื่อคือ...."
"หนี....การหนีคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะถึงแม้พวกเราจะลุกขั้นสู้ มันก็ไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี"
"ท่านพูดอะไรของท่าน!!"

สิ้นเสียงคำราม ลิซาร์ดแมนร่างสูงลุกขึ้นยืน เขามีรูปร่างคล้ายชาสุริวและเขามีตำแหน่งเป็นหัวหน้านักรบ
"จะหนีไป โดยที่ยังไม่ได้ลองต่อสู้ หนีไปเพียงเพราะเห็นว่าระดับของศัตรูนั้นสูงกว่าเนี่ยนะ?"
"ในหัวเจ้าไม่มีสมองหรือ? หากเราเข้าต่อสู้ นั้นจะทำให้ทุกอย่างสายเกินไป"

ดรูอิดอาวุโส ลุกขึ้นพรวดพราด ประจันหน้าจ้องตากับหัวหน้านักรบ
ทั้งสองคนสูญเสียการควบคุมสติอารมณ์ ได้แต่ส่งเสียงขู่ใส่กัน
ทุกคนต่างกลัวเรื่องมันจะยิ่งบานปลาย ทันใดทันเสียงที่เย็นชาพลันเอ่ยออกมา

"....พอแค่นั้นแหละ"

เหมือนสีหน้าของคนที่ถูกปลุกด้วยน้ำเย็น ทั้งสองคนหันหน้าไปทาง ชาสุริว
พร้อมกับนั่งลงไปเพื่อเป็นการขออภัย

"หัวหน้านักล่า ให้พวกเราฟังมุมมองของท่านที"
"......ความคิดของท่านดรูอิดอาวุโสและหัวหน้านักรบนั้นพวกเราต่างก็เข้าใจ"

ลิซาร์ดแมนร่างผอมบาง เอ่ยปากตอบ ชาสุริว ถึงแม้ว่าตัวเขาจะดูเล็ก
แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีกล้ามเนื้อ หากแต่กล้ามเนื้อของเขานั้นอัดแน่นอยู่
ในร่างของเขา

"ตอนนี้พวกเรายังมีเวลา พวกเราควรตรวจสอบสถานการณ์ให้ดีเสียก่ิอน
จากที่รู้ พวกมันส่งกองทัพมาโจมตีพวกเรา ดังนั้นพวกมันน่าจะมีการกสร้างค่าย
หรือฐานทัพอยู่บ้าง เราควรไปสังเกตุการณ์พวกมันก่อน แล้วค่อยมาตัดสินใจกันภายหลัง"

เมื่อไม่มีข้อมูลใดๆ การพูดอะไรก็ล้วนไร้ความหมาย ทุกคนล้วนเข้าใจตรรกะนี้ดี

"ท่าน....."
"ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย ทุกความเห็นนั้นล้วนถูกต้อง ส่วนที่เหลือนั้น ขึ้นอยู่กับ
การตัดสินใจของท่านหัวหน้า"

"มู......"

เขากวาดสายตาออกไป
ชาสุริวสบตากับซาริวสุที่นั่งอยู่ในหมู่ฝูงชน ทำให้เขาพยักหน้าเล็กน้อย
ซาริวสุรู้สึกเหมือนกับมีแรงผลักดันอย่างนุ่มนวลมาที่หลังของเขา
เขาไม่รู้ว่าทางข้างหน้านั้นจะอันตรายแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยกมือขึ้น
เพื่อแสดงความคิดเห็นออกไป

"ท่านหัวหน้าเผ่า กรุณาอนุญาติให้ข้าพูดบ้างได้หรือไม่?"

ลิซาร์แมนทุกคนหันมาสนใจที่ ซาริวสุ ส่วนใหญ่นั้นคาดหวังกับความคิด
ของเขา แต่บางส่วนก็แสดงความไม่พอใจเช่นกัน

"ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่มีสิทธิมีเสียงสำหรับ "นักเดินทาง" เจ้าควรจะสำนึกซะบ้าง
ที่พวกเราอนุญาติให้เจ้าเข้ามาได้แบบนี้" สมาชิกของสภาอาวุโสชี้แจงออกมา
"หลีกไปซ--....."

ปั๊ง!! เสียงหางกระแทกกับพื้นดังขึ้นมาตัดคำพูดของผู้อาวุโสเหมือนใบมีด
"เงียบ...."

คำพูดสั้นๆที่มีกลิ่นอายความอันตรายอยู่ ชาสุริวทำเสียงที่ลำคอ
ลิซาร์ดแมนจะส่งเสียงแบบนี้ออกมาเวลาโกรธ
ความตึงเคลียดภายในห้องพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้อาวุโสยังเปิดปากออกมาโดยไม่สนสายตาโดยรอบ
ที่กำลังมองแบบเตือนเขาว่า"อย่าทำอะไรที่ไม่จำเป็น"

"แต่ท่านหัวหน้าเผ่า การยกเว้นเป็นการพิเศษ เพียงเพราะเขาเป็นน้องชาย
ของท่านนั้นมันไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ นักเดินทางยัง....."
"ข้าบอกให้เงียบ เจ้าไม่ได้ที่ข้าพูดหรือ?"
"อึ่ก"
"ณ ที่นี่ ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้มีความรู้ ทำไมไม่ลองฟังความคิดเห็นจากนักเดินทางดูเล่า"
"นักเดินทาง มัน......"
"ท่านหัวหน้าเอ่ยออกมาแล้ว เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ?"

ละสายตาจากผู้อาวุโส ซาสุริวมองไปที่เหล่าหัวหน้าคนอื่นแทน

"ท่านดรูอิดอาวุโส ท่านหัวหน้านักรบ ท่านหัวหน้านักล่า พวกท่านล่ะ คิดว่าพวกเราควรรับฟังเขาไหม"
"ถ้าเป็นคำพูดของซาริวสุ ก็มีค่าให้รับฟัง"

หัวหน้านักรบกล่าวเป็นคนเเรก
"นักรบที่ไหน จะไม่สนใจคำพูดของผู้ถือครอง ฟรอสต์ เพน กัน"
"ข้าเห็นด้วย แน่นอนว่ามันคุ้มที่จะรับฟัง"

จากนั้นหัวหน้านักล่าก็กล่าวตามหลัง ดรูอิดอาวุโสที่ทำท่ายักไหล่

"แน่นอน เราอยากจะฟังอยู่แล้ว การปฏิเสธรับฟังคนฉลาดอย่างเขา คงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ"

คำพูดเยาะเย้ยถูกเอ่ยออกมา สมาชิกสภาอาวุโสบางคนได้แต่คิ้วขมวด
ชาสุริวพยักหน้ารับกับหัวหน้าทั้ง 3 คน และให้ ซาริวสุ เริ่มพูดได้
ซาริวสุยังนั่งอยู่ พร้อมกับเอ่ยปากขึ้นมา

"จะหนี หรือ สู้นั่น ถ้าจะให้เลือกละก็ คงต้องเป็นอย่างหลัง"
"เหตุผลล่ะ?"
"เพราะนั้น มันเป็นตัวเลือกเดียวที่เรามี"

โดยปกติแล้ว ถ้าหากหัวหน้าเผ่าถามหาเหตุผลละก็ คนทั่วไปต้องตอบอย่างชัดเจน
แต่ซาริวสุนั้นไม่ เขาปิดปากเงียบราวกับว่าเขานั้นได้พูดเสร็จแล้ว

ชาสุริว ใช้มือกุมคางตัวเอง พร้อมกับครุ่นคิดหนัก....
.....ท่านเห็นอะไรจากความคิดของข้าบ้าง? เจ้าพี่ชาย.....
ซาริวสุ พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ความคิดของเค้าเล็ดลอดออกมา
ในตอนนั้นเอง ดรูอิดอาวุโสก็แสดงความเห็นออกมา

"เราจะชนะได้หรือ?"
"แน่นอน เราสามารถชนะได้"

หัวหน้านักรบตะโกนออกมาราวกับได้ขจัดความกะสับกะส่ายภายในใจออกไป
ส่วนหัวหน้าดรูอิด ได้แต่หรี่ตาลง

"....ไม่สิ ในสถานการณ์เช่นนี้โอกาสชนะของพวกเรานั้นต่ำมาก"

คนที่เอ่ยแย้งท่าทีของหัวหน้านักรบกลับเป็นซาริวสุเสียเอง

"....แล้วตกลงว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่"
"หัวหน้านักรบ ศัตรูรู้ข้อมูลกำลังรบของทางฝั่งเราแล้ว ยิ่งกว่านั้น พวกมัน
เข้ามาป่าวประกาศด้วยท่าทีดูถูกดูแคลน เมื่อมองในรุปการณ์เช่นนี้ ด้วยกำลัง
ของพวกเราในปัจจุบันคงไม่มีทางชนะแน่"

แล้วแบบนี้พวกเราควรทำอย่างไร? พวกเขาหลายคนต่างส่งเสียงถกกันด้วยความสงสัย
ซาริวสุรีบพูดออกมาก่อนจะมีใครแย่งแนวความคิดของเขา

"ดังนั้น เราจึงต้องทำลายแผนการของศัตรูซะ.....ไม่ทราบว่าทุกท่านยังจำ
สงครามครั้งก่อนได้หรือไม่?"
"แน่นอน"

แม้กระทั่งคนสมองเสื่อมก็ยังไม่สามารถลืมเลือนสงครามครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อนได้
ในอดีตนั้น พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของลิซาร์ดแมน 7 เผ่า
Green Claw(กรีนคอ), Small Fang(สมอล แฟง), Razor Tail(ราซอ เทล),
Dragon Tusk(ดราก้อน ทัสก์), Yellow Speckle(เยลโล่ สเปคเกิล), Sharp Edge(ชาร์ป เอด)
and Red Eye.(เรด อาย)
แต่ตอนนี้เหลือเพียงห้า
มันเป็นสงครามที่พรากชีวิตไปมากมาย และทำให้เผ่าสองเผ่าถูกลบหายไป
เหตุผลของการขัดแย้งนั้นมาจากปัญหาเรื่องการหาอาหาร เริ่มที่เหล่านักล่า
การออกล่าจะมีการแบ่งเขตตามความเหมาะสมของแต่ละเผ่ารอบทะเลสาบ
แต่แล้ว ความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ล่าก็เกิดขึ้น และเนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับ
ความอยู่รอดของเผ่า การจะยกพื้นที่ล่าให้คนอื่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
ความขัดแย้งกลายเป็นการการต่อสู้ เหลือเพียงแค่รอเวลาที่การต่อสู้กลายเป็นการสังหาร.....

ต่อมา เพื่อช่วยสนับสนุนเหล่านักล่า บรรดานักรบจึงเริ่มแสดงท่าทีบ้าง การรบพุ่งที่รุนแรง
เริ่มต้นขึ้น สาเหตุมาจากการขาดแคลนอาหาร

เผ่า 5 เผ่าเริ่มทำสงครามกัน ต่อมาสถานการณ์กลายเป็น 3 vs 2 โดยกรีนคลอ
สมอล แฟง และราซอ เทล สู้กับ เยลโล่ สเปคเกิลกับชาร์ป เอด
สงครามครั้งใหญ่ที่นอกจากเหล่านักรบแล้ว แม้แต่ประชาชนกับผู้หญิง ล้วนเข้าร่วม
การต่อสู้เพื่อเผ่าของตัวเอง

หลังเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายต่อหลายครั้ง ฝั่งสามเผ่าที่มีเผ่ากรีน คลออยู่ด้วย
ก็เป็นฝ่ายชนะ ส่วนผู้แพ้นั้น หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พวกที่เหลือก็ล้วนกระจัดกระจายออกไป
แล้วไปเข้าร่วมกับเผ่า ดราก้อนทัสก์ ที่ไม่ได้เข้าร่วมในสงคราม

ตั้งแต่นั้น ประชากรลิซาร์ดแมนลดน้อยลงไปอย่างมาก ปัญหาการขาดแคลนอาหาร
ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามได้รับการแก้ไข อาหารหลักอย่าง ปลา ถูกแจกจ่ายให้กับทุกๆคน

"แล้วมันทำไมหรือ?"
"ลองนึกถึงคำพูดของมันสิ มันบอกว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะเป็นลำดับที่สอง นั้นหมายความว่าพวกมัน
ก็ทิ้งข้อความคล้ายๆแบบนี้ไว้ที่หมู่บ้านอื่นด้วยเช่นกัน"
"อ่า"

เสียงแสดงความเห็นด้วยกับความคิดของเขาดังระงมขึ้นมา

"นั้นหมายความว่าพวกเราต้องการพันธมิตรอื่นๆ"
"หรือว่าจะ....."
"ใช่ พวกเราควรร่วมมือกัน"
"เหมือนกับสงครามครั้งก่อนสินะ"
"ถึงอย่างนั้น พวกเราจะชนะได้จริงหรือ?"

จากที่เหล่าลิซาร์ดแมนคุยกันยกระซิบกระซาบเบาๆ ก็กลายเป็นเสียงของการ
ถกกันวุ่นวาย ทั้งกระท่อมต่างวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของ ซาริวสุ
ส่วนชาสุริวนั้น ยังคงเงียบงัน สายตาของเขาเหมือนกำลังจ้องมองลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
การแสดงความคิดเห็นของซาริวสุก็ไม่อาจดึงสายตาของเขามาได้

หลังจากปล่อยให้ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันมาพอสมควร ซาริวสุก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

"อย่าพึงเข้าใจผิดไป พันธมิตรที่ข้าพูดนั้น หมายถึงพวกเราทุกเผ่า"
"อะไรนะ?"

จบคำพูด คนที่สองที่เข้าใจความคิดของซาริวสุคือหัวหน้านักล่า
และเสียงของความงุนงงและตกใจดังขึ้นมาในกระท่อมอีกครั้ง
ซาริวสุจ้องมองไปที่ชาสุริว
"ท่านหัวหน้าเผ่า ข้าสามารถชักจูงเผ่า ดราก้อน ทัสก์ และเผ่า เรด อาย
ให้มาเป็นพันธมิตรกับเราได้"

เสียงของความวุ่นวายยิ่งปะทุหนักขึ้นกว่าเดิมราวกับมีระเบิดมือ ระเบิดขึ้นมาในห้อง
พวกเขาไม่เคย คบค้าสมาคมกับเผ่า ดราก้อนทัสก์ และ เรดอาย ที่ไม่ได้เข้าร่วม
สงครามมาก่อน ยิ่งกว่านั้น เผ่าดราก้อนทัสก์ยังรับคนจากเผ่าเยลโล่สเปคเกิล
กับเผ่าชาร์ปเอด ที่เหลือรอดจากสงครามไว้อีกด้วย

การจะผูกมิตรกับสองเผ่านี้ เพื่อสร้างเป็นพันธมิตรห้าเผ่า
ถ้ามันเป็นไปได้ก็อาจ ก็อาจจะมีโอกาสชนะ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่านี้เป็นความหวังลมๆแล้งๆ
ชาสุริวจึงรีบเอ่ยออกมาทันที

"แล้วใครจะเป็นตัวแทนไปเจรจา"
"ข้าไปเอง"

ชาสุริวไม่มีอาการแปลกใจเลยที่น้องชายตอบรับอย่างทันควัน
ลิซาร์ดแมนโดยรอบต่างก็คิดว่าเพราะเขาเข้าใจถึงตัวตนของน้องชายของเขาดี
ว่าจะมีการตอบรับกลับมาเช่นนี้.....
ความเงียบเข้าครอบงำ
พวกเขาทุกคนต่างคิดตรงกันว่าไม่มีใครจะเหมาะสมเท่าเขาอีกแล้ว
แต่ก็ยังมีคนผู้หนึ่งเอ่ยคำพูดแสดงความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามออกมา

"....ส่งนักเดินทางไปเนี่ยนะ?"
เขาคือชาสุริวนั่นเอง สายตาของเขาเหมือนแท่งน้ำแข็งที่จ้องทะลุตัวซาริวสุ

"นั้นก็จริง ท่านหัวหัวหน้า แต่อย่างไรซะเราก็ต้องพยายาม แต่ถ้าหากอีกฝ่าย
ไม่ยอมรับฟังคำพูดของข้า เพียงเพราะข้าเป็นนักเดินทางแล้วละก็ พวกเขาก็ไม่มีค่าพอ
ที่พวกเราจะเป็นพันธมิตรด้วย"

ซาริวสุโต้ตอบสายตาที่เย็นชากลับไปอย่างง่ายดาย
หลังจากทั้งสองฝ่ายจ้องตากันได้ชั่วครู่หนึ่ง ชาสุริวส่งยิ้มเหงาๆออกมา
อาจจะเป็นเพราะเขายอมแพ้หรือเพราะเขาหมดหวังที่หยุดน้องชายของตัวเองได้
บางที เขาอาจจะกำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจเพราะเขาเห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้ว

"เช่นนั้นก็นำตราของหัวหน้าเผ่าไปด้วย"

นั้นหมายถึงการเป็นผู้แทนของหัวหน้าเผ่า
ผู้อาวุโสหลายคนต่างแสดงสีหน้าที่อยากจะคัดค้านว่า
"สิ่งนั้นไม่ใช่ของที่นักเดินทางควรจะมี"
แต่ก็ต้องเก็บเงียบไว้ ใต้อานาจบารมีของชาสุริว

"ข้าขอขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง" ซาริวสุ โค้งคำนับ

ชาสุริวรับการขอบคุณ และกล่าวต่อไป
"ข้าจะเลือกตัวแทน ผู้ที่จะไปชักจูงเผ่าอื่นๆ - คนแรกคือ...."

ลมเย็นๆพัดผ่านในยามค่ำคืน...
เพราะที่นี่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ที่ความชื้นสูงและความร้อนผนวกเข้าด้วยกัน
ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บป่วยทรมาน ส่วนในเวลากลางคืน ความร้อนจะหายไป
และสายลมยามค่ำคืนนั้น ก็เย็นซะจนดูเหมือนจะแช่แข็งได้เลย
แต่แน่นอนว่าสำหรับลิซาร์ดแมนที่มีผิวหนังที่ทนทานนั้น สภาพอากาศที่
เปลี่ยนแปลงแค่นี้แทบจะไม่ส่งผลอะไรกับพวกเขาเลย

ซาริวสุก้าวย่างฝากรอยเท้าไปบนพื้นที่ชื้นแฉะ เป้าหมายของเขาคือกระท่อมของโรโรโร่

มันก็มีบางครั้ง ที่คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาแบบกระทันหันบ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของศัตรูซึ่งไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกมันจะทำตามกำหนดเวลา
ที่ประกาศไว้หรือไม่ หรือบางทีพวกนั้นอาจจะมาขัดขวางภารกิจของซาริวสุก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงข้อนี้ การขี่โรโรโร่ไปบนดินแดนแห่งนี้นั้น ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

รอยเท้าที่ประทับไปบนพื้นเริ่มชะลอความเร็วและหยุดลง
กระเป๋าบนหลังของเขาซึ่งบรรจุไอเทมเอาไว้มากมายส่ายไปมา
ส่วนสาเหตุที่เขาหยุดลงนั้นเพราะแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาได้เผยให้เห็น
ร่างของลิซาร์ดแมนที่คุ้นเคยเดินออกมาจากกระท่อมของโรโรโร่

ทั้งสองต่างมองไปที่กันและกัน ด้วยความงุนงง ซาริวสุจึงเอียงคออย่างสงสัย
ลิซาร์ดแมนเกร็ดสีดำพาร่างของเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

"ข้าว่าผู้ที่เหมาะสมกับชุดคลุมของหัวหน้าเผ่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่านะ"

คำพูดเหล่าเป็นของชาสุริวถูก ที่เดินเขามาในระยะสองเมตร

".....ท่านพูดอะไรของท่าน เจ้าพี่ชาย"
"คงจะจำสงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายได้สินะ?"
"แน่นอน"

เพราะซาริวสุพึ่งจะยกคำถามนี้ขึ้นมาในที่ประชุม จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลืมเรื่องสงคราม
และแน่นอน นี้ไม่ใช่ส่วนหลักของคำถามที่ชาสุริวต้องการจะรู้

"....หลังจบสงคราม เจ้าก็ผันตัวไปเป็นนักเดินทาง ในตอนที่สัญลักษณ์ถูกประทับลง
บนหน้าอกของเจ้า เจ้านึกไม่ออกแน่ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกเสียใจมากแค่ไหน ถึงจะต้องใช้กำปั้นก็ตาม
ข้าก็จะหยุดเจ้าให้ได้"

ซาริวสุส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว การแสดงออกของพี่ชายของเขาในตอนนั้น
ยังคงเป็นหนามทิ่มแทงจิตใจเขามาจนถึงทุกวันนี้

"....ทั้งหมดคงต้องขอบคุณพี่ชายมากกว่าที่อนุญาติ ข้าถึงได้มีความรู้ในการเลี้ยงปลาแบบนี้ไง"
"ถ้าหากเป็นเจ้า ถึงจะอยู่แต่ในหมู่บ้าน เจ้าก็คงจะคิดวิธีการอะไรใหม่ๆขึ้นมาได้แน่
คนฉลาดเช่นเจ้า ควรจะได้เป็นเสาหลักของหมู่บ้านแห่งนี้"

"ท่านพี่"

อดีตก็คืออดีต การพูดคุยที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "ถ้าหาก......" นั้นไร้จุดหมาย
อดีตเป็นสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ และถ้าหากพวกเขาปล่อยให้ความคิด
อยู่เหนือเหตุและผลแล้วละก็ พวกเขาก็จะเป็นเช่นคนอ่อนแอ

ไม่....ไม่ใช่อย่างอย่างแน่นอน

"...ไม่ใช่ในฐานะของหัวหน้าเผ่า แต่ในฐานะของพี่ชาย ข้าไม่อาจพูดได้เต็มปาก
ว่าการเดินทางของเจ้าจะราบลื่น เมื่อเจ้าเดินทางไปเพียงลำพัง
จงกลับมาอย่างปลอดภัย และอย่าทำเป็นใจกล้าไม่เข้าเรื่อง"

เพื่อตอบรับคำพูดของพี่ชาย ซาริวสุส่งยิ้มแบบวางท่ากลับไป

"แน่นอน ข้าจะทำภารกิจให้ลุล่วงอย่างสมบูรณ์แบบให้ท่านได้เห็นเอง
งานแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าเลย"
"โฮ่" ชาสุริว ยิ้มแบบหมั่นไส้
"ถ้างั้น หากเจ้าทำไม่สำเร็จแล้วล่ะก็ ปลาตัวใหญ่ที่เจ้าเลี้ยงไว้ ต้องกลายเป็นของข้า"
"พี่ชาย แบบนั้นมันไม่เข้าท่าเอาซะเลยนาา~ ไอ้เรื่องแบบนั้นอย่าเอามาพูดตอนนี้สิ"
"....มู~"

สองหนุ่มหัวเราะอย่างเงียบๆ ก่อนจะกลับมาทำท่าทีจริงจัง

"แล้ว....เป้าหมายของเจ้ามีเพียงแค่นั้นจริงๆน่ะหรือ?"
"...ที่พูดนั้น....ท่านหมายความถึงอะไรรึ?"

ในชั่วครู่นั้น ซาริวสุ หรี่ตาเล็กน้อยแล้วสบถในใจว่า "ชิ!!"
ด้วยภูมิปัญญาระดับพี่ชายของเขา ปฏิกิริยาเพื่อครู่นั้น นับเป็นความผิดพลาดจริงๆ

"...ตอนอยู่ในที่ประชุม เจ้าพูดปลุกระดมผู้คนให้คล้อยตามความคิดเห็นของเจ้า
และแน่นอน ว่าคำพูดของเจ้านั้นก็ไม่ใครสามารถโต้แย้งได้"

ซาริวสุนิ่งเงียบ ชาสุริวจึงพูดต่อ
"...สาเหตุของสงครามครั้งก่อน ไม่ได้เกิดจากข้อพิพาทระหว่างเผ่า เพียงอย่างเดียว
การที่ประชากรลิซาร์ดแมนเพิ่มขึ้นมากเกินไป ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุด้วยเช่นกัน"
"พี่ชาย....โปรดอย่าพูดมากไปกว่านี้เลย"

ซาริวสุพูดด้วยโทนเสียงถมึงทึง

"เพราะอย่างนั้น....มันถึงได้กลายเป็นเช่นนี้"
".....แต่มันก็เป็นไปได้ ที่จะป้องกันไม่ให้สงครามมันเกิดขึ้นซ้ำสอง"

คำพูดเหล่านี้ที่ ซาริวสุ พ่นออกมานั้นมันถูกบรรจุไปด้วยความคิดที่น่ารังเกียจ
และแผนการของเขา
มันเป็นเรื่องที่เน่าเหม็น ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากให้พี่ชายของเขาต้องรับรู้

"แล้วถ้าหากเผ่าอื่นๆ ปฏิเสธการเป็นพันธมิตรละก็ แล้วหลังจากนั้นเล่า?
พวกที่ตอนแรกเต็มใจจะช่วยเหลือก็จะเริ่มอยากปฏิเสธและหนีจากไป"
"หากเป็นเช่นนั้น.....ก็คงต้องกำจัดพวกนั้นซะ"
"เริ่มจากเผ่าของเจ้าเองน่ะหรือ?"
"ท่านพี่....."

น้ำเสียงที่เชิญชวนออดอ้อนของ ซาริวสุ ทำให้ชาสุริว ยิ้มจนเกือบจะเกินงาม

"ข้าเข้าใจ ว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นมันถูกต้อง และข้าเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับผู้ชี้นำเส้นทางของเผ่า เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับความอยู่รอดของเผ่าเรา
มันแน่นอนอยู่แล้วว่าข้าต้องไตร่ตรองเรื่องทุกอย่างให้ดี ดังนั้นเจ้าไม่ต้องทำเป็นสงวน
ท่าทีอีกแล้ว เจ้าน้องชาย"
"ข้าต้องขอขอบคุณคำพูดเหล่านั้นจริงๆ แล้วถ้าหากสำเร็จ ท่านจะให้ข้าพาพวกเขามาที่
หมู่บ้านนี้เลยไหม?"
"ไม่ ตามที่เจ้ามอนเตอร์นั้นพูดมา ที่นี้เป็นหมู่บ้านลำดับที่สอง ดังนั้น การต่อสู่หลักควรจะเป็นที่หมู่บ้านแรก
โดยปกติ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือพวกเราควรจะไปรวมกันที่หมู่บ้านสุดท้ายหรือรวมเป็นหนึ่งเดียวกันไปเลยเพื่อการ
ป้องกันสูงสุด แต่ถ้าหากการป้องกันนั้นโดนทำลาย มันจะส่งกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพรวมของ
การต่อสู้ที่เหลือเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราควรจะสร้างแนวป้องกันมาตั้งแต่หมู่บ้านแรก
ส่วนการแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน ให้ทำผ่านทางเวทมนต์ของ ดรูอิดอาวุโส"

"รับทราบ"

เวทมนต์ที่พี่ชายของเขากล่าวถึงนั้นเป็นเวทมนต์ที่ละเอียดอ่อน มันไม่สามารถส่งข่าวสารปริมาณมากๆได้
อีกทั่งระยะทางอยู่หากอยู่ไกลกันเกินไปก็จะใช้การไม่ได้ด้วย แต่ซาริวสุคิดว่าในสถานการณ์ปัจจุบันวิธีนี้
เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

"แล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรหรือ ถ้าหากเราแบ่งเสบียงมาจากฟาร์มของเจ้า?"
"แน่นอน แต่การเกณฑ์พวกหนุ่มสาวมานี่สิ มันก็ไม่ง่ายเลยในการพาพวกเค้ามาที่นี่จากที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้
หรือว่าถ้าพวกเราทิ้งหมู่บ้านไปเลย ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น"
"จัดการตามนั้น ว่าแต่พวกเขาสามารถแบ่งเสบียงให้ได้เท่าไหร่?"
"....ถ้าพูดถึงอาหารแห้งละก็ ซักประมาณหนึ่งพันตันก็น่าจะได้"
"ถ้าเป็นเช่นนั้น....ในช่วงระยะเวลาสั้นๆก็ไม่มีปัญหา"
"อ่า ถ้างั้นข้าขอฝากที่เหลือให้ท่านจัดการก็แล้วกัน เพราะงั้นนะเจ้าพี่ชาย ให้ข้าไปได้แล้ว........"

โรโรโร่!!
มันตอบรับกับเสียงของ ซาริวสุ โรโรโร่โผล่หัวออกมาทางหน้าต่าง
แสงนวลๆของจันทราสะท้อนกับเกร็ดของเจ้างู มันช่างสวยงามเหนือจินตนา

"พวกเราต้องไปกันแล้ว เจ้าออกมาตรงนี้ได้ไหม?"

โรโรโร่มองตำแหน่งของซาริวสุกับชาสุริว จากนั้นมันก็ถอยหัวของมันกลับไปข้างในกระท่อม
ชั่วครู่ ก็มีเสียงเหมือนสัตว์ขนาดใหญ่เคลื่อนไหวผ่านน้ำใกล้เข้ามา

"พี่ชาย ยังมีปัญหาบางอย่างที่ข้าอยากจะรู้ ท่านจะตอบให้ข้าฟังได้หรือไม่?
ในสถานการณ์เช่นนี้เราจำเป็นต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือไว้ใช้ในการต่อรอง
......จำนวนคือเท่าไหร่?"

ชาสุริวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ
".....นักรบสิบ นักล่ายี่สิบ ดรูอิดสาม เจ็ดสิบสำหรับผู้หญิง หนึ่งร้อยสำหรับเด็กผู้ชาย"
"อ่า.....ข้าเข้าใจละ"

ชาสุริวยิ้มเหนื่อยๆออกมา ส่วนซาริวสุยังคงเงียบงัน
ทันใดนั้นเสียงจากพื้นน้ำก็ทำลายความเงียบลง ทั้งสองคนมองไปที่ต้นตอของเสียงนั้น
พวกเขายิ้มออกมาด้วยความคิดถึง

"โอ่ พี่ชาย ขนาดตัวข้าเอง ยังคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะโตขนาดนี้ ตอนข้าเก็บมันมา มันยังตัวเล็ก
นิดเดียวเอง"
"ข้ารู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ มันคงจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ตั้งแต่วันที่เจ้ามามันมา"

ทั้งสองคนยืนระลึกความหลังของ โรโรโร่
จากนั้นหัวงูสี่หัวก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำไม่ไกลจากกระท่อม ทั้งสี่หัวเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเดียวกัน
แหวกน้ำเข้ามาหาซาริวสุ

เจ้างูพลันชูหัวและตัวอันใหญ่โตจนมองเห็นได้จากใต้น้ำของมันของมันขึ้นมา
เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้มีสี่หัว คอยาวๆของมันเชื่อมต่อลงมากับร่างกายขนาดใหญ่ที่มีขาสี่ขา

มันเป็นมอนเตอร์ - ไฮดร้า นั่นคือชื่อสายพันธุ์ของโรโรโร่

ไม่ใช่เพียงเพราะว่ามันมีองค์ประกอบของงู แล้วจะตัดสินว่ามันเป็นงูได้
นอกจากนั้นมันยังเคี้ยวเหยื่อของมันหรือก็คือปลาที่ซาริวสุนำมาให้(งูปกติจะไม่เคี้ยว แต่เขมือบไปทั้งตัว)

ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ที่ไม่เข้ากับรูปร่างขนาดใหญ่ ยาว 5 เมตรของมัน
โรโรโร่ก็พุ่งพรวดมาอยู่ข้างซาริวสุ

ซาริวสุปีนขึ้นไปขี่บนหลังของโรโรโร่อย่างรวดเร็วเหมือนลิงปีนต้นไม้
(ลองนึกภาพแย้ขี่ไฮดร้าสี่หัวดูสิ - -")

"เจ้าจงกลับมาอย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น อย่าไปใช้ไอ้สไตล์ต่อสู้แบบไม่ใช้สมอง
เหมือนแต่ก่อน ที่เจ้าเคยทำตอนที่เจ้าตะโกนว่า "จะไม่มีใครต้องสังเวยแม้แต่คนเดียว" นั้นละ
"ข้า......จำไม่เห็นได้ ว่าเคยมีเรื่องแบบนั้นนะ"

ได้ยินคำที่น้องชายพูด ชาริวสุได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง

"เจ้าเด็กน้อยโตขึ้นเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วสินะ....ดี,ดีมาก อย่าให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นล่ะ
เพราะหากเจ้าไม่กลับมา เป้าหมายแรกต้องโดนโจมตีแน่"
"ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย รอข้าด้วยล่ะ เจ้าพี่ชาย"

เวลาผ่านไปแค่ชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาสบตาแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว
จากนั้นทั้งสองก็แยกกันไปคนละทาง......



Part 3
ที่ชั้น 9 ของมหาสุสานนาซาริค ที่ชั้นนี้มีห้องอยู่มากมายหลายประเภท
ไม่ใช่แค่ห้องของเหล่าสมาชิกกิลด์กับเหล่า NPC เท่านั้น
แต่ที่นี่ยังมีทั้ง โรงอาบน้ำขนาดใหญ่ โรงอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านขายเสื้อผ้า
ร้านขายของชำ ฟิตเนส ร้านทำเล็บและห้องอำนวยความสะดวกอีกมากมาย

การสร้างห้องเหล่านี้ขึ้นมานั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับการเล่นเกม
แต่เป็นเพราะบรรดาเพลเยอร์ต่างชอบสิ่งเหล่ากันนี้เองมากกว่า
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเหล่าเพลเยอร์อยากสร้างเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบ
ไม่แน่ว่าการที่พวกเขาโหยหาสิ่งเหล่านี้ เป็นผลมาจากโลกในชีวิตจริงของพวกเขาก็เป็นได้

ในบรรดาห้องเหล่านั้น มีอยู่ห้องหนึ่งเป็นห้องเฉพาะของผู้บริหารของมหาสุสานนาซาริค
รองหัวหน้าเชฟ ที่โดยปกติเแล้ว เขาจะทำงานของเขาอยู่ที่โรงอาหาร
แต่จะมีบางวันหรือบางเวลาที่เขาจะมาที่ห้องนี้ เพื่อเตรียมการให้พร้อม
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาใช้งานห้องนี้

ห้องนี้ถูกออกแบบมาประมาณว่า ให้เป็นบาร์ ที่มีลูกค้าขาประจำไม่กี่คน
ประดับประดาด้วยแสงอ่อนๆ มองดูนุ่มนวล

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์วางเรียงรายอยู่บนชั้นด้านหลังเคาน์เตอร์ที่มีเก้าอี้เรียงกันอยู่แปดตัว
ถึงแม้ว่าจะออกแบบมาแค่นี้ แต่มันก็เพียงพอสำหรับการมานั่งจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบเงียบๆ
สำหรับรองหัวหน้าเชฟแล้ว เขาคิดว่าที่นี่คือปราสาทของเขา มันทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ก็มีไว้เพื่อทำให้ลูกค้าได้ปลดปล่อยความเศร้า
หรือเรื่องแย่ๆในใจออกด้วยเช่นกัน
เขาตระหนักได้ในตอนนี้เอง ตอนที่ลูกค้าคนแรกของวันเข้ามาใช้บริการ

"อึก อึก อึก....ฟู่ววว"

ลูกค้าคนนั้นกระดกเครื่องดื่มของเธอลงไป

ในขณะที่เขากำลังเช็ดแก้วอยู่นั้น เขาก็คิดอยู่ในใจว่า สำหรับคนที่ดื่มแบบนั้น
ยังมีที่ที่เหมาะสมมากกว่านี้

เพราะที่จริง ที่ชั้นเก้าแห่งนี้ยังมีโรงเตี๊ยมหรือร้านเหล้าแห่งอื่นอยู่อีก
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำสำหรับนักดื่มที่กระดกพรวดๆแบบนั้นต้องมาที่นี้

รองหัวหน้าเชฟพยายามสู้หน้าและสายตาของลูกค้าคนนั้นที่วางกระแทก
แก้วเบียร์ขนาด 500ml ลงบนเคาน์เตอร์

"เอามาอีกแก้ว!!"

เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า รองหัวหน้าเชฟรินโปริสช์ วอดก้ากลั่น
จากนั้นก็ตามด้วยวัตถุดิบสีฟ้าเข้าไปเล็กน้อย
[***Polish vodka คือ เหล้าวอดก้าของโปแลนด์ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงลองเซิชหาดูได้นะครับ]

เขานำเสนอเครื่องดื่มของเขาอย่างนุ่มนวล

"แก้วนี้ มีชื่อว่า...[เลดี้ เทียร์]"

ลูกค้าคนนั้นมองไปที่เครื่องดื่มแก้วนั้นด้วยความสงสัยหลังจากได้ยินชื่อเรียกของมัน
และเพราะเธอไม่ได้เห็นขั้นตอนการผสมค็อกเทลแก้วนี้ด้วย
แล้วลูกค้าก็แสดงการตอบรับออกมา

"อ่า....เจ้าสีฟ้าที่กระจายอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของน้ำตางั้นรึ?"
"ขอรับ, อย่างที่ท่านกล่าวมา"

คำพูดโกหกผ่านฟันของเขาออกมา

หญิงสาวจับแก้วแล้วยกขึ้นมา เธอดื่มมันเข้าไปภายในอึกเดียว
เหมือนดื่มนมจากแก้วหลังอาบน้ำ

ไร้ความลังเลใดๆ เธอกระแทกแก้วเปล่าลงบนเคาน์เตอร์เช่นเดียวกับแก้วที่ผ่านๆมา

"อูวว~~ รู้สึกมึนนิดๆเลยแหะ"
"เพราะท่านดื่มเร็วเกินไป เลยช่วยไม่ได้ เอาเป็นว่า....คืนนี้ พอเท่านี้ก่อนดีกว่าไหมขอรับ? "
"....ไม่เอา,ข้าไม่อยากกลับไป"
"งั้นหรือขอรับ....."

ในขณะที่เขาเช็ดแก้วไปด้วย เขาช่างรู้สึกรำคาญสายตาของผู้หญิงคนนี้เสียจริงๆ

เขามีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดออกมา แต่เขาต้องฝืนมันเอาไว้ นั้นคือเหตุผล
ที่ผู้หญิงคนนี้รำคาญ สุภาพบุรุษนั้นต้องวางตัวให้เข้ากับสถานที่ ห้ามรำคาญผู้หญิง
ยกเว้นผู้หญิงที่เข้ามาใน....... ไม่ได้สิ,แบบนั้นจะเป็นการเสียมารยาทต่อเหล่า
บรรดาสิ่งมีชีวิตสูงสุด กระผมละลำบากใจจริงๆในเวลาแบบนี้

ไม่มีใครชวนอะไรเธอ นอกจากตัวของเขาเอง นี้เป็นผลพวงจากการที่เขาทักทายเธอ
ที่กำลังกังวลเดินใจลอยอยู่บนชั้นเก้า
เขาพึ่งจะนึกเสียใจได้ในตอนนี้นี่เอง แต่ในเมื่อเขาเสนอตัวจะเป็นเจ้าภาพให้แล้ว
มันเป็นจึงมารยาทต่อลูกค้า ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของบาร์

ทั้งๆที่กระผมเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ทำแบบชุ่ยๆ, ไม่ได้การ กระผมต้องจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้อง!!
เขาตัดสินใจกับตัวเองแล้วถามไปว่า.....

"เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ,ท่านแชลเทียร์?"

ในตอนนั้นเอง ที่หญิงสาวคนนั้น....แชลเทียร์ แสดงท่าทีราวกับว่าเธอเฝ้ารอคำถามนี้มานาน
พิสูจน์ว่า การคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง

"ขอโทษนะ...แต่ข้าไม่อยากเอ่ยถึงมัน"

หยุดล้อเล่นกับกระผมซักทีเถอะ เขาหน้าบูดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่เนื่องจากเขาเป็นมนุษย์เห็ด
หญิงสาวจึงไม่สามารถเข้าใจความเคลื่อนไหวบนใบหน้าของเขาได้ แล้วเธอก็ไม่พูดอะไรอีก
เอาแต่เล่นแก้วไปมาอยู่บนเคาน์เตอร์

"รู้สึกเริ่มเมาแล้วหรือขอรับ?"
"....อืม,นั้นสินะ"

.....เป็นไปไม่ได้
ถึงแชลเทียร์จะทำท่าทีเหมือนคนเมา แต่เขารู้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นพิษหรือสารพิษอะไรก็เหมือนกัน เพราะสำหรับผู้ที่มีภูมิต้านทาน
พิษสมบูรณ์แบบนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเมาเหล้า และแน่นอน แชลเทียร์เป็นอันเดด
ย่อมมีภูมิคุ้มกันพิษและเธอ เมาไม่ได้
โดยปกติลูกค้าที่มาเข้าร้านของเขาจะถอดอุปกรณ์ต้านทานพิษออกไป
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เมาจริงๆ แต่ก้เพื่อเสพบรรยากาศและเพลิดเพลินไปกับสถานที่แห่งนี้

ยกเว้นแต่แชลเทียร์ เธอเมาจริงๆ เมาไปกับบรรยากาศของที่นี่

เอาละ.....แล้วจะทำยังไงดี? เขาคิดอยู่ในใจ
และแล้วในตอนนั้นโชคก็เข้าข้างเขา เสียงกระดิ่งแห่งความช่วยเหลือดังขึ้นมา
เขาโค้งตัวต้อนรับลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้าน

"ยินดีต้อนรับขอรับ"
"ดีจริงๆที่เจอเจ้า พิกิ!!(Piki)"

คนผู้นั้นตะโกนเรียกชื่อเล่นเจ้าของร้านที่ได้มาจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนเห็ดของเขาออกมา
ชายคนนี้เป็นลูกค้าขาประจำของที่นี่ เขาคือผู้ช่วยพ่อบ้านผู้มีนามว่า เอคเคลย่า(Eckleya)
เขามาพร้อมกับคนรับใช้ชาย ที่ถือเขาเข้ามา

โดยปกติแล้ว เอคเคลย่าจะถูกวางไว้บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ
สำหรับเอคเคลย่าที่สูงเพียงหนึ่งเมตรแล้ว การขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้บาร์นั้น
เป็นงานยากเลยทีเดียว

พิกิรู้สึกแปลกใจที่แชลเทียร์ไม่กล่าวทักทายอะไร เมื่อเขาหันไปมอง
ก็เห็นเธอกำลังก้มหน้าบ่นพึมพำอะไรบ้างอย่างอยู่
พอลองฟังดูดีๆ ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดขอโทษท่านสิ่งมีชีวิตสูงสุดอยู่

เอคเคลย่าสั่งไวน์ ด้วยท่าทีโอ่อ่าแบบปลอมๆ

"จัดมาที่นึง"
"เข้าใจแล้วขอรับ"

เมื่อได้ยินแบบนั้น ก็มีแค่เครื่องดื่มชนิดเดียวที่นึกได้ เครื่องดื่มที่เกิดจาก
การนำสุราอย่างแรงที่แตกต่างกัน 10 ชนิดมาผสมกันจนกลายเป็น
เครื่องดื่ม 10 สีขึ้นมา เครื่องดื่มนี้มีนามว่า [นาซาริค]

ลักษณะภายนอกของมันนั้นงดงามเป็นที่สุด พร้อมกับรสชาติที่สุดแสนจะลึกล้ำ
เหล่าลูกค้าประจำมักจะเอยชื่นชมกันอยู่บ่อยๆว่า สมแล้วที่ใช้ชื่อว่า "นาซาริค"
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช้ของที่เขาจะแนะนำให้กับคนอื่น

เพื่อที่จะทำให้รสชาติของมันดียิ่งขึ้น เขาได้ทดลองและล้มเหลวอยู่หลายต่อหลายครั้ง
แม้แต่ในตอนนี้เองมันก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ

ด้วยความคล่องแคล้วชำนาญการ เขาผสมเหล้าสิบสีขึ้นมาอย่างว่องไว
และเสิร์ฟไปที่ด้านหน้าของ เอคเคลย่า

"คุณผู้หญิงตรงนั้น, โปรดลองแก้วนี้ดูสิ"

หลังจากนั้นก็มี "ปึง....ปัง....ปึก!!" ดังขึ้นมาให้ได้ยิน

เอเคลย่าอยากจะสไลด์แก้วบนเคาน์เตอร์ไปให้เธอคนนั้น
แต่การทำแบบนั้นมันมีแต่ในการ์ตูนหรือต้องเป็นคนที่มีทักษะที่ดีเท่านั้น
และยิ่งแน่นอนว่าสำหรับ "เพนกวิน" การทำแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้

พิกิหยิบแก้วที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาแล้วเช็คดู เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้เสียหายตรงไหน
เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเครื่องดื่ม
ที่หกอยู่บนเคาน์เตอร์ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาช้าๆว่า

"ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะช่วยอย่ากระพือปีกนั้นได้ไหมขอรับ?!
ถ้าหากไม่แล้วละก็.....
กระผมขออนุญาติจับคุณยัดเข้าไปอ่างแล้วโยนออกไปนอกร้านนะขอรับ"
".....ขอโทษจริงๆครับ"

เอเคลย่าทำตามเป้าหลายเดิมของเขาอีกครั้ง (ครั้งนี้สงสัยไม่สไลด์แล้ว)
แชลเทียร์เงยหน้าขึ้นมาและตอบรับ

"อ่า นั้นเอคเคลย่าไม่ใช่หรือน่ะ? ไม่ได้พบกันนานเลยนะ"
"นาน.....?! แต่พวกเราก็เจอกันทุกครั้งที่ข้ากระผมมาที่ชั้นเก้านะครับ"
"อย่างงั้นหรือ?"
"ครับ.....แต่ว่าข้ากระผมก็ไม่ค่อยได้เห็นท่านมาที่บาร์แห่งนี้เลยนะครับ
ข้ากระผมนึกว่าจะมีแต่กาเดี้ยนแบบท่านเดมิเอิร์จมาที่นี้เสียอีก
ล่าสุด เขากับท่านโคไซทัสก็มานั่งดื่มด้วยกันอย่างเงียบๆ"
"โอ้ อย่างงั้นหรือ?"

ได้ยินคำพูดของเพื่อนร่วมงาน,แชลเทีย์ก็ตาโตขึ้นมา

"มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมท่านถึงทำหน้าแบบนั้น?"
"มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะ-.....ไม่สิ....เพราะข้าทำความผิดพลาดที่ไม่อาจ
ให้อภัยได้ต่างหาก ข้าถึงต้องมาต้องใช้แอลกอฮอล์ย้อมใจ,แต่ดูท่า
มันจะไม่สำเร็จ"

เอคเคลย่าหันไปหาพิกิ แล้วทำสีหน้าเหมือนอยากจะสอบถามว่า
"เกิดอะไรขึ้นกับเธอ" แต่พิกิไม่ตอบ ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ

ตอนนี้เขาอยากให้ทั้งสองคนสนุกไปกับการดื่มมากกว่านี้ ก่อนจะถามออกไปว่า

"เพื่อให้อารมณ์ผ่อนคลายลง อยากจะลองรับน้ำแอปเปิ้ลดูหน่อยไหมขอรับ?"

ทั้งสองคนประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถามนี้

"น้ำจากแอปเปิ้ลที่เก็บมาจากชั้น 6"

ด้วยความอยากรู้อยากลอง พวกเขาสองคนพยักหน้ารับพร้อมๆกัน
ปฏิกิริยาที่ตรงไปตรงมาของทั้งสองคนทำให้พิกิรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

สิ่งที่วางเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะ คือน้ำแอปเปิ้ลธรรมดาๆ สองแก้ว
ดวงตาของเขาชำเลืองไปที่คนรับใช้ชาย แต่ถ้าเป็นตามปกติเขาจะไม่ทำเช่นนี้

ถูกต้อง! เอคเคลย่าเป็นเพนกวิน เขาจึงมีปากเป็นจะงอย
ดังนั้นเขาจึงไม่ลืมที่จะพกหลอดไปไหนมาไหนด้วยเสมอ

"ช่างเป็นรสชาตที่สดชื่น"
"อืม.....ไม่เลวเลยนิ แต่มันขาดอิมแพคไปหน่อยนะ....สงสัยจะยังหวานไม่พอ"
"ขอรับ เรื่องนั้นคงจะช่วยไม่ได้ กระผมลองชิมไปแล้วตอนนำมันมา
และเมื่อเทียบกับ นาซาริค แล้ว รสชาติของมันย่อมอ่อนกว่าแน่นอน"
"นี้ทำมาจากแอปเปิ้ลบนชั้น 6 งั้นหรือ? ข้าจำไม่เห็นจำได้ว่าที่นั้นมีต้นแอปเปิ้ล"

เมื่อไหร่ก็ตามที่แชลเทียร์ได้ยินอะไรแบบนี้ เธอก็เดาคำตอบที่ถูกต้องได้
ก่อนที่พิกิจะเฉลย

"หรือว่าจะเป็นที่ท่านไอนซ์นำกลับมา? ข้าได้ยินมาจากอัลเบโด้ว่า ท่านกำลัง
ทดลองว่าผลไม้ที่นำมาจากข้างนอก จะสามารถปลูกที่นาซาริคได้หรือไม่
เพื่อเป็นการเสริมกำลังด้านการบริโภค"

พิกิเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว

นอกจากนี้ เขายังรับเอาอาหารจากภายนอกเข้ามาอีกหลายชนิดเพราะว่ามัน
เป็นงานของเขาในการตรวจสอบดูว่ามีวัตถุดิบอะไรที่สามารถผลิตเป็นอาหาร
ที่ใช้เพิ่มอบิลิตี้ได้หรือไม่

"จริงด้วย ข้ากระผมก็เคยได้ยินมาเช่นกัน และถ้าแผนดำเนินไปอย่างราบรื่น
ก็จะขยายกลายเป็นสวนเพาะปลูกได้ แต่ดูเหมือนความสำเร็จจะยังอยู่อีกยาวไกล"
"ไม่ใช่ว่ามันดื่มไม่ได้เลยหรอกนะ ถ้าข้าต้องหาการความหวานสดชื่นละก็ เจ้านี่ใช้ได้เลย"
"....แล้วตอนนี้ใครเป็นคนทำหน้าที่เพาะปลูกอยู่หรือครับ? ท่านออร่ากับท่านมาเระ
ก็ออกไปข้างนอก อย่าบอกนะว่าความรับผิดส่วนตรงนี้......มอบให้พวกมอนเตอร์?"
"ไม่.....ไม่ใช่หรอก คงจะเป็นวิญญาณแห่งป่า ที่ท่านไอนซ์พากลับมาจากด้านนอกด้วย
นั้นแหละ"

ด้วยความสงสัยว่าคนๆนั้นคือใคร เอคเคลย่าได้แต่ทำสีหน้างุนงง
แชลเทียร์จึงไขข้อข้องใจให้

"เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? หรือว่านาซาริคจะรับคนเข้ามาใหม่?"

แชลเทียร์ตอบคำถามของเอคเคลย่า แม้ว่าพิกิจะเคยเห็นวิญญาณแห่งป่าตนนั้นมาแล้ว
แต่เขาไม่รู้ถึงความเป็นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเงื้อหูเพื่อรับฟัง

ซึ่งดูเหมือนว่าวิญญาณแห่งป่าตนนี้จะถูกพากลับมาหลังจากการต่อสู้เพื่อตรวจสอบ
การทำงานเป็นทีมของเหล่ากาเดี้ยน และด้วยเหตุผลหรือข้อตกลงบางอย่าง
เธอจึงมาเป็นคนสวนของนาซาริคแห่งนี้
(คงจะเดากันได้สินะครับว่าเธอคือใคร ส่วนใครที่ไม่รู้ก็สามารถอ่านเรื่องราวของเธอ
ได้จากดราม่าซีดีแผ่น 1 นะครับ สารบัญอยู่ที่หน้า 214)

"นาซาริคกำลังเติมโต และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น"

ทั้งพิกิและแชลเทียร์ ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของเอคเคลย่า

ในฐานะรองพ่อครัว พิกิไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับแผนการในอนาคตของ
มหาสุสานนาซาริค แต่ตอนนี้เขาเข้าใจได้ว่าท่าน ไอนซ์ อูล โกว์น
สิ่งมีชีวิตสูงสุดท่านสุดท้ายนั้น ได้ใใช่น้ำพักน้ำแรงของท่านในการดึงพลังของ
โลกนี้มาใช้เพื่อเสริมพลังอำนาจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

"ข้ากระผมเข้าใจล่ะ เช่นนั้น ในอนาคตคงจะมีบรรดาวิญญาณแห่งป่าอีกมาก
ที่จะเข้ามาอยู่ในอันดับของนาซาริคอีกเป็นแน่"

แชลเทียร์ทำแก้มป่อง แล้วระบายความไม่พอใจของเธอให้เอคเคลย่าฟัง

"ข้าไม่ชอบแบบนี้เลย สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างโดยเหล่าบรรดาสิ่งมีชีวิตสูงสุด......
ทำไมคนสกปรกพวกนั้นถึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ได้กัน?"

เขาค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดของเธอ สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่รังสรรค์ขึ้นมาและ
เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าบรรดาสิ่งมีชีวิตสูงสุด สำหรับคนที่เกิดที่นี่นั้น
แค่คิดว่ามีคนนอกได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ข้างใน พวกเขาก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับแล้ว
แต่สิ่งสำคัญนั้นคือผลประโยชน์ของส่วนรวม

"พวกเราต้องอดทน ทั้งหมดนั้นเป็นการตัดสินใจของท่านไอซ์"

หัวหน้าแห่งเหล่าสิ่งมีชีวิตสูงสุด ท่านไอนซ์ อูล โกว์น
การตัดสินใจของท่านนั้นถือเป็นที่สุดหากเขาบอกว่า
ของสีขาวนั้นเป็นสีดำ มันก็ต้องเป็นสีดำ

"ข้าไม่ได้หมายถึงการตัดสินใจของท่านไอนซ์ซะหน่อย!!"

ต่อหน้าท่าทีตื่นตระหนกของแชลเทียร์ ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

"เช่นนั้นในอนาคต พวกเราจึงต้องทำตัวเป็นแบบอย่างในการแสดงความ
จงรักภักดีต่อท่านไอนซ์ แต่ข้าคิดว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าทำการกบฏต่อท่านไอนซ์
อย่างแน่นอนยกเว้นท่านสินะขอรับ"
"ถูกต้อง ไหนๆก็พูดออกมาแล้ว ว่าไงล่ะท่านแชลเทียร์? ถ้าท่านมาเข้าร่วม
กับข้ากระผมตอนนี้ ในอนาคตข้ากระผมจะมอบตำแหน่งสูงๆให้ท่านแน่นอน"

เอคเคลย่าพูดเล่นมุขประจำของเขา - ถึงมุขนี้จะไม่เคยสำเร็จก็เถอะ
แต่สิ่งที่ดังขึ้นมาตบมุขของเขาในครั้งนี้กลับเป็นเสียงสะดุ้งแปลกๆดังขึ้นมา

" เฮือกกก~~~~!!! "

ชายทั้งสองหันไปมองที่ต้นเสียง สิ่งที่เห็นคือแชลเทียร์ที่กำลังกุมหัวก้มหน้า
พร่ำเพ้อรำพึงรำพันถึงความภักดีของเธอออกมา

"กะ....เกิดอะไรขึ้น? เสียงของท่านดูแปลกๆไปนะ"

พิกิส่ายหัวพร้อมกับยักไหล่

"ใครจะไปรู้ละ ขอรับ?"

6 ความคิดเห็น:

  1. แปลดีกว่าฉบับเสียเงินของ ดีอีเอ็ก เยอะครับ (แสดงถึงความรู้ความเข้าใจและความตั้งใจของผู้แปล ) ผมอ่าน ฉบัลลิขสิทธ์ แค่ฉาก เมฆ ก็ ตึบละ เมฆนี้นะอันเดท โหย
    พลาดตั้งแต่เล่มหนึ่ง ละ พอไปบ่น มันก็ด่าว่าปลิง ผมก็ต้องว่า ปลิงเฮ้อะไร หนังสือก็ซื้อ ทั้งไทยและอังกฤษ
    ขอบคุณคนแปลจริงๆครับ ผมจะได้ เอาเล่มสี่ไปทิ้งไว้ในห้องสมุดชุมชน

    ตอบลบ