หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Overlord Volume 4 Chapter 4



Part 1

โคไซตัสก้าวเท้าเดินมุ่งสู่ท้องพระโรง ด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง,
ราวกับพวกเขาได้รับอิทธิพลจากเจ้านาย, เหล่าบริวารของเขาต่างเดินตามหลังกันมาอย่างช้าๆ
และหนักอึ้งเช่นเดียวกับเขา





สาเหตุของฝีเท้าที่หนักอึ้งของพวกเขา มาจากความพ่ายแพ้ที่พวกเขาได้รับมาจากการ
ทำสงครามกับพวกลิซาร์ดแมน, ในฐานะผู้บัญชาการแห่งกองทัพนาซาริคอันทรงเกียรติ
เขาได้ทำให้ความทรงเกียรตินั้นแปดเปื้อนเสียแล้ว

แน่นอน, ตัวตนของเขานั้นถูกสร้างขึ้นมาเป็นนักรบ, โคไซตัสนับถือในใจสู้ของเหล่านักรบ
ลิซาร์ดแมนเป็นอย่างมาก

แต่ยังไงซะ, เรื่องนั้นกับเรื่องนี้ มันก็เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

นาซาริคไม่อาจทนต่อความล้มเหลวได้, นอกจากนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การป้องกันแบบ
ที่ผ่านมาในอดีต แต่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ออกไปทำภารกิจด้านนอก
ผู้ที่ได้รับความพ่ายแพ้กลับมาตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรกย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะยังอารมณ์ดีอยู่

หวนนึกถึงคำพูดของเดมิเอิร์จ, กองกำลังที่ได้รับมอบหมายภารกิจในครั้งนี้นั้นค่อนข้าง
อ่อนแอจริงๆ แต่นั้นเป็นเพียงข้ออ้าง แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
อยู่ในแผนของนายท่านของเขามาตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม

ในที่สุด ห้องท้องพระโรงก็มาอยู่ด้านหน้าเขา และห้องที่อยู่ก่อนหน้านั้น
ซึ่งมีชื่อว่า"ประตูโซโลมอน" (Solomon’s Gate)
ก็มาอยู่ในสายตาของเขาแล้ว ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้เท่าไหร่ เสียงฝีเท้าก็ยิ่งหนักขึ้น
ราวกับพวกเขากำลังตกอยู่ใต้อำนาจของเวทมนต์บางอย่าง

แม้ว่าเขาจะถูกตำหนิจากนายท่านของเขาก็ไม่เป็นไร, และแม้ว่าเขาจะถูกประหาร
หรือถูกสั่งให้ฆ่าตัวตายก็ตามที, เขาเตรียมใจพร้อมรับกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น
เพื่อที่จะได้ชำระล้างความอัปยศในครั้งนี้ออกไป

อะไรคือสิ่งที่โคไซตัสกลัวที่สุด, นั้นก็คือการทำให้นายท่านของเขาต้องผิดหวัง

ถ้าหากผู้ปกครองสูงสุดคนสุดท้ายทิ้งเขาไป, เขาจะทำอย่างไร?

โคไซตัสคิดว่าตัวเองนั้นคือดาบ, ดาบที่อยู่ในมือของนายท่านของเขา
ดาบที่พร้อมจะฟาดฟันทุกสรรพสิ่งที่นายท่านของเขาบัญชาลงมา เช่นนั้นแล
หากนายท่านของเขาพิจารณาว่าเขานั้นใช้การไม่ได้หรือไม่มีประสิทธิภาพพอ
นั้นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

ไม่เพียงแค่นั้น, ถ้าหากกาเดี้ยนคนอื่นๆต้องมาพลอยติดร่างแหไปด้วยละก็
โคไซตัสคิดไม่ออกเลยว่าจะสู้หน้าพวกเขาได้อย่างไง

ไม่มีทางได้รับการให้อภัยโดยเด็ดขาด, ถ้าหากมันออกมาร้ายแรงถึงขั้นนั้นละก็
แม้ว่าเขาจะยอมมอบชีวิตให้, แต่มันก็ยังไม่พอสำหรับการยกโทษให้แน่

นอกจากนี้......

ถ้าหากนายท่านผิดหวังเพราะเรื่องนี้ แล้วจากไปเช่นเดียวกับผู้ปกครองสูงสุดคนอื่นๆ
แล้วจากนั้นละ......?

โคไซตัสตัวสั่น, สำหรับผู้ที่มีภูมิต้านทานความเย็นโดยสมบูรณ์แบบอย่างเขา
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สั่นเพราะปัจจัยจากภายนอก แต่มันมาจากภายใน
เขาตกอยู่ใต้ความเคลียดภายในจิตใจของเขาและทุกข์ทรมานกับมันเป็นอย่างมาก
ถ้าเขาเป็นมนุษย์ละก็ ตอนนี้เขาคงจะอาเจียนออกมาอย่างง่ายดายแน่นอน

ไม่สิ, มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน, ท่านไอนซ์ไม่มีทาง.....ทิ้งพวกเราไปแน่นอน
ผู้ปกครองสูงสุดคนสุดท้ายที่คงอยู่ในมหาสุสานแห่งนี้, มหาสุสานที่ผู้ปกครองสูงสุดคนอื่นๆ
จากกันไปหมดแล้ว

ท่านไม่ใช้แค่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดที่นี่เท่านั้น ท่านยังเป็นเสาหลักที่คอยสนับสนุนพวกเรา
ทุกคนอีกด้วย

ดังนั้น, ผู้ที่มีหัวใจอันโอบอ้อมอารีย์แบบท่าน คงไม่ทิ้งพวกเราไปแน่ --- เขาปลอบใจตัวเอง
ด้วยถ้อยคำพูดนี้, แต่ในใจลึกๆ, เขายังคงมีความลังเลที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ความกังวลกับความไม่แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันอาจจะเป็นไปได้ขึ้นมา

พวกเขามาถึงประตูโซโลมอน

ปกติแล้วนอกจากโกเลมและมอนสเตอร์ประเภทคริสตัลคอยเฝ้ายามอยู่รอบๆแล้ว
ห้องนี้จะไม่มีใครอยู่, แต่ตอนนี้กลับปรากฏร่างของผู้คนที่มาอยู่รวมกันมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟลอร์กาเดี้ยนทั้งสี่คน - เดมิเอิร์จ, ออร่า, มาเร่ และแชลเทียร์
นอกจากนี้ ทั้งสี่คนยังพาบริวารระดับสูงสุดของพวกเขามาด้วย

ผู้ชมทั้งหลายต่างหันมามองที่โคไซตัส, ความรู้สึกผิดเผยออกมาให้เห็นผ่านทางสีหน้าที่
เสียขวัญของเขาแวบหนึ่ง

เพราะเขารู้สึกว่าทุกคนกำลังชี้นิ้วกล่าวตำหนิโทษเขาอยู่,
ไม่สิ, โคไซตัสรู้สึกว่าบางทีทุกคนอาจจะกำลังโทษตัวเองอยู่ก็ได้
ความคิดของเขาหักล้างกับความคิดก่อนหน้าของเขา
หรือทุกคนกำลังซ่อนเร้นความคิดแบบเดียวกันอยู่งั้นหรือ?

เมื่อลองมองดูใกล้ๆ, เขาเห็นการตำหนิตัวเองอย่างเงียบๆ อยู่ในดวงตาของทุกคน

"ข้าขออภัย ที่ข้ามาสาย, ขนาดเดมิเอิร์จที่อยู่ข้างนอกยังมาถึงก่อนข้าเสียอีก"
"ไม่เลย, ไม่เลย, ไม่ต้องกล่าวขออภัยกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก"

เดมิเอิร์จตอบแทนทุกคน

น้ำเสียงของเขาไม่ต่างไปจากปกติ ไม่มีอาการหัวเสียเล็ดลอดออกมาให้เห็นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เดมิเอิร์จ เป็นกาเดี้ยนที่เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ ความสามารถในการ
ควบคุมอารมณ์และความคิดที่อยู่ในหัวของเขานั้นสูงมาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้
ที่จะตรวจจับความรู้สึกของเขาว่า เขาอารมณ์เสียหรือไม่

ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงจุดนี้ การที่เดมิเอิร์จระเบิดอารมณ์ออกมาตอนที่นั่งดูการต่อสู้ระหว่าง
ท่านไอนซ์และแชลเทียร์ จึงเป็นอะไรที่หายากมาก, แต่กระนั้น มันก็เป็นการบ่งบอกถึง
หัวใจอันจงรักภักดีที่เขามีด้วยเช่นกัน

"กาเดี้ยนคนอื่นๆ ได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว, ตอนนี้ ข้าเป็นตัวแทนให้อัลเบโด้
ในฐานะผู้นำของเหล่ากาเดี้ยน, มีใครจะอยากจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม?"
"ไม่ล่ะ, ไม่มีใครมีปัญหาที่เจ้ารับหน้าที่นี้หรอก"

อัลเบโด้ต้องไปทำหน้าที่แทนเซบาส ในการบริการนายท่าน, ดังนั้นเธอจึงปลีกตัวออกมาไม่ได้

"ดีล่ะ, ถ้างั้น เมื่อคนสุดท้ายมาถึง พวกเราจะเขาไปในท้องพระโรงพร้อมกัน,
ตอนนี้อัลเบโด้ไม่อยู่, ข้าจึงเป็นนำการกล่าวคำทำความเคารพ, ซึ่งโดยปกติเราแล้ว
จะฝึกซ้อมกันก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลา ทำได้เพียงพูดอธิบายเท่านั้น
จึงอาจจะมีอะไรบกพร่องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ตั้งใจฟังกันให้ดีด้วยล่ะ ทุกท่าน"

กาเดี้ยนและบริวารแต่ละคนแสดงความเข้าใจของพวกเขาออกมา
โคไซตัสเองก็ตอบในทำนองเดียวกัน แต่ก็ยังมีคำถามอยู่คำถามหนึ่ง
ในเมื่อกาเดี้ยนทุกคนมาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว......แล้วพวกเขารอใครอยู่?

การมาถึงของเขา แสดงถึงเป็นคำตอบของคำถามนี้

จู่ๆ โคไซตัสก็ตรวจพบสิ่งมีชีวิตกำลังมุ่งตรงเข้ามา

เมื่อมองไปทางนั้น เขาก็พบกับตัวประหลาดที่ลอยอยู่กลางอากาศกำลังมุ่งตรงเข้ามา
ทางประตูโซโลมอน

ลักษณะภายนอกของมันเหมือนกับทารกที่อยู่ในครรภ์ ไม่สิ ต้องบอกว่าคล้ายตัวอ่อน
น่าจะดีกว่า มันมีหางและลำตัวเป็นสีชมพูสดใส เหนือหัวของมันมีวงรัศมีฮาโล่อยู่
ด้านหลังของมันมีสิ่งที่ดูจะเป็นปีกแต่ไม่มีขนติดอยู่ เจ้าตัวประหลาดนี้มีขนาดประมาณ 1 เมตร
และมันกำลังเข้าบินเข้ามาอย่างช้าๆ

"นั้นมันอะไร?"

เดมิเอิร์จตอบคำถามของออร่า

"นั่นคือ วิคทิม(Victim) กาเดี้ยน ฟลอร์ แห่งชั้น 8"
"นั่นน่ะเหรอวิคทิม......"


วิคทิมหมุนเป็นวงกลมเมื่อมาถึงประตูโซโลมอน โคไซตัสรู้สึกว่าเขากำลังโดนสำรวจรอบๆ

วิคทิมนั้นไม่มีคอ ดังนั้นเมื่อเขาจะสำรวจไปรอบๆ เขาจึงจำเป็ญต้องหมุนตามไปทั้งตัว

"Uoy tresed dna dnuora nur annog reven ,nwod uoy tel
annog reven ,pu uoy evig annog reven"
[เป็นยังไงกันบ้าง ข้าคือวิคทิมเอง]
(ภาษาของวิคทิมฟังไม่เป็นศัพท์)

เดมิเอิร์จไม่สะทกสะท้านกับคำพูดแปลกประหลาดของวิคทิมเลยซักนิด
ก่อนจะเป็นตัวแทนตอบกลับคำทักทาย

"ยินดีต้อนรับ วิคทิม, ข้าคือเดมิเอิร์จ เป็นตัวแทน ทำหน้าที่แทนอัลเบโด้เป็นครั้งแรก"
"ssa latem ynihs ym etiB" [ข้าได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากท่านไอนซ์แล้วล่ะ]

หลังจากพูดออกมา วิคทิมก็บินหมุนเป็นวงกลมหนึ่งรอบ ก่อนจะไปบินวนรอบทุกคนอีกหนึ่งรอบ

"smaeb leets tlem t'nac leuf teJ"[ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของทุกคนแล้ว,
ดังนั้น พวกเราข้ามเรื่องการแนะนำตัวกันเถอะ]

"ข้าเข้าใจล่ะ, ถ้างั้น ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว, พวกเรามาชี้แจงสิ่งที่พูดกันเมื่อครู่นี้กันก่อน"

ทุกคนตั้งใจฟังคำอธิบายจากเดมิเอิร์จ เพราะในตอนที่ทุกคนต้องถวายการต้อนรับ
การมาของท่านไอนซ์, สถานที่รวมตัวของเหล่าผู้ปกครองสูงสุด ณ ใจกลางของมหาสุสาน
หัวใจของนาซาริค,
หากมีความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย คำขอโทษที่จะยอมรับได้นั้นคือ ความตาย

หลังจากฟังคำอธิบาย ทุกคนใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการแยกแยะสิ่งที่เขาพูด,
ภายใต้การนำของเดมิเอิร์จ เหล่ากาเดี้ยนพาบริวารของพวกเขาเขาไปสู่ท้องพระโรง

ขณะที่พวกเขาก้าวเข้ามา, โคไซตัส, ผู้ที่เคยเข้ามาในห้องนี้แค่ไม่กี่ครั้ง
รู้สึกปิติยินดีอย่างหาใดเปรียบมิได้

สถาปัตยกรรมอันสวยงาม รวมไปถึงธงของเหล่าผู้ปกครองสูงสุดทุกท่าน
และ เวิร์ล คลาส ไอเทม ที่วางอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้อง
ที่นี่ช่างคู่ควรอย่างแท้จริงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหัวใจของนาซาริค
มันช่างดึงดูดสายตา จนทำให้พวกเขาลืมเรื่องการลงโทษของพวกเขาไป

เหล่ากาเดี้ยนปล่อยบริวารไว้ด้านหลัง แล้วประจำแถวของแต่ละคนด้านหน้าบันได
เบื้องล่างบัลลังก์
ต่อด้วยการหันหน้าเข้าหาสัญลักษณ์ของกิลด์ ไอนส์ อูล โกวน์ ที่แขวนอยู่บนกำแพง
แล้วทำความเคารพ, เแสดงความนับถือและความจงรักภักดี

หลังจากนั้น, พวกเขาทุกคนย่อตัวลงคุกเข่าข้างเดียว, น้อมศีษระลง รอการมาของนายท่าน
อย่างเงียบๆ

ต่อจากนั้นไม่นาน, ก็มีเสียงประตูเปิดดังออกมาจากทางด้านหลัง
เท้าคู่หนึ่งก้าวดังเข้ามาในห้องขนาดใหญ่แห่งนี้
โดยไม่ต้องหันกลับไปมอง พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเสียงฝีเท้านั้น ไม่ใช่ของนายท่านของพวกเขา
เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่นายท่านแห่งมหาสุสานนาซาริคจะเปิดประตูเข้ามาด้วยตัวเอง

"ทำความเคารพ การมาถึงของท่านผู้ปกครองสูงสุดแห่งมหาสุสานนาซาริค,
ท่านไอนส์ อูล โกวน์, และหัวหน้าของเหล่ากาเดี้ยน, ท่านอัลเบโด้"

นั้นคือเสียงของแบทเทิล เมด ยูริ อัลฟ่า

อีกครั้งที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น, ตามมาด้วยเสียงอันกระฉับกระเฉงที่เกิดจากรองเท้า
แล้วมาด้วยเสียงไม้เท้ากระทบกับพื้นห้องดังซ้ำขึ้นมาอีกที, ด้านหลังของเสียงเหล่านี้
ยังมีเสียงที่เกิดจากการเดินด้วยรองเท้าส้นสูงตามมาอีกด้วย

โดยทั่วไปแล้ว, เมื่อนายท่านเข้ามาในห้อง, ผู้คนที่อยู่ข้างในจะต้องน้อมตัวแสดงให้เห็น
ถึงความเคารพอย่างจริงใจของพวกเขา แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครทำอย่างนั้นเลย
ที่เป็นอย่างนี้เพราะในอดีต พวกเขาได้ทำการปฏิญาณแสดงให้เห็นถึง
ความเคารพ ภักดี อย่างสุดใจไปเรียบร้อยแล้ว

แต่กระนั้น, มีเพียงโคไซตัสที่ต่างออกไป

เพราะความวิตกกังวลครอบงำเขาจากภายใน ส่งผลให้ภายนอกของเขาเคลื่อนไหวไปเอง
โดยไม่ตั้งใจ, เป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยมาก, แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันกลับส่งผล
ต่อบรรยากาศเป็นอย่างมาก

ด้วยความสามารถพิเศษ, โคไซตัสตรวจพบว่ากาเดี้ยนคนอื่นๆ กำลังพุ่งความสนใจมาที่เขา
อัลเบโด้, ผู้ที่เดินอยู่ด้านหลังนายท่าน, แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักในการข่มความโกรธเอาไว้
แต่ก็ยังปกปิดเอาไว้ไม่ได้, แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถ้อยคำ
ใดๆ ออกมาแม้แต่คนเดียว

เสียงฝีเท้าก้าวผ่านแถวของกาเดี้ยนไปอย่างช้าๆ ตามมาด้วยเสียงก้าวขึ้นบันไดและเสียง
นั่งลงบนบัลลังก์, เสียงของอัลเบโด้ดังกังวานไปทั่วบริเวณห้อง

"ทุกท่าน โปรดเงยหน้าขึ้นมา เพื่อยลการปรากฏตัวอันสง่างามของท่านไอนส์ อูล โกวน์"

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมามองไปที่นายท่าน ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างพร้อมเพรียงกัน
การเคลื่อนไหวของพวกเขา ก่อให้เกิดเสียงจากการเสียดสีดังขึ้นมา

โคไซตัสก็เงยหน้าขึ้นมาทันทีด้วยเช่นกัน

ด้วยไม้เท้าที่อยู่ในมือของเขา สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าผู้ปกครอง, กลิ่นอายอัน
น่าขนลุกที่ห่อหุ้มอยู่รอบกายเขาและรังสีแห่งความมืดอันลึกลับที่อยู่ด้านหลัง
นี่คือความจริง ของผู้ปกครองสูงสุดแห่งมหาสุสานนาซาริค --- ไอนส์ อูล โกวน์

หลังจากที่อัลเบโด้ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายไอนซ์ ตรวจสอบเหล่ากาเดี้ยนที่อยู่ด้านล่างรวมทั้งโคไซตัส
ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วหันไปหาไอนซ์

"ท่านไอนซ์ค่ะ, เหล่ากาเดี้ยนทุกคนได้มารวมตัวกันเบื้องหน้าท่านแล้ว โปรดบัญชาให้
คำสั่งให้พวกเราด้วยค่ะ"

ไอนซ์พูดออกมาเบาๆ เพียงแค่ "อืม" เป็นเสียงแสดงการตอบรับ, เขาใช้ไม้เท้ากระแทกกับพื้น
อย่างแรง ดึงดูดสายตาของทุกคน ก่อนที่เขาจะค่อยๆเปิดปากพูด

"ยินดีต้อนรับ, กาเดี้ยนทุกคนที่อยู่ต่อหน้าข้า, ก่อนอื่น ขอให้ได้แสดงความขอบคุณก่อน,
เดมิเอิร์จ !!"
"ขอรับ!"
"ทุกครั้งที่เกิดปัญหา, เจ้ามักจะโดนเรียกตัวมาอยู่เรื่อย, เจ้าอุตสาหะทำงานหนัก, ข้าต้องขอ
ขอบคุณในความทุ่มเทของเจ้าจริงๆ"
"โอ๊ะ....โอ้, ถ้อยคำของท่านช่างเมตตายิ่งนัก, ท่านไอนซ์ ! กระผมเป็นข้ารับใช้ของท่าน,
ดังนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ท่านเรียก กระผมต้องตอบสนองท่านโดยทันทีอย่างแน่นอน
เช่นนี้แหละ สมควรแล้วขอรับ"

เดมิเอิร์จรู้สึกปิติยินดีเสียจนตัวสั่นขึ้นมานิดหน่อย ในขณะที่เขาโน้มกายลงอย่างสุดตัว

"เช่นนั้นรึ, จริงสิ, ทางฝั่งเจ้ามีใครมีพิรุธปรากฏตัวออกมาบ้างหรือไม่?"
"ไม่มีขอรับ, กระผมค่อนข้างใส่ใจเป็นพิเศษกับการเตรียมการให้พร้อม หากมีบุคคลใดเข้าใกล้,
เขาหรือเธอ(เซบาสกับโซลูชั่น) จะสามารถตรวจพบได้อย่างง่ายดาย......"

"......แบบนั้นก็ดี, ยังไงก็ตาม, เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าอย่าได้หย่อนยานเด็ดขาด,
เพราะฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีวิธีการอะไรบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้
นอกเหนือจากนี้, แผ่นหนังที่เจ้านำมาให้ข้า.....ตามข้อสรุปของหัวหน้าบรรณารักษ์นั้น
มันสามารถนำมาใช้ทำเป็นคัมภีร์ระดับต่ำได้, เจ้าสามารถทำให้การผลิตมันขึ้นมา
อย่างต่อเนื่องได้หรือไม่?"
"ได้ขอรับ! ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น, พวกเราได้ผลิตขึ้นมาสำรองไว้จำนวนหนึ่งแล้วขอรับ"
"งั้นรึ......เช่นนั้น, แล้วเจ้าสัตว์ป่านั้นมันชื่อออะไรหรือ?"
"สัตว์ป่าหรือขอรับ?......อ๋อ! เกี่ยวกับสัตว์ที่ท่านไอนซ์กล่าวถึง......"

เดมิเอิร์จหยุดพิจารณาไปแปปนึง, ก่อนจะพูดต่อ

"มันคือ แกะสองขา จากรัฐเทวาธิปไตย, รู้สึกว่ามันจะชื่อแกะเบลเลี่ยน(Bellion sheep) ขอรับ"

เสียงร่าเริงของเดมิเอิร์จทำให้โคไซตัสรู้สึกสะกิดใจนิดหน่อย, ปกติแล้ว เดมิเอิร์จเป็นคนที่
อารมณ์ดี อ่อนโยน, แต่ว่าเขาเป็นแบบนี้กับเหล่าสหายเท่านั้น เหมือนกับท่านผู้ปกครองสูงสุด
ที่สร้างเขามา, ส่วนสำหรับคนอื่นๆแล้ว เขานับว่าเป็นคนที่อำมหิตมาก

ภายใต้ท่าทางอารมณ์ดีที่เขาแสดงออก, มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เห็นความโหดเหี้ยม
ของเขาเล็ดลอดออกมา, แม้ว่าใจจริงลึกๆ ของเดมิเอิร์จกำลังมุ่งร้ายอย่างแรงกล้า
ต่อสัตว์ป่าที่พูดคุยอยู่กันเมื่อครู่นี้ก็ตาม, เขาคงจะใช้ทัศนคติที่ไร้ความรู้สึกต่อมนุษย์
ในการพูดคุยอยู่ละมั่ง?

เมื่อตัดสินจากพื้นฐานแล้ว บุคลิกของเดมิเอิร์จ, รู้สึกว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย
แต่อย่างไรดี, สถานการณ์ในตอนนี้ มันไม่เหมาะที่จะยกปัญหาของเขาขึ้นมาเป็นประเด็น

"ยังงั้นรึ เจ้านั้นคือ......แกะสินะ"

น้ำเสียงของไอนซ์แฝงความยินดีอยู่เล็กน้อย, ทำให้เดมิเอิร์จและอัลเบโด้ยิ้มออกมาได้

"แม้ว่าข้าจะชอบเรียกพวกมันว่าแกะภูเขาก็ตาม......แต่ชื่อนั้นก็พอใช้ได้
ดีล่ะ, เจ้าช่วยหาหนังของแกะพวกนั้นต่อไปอย่างนี้แหละ......แต่ถ้าหากจับมันมามากเกินไป
มันจะส่งผลต่อระบบนิเวศหรือเปล่า?"
"ไม่เลยขอรับ, ยิ่งกว่านั้น เมื่อใช้เวทมนต์รักษาให้พวกมัน เราก็จะสามารถผลิตแผ่นหนังซ้ำขึ้นมา
ได้อีก, ตราบใดที่ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้แผ่นหนังเป็นจำนวนมาก ก็ไม่จำเป็นต้องจับ
พวกมันเป็นปริมาณมากด้วยเช่นกัน, ทั้งหมดนี้ เป็นผลลัพธ์จากความพยายามอย่างหนัก
ของพวกเราเองขอรับ"
"หือ? ถ้าหากใช้เวทมนต์รักษาได้ละก็, ส่วนที่ตัดออกมาแล้ว มันไม่หายไปงั้นหรือ?"
"เกี่ยวกับเรื่องนี้......มีสิ่งที่พวกเราเข้าใจจากการทดลองใช้เวทย์รักษา, ก่อนที่จะใช้เวทมนต์รักษา
พวกเราเพียงแค่เปลี่ยนรูปร่างของมันก่อนเป็นสิ่งสำคัญ --- ตัวอย่างเช่น สับมันให้ละเอียด
--- แล้วส่วนร่างกายนั้นก็จะได้รับผลให้เก็บดำรงไว้, นั้นหมายความว่า
ถ้าหากเราร่ายเวทย์รักษาหลังจากลอกหนังของมันออกมา เวทย์รักษาจะมีประสิทธิภาพ
รับรู้ว่ามันเป็นสิ่งของอย่างอื่นไปแล้ว, ดังนั้นมันจึงไม่หายไป ถึงแม้ว่าเราใช้เวทมนต์รักษามา
ประยุกต์กัน และนี้ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกมันไม่อดตายแม้ว่าจะกินแต่เนื้อด้วย
นอกจากนั้น แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะอยู่นอกหัวข้อ, แต่ก็มีบางตัวที่เกิดปฏิกิริยาปฏิเสธเวทย์รักษา
โดยเวทย์รักษาอื่น บางครั้งจึงทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างราบลื่น ส่งผลทำให้เกิดเป็น
แผลเป็น, ในทำนองเดียวกัน, พวกระดับต่ำ จะยิ่งมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นมากขึ้นจากจำนวนครั้ง
ที่เกิดความผิดพลาดด้วยขอรับ"

"เช่นนั้นเองหรือ......เวทมนต์ที่มีประสิทธิภาพ......ดีมาก, เจ้าพัฒนาต่อไปให้ดีล่ะ"
"ตามที่ท่านบัญชาขอรับ, นับจากนี้ไป กระผมจะดำเนินการทดลองตามอายุและเพศ
กระผมอาจจะได้รู้ด้วยว่าชนิดของผิวที่อายุช่วงไหน จะเหมาะสมที่สุด"

"ตรงจุดนี้......ให้เป็นส่วนความรับผิดชอบของหัวหน้าบรรณารักษ์ก็แล้วกัน, ต่อไปก็วิคทิม"
"snaem ti kniht uoy tahw snaem ti kniht ton od I .drow taht gnisu peek uoY
[ขอรับ, ท่านไอนซ์]"

"มีเพียงเหตุผลเดียวที่เรียกเจ้ามาที่นี่, ถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ความสามารถพิเศษของเจ้าจะเป็นสิ่งจำเป็นในการปกป้องข้าและเหล่ากาเดี้ยนคนอื่นๆ
.......ข้าต้องขอโทษเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้, ข้าขอสัญญา ว่าข้าจะช่วยทำให้เจ้าคืนชีพกลับมาให้ได้
ข้าต้องขออภัยเจ้าล่วงหน้าด้วย"

"siht naht reggib semit eerht …tsael ta eb ot sah gnidliub ehT ?
stna rof retnec A ?siht si tahW"
[เดมิเอิร์จแจ้งข้าน้อยไว้ล่วงหน้าแล้วขอรับ, ได้โปรดอย่ากังวลไปเลยขอรับ ท่านไอนซ์,
ตัวข้่านั้นเป็นบริวารของท่านไอนซ์ นอกจากนี้ การตายก็เป็นจุดมุ่งหมายแต่เดิมของข้าน้อยอยู่แล้ว
ถ้าหากความสามารถกระจ่อยร่อยของข้าน้อย สามารถช่วยท่านผู้ปกครองสูงสุดได้ละก็
ตัวข้าน้อยจะมีความสุขหาใดเปรียบเลยล่ะขอรับ]

"อย่างนั้นหรือ......ยังไงก็ยกโทษให้ข้าด้วยแล้วกัน"

เมื่อเห็นท่านผู้ปกครองสูงสุดน้อมหัวให้, วิคทิมก็อุทานออกมา

"sihT ekaT !enolA oG oT suoregnaD s'tI"
[ข้าน้อยมิบังอาาจหรอกขอรับ!]

"เมื่อต้องเผชิญหน้ากัยสถานการณ์พิเศษ, ถ้าเพื่อป้องกันศัตรูหลบหนี เราอาจจะต้องฆ่าเจ้า
แม้ว่าเจ้าจะเต็มใจให้ความร่วมมือด้วยก็ตาม แต่พวกเราก็อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าพวกเราทำไป
ไม่ใช่เพราะเหตุผลส่วนตัวใดๆ เพราะยังไงเจ้า ก็เป็นเด็กน้อยอันล้ำค่าของข้า, และข้าไม่อยาก
ให้เราต้องเจออันตรายใดๆ, แต่ถ้าหากเราปล่อยให้ศัตรูหนีออกไปได้, พวกเราอาจจะต้องเจอ
กับหายนะ, นั้นคือเหตุผลที่......"

"tihs suoires emos ees annog er'uoy ...ruoh rep selim 88 stih ybab siht nehw,
tcerroc era snoitaluclac ym fI"
[ได้โปรด, อย่าพูดอีกเลยขอรับ, ท่านไอนซ์. ข้าน้อยเข้าใจจิตใจของท่านอย่างสุดซึ่งแล้วขอรับ]

"ในนาซาริค, กลไกบางอย่าง สามารถใช้งานได้ด้วยวลีคำพูดประโยคเดียว, แม้ว่ามันจะมาจาก
ประโยคคำสอนของพระเยซูก็ตาม, ประโยคนั้นคือ
[Giving up one’s life for friends is the greatest love of all]
(มอบหนึ่งชีวิตของเจ้าแด่เพื่อนพ้อง คือความรักที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด)
วลีประโยคนี้อ้างอิงถึงเจ้าโดยตรง ; ขอขอบคุณ สำหรับความรักของเจ้า"

ไอนซ์ละสายตาจากกาเดี้ยน ผู้พลีชีพเพื่อพวกพ้อง ไปยังกาเดี้ยนอีกคนอื่นๆ

"ต่อไปก็แชลเทียร์"

โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะโดนเรียก, แชลเทียร์ถึงกับสะดุ้งโหยง, จนเธอตอบกลับไป
ด้วยเสียงแหลมสูงผิดปกติ

"คะ......ค่า!!"
"......มาตรงนี้สิ"

ต่างกับกาเดี้ยนคนอื่นๆ, มีเพียงเธอเท่านั้นที่นายท่านเรียกให้ไปหาข้างๆ
แชลเทียร์รู้สึกแปลกใจและลุกขึ้นด้วยท่าทีละล้าละลังเพราะความกลัว
จากด้านหลังของเธอ ทุกคนต่างสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่าทางของเธอไม่เรียบร้อย,
มองดูคล้ายกับคนที่กำลังถูกส่งขึ้นไปบนแท่นประหาร, แต่อย่างไรก็ดี เธอก็ยังลุกขึ้นอย่างมั่นคง
ราวกับศักดิ์ศรีของเธอ สั่งให้เธอก้าวไปตรงนั้น

หลังจากแชลเทียร์ก้าวขึ้นไปบนบันได, เธอก็คุกเข่าข้างเดียว ห่างจากบัลลังก์ไปไม่มากนัก

"แชลเทียร์, ข้าอยากให้เจ้า พูดถึงสิ่งที่กำลังกวนใจของเจ้าอยู่ในตอนนี้ออกมา"

เพียงแค่ได้ยินคำพูดเหล่านี้, แชลเทียร์ก็เข้าใจได้ทันทีว่านายท่านของเธอหมายถึงอะไร
ใบหน้าของเธอปรากฏสีหน้าแห่งความละอายใจออกมา

"อาา! ท่านไอนซ์เจ้าค่ะ! เกี่ยวกับเรื่องนั้น, ได้โปรด ลงโทษดิฉันด้วยเถอะเจ้าค่ะ!
ถึงแม้ว่าดิฉันจะเป็นกาเดี้ยน, ดิฉันก็ยังคงต้องแบกรับบาปอันโง่เขลานั่นอยู่ดี
ได้โปรด ลงโทษดิฉันด้วยทัณฑ์ที่รุนแรงด้วยเถิดเจ้าค่ะ"

เสียงอันเจ็บปวดของแชลเทียร์ดังก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรง, และโคไซตัสรู้สึกเข้าใจเธอเป็นพิเศษ
ไม่สิ, ไม่ว่ากาเดี้ยนหรือพวกพ้องคนไหนก็ตาม ที่ถูกสร้างโดยเหล่าผู้ปกครองสูงสุด
ย่อมเข้าใจความรู้สึกของเธออย่างแน่นอน

แม้ว่าตอนนั้นจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมจิตใจก็ตาม, พวกเขาก็ไม่อาจให้อภัยตัวเอง
ที่กระทำตัวเป็นอริศัตรูต่อผู้ปกครองสูงสุดของพวกเขาได้

"งั้นรึ......ถ้างั้น, แชลเทียร์, มาตรงนี้สิ"

เมื่อเห็นนายท่านของเธอ กวักมือเรียกเธอไปหา, แชลเทียร์ก็ค่อยๆคลานไปที่บัลลังก์

ถึงแชลเทียร์ที่แบกหน้าของเธอมาจนถึงด้านหน้าบัลลังก์, ไอนซ์ยื่นมือกระดูกของเขาออกไป
ลูบหัวเธออย่างอบอุ่น

"ทะ-ท่านไอนซ์เจ้าค่ะ......"

ขวัญของเธอเกือบจะแตกออกเป็นชิ้นๆ, แชลเทียร์เงยหน้าขึ้นมาอย่างระมัดระวังและ
เอ่ยเสียงเล็กๆของเธอออกมา

"......ความผิดพลาดในครั้งนั้น เกิดจากการคำนวณที่ผิดพลาดของข้าเอง, ยิ่งกว่านั้น
อีกฝ่ายยังยังมีไอเทมระดับ World Class, ดังนั้นเมื่อมองจากจุดเริ่มต้น
แชลเทียร์......ข้าน่ะ รักพวกเจ้าทุกคน ทุกคนที่จงรักภักดีต่อนาซาริค, พวกเจ้าทั้งหมด
ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก, แน่นอน, รวมทั้งเจ้าด้วยเช่นกัน,
เจ้าอยากให้ข้ากำหนดบทลงโทษที่รุนแรงให้เจ้า ซึ่งไม่ได้มีความผิดบาปอะไรทั้งนั้น,
แล้วข้า จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?"

ราวกับนายท่านแสดงสายตาแห่งความโศกเศร้าออกมา, ไม่ได้หมายความว่าโคไซตัส
สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงสายตาของนายท่านของเขา,
แต่ดูจากนายท่านของเขาที่ขยับปากอย่างแผ่วเบา,
ใบหน้าของนายท่านนั้นเป็นกระดูกทั้งหมดและไม่มีริมผีปาก
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินจากท่าทางปากของนายท่านได้

"โอ้, ท่านไอนซ์เจ้าค่ะ!! ในที่สุดท่านก็บอกรักดิฉัน!!"

เสียงของแชลเทียร์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก สะท้อนไปทั่วทั้งห้อง

เพราะเขาอยู่ด้านหลังแชลเทียร์, โคไซตัสจึงไม่เห็นหน้าของเธอ
แต่ยังไงก็ตาม, อาการของเธอมันก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน เสียงของเธอตื้นตันไปด้วยน้ำตา
ไหล่ของเธอสั่นระริก

มืออีกข้างของนายท่านยกผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาประโลมใบหน้าของแชลเทียร์อย่างอบอุ่น

"เอาล่ะ, เอาล่ะ, แชลเทียร์, หยุดร้องไห้ได้แล้ว มันจะทำลายใบหน้าสวยๆของเจ้าเอานะ"

แชลเทียร์นิ่งเงียบ, เพียงแค่วางสีหน้า......ทั้งริมฝีปากของเธอ.....เมื่อมือข้างนั้นกำลัง
ลูบผมของเธออยู่

มาเร่และออร่า ต่างน้ำตาคลอ

เดมิเอิร์จเช็ดเบาๆที่หางตาของเขา, โคไซตัสรู้สึกอิจฉานิดหน่อยต่อคนที่สามารถหลั่งน้ำตาได้
และหันกลับไปมองแผ่นหลังของเพื่อนพ้อง ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีไปตลอดชีวิต

เรื่องที่แชลเทียร์กลัวเป็นอย่างมากในกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่เหลืออยู่คือ
ท่านผู้ปกครองสูงสุดเห็นว่าเธอไร้ประโยชน์ เป็นปัญหา แล้วทิ้งเธอไป

แต่อย่างไรก็ตาม, นายท่านของเธอ ได้ปัดเป่าสิ่งเหล่านั้นออกไปหมดแล้ว

ปัดเป่ามันออกไปด้วยคำว่า "รัก"

ความสุขของแชลเทียร์ที่อยู่ภายในมีมากเท่าไหร่กัน? เขา, โคไซตัส, ผู้ที่อยู่ในฐานะเดียวกับเธอ
ไม่สิ......เขาอยู่ตำแหน่งที่โทษเบากว่าเธอเสียอีก, มีแค่ความอิจฉาที่มากกว่าใครๆ อยู่ใน
สายตาที่มองเธอจากด้านหลังเท่านั้น

"เช่นนั้น, แชลเทียร์, เจ้าก็สามารถ......"
"--- ท่านไอนซ์ค่ะ!!"

เสียงที่เย็นช้า เข้ามาแทรกการพูดของนายท่าน, การกระทำที่ไม่สุภาพนี้ทำเอา
โคไซตัสถึงกับจ้องมองตาขว้างประหนึ่งกำลังจ่อมีดไปที่อัลเบโด้, ที่ตามมานั้นคือความรู้สึกของเขา
ที่จมลงสู่ความยุ่งเหยิงและความรู้สึกไม่สงบที่เกิดขึ้นภายใน

"รางวัลและการลงโทษนั้น เป็นเรื่องพื้นฐานธรรมดา, ดิฉันคิดว่า จำเป็นจะต้องมีการ
แสดงออกถึงการลงโทษบ้าง"

"......อัลเบโด้, การตัดสินใจของข้า, เจ้าไม่มี......"

คำพูดของนายท่านหยุดลงกลางคัน, โคไซตัสคิดไม่ออกว่าทำไมนายท่านของเขาถึงชะงักไป,
คำพูดสุดท้ายที่จะตัดสินปัญหากับแชลเทียร์

"ท่านไอนซ์เจ้าค่ะ, ดิฉันเองก็สนับสนุนความเห็นของอัลเบโด้เช่นกัน, โปรดทำการ
ลงโทษดิฉันเถอะเจ้าค่ะ, แบบนั้น จะช่วยให้ดิฉันให้บรรลุความสุขจากความจงรักภักดี"

"......ข้าเข้าใจแล้ว, พวกเราค่อยดำเนินการลงโทษที่เจ้าปราถนาไว้ทีหลังแล้วกัน
เอาล่ะ, เจ้าลงไปได้แล้ว"

"เจ้าค่ะ, ท่านไอนซ์"

ตางสีแดงของแชลเทียร์ยิ่งแดงเข้มขึ้นขณะที่เธอเดินลงบันไดมาแล้วกลับไปประจำที่ของเธอ
และเข้าสู่ท่าเคารพ

หลังจากนั้น ---

"โคไซตัส, ท่านไอนซ์มีอะไรหลายอย่างที่อยากจะพูดกับเจ้า ตั้งใจฟังดีๆด้วยล่ะ"

เขาเย็นสันหลังวาบ

ในที่สุดก็ถึงตาของเขา

โคไซตัสน้อมศีรษะของเขาลงต่ำอย่างเหลือเชื่อ, เมื่อโดนนายท่านเพ่งมองเข้ามา,
ในท่านี้ ทำให้เขามองเห็นแต่พื้นเท่านั้น จริงๆแล้ว ท่าทางแบบนี้เป็นการแสดงเจตคติ
ของความเคารพสูงสุด, โคไซตัสค่อนข้างจะชอบท่านี้เลยทีเดียว เพราะตอนนี้เขาไม่มี
ความกล้าพอที่จะสบตากับนายท่าน

"ข้าได้เห็นการต่อสู้ของเจ้ากับลิซาร์ดแมนแล้ว, โคไซตัส"
"ขอรับ!"
"ผลออกมาคือความพ่ายแพ้"
"ขอรับ! เรื่องนี้ เป็นความผิดของข้าเอง, เพื่อเป็นการขออภัยอย่างสุดซึ้ง, โปรดลงโทษข้า---"

การยอมรับและคำกล่าวขออภัยหยุดลง โดยเสียงไม้เท้ากระแทกพื้น, หลังจากนั้น
เสียงที่เย็นเฉียบของอัลเบโด้ก็กระตุ้นประสาทสัมผัสการได้ยินขึ้นมาทันที

"......ทัศนคติของเจ้า ที่มีต่อท่านไอนซ์จะหยาบคายมากเกินไปแล้ว, โคไซตัส, หากเจ้าต้องการ
ขออภัย, เช่นนั้นก็จงเงยหน้าขึ้นมาซะ"
"เสียมารยาท!"

เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปยังนายท่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์

"......โคไซตัส, ในฐานะแม่ทัพผู้พ่ายแพ้, เจ้ามีคำใดอยากจะพูดบ้าง?
ครั้งนี้ เจ้าไม่ได้ออกไปแนวหน้า แต่นั่งบัญชาการอยู่ด้านหลัง
เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร?"

"ขอรับ, ข้าได้รับมอบหมายหน้าที่ทางการทหาร แม้กระนั้นก็ไม่สามารถนำชัยชนะกลับมาได้
ยิ่งกว่านั้น ยังสูญเสียลิค ที่ท่านเป็นคนสร้างขึ้นมาอีก, ข้ารู้สึกเสียใจอย่างที่สุด
ขออภัยเป็นอย่างยิ่งขอรับ"

"เอ๋? อ่า, ไม่ต้องไปเสียดาย กับอันเดดแบบนั้นหรอก, อย่าไปใส่ใจเลย โคไซตัส
ที่ข้าหมายถึง คือความคิดเห็นของเจ้าเกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยกองทัพ
ให้จุดนี้เป็นประเด็นหลักในคำตอบของเจ้า; ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิความพ่ายแพ้ของเจ้าหรอกนะ"

กาเดี้ยนและบริวารทั้งหมดข้างหลังเขา ที่กำลังตั้งตารอรับบัญชากันอยู่
ทุกคนต่างงุนงงกันโดยถ้วนทั่ว

ยกเว้นเดมิเอิร์จกับอัลเบโด้

โอ้! ถ้ามันออกมาเป็นแบบนี้ละก็, แสดงว่าเดมิเอิร์จคิดถูก

โคไซตัสรู้ว่านายท่านมีอะไรจะพูดต่อ, ส่วนตัวเขาตอนนี้กำลังรีบประติดประต่อ
ความคิดของตัวเองอยู่

"เพราะมันถูกกำหนดไว้ให้พ่ายแพ้อยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะได้รับหน้าที่นี้ก็ตาม, แม้ว่าจะเป็นตัวข้าเอง"

เสียงหัวเราะสั้นๆ ดังก้องไปทั้งท้องพระโรง, สำหรับผู้ปกครองสูงสุด ไอนส์ อูล โกวน์
จะพ่ายแพ้ได้อย่างไร? ตามความจริง, จนมาถึงจุดนี้เขายังไม่เคยพบกับความล้มเหลว
เลยซักครั้ง, ด้วยความคิดนี้, สิ่งที่ท่านพูดมาคงเป็นอะไรที่ไม่มากไปกว่าการพูดเพื่อปลอมใจ
โคไซตัส

"อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่ข้าอยากจะถามก็คือ เจ้าได้อะไรจากการต่อสู้ในครั้งนี้บ้างต่างหาก โคไซตัส,
งั้นข้าขอถามคำถามใหม่, เจ้าคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้กัน?"

โคไซตัสวิเคราะห์อย่างสงบ, ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชัยชนะ
ดังนั้น เขาจึงโพล่งสิ่งที่ขาดหายไปออกมา

"ข้าดูถูกพวกลิซาร์ดแมนมากเกินไป, ข้าควรระมัดระวังและทำการให้รอบคอบกว่านี้"

"ถูกต้อง, ตรงจุดนั้นแหละ! ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะอ่อนแอขนาดไหน, ก็ไปดูถูกดูแคลนพวกเขาไม่ได้
......และก็ นาเบลรัลน่าควรจะได้ดูการต่อสู้ครั้งนี้เอาไว้บ้างนะ, แล้วยังมีอะไรอีก?"

"ขอรับ, ยังมีเรื่องข้อมูลที่ไม่เพียงพอ, จากการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าได้รู้ว่าข้าไม่คุ้นเคยกับ
ภูมิประเทศและขอบเขตพลังของฝ่ายตรงข้าม, โอกาสชนะจึงลดลงไป"

"ดีมาก, แล้วยังมีอะไรอีก?"

"การมีผู้บัญชาการที่ไร้ความสามารถก็เป็นหนึ่งในปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะผู้ที่ออกไปรบ
คืออันเดดระดับต่ำ, ผู้บัญชาการที่ถูกส่งออกไปควรจะมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์
และสามารถที่จะให้ออกคำสั่งที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ เมื่อคำนึงถึงอาวุธ
ที่พวกลิซาร์ดแมนใช้กัน, ควรจะใช้ซอมบี้เป็นกำลังหลักในการเข้าปะทะการโจมตี
เพื่อทอนกำลังของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือรวมกำลังทั้งหมดโหมเข้าโจมตี
แล้วแยกกันทำหน้าที่"

"ยังมีอะไรนอกเหนือจากนั้นอีกไหม?"
"......ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับ, ในตอนนี้ ข้าสามารถนึกขึ้นมาได้เพียงเท่านี้ขอรับ......"

"ไม่ต้องขออภัยอะไรทั้งนั้น, ที่เจ้าพูดมานั้นจนถึงตอนนี้ มันถูกต้องอย่างชัดเจนเลยทีเดียว
แน่นอน, ว่ายังมีจุดที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอยู่บ้าง, แต่เข้าก็ได้เข้าใจบางสิ่งบางอย่างแล้ว
บอกตามตรง, ข้าพึงพอใจมากที่เจ้าไม่ไปถามคนอื่นๆ แต่สามารถพบข้อบกพร่องเหล่านี้
ได้ด้วยตัวเอง......ก็ยังนับว่าเป็นความคิดที่พอรับได้, ดีล่ะ, แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทำตามสิ่งที่เจ้า
กล่าวมาเหล่านี้ตั้งแต่แรกล่ะ?"

"......ข้าไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้, ข้าคิดเพียงแต่ว่าการมีกองกำลังทหารที่มากกว่า ก็เพียงพอ
ที่จะเอาขนะศัตรูได้"

"ถ้าหากเป็นเช่นนั้น......แต่อย่างไรก็ดี, หลังจากที่ต้องสังเวยอันเดดพวกนั้นแล้ว,
เจ้าก็คิดต่างจากเดิมสินะ? เยี่ยมมาก! การที่เจ้าสามารถปรับปรุงตัวเองและหลีกเลี่ยง
ความผิดพลาดอื่นๆที่คล้ายกันได้, นั้นแหละคือความหมาย ของความพ่ายแพ้ในครั้งนี้"

โคไซตัสคิดว่า เขาได้เห็นนายท่านหลุดยิ้มเล็กๆออกมา

"ความพ่ายแพ้มีหลายรูปแบบ, แต่ความพ่ายแพ้ของเจ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
นอกเหนือจากเจ้าลิคตัวนั้น, ทหารที่เหลือก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ, แม้ว่าพวกมัน
จะแตกดับไปเท่าไหร่, นาซาริคก็ไม่ได้รับผลใดๆทั้งสิ้น, ในทางตรงกันข้าม,
มันให้กาเดี้ยนได้เรียนรู้บทเรียน, และจะไม่แพ้แบบนี้อีกต่อไป,
เช่นนี้แล้ว จะนับว่าความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ถือเป็นรางวัลเลยก็ได้"

"ข้าต้องขอบพระคุณท่านมากขอรับ, ท่านไอนซ์"
"แต่ยังไงซะ, การที่เจ้าพ่ายแพ้มาก็เป็นความจริง, ดังนั้น ข้าจะลงโทษเจ้าเป็นเพื่อนแชลเทียร์....."

ถึงต้องนี้, นายท่านก็หยุดนิ่งไป, ช่วงเวลาสั้นๆอันเงียบงัน กับการรอบทลงโทษจากนายท่าน
ทำเอาโคไซตัสรู้สึกกระวนกระวายใจ, แต่เขาก็ได้รู้แล้วว่า เขาไม่ได้ทำให้นายท่านต้องผิดหวัง
ขวานแห่งความกังวลที่แขวนอยู่เหนือหัวของเขาก็พลันมลายหายไป
แต่ถึงกระนั้น, คำพูดต่อมาของนายท่านก็ทำเอาโคไซตัสถึงกับขนลุก

"เดิมที ข้าวางแผนจะให้เจ้าประจำอยู่แนวหลัง, แต่ว่านะ วิธีนี้น่าจะดีกว่า, โคไซตัส เจ้าจะต้อง
ไปล้างตวามอัปยศที่เจ้าพ่ายแพ้มา......ไปถอนลากถอนโคนลิซาร์ดแมนพวกนั้นซะ
และคราวนี้ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น"

ถ้าลิซาร์ดแมนถูกล้างบางออกไป, ก็จะไม่มีใครแพร่กระจายเรื่องความพ่ายแพ้ได้
เช่นนั้นแล้ว นาซาริค ก็จะคงชื่อว่าไร้พ่ายต่อไป

หากมีใครซักคนแพร่งพรายไปว่านาซาริคนั้นกระจอกงอกง่อยละก็, เจ้าคนนั้นคงถึงคราว
ได้เพลิดเพลินกับการเข่นฆ่าอย่างพวกเขาอย่างไร้ความปราณี เพื่อขจัดขวากหนาม
บนเส้นทางของนาซาริค, ถ้าหากเป็นโคไซตัสสมัยก่อนละก็ เขาคงจะรับบัญชาอย่างไม่ลังเล
แต่ตอนนี้ ---

โคไซตัสตัวสั่นไปหมด

เพราะเขารู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไรออกมา

เขาสูดหายในลึก แล้วถอนออกมาหลายครั้ง

โคไซตัสไม่ตอบรับคำบัญชาจากนายท่าน ทำเอาคนอื่นๆ รู้สึกสับสนไปหมด
ก่อนที่โคไซตัสจะตอบออกมาในที่สุด

"ข้ามีบางอย่างที่อยากจะร้องขอจากท่านไอนซ์ขอรับ!"

ราวกับโลกทั้งใบพลันหยุดนิ่ง, คนอื่นๆต่างมุ่งความสนใจมาที่เขา

โคไซตัสนั้น เป็นกาเดี้ยน แม้แต่ในนาซาริค เขาก็มีอำนาจและทักษะระดับสูงสุด
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเทียบกับเขาได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขากลับรู้สึกถึงคลื่นความเย็นที่ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว

แม้ว่าจะเสียใจที่โพล่งออกมาเหมือนน้ำที่เชี่ยวกรากออกมาจากภายใน
แต่มันก็สายไปแล้วที่จะถอนคำพูดกลับคืนมา

แม้ว่าโคไซตัสจะมีดวงตาที่ทำให้เขาสามารถมองทัศนียภาพได้กว้างมากก็ตาม
แต่ตอนนี้หัวของเขาก้มต่ำลงจนไม่สามารถเห็นท่าทางที่นายท่านแสดงออกมาได้
เรื่องนี้กลายเป็นการช่วยเขาไว้, เพราะถ้านายท่านเกิดโมโหหรือไม่พอใจขึ้นมา
โคไซตัสคงจะกลัวจนกลายเป็นหิน

"ท่านไอนซ์, ข้าขอวิงวอนท่าน"

ก่อนที่นายท่านจะตอบสนองใดๆกลับมา, ก็มีคำพูดอื่นสอดเข้ามาใส่การพูดของโคไซตัส

"บังอาจ!!"

คนที่ส่งเสียงขึ้นมานั้นก็คืออัลเบโด้, พร้อมกับเสียงกรีดร้องอึกทึกครึกโครม
ความน่ากลัวที่สมกับเป็นหัวหน้าของเหล่ากาเดี้ยน
โคไซตัส ผู้ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับ, รู้สึกเหมือนกับเด็กน้อยที่โดนแม่ดุอย่างรุนแรง
จนหยุดตัวสั่นไม่ได้

"เจ้าที่ปล่อยให้เกียรติของนาซาริคต้องพบกับความพ่ายแพ้, เจ้ายังมีสิทธิอะไรที่จะมา
ร้องขอจากท่านไอนซ์อีกหรือ? ช่างอุกอาจนัก!"

โคไซตัสไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา และตัดสินใจที่จะไม่ยกหัวขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก
นายท่านก่อน, แม้ว่าความโกรธของอัลเบโด้จะยิ่งทวีสูงขึ้นก็ตาม, เขาก็ไม่วอกแวก

"ถ้าหากเจ้ายังไม่---"

แต่เสียงที่เกรี้ยวกราดของอัลเบโด้ก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงอันนิ่งสงบของชายหนุ่มคนหนึ่ง
จนหายไปราวกับควัน

"--- อย่าทำแบบนั้น, อัลเบโด้ "

นายท่านพูดย้ำคำพูดของเขาเพื่อทำให้อัลเบโด้ที่กำลังคลั่งอยู่ให้สงบลง

"เงยหน้าขึ้น, โคไซตัส, เจ้ามีอะไรอยากจะขอ, ช่วยบอกให้พวกเราฟังจะได้ไหม?"

เสียงที่สงบของเขาไร้ซึ่งความโกรธใดๆ, แต่นั้นแหละ ที่ยิ่งทำให้น่ากลัวมากกว่าเดิม
ความกลัวที่เหมือนกับกำลังโดนดูดลงไปในทะเลสาบลึก

ด้วยอุปกรณ์สวมใส่, โคไซตัสสามารถป้องกันการโจมตีทางจิตใจจากภายนอกได้
นั้นแสดงว่าความกลัวที่โจมตีเขาอยู่ คือความกลัวที่มาจากภายใน

หลังจากกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งครั้ง --- จะให้ถูกน่าจะเป็นการกลืนยาพิษเสียมากกว่า
โคไซตัสค่อยๆยกศีรษะขึ้นมาแล้วมองไปยังผู้ปกครองสูงสุด นายท่านของเขา

แสงที่ส่องสว่างอยู่ในเบ้าตาที่กลวงโบ๋นั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงที่สดใส

"ข้าจะถามอีกครั้ง, เจ้ามีอะไรอยากจะขอ, และเจ้าจะช่วยบอกให้พวกเราทุกคนฟังจะได้ไหม?"

เขาไม่สามารถเอ่ยออกมาได้แม้แต่คำเดียว, แม้ว่าเขาพยายามจะพูดอยู่หลายครั้ง
แต่มันกลับติดอยู่ที่คอของเขา, และไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา

"มันคืออะไร, โคไซตัส?"

ความเงียบที่หนักอึ้ง เต็มไปทั่วทั้งบรรยากาศ

"......ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก, ข้าแค่อยากรู้ ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร, และอะไรคือสิ่งที่เจ้าอยากจะขอ"

ราวกับคำปลอบโยนต่อเด็กน้อยที่ไม่ยอมพูด, ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างนุ่มนวล,
ด้วยคำพูดให้กำลังใจอันอ่อนโยนนี้, ในที่สุดโคไซตัสก็พูดออกมา

"ข้าคัดค้านการกวาดล้างพวกลิซาร์ดแมน, และสิ่งที่ข้าอยากจะขอก็คือ ความเมตตาจากท่าน"

หลังสิ้นถ้อยคำอันเด็ดขาดของเขา, โคไซตัสรู้สึกราวกับว่าบรรยากาศกำลังสั่นคลอน
ไม่สิ, ไม่ใช่แค่รู้สึก แต่มันกำลังสะเทือนอยู่จริงๆ

ส่วนต้นตอของมันมาจากด้านหน้า --- จากอัลเบโด้ที่ปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง
รองลงมาคือจากเหล่ากาเดี้ยนคนอื่นๆที่ความเชื่อมั่นของพวกเขาถูกสั่นคลอน
มีเพื่อนายท่านและเดมิเอิร์จเท่านั้น ที่ยังคงสงบนิ่งดั่งทะเลสาบและไม่สั่นไหวไปกับคนอื่นๆ

"......โคไซตัส, เจ้ารู้รึเปล่าว่าเจ้าพูดอะไรออกมา?!"

เสียงที่เย็นยะเยือกของอัลเบโด้แฝงไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง, แม้แต่โคไซตัส
ที่ร่างกายมีคุณลักษณะเย็น ยังรู้สึกเย็นสันหลัง

"ท่านไอนซ์บัญชาการให้เจ้าไปกวาดล้างพวกลิซาร์ดแมน, เพื่อเป็นการไถ่บาปของเจ้า,
แต่เจ้ากลับกล้าออกปากเป็นอื่นไปเยี่ยงนี้......กาเดี้ยนแห่งชั้นที่ 5 โคไซตัส,
เจ้ากลายเป็นคนที่เกรงกลัวลิซาร์ดแมนไปแล้วหรือ?"

น้ำเสียงที่เย้ยหยัน, แต่โคไซตัสกลับไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา

มันเป็นธรรมดาที่อัลเบโด้จะมีทัศนคติแบบนี้, ถ้าสลับตำแหน่งกัน
โคไซตัสเองก็คงจะตบะแตกเช่นนี้

"เจ้ายังจะนิ่ง---"

อะไรบางอย่างทำให้เธอเงียบไปโดยไม่ต้องใช้คำพูด, แต่เป็นเสียงที่เกิดจากการกระแทก,
เสียงดังกังวานจากการที่ไม้เท้าสัมผัสกับพื้น

"อัลเบโด้, เงียบซะ , คนที่ถามโคไซตัสก็คือข้า, อย่าอวดดีให้มันมากนัก"
"ดิชั้นต้องขออภัยเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ, กรูณา ยกโทษให้ดิชั้นด้วย"

อัลเบโด้ โน้มตัวศีรษะกล่าวขอโทษแล้วกลับไปประจำตำแหน่งเดิมของเธอ

นายท่านสอดส่ายสายตาไปโดยรอบ, ก่อนจะจ้องไปที่โคไซตัสด้วยสายตาที่แหลมคม
มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปตัดสินอารมณ์ของนายท่านว่าเป็นเช่นไร,
มองดูราวกับเป็นระเบิดความโกรธ, แต่มันก็ยังดูเหมือนว่าเขากำลังหัวเราะขบขันอยู่ด้วยเช่นกัน

"โคไซตัส, เห็นเจ้าร้องขอมาอย่างนี้แล้ว, เจ้าคงมีเหตุผลอันเหมาะสม
ที่เห็นว่ามันจะนำประโยชน์มาสู่นาซาริคใช่ไหม? อธิบายมาซิ"

"ขอรับ! ในอนาคต, อาจจะมีนักรบที่แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นมาในหมู่พวกเขา,
การจะกวาดล้างพวกเขาให้หมดไปเลยนั้น มันค่อนข้างน่าเสียดาย,
การนำมาเป็นลูกสมุนนับว่าน่าสนใจทีเดียวและเราควรจะรอให้ลิซาร์ดแมนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ปรากฏตัวขึ้นมาในอนาคต, และตอนนี้เราควรทำให้พวกเขาหันมาจงรักภักดีต่อนาซาริค
อย่างสุดหัวใจแล้วมาทำงานให้เราซะ"

"......ข้อเสนอนี้ที่จริงก็นับว่าไม่เลวนัก, ศพของลิซาร์ดแมนนั้นมีคุณภาพสูงในการนำมา
ใช้ทำเป็นอันเดดมากกว่าศพของพวกมนุษย์, ถ้าเพียงแต่ว่ามันมีวิธีการที่สมบูรณ์แบบ
ในการเก็บศพที่ฝั่งอยู่ในเมืองรี-ลันเทีย(Re-Lantier), เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีความประสงค์
ที่จะใช้ศพของพวกลิซาร์ดแมน"

เพียงแค่โคไซตัสได้ยินคำพูดว่า "เช่นนั้นแล้ว......", เขาก็ตระหนักได้ว่านายท่านยังไม่จบ
การพูดเพียงเท่านี้แน่, เขารู้สึกว่าสังหรณ์ร้ายจะกลายเป็นความจริงเสียแล้ว

"แต่อย่างไรก็ดี, เมื่อเทียบกับการใช้ลิซาร์ดแมน, ถ้าข้าใช้ศพเพื่อสร้างอันเดด,
คุณภาพที่มากขึ้น ก็จะยิ่งต้องใช้ต้นทุนในการใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วย,
ไม่เพียงแต่ความเป็นไปได้ในการรับประกันความภักดีของพวกเขาเท่านั้น
แต่เรายังไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอีกด้วย, ประโยชน์ที่สุดของพวกลิซาร์ดแมน
คือการเพิ่มจำนวนประชากร, และประโยชน์ในข้อนี้ จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนาน
ถ้าข้าพลาดเรื่องอะไรไปละก็, พูดออกมาให้พวกเราได้ฟัง ว่าพวกเขายังมีประโยชน์อะไร
ที่จะสามารถโน้มน้าวใจของข้าได้?"

ถ้ามันเป็นไปได้ที่จะได้รับความเมตตาจากนายท่าน, เขาควรจะคิดได้เพราะมันคือ
ความปราถนาของเขาเอง, แต่ยังไงซะ โคไซตัสก็คิดถึงประโยชน์ด้านอื่นๆ ไม่ออกเลย

ที่เป็นอย่างนี้เพราะตลอดมาเขาคิดว่าตัวเขานั้นคืออาวุธ, และวางใจให้นายท่านบัญชากองทัพ
และเช่นเดียวกัน เขาไม่เคยนึกถึงประเด็นนี้มาก่อน, จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่มีวิธีหว่านล้อม
นายท่านได้, เขาไม่เคยคำนึงเอาไว้ล่วงหน้าเลยว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้ส่วนรวมทั้งหมด
สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์สูงสุดได้

ยิ่งกว่านั้น, นายท่านยังถามหาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาสุสานนาซาริค,
โคไซตัสแค่ปราถนาที่จะไม่ล้างบางพวกลิซาร์ดแมนเพราะพวกเขามีความปราดเปรื่อง
และมีหลายคนที่มีความโดดเด่น, เพราะเขาเองก็เป็นนักรบ เขาจึงสนใจที่เห็นพวกนั้น
ต่อสู้เพื่อปกป้องพวกพ้อง, แต่ยังไงซะ นี้ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกส่วนตัว
และไม่ใช่การตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอีกด้วย

โคไซตัสแทบจะคลั่ง

ถ้าเขายังนิ่งเงียบละก็ จนนายท่านที่กำลังมองอยู่เกิดไม่สบายใจหรือโกรธขึ้นมาแล้วละก็,
ต่อให้มีคำตอบที่มหัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม, ผลลัพท์ก็คงจะลงท้ายเป็นคำสั่งกวาดล้าง
ลิซาร์ดแมนก่อนหน้านี้ทั้งหมดแน่

เขาพยายามเค้นสมองอย่างหนัก, แต่คำตอบก็ไม่ออกมาเลย

"มันคืออะไร, โคไซตัส, เจ้าไม่สามารถตบอกได้หรือ? เช่นนั้น การตัดสินใจสุดท้าย
จะเป็นการกวาดล้างนะ?"

คำถาม ถูกถามย้ำอีกครั้ง

หัวของโคไซตัสว่างเปล่าโดยสมบูรณ์, เขารู้สึกว่าฟันของเขามันหนักอึ้ง
มีเพียงความคิดของเขาที่พุ่งไปรอบๆ และกลับมาโดยไม่ได้อะไรเลย

เสียงทุ้ม ดังกังวานไปทั่วท้องพระโรงที่เงียบงัน

"......เช่นนั้นขอรับ......ช่างหน้าอดสูอะไรเช่นนี้"

เพียงแค่คำว่า "ช่างหน้าอดสูนักอะไรเช่นนี้" ที่เกือบทำให้เขาหายใจไม่ออก
โคไซตัสตกอยู่ในความเงียบงัน, ก่อนจะมีเสียงที่เงียบสงบยืนมือเข้ามาช่วยเขา

"ท่านไอนซ์ขอรับ, กรุณาให้กระผมเสริมคำพูดไม่กี่คำจากวงนอกด้วยเถิด"
"......มีอะไรรึ เดมิเอิร์จ? เจ้ามีอะไรเพิ่มเติมงั้นหรือ?"

"ขอรับ, เกี่ยวกับการตัดสินใจก่อนหน้านี้ของท่านไอนซ์, ถ้าท่านสะดวกละก็
ท่านอยากจะฟังความคิดเห็นอันต่ำต้อยของข้าหน่อยไหมขอรับ?"

"......เช่นนั้นจงพูดออกมาให้พวกเราทุกคนได้ฟังซะ"

"ขอรับ! ท่านไอนซ์, ท่านเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมถึงความสำคัญของการทดสอบในครั้งนี้
ดังนั้น, ท่านคงจะพิเคราะห์ถึงการทดสอบเล็กๆน้อยๆ สำหรับลิซาร์ดแมนด้วยสินะขอรับ?"

"โอ้, นี่เป็นข้อเสนอที่ดีทีเดียว"

โคไซตัสรู้สึกว่านายท่านเอนกายมาด้านหน้าบัลลังก์, ดวงตาสีแดงทั้งสองดวงนั้น
ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงในวินาทีต่อมา

"ถูกต้อง, ก่อนอื่น, ไม่ว่านาซาริคในอนาคตจะกลายเป็นแบบไหนก็ตาม, สุดท้ายพวกเราก็ต้อง
ก้าวข้ามวันเวลาที่ต้องการขุมพลังที่แตกต่างกัน, หรือต้องปกครองเผ่าพันธ์อื่นด้วย
พวกบริวารเหล่านี้จะไว้ใจได้หรือไม่เมื่อถึงเวลานั้น,
จะต้องมีการทดลองความสามารถในการควมคุมว่าจะควบคุมพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน
การทดสอบนี้จะเป็นตัวชี้วัด"

เดมิเอิร์จยืนยืดอกอย่างมาดมั่น และมองตรงไปหานายท่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก่อนที่จะ
สรุปทั้งหมดให้เขาฟัง

"ข้าเชื่อว่าเราควรจะควบคุมเผ่าลิซาร์ดแมนดู, และต้องทดลองการควบคุมพวกเขา
โดยไม่ใช้ความกลัวเป็นพื้นฐานขอรับ"

เสียงไม้เท้ากระแทกกับพื้นดังก้องไปทั่วบริเวณ

"......เป็นข้อเสนอที่เยี่ยมมาก, เดมิเอิร์จ"
"กระผมขอขอบพระคุณอย่างล้นพ้นขอรับ"

"เช่นนั้น, เกี่ยวกับพวกลิซาร์ดแมน, ข้าจะเอาตามที่เดมิเอิร์จเสนอมาและเปลี่ยนจาก
คำสั่งกวาดล้างเข้าไปเป็นผู้นำแทน, มีใครคัดค้านการตัดสินใจข้อนี้ไหม?
ถ้าใครมีอะไรละก็ จงยกมือขึ้น"

ดวงตาสีแดงวิบวับจ้องมองไปยังเหล่ากาเดี้ยนแต่ละคน

"ดูเหมือนจะไม่มีใครคัดค้านสินะ เช่นนั้นก็ตกลงเอาตามนี้"

ทุกคนน้อมศีรษะลง, แสดงความเข้าใจ

"อย่างไรก็ตาม, เดมิเอิร์จ ข้อเสนอของเจ้าช่างยอดเยี่ยม, น่าประทับใจยิ่งนัก"

เดมิเอิร์จยิ้มออกมาบางๆ

"กระผมมิบังอาจหรอกขอรับ, ท่านไอนซ์, ท่านคงจะคิดทั้งหมดนี้ไว้อยู่แล้ว,
เพียงแต่รอให้โคไซตัสเสนอออกมาเท่านั้น, ถูกต้องไหมขอรับ?"

นายท่านไม่ตอบกลับ, เพียงแค่เผยรอยยิ้มที่เหยเกออกมา
อย่างไรก็ดี, ท่าทางของนายท่านก็ได้สื่อทุกอย่างออกมาให้ประจักษ์แล้ว

โคไซตัสรู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งร่างกายขึ้นมาทันที

เขาได้รับหน้าที่ในการเป็นแม่ทัพนาซาริคอันทรงเกียรติ, แล้วเขาก็พ่ายแพ้
ในตอนที่เขาคิดต่างกับการตัดสินใจของนายท่าน เขาไม่ได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้เลย
เรื่องนี้จะอธิบายยังไงดี? บางทีมันอาจจะเป็น---

ไร้ความสามารถ, ตัวข้านั้น มันช่างไร้ความสามารถ

"......ไม่, ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก, เดมิเอิร์จ เจ้าทำหน้าที่แทนข้าได้อย่างน่ายกย่อง,
ข้าเพียงแค่หวังว่าเจ้าจะแสดงความคิดเห็นของเจ้าออกมา, โดยไม่ต้องคำนึงว่า
ความคิดนั้นจะเป็นอย่างไร"

นายท่านเลื่อนสายตาอีกครั้ง และมาหยุดที่โคไซตัสเป็นเวลานาน
ความเข้าใจในความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของนายท่าน, แม้ว่าโคไซตัสจะรู้สึกละอาย,
แต่เขารู้ก็ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะก้มหน้าลง

"สิ่งแรกคือการทำความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของคำสั่ง หลังจากที่ให้ความสนใจ
ในการทำความเข้าใจคำสั่งแล้ว, จากนั้นเจ้าก็ทำตามหลักสูตรปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุดในการ
เหล่ากาเดี้ยนทั้งหลาย, จงตั้งใจฟังต่อจากนี้ให้ดีๆ, พวกเจ้าไม่ควรทำตามคำสั่งอย่าง
ไม่ลืมหูลืมตาเด็ดขาด, ก่อนจะลงมือ, เจ้าต้องคิดด้วยว่าอะไร ที่จะเป็นประโยชน์ต่อนาซาริค
และถ้าหากเจ้าเห็นว่ามีข้อผิดพลาดอะไรในคำสั่ง, แล้วเจ้ามีสามารถดำเนินการด้วยวิธีที่ดีกว่าได้
ก็ให้คำนึงถึงหน้าที่ มาก่อนตัวข้า, หรือใคร มีข้อเสนออะไรก็ให้แจ้งมา---ดังนั้นแล้ว
โคไซตัส กลับมาที่หัวข้อเดิม, ข้าบอกว่าเจ้า จะต้องได้รับลงโทษ, ใช่หรือไม่?"

"ใช่แล้วขอรับ, ท่านต้องการให้ข้าไปกวาดล้างกลุ่มลิซาร์ดแมน"

"ก็จริง, แต่อย่างไรด็ตาม, ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปกวาดล้างพวกเขาแล้ว, แต่ต้องไปปกครองพวกเขา
จากที่ว่ามา, ข้าขอเปลี่ยนแปลงบทลงโทษของเจ้า, โดยการให้เจ้ารับผิดชอบในการปกครอง
พวกลิซาร์ดแมน และทำให้พวกเขา มีความจงรักภักดีอย่างสุดหัวใจต่อนาซาริค
และเจ้าห้ามใช้ความกลัวปกครองพวกเขาโดยเด็ดขาด, และลิซาร์ดแมนที่จะมาเป็น
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าห้ามแสดงความกลัวออกมาเด็ดขาด"

โคไซตัสไม่เคยต้องแบกภาระหนักหนาขนาดนี้มาก่อน---ไม่สิ, ในบรรดากาเดี้ยนด้วยกัน
คงจะมีเพียงแต่เดมิเอิร์จเท่านั้น ที่มีประสบการณ์แบบนี้

นี้เป็นภารกิจที่ทำเพื่อตนเอง, ความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัวโคไซตัสชั่ววูบหนึ่ง
แต่เขาจะออกเสียงขี้ขลาดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร, คำพูดเหล่านี้จะพูดออกมาพล่อยๆไม่ได้
กับความใจกว้างของผู้ปกครองสูงสุด ผู้ที่เขาสาบานว่าจะจงรักภักดีไปจนวันตาย
หรือต่อเพื่อนร่วมงานที่ยื่นมือเข้ามาช่วย

"ข้ารับทราบ และยินดีน้อมรับปฏิบัติขอรับ, เพราะมีความกังวลในหลายๆเรื่อง
ข้าจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่สำหรับความช่วยเหลือและคำแนะนำจากคนอื่นๆ"

"แน่นอน, เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ข้อมูลและกำลังคน, เกี่ยวกับเรื่องนี้
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนาซาริคเอง"

"ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงขอรับ, ข้า, โคไซตัส ขอสาบาน ว่าจะต้องนำผลลัพท์ธ์ที่ดีและกลับมา
และไม่ทำให้ความเมตตาของนายท่านต้องเสีบเปล่าขอรับ"

โคไซตัสตะโกนดังออกมา จากก้นบึ้งในหัวใจเขา

"ดี, เช่นนั้นกาเดี้ยนทั้งหมดต่อไปนี้จงรับคำสั่งออกไปโจมตี, ด้านหนึ่งทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ
ส่วนอีกด้านรับหน้าที่สำแดงแสงยานุภาพที่แท้จริง ทำให้ให้พวกลิซาร์ดแมนได้เห็นซะ
ว่าความแข็งแกร่งของเราไม่ใด้กระจอกงอกง่อย, แน่นอน, ถ้าโคไซตัสเห็นว่าจะมีที่ส่งผลกระทบ
ที่ไม่ดีด้านการปกครองตามมาในภายหลัง, ข้าก็สามารถยกเลิกคำสั่งของข้าได้"

โคไซตัสตัสคิดไตรตรองแล้วตอบกลับไป

"ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆขอรับ"
"อย่างนั้นหรือ, ถ้าอย่างงั้น กาเดี้ยนทั้งหมด, ให้เตรียมตัวในทันที"

กาเดี้ยนทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นเปล่งเสียงยืนยันและทำความเข้าใจออกมาในเวลาเดียวกัน

"อัลเบโด้, ข้าจะออกไปข้างนอก, ช่วยเตรียมทหารให้ที"
"ตามบัญชาเจ้าค่ะ, หลังจากได้คำนึงถึงบางเรื่อง, ยังมีศัตรูบางคนที่ทำการการสอดแนมอยู่
พวกเราจะทำให้พวกเขาเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเราผิดหรือเปล่าเจ้าค่ะ?"

"นั้นก็จริง, แต่อย่างไรซะ อย่าลืมว่าพวกเรามีก็จุดประสงค์ในการแสดงแสนยานุภาพด้วยเช่นกัน"
"เช่นนั้น, เราก็สามารถส่ง เวทเทอเรน การ์ด(Veteran Guard - ทหารอารักขาที่ช่ำชอง)
แห่งนาซาริคไปเป็นกำลังหลัก, เพื่อให้องค์ประกอบของกองทัพดูมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ"

ภายในของโคไซตัสเห็นด้วยกับการตอบสนองของอัลเบโด้

อันเดดอารักขา ที่เรียกกันว่า นาซาริค เวทเทอเรน การ์ด (Nazarick’sVeteran Guard)

มีเพียง นาซาริคเวทเทอเรน การ์ด ในบรรดาหน่วยรักษาความปลอดภัย
แห่งมหาสุสานนาซาริคเท่านั้นที่กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นอันเดดระดับสูง
พวกเขามีไอเทมในความครอบครองพร้อมด้วยเวทมนต์ที่หลากหลายและยังมีอุปกรณ์สวมใส่เป็น
โล่และอาวุธเวทมนต์ ยิ่งกว่านั้นยังมีสกิลการต่อสู้กับความสามารถพิเศษอีกด้วย,
พวกเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมทีเดียว

"เรื่องนั้นไม่มีปัญหา, แล้วเจ้าต้องการเท่าไหร่?"
"สามพันเจ้าค่ะ"
"มันค่อนข้างเล็กน้อยไปหน่อยนะ, ด้วยจำนวนเท่านี้, มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ปฐพี
สะเทือนเลื่อนลั่น, เราต้องการชัยชนะแบบท่วมท้นในเวลานี้,
ให้พวกที่มันดูถูกนาซาริคได้รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของนาซาริค
ถ้าหากจำนวนมันน้อยกว่าครั้งก่อน, มันก็จะสื่ออกมาไม่ได้, ข้าหวังอยากจะได้กำลังซักสองเท่า,
ยังมีหน่วยอื่นที่ใช้การได้อีกหรือ? "

"เช่นนั้น เราก็สามารถระดมพวกนาซาริค เอลเดอ การ์ด(Nazarick’s Elder Guard)
และนาซาริคมาสเตอร์การ์ด(Nazarick’s Master Guards) มาร่วมด้วย
ท่านคิดว่าอย่างไรบางเจ้าค่ะ? แบบนี้ เราจะเพิ่มจำนวนได้ถึงหกพัน"

ไม่น่าแปลกใจที่เธอเป็นหัวหน้าของเหล่ากาเดี้ยน, การตอบสนองของอัลเบโด้นั้นลื่นไหลดั่งสายน้ำ,
เห็นเช่นนี้ ไอนซ์จึงให้คำตอบที่กระชับกลับไป

"เยี่ยมมาก!! ถ้างั้น จะมีปัญหาอะไรไหมในการเปิดใช้งานการ์กันทัว(Gargantua)"
"ไม่มีเจ้าค่ะ, ท่านไอนซ์ เราได้เตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงาน
ของการ์กันทัวไว้แล้วเจ้าค่ะ"

"ถ้างั้น, แชลเทียร์, เจ้าจงใช้ [ทรานเฟอร์ (Transfer)] ในการส่งกองกำลังทั้งหมดไป"
"ถ้าหากให้ข้าจัดการคนเดียว, ดูท่าว่าพลังเวทย์ของดิชั้นจะไม่เพียงพอ"
"ให้เพสทูเนีย(Pestunia) ช่วยด้วยแล้วกัน ให้เธอส่งพลังเวทย์ให้กับเจ้า ถ้าหากยังไม่พอ
ก็ให้ลูปุสเรจิน่าช่วยอีกแรง"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
"ต่อจากนั้น, ให้นิเกรโด้และแพนโดร่า แอคเตอร์ ย้ายครือข่ายเตือนภัยมาทางด้านพวกเรา
ถึงแม้ว่าเครือข่ายเตือนภัยทางด้านเซบาสจะอ่อนลงก็ตาม......เราต้องร่วมมือกัน เพิ่มการ
เฝ้าระวังภัยให้มากขึ้น, ดีล่ะ!! ถ้างั้น, ทุกคนแยกย้ายได้!
พรุ่งนี้ เราจะทำให้พวกลิซาร์ดแมนได้ประจักษ์กับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของ
มหาสุสานนาซาริค!!"

Part 2
"ขอบคุณเจ้ามาก, เดมิเอิร์จ"

หลังจากนายท่านออกไปท้องพระโรง, สิ่งแรกที่โคไซตัสทำ คือการขอบคุณเดมิเอิร์จ
โคไซตัสโค้งศีรษะให้อย่างน้อมน้อม ส่วนเดมิเอิร์จยิ้มบางๆกลับไปอย่างทุกที

"ไม่หรอก, ไม่ต้องถือสาอะไรทั้งนั้น"
"ไม่ได้หรอก, ถ้าไม่มีเจ้าละก็, พวกลิซาร์ดแมนคงโดนกวาดล้างจนหมดแน่"
"......โคไซตัส, เจ้าคงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับคำพูดระดับนั้นของท่านไอนซ์
ข้าเชื่อว่าแต่เดิมนั้น ท่านไอนซ์ได้คาดหวังให้มันออกมาแบบนี้อยู่แล้ว"

เดมิเอิร์จยกนิ้วขึ้นมาระหว่างการอธิบาย, จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตกใจ
ใครคนหนึ่งที่ส่งเสียงออกมาเป็นเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเขา,
และยังดูเหมือนว่ามันจะดังมาจากกาเดี้ยนทุกคนที่อยู่รอบๆ ด้วยเช่นกัน

"ถ้าจะให้พูดก็คือ ข้าคิดว่าท่านไอนซ์คาดการณ์ไว้แล้วว่าเจ้าจะพูดถ้อยคำแบบเมื่อครู่นี้ออกมา,
ดังนั้นท่านจึงสั่งให้เจ้าเป็นผู้บัญการในการรุกรานถิ่นฐานของพวกลิซาร์ดแมน
และข้ายังเชื่อด้วยอีกว่าตอนที่เจ้าคัดค้านคำสั่งกวาดล้างลิซาร์ดแมน, ท่านไอนซ์ได้แสดงความ
ยินดีเป็นอย่างมากออกมา, และตอนที่เจ้าตอบคำถามท่านไม่ได้, ท่านดูเหมือนจะรู้สึก
ผิดหวังด้วยเช่นกัน"

"ที่เจ้าพูดก็หมายความว่า ท่านไอนซ์รู้สึกผิดหวัง ที่มันไม่เป็นไปตามแผนของเขางั้นหรือ?"
"ถูกต้องแล้ว, ซึ่งมันก็หมายความว่า การสนทนาที่เกิดขึ้นที่นี่ค่อนข้างจะมีความเป็นไปได้
ว่าทั้งหมดอยู่ภายใต้การคาดการณ์ของท่านไอนซ์"
"สมแล้วที่เป็นท่านไอนซ์, เห็นได้ชัดเลยว่าท่านคำนวณทุกอย่างไปไกล ได้อย่างสมบูรณ์แบบ"
"ตะ-แต่ว่า แล้ว.....กะ-เกี่ยวกับเรื่องนั้น......"
"......ถ้าเจ้ามีอะไรอยากจะพูด ก็รีบพูดออกมาสิ"

ออร่าหันไปย้ำมาเระที่กำลังพูดติดๆขัดๆ ให้พูดเร็วขึ้น

"ฮะ-ฮ่ะ, ผมรู้สึกว่ามีมันอะไรบางอย่าง, ตั้งแต่แรก, ทำไมถึงส่งต้องอันเดดที่อ่อนแอ
แบบนั้นไป, ถะ-ถึงจะ......ไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน, แต่บางที ท่านไอนซ์คงจะจัดการไว้
เพื่อให้การต่อสู้ครั้งนี้ต้องพ่ายแพ้มาตั้งแต่เริ่ม......"

"ให้คิดว่าความพ่ายแพ้เป็นของขวัญ, บางทีนายท่านของพวกเราอาจจะเห็นว่าโคไซตัส
จะมองลิซาร์ดแมนขาด และกลับมารายงานว่าพวกมันสามารถใช้การได้หรือไม่งั้นหรือ?"

โคไซตัสนึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาระหว่างเขากับเดมิเอิร์จแล้วก็รู้สึกละอายขึ้นมา
เพราะเขาได้ทำให้ทุกอย่างพลาดไปหมด

"ถ้าหากไม่คุ้นเคยกับใจนิสัยใจคอของโคไซตัส ก็คงไม่สามารถที่จะมีแผนการนี้ขึ้นมา
ช่างสมกับที่เป็นท่านไอนซ์จริงๆ"

"ในการต่อสู้กับแชลเทียร์ ความสามารถในการต่อสู้ของท่านไอนซ์นั้นเป็นที่ประจักษ์ออกมาแล้ว,
แต่มันก็ยังบ่งบอกว่าเขายังเป็นนักยุทธศาสตร์ชั้นสูง, ท่านโดดเด่นอย่างแท้จริงในระดับสูงสุด
แม้ว่าท่านไอนซ์จะบอกว่าไม่ควรทำตามคำสั่งท่านอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็ตาม,
ข้าก็ยังรู้สึกว่ามันเพียงพอที่จะทำตามบัญชาของท่านไอนซ์อยู่ดี......"

"ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ท่านชักนำเหล่าผู้ปกครองสูงสุดทุกท่านมารวมกันได้,
มันบ่งบอกได้เลยว่าชื่อของท่านนั้น ไม่ได้มีเอาไว้โชว์จริงๆ"

หลังจากเดมิเอิร์จ ผู้ที่มีมันสมองในระดับท็อปคลาสกล่าวจบ, แชลเทียร์ก็ถูกใจคำที่พูดมา
ด้วยความปิติ กาเดี้ยนคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้เหล่านี้



ไอนซ์กลับไปที่ห้องของเขา แล้วกระโดดลงบนเตียง หลังจากที่ต้องฝืนมานาน
ร่างของไอนซ์ก็ได้สัมผัสกับที่นอนเสียที ---
แล้วเขาก็เริ่มกลิ้ง, กลิ้งไปทางขวา, จากนั้นก็กลับมาทางซ้าย

เขาสามารถกลิ้งแบบนี้ได้ เพราะเตียงนอนของเขานั้นมีขนาดใหญ่
แม้ว่าผ้าคลุมที่สวยงามของเขาจะยับยู่ยี้หมดแล้วก็ตาม
ไอนซ์ที่ไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้, ยังคงหัวเราะเบาๆ ในขณะที่เขายังคงกลิ้งไปมา
แน่นอน, ที่เขาทำตัวเป็นเด็กๆ ได้แบบนี้เพราะนอกจากเข้าแล้ว ก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามา

จากนั้นไม่นาน, ไอนซ์ที่ได้ทำตามใจชอบจนพอใจแล้ว เขาก็นอนแผ่หันหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน

"เฮ้อออ, เหนื่อยจัง......อ่า~ อยากดื่มด่ำไปกับแอลกอฮอล์ให้สะใจเสียจริงๆ
ดื่มให้เมาปลิ้นไปเลย......แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ"

ไอนซ์บ่นเสร็จก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ --- แต่อย่างไรซะ ไอนซ์นั้นไม่ได้หายใจอยู่แล้ว
สิ่งที่ออกมาจึงเป็นเพียงแค่การถอนหายใจปลอมๆ เท่านั้น

เพราะเขาเป็นอันเดด, นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ต้องสนใจความเมื่อยล้าทั้งทางด้านจิตใตและร่างกาย
แต่อย่างไรก็ตาม, ถ้าจะให้พูดในมุมของมนุษย์ละก็ หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เขาต้องเหน็ดเหนื่อย
อยู่ทุกวัน, ถ้าหากเขายังมีกระเพราะอยู่ละก็, มันก็คงจะพังไปตั้งนานแล้ว

เพราะว่าไอนซ์ต้องทนรับกับความกดดัน

นักรบโมมอนผู้พิชิตแวมไพร์ผมสีเงิน --- แชลเทียร์, สำหรับคนที่ไม่ีรู้พวกนั้น
บางทีพวกเขาคงจะคิดกันแค่ว่าเป็นการกระทำที่น่าเหลือเชื่อ, แต่สำหรับบุคคลปริศนาที่ใช้
ไอเทมระดับ World class ใส่แชลเทียร์แล้ว, มันก็จะส่งผลอีกอย่างหนึ่ง
ฝ่ายตรงข้ามอาจจะกำลังจับตาดูโมมอนอยู่, หรือกระทั่งอาจจะทำการติดต่อเข้ามาก็เป็นได้

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ไอนซ์ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา, แถมยังเตรียม ไอเทมแคช ที่จะทำให้เขา
สามารถหลบหนีได้ตลอดเวลา, ช่วงเวลาว่างของเขา, ที่ไม่ต้องรักษาความตื่นตัว,
เขาก็ยังต้องรักษาบทบาทสมมติเอาไว้......หรือบางทีจะเรียกว่าการฝึกเพิ่มความหวาดละแวง
จะถูกกว่า นึกภาพว่าศัตรูปรากฏตัวขึ้นมา, เขาก็จะสามารถหลบหนีได้ ในเวลาเดียวกันนั้น
เขาก็สามารถเก็บข้อมูลไปพร้อมกันได้ด้วย

แม้ว่าจะต้องเคลียดอยู่แบบนี้ทุกวัน แต่มันก็ไม่มีผลกระทบจริงๆจังๆ กับ ไอนซ์ อูล โกลน์
มันเป็นเพียงจิตใจที่เรียกร้องจากเศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์ที่เขายังเหลืออยู่
ในฐานะมนุษย์ชื่อ ซูซูกิ ซาโตรุ, ในระหว่างเวลาว่างของเขาที่เขาสามารถจะผ่อนคลายและได้อยู
กับตัวเอง, เขาจะโยนภาพลักษณ์ในฐานะผู้ปกครองสูงสุดแห่งนาซาริคทิ้งไป แล้วแสดงนิสัย
เหมือนเด็กๆออกมา, ที่เป็นอย่างนี้เพราะลึกลงไปภายในตัวไอนซ์, มีซูซูกิ ซาโตรุที่ตึงเคลียดและ
เหนื่อยล้าปรารถนา อยากจะทำแบบนี้อยู่

"ผมจำไม่ได้แล้วถึงความรู้สึกอดหลับอดนอนในสมัยก่อน......สงสัยจริงๆ ว่าผมทำงานล่วงเวลา
มานานเท่าไหร่แล้วนะ ในเดือนนี้"

ที่ร่ำร้องออกมานี้ บางทีคงจะเป็นเพราะบุคลิกของ ซูซูกิ ซาโตรุ ที่ติดมาถึงไอนซ์

"มหาสุสานแห่งนาซาริค......ไม่สิ,ผมหมายถึงไอนซ์ อูล โกล......ไม่ใช่บริษัท,
องกรค์ที่มีความเห็นอกเห็นใจ, และรับประกันเงินค่า โอที ให้กับพนักงาน"

เรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนี้, ไอนซ์ขมวดคิ้ว(ที่ไม่มีอยู่)ของเขา เข้าหากัน

"เอ๋?......มันคงไม่ใช่ว่าเพราะเงินที่ผมใช้ไปในตอนปฏิบัติหน้าที่ ผมก็เลยไม่ได้้ค่าโอทีหรอกนะ?
ว้าวววว....."

ไอนซน์กลิ้งซ้ายทีขวาทีอีกครั้ง, หลังจากกลิ้งไปกลิ้งมา ห้า-หกรอบ อยู่ๆเขาก็หยุดกึก

"พอเถอะ......หยุดพล่ามไร้สาระเท่านี้แหละ......กลับมาคิดเรื่องนั้นดีกว่า
โคไซตัสเอง ก็ทำอะไรเหลือเชื่อได้เหมือนกันแฮะ, ที่พูดออกมาอย่างนั้น"

มันน่าตกใจจริงๆนะ, เห็นได้ชัดว่าโคไซตัสเอาใจใส่พวกลิซาร์ดแมนขนาดไหน
ท่าทางของโคไซตัสนั้น ทำเอาไอนซ์รู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก

ซูซูกิ ซาโตรุ เป็นคนแบบนั้น, เมื่อต้องเตรียมการอภิปราย ,ขั้นแรกเขาจะรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วน
จากนนั้นก็ดำเนินการไปตามมาตฐานการปฏิบัติที่อยู่ในหนังสือ
เช่นนี้, เขาก็เลยไม่คุ้นเคยกับการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
แต่อย่างไรซะ ถ้าหากปัญหานั้นมีเขียนไว้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลแล้วละก็, เขาก็สามารถจัดการกับ
ปัญหานั้น ตามข้อมูลที่มีอยู่ได้, ในต่างโลก, สำหรับ ซูซูกิ ซาโตรุแล้ว กุญแจสำคัญที่จะทำให้
การอภิปรายของเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ก็คือ การที่เขาได้คำนวณปัญหาต่างๆไปก่อนเรียบร้อยแล้ว
ในขั้นตอนการตรวจสอบ

สำหรับคนที่ไม่เหมาะเป็นอย่างมากกับสภาพที่จำเป็นต้องปรับตัวตามสถานการณ์,
ตรงจุดนี้ เขาเกลียดสถานการณ์แบบนี้มาก

อย่างที่ว่ามา, ในท้องพระโรงแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาข้อมูลต่างๆ เข้าไปด้วย
และมันก็ไม่สะดวกด้วยที่จะมาพูดว่า "ถ้างั้น ช่วยเปิดหน้าต่อไปด้วยครับ"
ดังนั้น ไอนซ์จึงเตรียมการสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในท้องพระโรงนั้นมานานแล้ว
โดยการฝึกซ้อมลำดับขั้นตอนทั้งหมดไว้ในหัวมากกว่าสิบรอบ
เขาถึงขนาดอธิฐานอยู่ในใจเลยว่า อย่ามีใครทำอะไรปุบปับขึ้นมาเลยนะ

แล้วคำอธิฐานเล็กๆของเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ โดย โคไซตัส

เขากังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องที่โคไซตัสอยากจะพูด, แต่เขาก็รู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน

เพราะในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็รู้สึกถึงความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่ --- มันเหมือนกับ
การที่เด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่ายในบ้าน กล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาเป็นครั้งแรก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาของตัวบุคคลซึ่งเกินกว่าที่ไอนซ์คิดไว้มาก

เมื่อนึกกลับไปถึงนาซาริคก่อนหน้านี้, เขาขอให้เมดปรุงอาหารให้ สิ่งที่เขาต้องการก็คือสเต็ก,
ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่าง อย่างเช่นระดับฝีมือ เธอก็ยังต้องขอไปฝึกฝนเพิ่ม
แต่ในการทำสเต็ก มันไม่จำเป็นต้องใช้ระดับฝีมือสูงส่งอะไรขนาดนั้นก็ได้
เขาไม่ได้หวังให้อาหารมันออกมาเริ่ดหรูอะไรมากมาย, ขอแค่มันกินได้ก็พอ

แต่ยังไงซะ ผลที่ได้มาก็คือ ก้อนสีดำๆ เหมือนถ่าน

แต่ถึงกระนั้นเมดสาวก็ยังไม่หยุดฝึกฝนฝีมือ, จนในที่สุดผลที่ออกมา......ก็ยังคงเป็นเนื้อที่ไหม้เกรียม

ในขณะที่เขายอมรับการขอโทษอย่างสุดหัวใจจากเมด, ไอนซ์ก็สามารถที่จะยอมรับผลลัพธ์เหล่านี้
ที่เมดมีความพยายามซึ่งเขาหวังเอาไว้อยู่ภายในด้วยเช่นกัน, มันก็เหมือนกับตอนที่ไอนซ์
ลองพยายามที่จะยกดาบใหญ่ตอนอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อนั้นแหละ

ในอิกดราซิล, จะมีเพียงผู้ที่มีอาชีพพิเศษ ใช้อะบิลิตี้พิเศษเท่านั้น ถึงจะทำอาหารได้
เพราะอาหารพวกนี้สามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ได้ชั่วคราว จึงไม่ใช้ทุกคนที่จะปรุงอาหารได้
แต่อย่างไรก็ดี, ที่เมดคนนั้นทำอาหารไม่ได้ เพราะเธอไม่มีอะบิลิตี้พิเศษในการปรุงอาหาร

นั้นหมายความว่า ถ้าเขาต้องการทำอะไรบางอย่างที่ต้องใช้อะบิลิตี้พิเศษที่เขาไม่มีละก็
เขาก็จะติดอยู่กับความล้มเหลว

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโคไซตัส มันเป็นจุดประสงค์ของไอนซ์มาโดยตลอด, จะให้อธิบายมันก็คือ
การทดลองนั้นเอง, ไอนซ์อยากจะทดสอบว่าลูกน้องของเขาที่ได้รับการตั้งค่าเอาไว้
จะสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้หรือไม่ และทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขายังคงพัฒนาต่อไปได้
หลังจากเรียนรู้ลูกเล่นหรือแผนการต่างๆ, การปล่อยให้โคไซตัสสั่งการอันเดดที่อ่อนแอ
ด้วยแนวคิดง่ายๆ ของเขาจนกระทั่งพ่ายแพ้ เขาน่าจะยิ่งได้รับอะไรต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น

ไอนซ์ยินดีเป็นอย่างยิ่งกับผลลัพธ์ที่ออกมา, โคไซตัสแสดงให้ไอนซ์เห็นถึงความเป็นไปได้
ในการเจริญเติบโต

แน่นอน, ว่ามันมีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างการเรียนรู้ผ่านการกระทำและ
การเรียนรู้โดยผ่านการท่องจำ

และเป้าหมายสูงสุดของไอนซ์คือการได้มาซึ่งเวทมนต์ที่มีเฉพาะในโลกนี้ --- ถ้าหากมันยังคงมี
เหลืออยู่ละก็นะ, ตอนนี้ ไอนซ์ยังไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังมีอะไรที่คงเหลืออยู่บ้างทั้งเวทมนต์
เทคนิค หรือความรู้ แต่ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม การทดลองนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า
ภูมิปัญญานั้นสามารถที่จะพัฒนาได้อย่างแน่นอนแล้ว

โคไซตัสพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเติบโตนั้นเป็นไปได้, เขาแสดงให้เห็นได้ดีเกินคาด

ไอนซ์คิดกับตัวเอง

หากปราศจากการเติบโต, มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเฝ้ารอจนถึงวันสุดท้ายที่เขาสิ้นไป
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะแข็งแกร่ง, แต่ในท้ายที่สุดซักวันนึง พวกเขาจะต้องก้่าวผ่านมันไปได้
อย่างแน่นอน

แม้ว่าเขาจะมีเทคโนโลยีทางทหารล้ำหน้าไปอีกร้อยปี, ถ้าเขาไม่ทำให้เกิดความก้าวหน้าใดๆได้
ในท้ายที่สุดซักวันหนึ่งเขาก็จะสูญเสียตำแหน่งของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไป
ตอนนี้, พวกประเทศเพื่อนบ้านอาจจะนับได้ว่าเป็นประเทศที่แข็งแกร่ง
แต่ถ้าพวกเขาเชื่อว่าจะรักษาสถานะภาพของประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ ให้คงอยู่ตลอดไป
โดยไม่จำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติมให้ดีขึ้นละก็,
นั่นจะเป็นความโง่อย่างเหลือเชื่อที่จะนำไปสู่ความผิดพลาด

"แม้ว่ามันจะเป็นความคิดของผมเอง......แต่ในตอนนั้นผมก็ยังมีความสุขที่สุดที่เด็กน้อยได้เติบโต
ในเวลาเดียวกัน ผมก็กังวลว่าคนอย่างผมคู่ควรกับความจงรักภักดีของพวกเขาในฐานะ
ผู้ปกครองสูงสุดหรือเปล่า"

ในที่ขณะที่เขานอนเลื้อยไปมา, ไอนซ์ก็จ้องมองไปยังเพดานด้านบน

"อะ, อ่าา, น่ากลัว, มันช่างน่ากลัวจริงๆ......"

อีกครั้งที่เศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์ของซูซูกิ ซาโตรุ โอดครวญออกมาเพราะความกังวล
ที่ผุดขึ้นมาใหม่นี้

เนื่องจากการเติมโต พูดอีกอย่างก็คือการเปลี่ยนแปลง, ถ้างั้น ใครจะสามารถยืนยันได้ว่า
ความจงรักภักดีของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนไปด้วย? ถึงแม้ว่ามันจะไม่เปลี่ยนก็ตาม
แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่วันหนึ่งผมจะถูกมองว่าไม่เหมาะกับเกียรติของผู้ปกครองสูงสุด
แห่งนาซาริค ผมกังวลว่า ตัวผมที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากิลด์ จะสูญเสียสิทธิในตอนนี้ไป

"......ผมจะต้องเป็นผู้ปกครองสูงสุดที่คู่ควรกับความจงรักภักดีของเหล่ากาเดี้ยน......จะมีใคร
สามารถสอนหลักสูตรเรื่องการขึ้นเป็นจักรพรรดิให้ผมได้บ้างไหมนะ?"

คงไม่มีใครที่มีวิธีการที่สะดวกสบายแบบนั้นในนาซาริคแน่

ไอนซน์ติดอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง, มีสองคนที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของไอนซ์
ทั้งสองคนเป็นสมาชิกของ ห้าสิ่งเลวร้ายแห่งนาซาริค, ที่แต่ละคนมีฉายาว่าดยุค,
เจ้าแห่งความหวาดกลัว, และมีคนนึงที่มีคำว่า"ราชา"อยู่ในชื่อ, กาโชคุโคชูอน ,
ไอนซ์พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ว่าจะเข้าไปศึกษากับสองคนนี้ดีหรือไม่,
แล้วไอนซ์ก็ให้คำตอบสั้นๆ กับตัวเอง

"......ขอผ่านดีกว่า"

นอกจากเขากำลังจะตายจริงๆ, เขาก็ไม่อยากจะได้รับการสอนจากทั้งสองคนนี้หรอก

"ช่างมันเถอะ......ตราบใดที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด, ตอนนี้เรายังสบายมาก,
แต่อย่างไรก็ดี......ไอ้เรื่องแกะสองขานั้น......"

ไอนซ์รู้จักตัวตนของแกะสองขามานานแล้ว, เขาก็เลยไม่ได้เจาะจงหรือติดตามรายละเอียดของมัน,
เพราะมันเป็นมอนเตอร์ที่เขาเคยเจอมาก่อนในเกม ยุกดราซิล

"มันมีสองหัว หัวนึงเป็นสิงโต อีกหัวเป็นแพะภูเขา, อีกทั่งยังมีหางเป็นงู, อุ้งเท้าเป็นสิงโต
และมีขาเป็นแกะภูเขา ใช่ๆ......มันคือคิเมร่าน่ะเอง......"

ในยุกดราซิล, คิเมร่าจะเดินไปมด้วยขาแกะทั้งสองของมัน และใช้เท้าสิงโตของมันเริ่มการโจมตี
มอนสเตอร์ที่เกิดมาพร้อมกับหัวของสิงโตและแพะภูเขา,รูปร่างของมันมีพื้นเพมาจากเทพที่
เรียกว่าบาโฟเมท

งั้นทำไมเดมิเอิร์จถึงไม่เรียกว่าคิเมร่าล่ะ? ไอนซ์ไตร่ตรองคำถามนี้ ก่อนจะคิดคำตอบขึ้นมาได้

"อ๋อๆ, มันต้องเป็นสายพันธุ์ย่อยแน่เลย มันเป็นอย่างนั้นสินะ เดมิเอิร์จ?"

ไอนซ์หัวเราะร่า, แล้วจดบันทึกประเมินผลของเดมิเอิร์จ
"มีรสนิยมการตั้งชื่อที่ห่วยเกินคาด"

"ในยุกดราซิล ก็ยังมีสายพันธุ์แบบ คิเมร่าลอร์ด ปรากฏตัวออกมาบ้างนิดหน่อย......ไม่สิ,
ผมควรจะพูดว่ารูปร่างของคิเมร่ารูปแบบปลานี้แหละคือจุดที่น่าขยะแขยงที่สุด,
แกะสองขาคือคิเมร่าสายพันธุ์ใหม่......ถ้ามีใครซักคนพามานาซาริคได้ก็คงจะดีไม่น้อย
ถ้างั้นเอาเป็นวิคทิม....."

รูปร่างของเขา เหมือนกับในความทรงจำของไอนซ์, ยกเว้นแต่คุณลักษณะอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ
ของเขา

"ภาษาที่เขาใช้......ที่จริงแล้วมันคือภาษาเอโนค (Enoch) ที่ใช้โดยเทวดา, ใช่ไหมนะ?
มันรู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยกับคนที่พูดภาษาอื่นอยู่เลย......"

เพราะมันได้ทำการแปลโดยอัตโนมัติ, ไอนซ์จึงเข้าใจภาษาที่เขาพูดไม่ได้ ถึงเขาจะรู้สึกแปลกๆ ก็ตาม
แน่นอน, มันมีความเป็นไปได้มาก ที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะไอนซ์ไม่เข้าใจภาษาเอโนค

"ช่างมันเถอะ, ไม่จำเป็นต้องคิดมาก, ดีล่ะ, ได้เวลาเตรียมตัวสำหรับออกไปสู่สมรภูมิแล้ว......"

ไอนซ์กลิ้งซ้ายทีขวาทีไปมาจนหน่ำใจ, หลังจากที่เขาหยุดแล้วนอนแผ่หลาคว่ำหน้าลงไป
เขาก็กลับไปขบคิดความกังวลต่างๆเมื่อครู่นี้

เขาฝังหน้าลงไปกับที่นอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าไปลึกๆ

แน่นอน, ไอนซ์ไม่มีปอด การกระทำเมื่อครู่จึงเป็นการทำท่าหลอกๆ
แต่กระนั้น, เขากลับได้กลิ่นที่น่าประหลาดใจ

"นี่มันกลิ่นดอกไม้......มีน้ำหอมอยู่บนที่นอนหรอ? เตียงของพวกคนรวยเค้าเป็นแบบนี้กันหรือไงนะ?
ถ้าเป็นอย่างงั้น มันก็น่าตกใจจริงๆ.....คนที่แกล้งทำเป็นรวยก็ทำแบบนี้ได้ด้วยนิ? อืมมม......"

Part 3 A
มันคือความสามารถที่เรียกว่า "การรับรู้อันตราย"

ในหมู่นักผจญภัย, โจร, และอื่นๆ พวกเขาทั้งหลายต้องมีความสามารถนี้เป็นสกิลพื้นฐาน
มันเป็นสกิลที่สำคัญที่สุด
ตรงตามชื่อของมัน, สกิลนี้มีไว้เพื่อทำให้สามารถตรวจจับอันตรายได้

ความสามารถนี้แบ่งออกเป็นสองประเภท
หนึ่ง คือรูปแบบที่ไม่ต้องอาศัยเหตุผล หรือการสังเกตุใดๆ, เพียงแค่อาศัยสัมผัส ลางสังหรณ์
ในการรับรู้
สอง คือรูปแบบที่อาศัยเหตุผล หรือการสังเกตุจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
อดีตของของคนๆนั้น จะให้พูดละก็ มันก็เหมือนกับสัมผัสที่หก, และสามารถอธิบายถึง
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว --- คนที่มีสกิลนี้สามารถรับรู้ได้ถึง
การเปลี่ยนเปลงอย่างรวดเร็วของเสียงและกลิ่นเลยทีเดียว

หลังจากผ่าฟันการต่อสู้และการเดินทางด้วยตัวคนเดียวมา, ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจ
แต่มันก็ได้ขัดเกลาผ่านประสบการณ์จากการที่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย

และด้วยความชาญฉลาด, คุณลักษณะด้านนี้ของลิซาร์ดแมนนั้น มากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก
ด้วยทางชีวภาพ, อวัยวะที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสของพวกเขาจะไวต่อความรู้สึกมาก
เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย, ส่วนมนุษย์มักอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย
ห่างไกลจากพวกมอนสเตอร์ ในขณะที่ลิซาร์ดแมนอาศัยอยู่ข้างเคียงกับมอนสเตอร์พวกนั้น

ซาริวสุ ผู้ที่เป็นนักเดินทางและชอบเดินทางคนเดียวอยู่บ่อยๆ, ยิ่งประสาทสัมผัสไวต่อ
ความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของสภาพแวดล้อม

ความรู้สึกตึงเครียดอัดแน่นไปทั่วทั้งบรรยากาศ, เขาลืมตาขึ้นมา

ก่อนที่เขาจะพบกับห้องพักที่คุ้นเคย --- แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่มาหลายวันก็ตาม
พวกมนุษย์นั้น, ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไว้ใจได้, แต่เขาไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดในห้องที่
ไม่มีแหล่งกำเกิดแสงสว่างแบบนี้ได้ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับลิซาร์ดแมน

ไม่มีอะไรผิดปกติภายในห้อง

ซาริวสุมองไปรอบๆ, เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ
เขาถอนหายใจพร้อมกับเดินไปนั่งหลังตรง

เขาเป็นนักรบที่โดดเด่น, แม้ว่าเขาจะพึ่งตื่นขึ้นมาเมื่อครู่นี้ก็ตาม, แต่เขาก็ไม่มีอาการงัวเงียเลย
กลับกัน ตอนนี้เขามีพลังเต็มเปี่ยม พร้อมจะทำการต่อสู้ซะด้วยซ้ำ

มันสื่อถึงกับความจริงที่ว่า ลิซาร์ดแมนนั้น นอนน้อยอยู่เป็นนิจ

อย่างไรก็ดี, ครูสช์ที่นอนอยู่ข้างๆซาริวสุ กลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยซักนิด

เมื่อความอบอุ่นจากตัวซาริวสุหายไป, ครูชส์เพียงแค่บ่นอุบอิบแบบไม่พอใจเบาๆ

ถ้าหากตอนนี้อยู่ภายใต้สภาวะปกติละก็ ครูสช์คงจะรับรู้ความเปลี่ยนแปลงในอากาศ
และตื่นขึ้นมาแล้ว, แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สังเกตเลยซักนิด

ซาริวสุรู้สึกเสียใจนิดหน่อย, แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ปล่อยให้ครูสช์แบกภาระมากเกินไป

เขานึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา, เขาได้ไปเห็นว่าครูสช์ต้องทำอะไรบ้าง บางที ภาระของเธออาจจะ
มากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ, ในระหว่างการต่อสู้เพื่อเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่ง, เจ้าลิคตัวนั้นก็ด้วย
ดูเหมือนว่าหญิงสาวอย่างครูสช์จะต้องแบกภาระมากกว่าชายหนุ่มซาริวสุเสียอีก

เขาอยากให้เธอนอนหลับต่อไป, แต่เมื่อตั้งใจฟังดูดีๆแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของ
ลิซาร์ดแมนจำนวนมากด้านนอกประตูบ้าน, เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้แล้ว
ถ้าไม่ปลุกเธอละก็ มันอาจจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม

"ครูสช์......ครูสช์......"

ซาริวสุเขย่าตัวครูสช์เบาๆ หลายครั้ง

"อืออ......อืมมมม......"

ครูสช์ ขดหาง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเผยให้เห็นดวงตาสีแดงของเธอ

"หืออ...?"

"ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น"

ประโยคนี้ทำเอาครูสช์ที่พึ่งลืมตาถึงกลับเบิกตากว้าง, ซาริวสุคว้าฟรอสต์ เพน มาแนบไว้ข้างกาย
ก่อนจะลุกขึ้นยืน, ไม่นานนัก ครูสช์ก็ลุกขึ้นจากที่นอน

ทั้งสองเดินออกมาด้านนอก และเข้าใจถึงสาเหตุของความวุ่นวายในทันที

พวกเขาเห็นกลุ่มเมฆดำขนาดใหญ่ ปกคลุมอยู่เหนือหมู่บ้าน

เมื่อมองเข้าไป, พวกเขาก็เห็นได้ว่าเมฆสีดำนี้แตกต่างจากเมฆสีดำธรรมดาทั่วไปโดยสิ้นเชิง
เพราะรอบๆนั้น ท้องฟ้ากำลังปลอดโปร่ง

และนั้นก็หมายความว่า

"มัน......กลับมางั้นหรือ?"

มันคือสัณญาณ ว่าศัตรูกำลังจะบุกมาอีกครั้ง ---

"ท่าทางจะเป็นอย่างนั้น"

ครูสช์เห็นด้วยกับแนวคิดนี้, ลิซาร์ดแมนทั้งห้าเผ่าที่มาร่วมมือกันต่อสู้ต่างเห็นเมฆดำที่ลอยอยู่
กลางอากาศ และพูดคุยกันเซงแซ่, แต่อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีความกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ของใครเลยแม้แต่คนเดียว

นั้นเป็นเพราะพวกเขาเคยชนะในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมาแล้ว
ตอนนี้ทุกคน จึงกำลังฮึกเหิม

พวกเขาทั้งสองวิ่งตรงไปยังหมู่บ้าน, เสียงน้ำสาดกระจายจากเท้าที่วิ่งลงบนพื้นที่ชุ่มน้ำ
พวกเขาวิ่งผ่านลิซาร์ดแมนหลายคนที่ตอนนี้กำลังเตรียมตัวทำการต่อสู้
ใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึงทางเข้าหลัก

ลิซาร์ดแมนนักรบมากมายมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้แล้ว, พวกเขาต่างเฝ้ามองคุมเชิงสถานการณ์ด้านนอก
ในหมู่พวกนั้นมีสหายที่คุ้นเคยอยู่, สหายที่ผ่านนรกมาพร้อมกับพวกเขา เซนเบรุ
เขายืนอยู่ข้างหัวหน้าเผ่า สมอล แฟง(Small Fang)

เซนเบรุโบกมือเรียกทั้งสองคนที่มาพร้อมกับเสียงน้ำสาดกระจายมาตามทาง

ซาริวสุและครูสช์วิ่งมายืนอยู่ข้างเซนเบรุและมองออกไปด้านนอกประตูหลัก

อีกฝากหนึ่ง เขตแดนระหว่างพื้นที่ชุ่มน้ำกับพื้นป่า, ที่นั่นปรากฏภาพของกองทัพสเกเลตั้น(skeleton)

"แล้วพวกมัน ก็กลับมาอีก"

"อืม......"

ซาริวสุตอบเซนเบรุ, แล้วเดาะลิ้น(ทำเสียง ชิ ประมาณนั้น)

มันเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว, แต่มันมาเร็วเกินไป
ตอนแรกเขาคิดว่าหลังจากที่พวกมันสูญเสียไปมากขนาดนั้น พวกมันต้องใช้เวลาในการระดมพลใหม่
แถมพอมองคร่าวๆแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่า ฝ่ายตรงข้ามระดมพลมามากกว่าเดิมเสียอีก

"......แต่ยังไงซะ, สเกเลตั้นพวกนั้น น่าจะอ่อนแอกว่าตัวที่เจ้าลิคนั้น ซัมมอนออกมา"

คำพูดเหล่านี้ มีความหมายซ่อนอยู่, สิ่งที่เซนเบรุต้องการจะสื่อก็คือ เขาเชื่อว่ากองทัพสเกเลตั้น
รอบนี้แข็งแกร่งกว่าพวกที่มาครั้งก่อน

ซาริวสุยังเห็นหน่วยทัพสเกเลตั้นจัดขบวนอยู่อีกด้านหนึ่งด้วย,
เขาคาดการณ์ความแข็งแกร่งของศัตรู, เพื่อที่จะจัดหาแผนรับมือที่เหมาะสม

อันที่จริง, พวกมันเป็นสเกเลตั้นเหมือนกัน, แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างจากครั้งก่อน

ด้านลักษณะภายนอก, สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคืออุปกรณืสวมใส่ของพวกมัน,
คราวก่อนพวกมันมีเพียงดาบสนิมเท่านั้น, แค่ครั้งนี้พวกมันใส่มาค่อนข้างครบครัน
นอกจากนี้ร่างกายของพวกมันก็ดูท่าทางจะดีกว่ารอบแรก
พวกสเกเลตั้นดูเหมือนจะแต่งกายต่างกันอยู่สามชนิด

ชนิดที่มีมากที่สุดคือสเกเลตั้นสวมเกราะที่หน้าอก มือข้างหนึ่งถือโล่แบบสามเหลี่ยม,
ไคท์ ชิลด์(kite shields) ส่วนอีกมือ ถืออาวุธทุกรูปแบบแถมยังสะพายธนูไว้บนหลังอีกด้วย
สเกเลตั้นเหล่านี้สวมใส่อุปกรณ์ที่ใช้ในการรุกและรับ ระยะใกล้และไกล ได้ทั้งสองอย่าง

ถัดไปเป็นสเกเลตั้นใส่เกราะที่หน้าอก สวมหมวก และอยู่ในชุดผ้าคลุมสีแดงที่ขาดรุ่งริ่ง
ถือโล่ทรงกลม(buckler) และใช้ดาบยาว(bastard sword)

สุดท้าย และมีจำนวนน้อยที่สุด คือสเกเลตั้นที่แต่งมาเต็มยศ
พวกมันใส่เกราะสีทองเปล่งประกายสวยไปทั่วทั้งตัว และถือหอกที่เงาวับอยู่ในมือ
เสื้อคลุมสีแดงแพรวพราวของพวกมันไร้รอยแปดเปื้อนใดๆทั้งสิ้น

ซาริวสุสังเกตและพบกับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า, มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดว่าเขาตาฝาดไป
และขยี้ตาอยู่หลายครั้ง และภาพตรงหน้า ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

"อึ่กก......เป็นไปไม่ได้......"

"มะ-มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง......"

ครูสช์อุทานขึ้นมาในเวลาเดียวกันกับซาริวสุ ที่พบกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
แล้วร้องออกมาเบาๆอย่างเจ็บใจ, คราวนี้ เซนเบรุเป็นฝ่ายตอบกลับไป

"......โอ้, เจ้าก็รู้เหมือนกันสินะ"

เสียงของเซนเองก็เจ็บใจอยู่ไม่แพ้กัน

"อืม......"

ซาริวสุยังคงพูด ด้วยท่าทางที่นิ่งสงบ, เขาไม่อยากจะพูพอะไรมากกมาย
เพราะถ้าพูดออกมา มันจะทำให้เขารู้สึกกลัว แต่มันก็เป้นไปไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ

"......อาวุธของพวกมัน ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์เวทมนต์"

ครูชส์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

อุปกรณ์ทั้งหมดของกองทัพสเกเลตั้นมีพลังเวทย์ประจุอยู่ บ้างถือดาบที่มีเพลิงลุกไหม้
บ้างถือค้อนที่มีไฟฟ้าสีน้ำเงินรายล้อมอยู่ บ้างถือหอกที่ปกคลุมส่วนปลายไว้ด้วยแสงสีเขียว
และมีกระทั่งเคียว ที่เคลือบของเหลวสีม่วงอยู่

"ท่าทางจะไม่ใช่แค่นั้น, พวกเจ้าสองคนลองดูที่เกราะกับโล่ของพวกมันสิ, พวกนั้นมัน......
อุปกรณ์ป้องกันเวทมนต์"

ได้ยินคำพูดของเซนเบรุดังนั้น, ซาริวสุก็เพ่งมองไปดูทันที

หลังจากนั้นเขาก็ร้องคร่ำครวญออกมาอย่างไม่ตั้งใจ, เมื่อเขาเห็นว่าแสงที่เรืองออกมาจาก
เกราะและโล่ของพวกมัน เห็นได้อย่างง่ายดายราวกับพวกมันยืนอยู่ในแสงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
และท่าทางแสงพวกนั้นจะไม่ได้เกิดจากการสะท้อนกับแสงแดดด้วย

ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหนกันที่สามารถจัดกองทัพสเกเลตั้นที่สวมใส่อุปกรณ์เวทมนต์อย่างครบครันได้เช่นนี้?

ถ้ามันเป็นแค่อาวุธที่ประจุเวทมนต์เพื่อเพิ่มความคมละก็ ซาริวสุเคยได้ยินว่าประเทศขนาดใหญ่
สามารถทำอย่างนี้ได้แม้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการและสะสม
แต่อย่างไรก็ตาม การใส่คุณสมบัติเข้าไปในอาวุธแบบนี้ แถมยังมีจำนวนมากขนาดนี้
มันต่างกันคนละเรื่องเลย

ซาริวสุคิดถึงพวกคนแคระที่เซนเบรุเคยกล่าวถึง

พวกคนแคระนั้นอาศัยอยู่ในภูเขา พวกเขาเป็นเผ่าที่มีพรสวรรค์ด้านงานโลหะ
ในระหว่างงานเลี้ยง, มีบ่อยครั้งที่พวกเขาจะเล่าถึงตำนานวีรบุรุษ --- โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เรื่องของราชาผู้ยิ่งใหญ่ ที่ก่อตั้งอาณาจักรคนแคระ

วีรบุรุษผู้สวมใส่เกราะโลหะที่เปร่งประกาย ผู้บุกเดี่ยวสยบมังกร และกลายเป็นหนึ่งในสิบสาม
วีรบุรุษ, "เมจิค เอนจิเนียร์ (Magic Engineer) " แต่ในตำนานที่เล่ากันโดยเหล่าคนแคระ
ก็ยังไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเตรียมอุปกรณ์เวทมนต์สำหรับกองทัพที่มีกำลังเกินหัาพันเลยด้วยซ้ำ

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าซาริวสุนี้ละ?

"......หรือมันจะเป็นกองทัพที่ออกมาจากตำนาน?"

ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากมนุษยชาติแล้ว, เช่นนั้นละก็ มันต้องเป็นเรื่องที่มาจากตำนานแน่

ซาริวสุสั่นเทาไปทั้งร่างกาย, เพราะเขาตระหนักถึงความเป็นจริงที่เกินกว่าสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้
และตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูที่ไม่ควรเข้าไปตอแยด้วยอย่างเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม, ตั้งแต่แรกเริ่ม, เขารวบรวมทุกคนมาที่นี่ในขณะที่แบกรับความคิดว่า
ในความจริงที่ว่าพวกเขาจะถูกกวาดล้าง, เขาจะทำอย่างไร, เขาที่ริเริ่มการต่อสู้ที่บ้าบิ่นในครั้งนี้,
กลัวงั้นหรือ? เขาได้ตระหนักแล้วว่าศัตรูแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้

"เป็นไปไม่ได้, มันต้องเป็นภาพลวงตาแน่"

ทุกคนที่อยู่ตรงนี้เมื่อได้ยินคำพูดที่โพล่งออกมาเมื่อครู่ ต่างแสดงอาการออกมาว่า
"ที่พูดออกมาเมื่อกี้มันไร้สาระ" ฝ่ายตรงข้ามนั้นเงียบกริบและนิ่งสงบ, แต่การมีอยู่ของพวกมันนั้น
ชัดเจน, พวกมันก่อบรรยากาศที่ทำให้ผู้คนเกิดความกลัวจนตัวสั่นได้, ดังนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่
พวกมันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

แต่กระนั้น, คำพูดเหล่านั้นก็ก่อให้เกิดความสับสน, เพราะคนที่ทำลายความนิ่งสงบลง
ก็คือหัวหน้าเผ่า สมอล แฟง
เขาไม่ได้สติหลุดเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็พูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา

"เจ้ามีอะไรมายืนยันงั้นหรือ?"

ซาริวสุถาม, หัวหน้าเผ่าสมอล แฟง ก็ตอบกลับไปอย่างมั่นใจ

"เราได้ผลัดกันส่งหน่วยสอดแนมออกไป และไม่มีใครเห็นร่องรอยของอันเดดเลยแม้แต่น้อย
และกองทัพจำนวนขนาดนั้น, มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดร่องรอยไว้ได้ทั้งหมด,
และแน่นอน, หน่อยสอดแนมทุกคนที่ถูกส่งออกไป ล้วนกลับมาอย่างปลอดภัย"

"อย่างนั้นเองหรือ......แต่ก็นะ, ข้ากลับไม่คิดว่าพวกมันเป็นภาพลวงตา"

"......ถ้างั้น......ไม่สิ, บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นภาพลวงตาจริงๆ และถ้ามันไม่ใช่ภาพลวงตา
เราก็คิดได้แค่ว่าพวกมันมาทางอุโมงค์ใต้ดิน และถ้าหากมีอุโมงค์ใต้ดินอยู่จริง
มันก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงไม่พบร่องรอยของพวกมันเลย"

"......มันไม่สำคัญแล้ว ว่าพวกมันใช้อุโมงค์เดินทางหรือบินมาบนฟ้า, ตอนนี้เราจะทำอย่างไรต่างหาก?
แม้ว่าตอนนี้พวกมันจะยังไม่มีทีท่าว่าจะบุกเข้ามาก็ตาม แต่ดูท่าพวกมันจะไม่ได้มาเจรจาแน่นอน"

"ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น......แต่อย่างไรซะ, คิดถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกว่าพวกมันกำลังจะ
เริ่มกระทำการอะไรบางอย่าง......"

ซาริวสุจ้องมองไปยังกองทัพสเกเลตั้น

เขากำลังมองหาผู้นำทัพของฝ่ายศัตรู --- ในตอนนั้นเอง
ลมหนาวก็พัดเข้ามา และมันไม่หยุด กลับพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ลมประหลาดที่เย็นยะเยือกนี้ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ, มันคือเวทมนต์

"ลม? เอ๊ะ......เป็นไปไม่ได้!! นี้มันเป็นเวทมนต์......มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง....."

ครูสช์กอดตัวเองที่กำลังสั่นเทา, และแน่นอนว่าอาการสั่นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเธอหนาวแต่อย่างใด
ซาริวสุจึงถามเธอ

"ครูสช์, ลมหนาวนี้มันมีอะไรงั้นหรือ......"

"......บางที"เจ้าอาจจะไม่เชื่อก็ได้, แต่ฟังข้าเถอะ ซาริวสุ, แต่เดิมข้าคิดว่าสภาพอากาศที่แปรปวน
ครั้งที่ผ่านมา เกิดจากเวทมนต์ระดับ 4 [คลาว คอนโทรล (Cloud Control) ], แต่ข้าคิดผิด
แม้ว่า คลาว คอนโทรล จะใช้ควบคุมเมฆได้ แต่มันทำให้เกิดลมเย็นแบบนี้ไม่ได้
ดังนั้น นี้ไม่ใช่อะไรง่ายๆอย่าง คลาว คอนโทล แน่นอน, เพราะมันเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพอากาศ
นั้นหมายความว่า ศัตรูใช้เวทมนต์ระดับ 6 ,เวทมนต์นั้นคือ...... เวทเธอร์ คอนโทรล"

เวทมนต์นั้นเป็นขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าความสามารถของเธอ, นั้นทำให้เธอขาดความมั่นใจ
ครูสช์อธิบายให้ซาริวสุฟังด้วยเสียงเบาๆ, ทำให้คนอื่นไม่ได้ยิน

ซาริวสุรู้ถึงความน่าตกใจของเวทมนต์ระดับ 6
เวทมนต์ระดับนั้นอยู่ในขอบข่ายที่เหนือกว่าศัตรูที่ทรงพลังที่สุดที่เขาเจอในครั้งก่อนอย่างอิกูหว้า
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่ามันเป็นระดับเวทมนต์ที่สูงที่สุดในโลกนี้แล้ว

"นี่คือ......ความแข็งแกร่งของเจ้า ผู้ปกครองสูงสุด คนนั้นน่ะหรือ? แบบนี้มัน......ทำให้รู้สึก......"

หากสามารถใช้เวทมนต์ระดับ 6 ได้, คำว่า"ผู้ปกครองสูงสุด"นั้น ก็ไม่ใช้คำที่เกินเลยไปจริงๆ

"เฮ้ๆๆ , ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้อะไรๆ ดีกันจังเลยนะ มันยิ่งทำให้มั่นใจขึ้นเยอะเลยเลยล่ะ"

เซนเบรุประชดออกมาได้ตรงจุด ชี้ให้เห็นถึงบรรยากาศโดยรอบ

ลมหนาวที่ไม่ควรจะปรากฏขึ้นมาในตอนนี้ --- หมายถึงความผิดปกติทางธรรมชาติ
เรื่องนี้ทำให้ความมั่นใจของพวกลิซาร์ดแมนจมดิ่งลงถึงขีดสุด

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมีเพียงกลุ่มเมฆที่ขยายตัวออกไป, ถ้าหากมันเป็นเพียงแค่นั้น
แม้แต่ดรูอิดก็สามารถรวมพลังกันทำพิธีกองไฟขนาดใหญ่ไล่มันออกไปได้
แต่แล้วเหล่าลิซาร์ดแมนก็รู้สึกถึงลมที่เหมือนลมในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า
ศัตรูของพวกเขานั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่, พลังที่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้,
สภาพอากาศ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่น่าจะควบคุมได้

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินคำพูดจากครูสช์ก็ตาม, แต่ลมเย็นยะเยือกที่พัดกระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้ง
ก็เพียงพอที่จะพรรณนาถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม กับการต่อสู่ที่กำลังใกล้เข้ามา

"ชิ, ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว"

ซาริวสุกัดฟันกรอด, เขาใช้ใจข่มหางตัวเองเอาไว้ ไม่ให้สะบัด
มันเป็นอย่างที่เขาคิด ศัตรูเลือกที่จะบุกในช่วงเวลานี้

หลังจากนั้น กองทัพสเกเลตั้นเริ่มรุกกระบวนมาด้านหน้า, พวกมันก้าวเดินพร้อมกันอย่างสม่ำเสมอ
พวกมันย่ำรอยเท้าของตัวหน้าอย่างพอดิบพอดี, พวกนักรบลิซาร์ดแมนต่างพากันรุกฮือขึ้นมาทันที
บางคนก็ส่งเสียงขู่คำรามอยู่ลึกๆ แต่สำหรับซาริวสุที่สังเกตการณ์กองทัพสเกเลตั้นอยู่
เขาคิดต่างออกไป......นี้ยังไม่ใช่การเปิดการโจมตี

มีเพียงซาริวสุและเซนเบรุ ที่ร้องปรามพวกลิซาร์ดแมนคนอื่นๆให้ใจเย็นลง

"--- สงบอารมณ์ซะ !!"

เสียงตะโกนอันน่าเกรงขามดังกังวานออกไปในบรรยากาศ

ทุกคนพลันหันไปมองเจ้าของเสียง, ชาสุริว

"ข้าจะย้ำอีกครั้ง, สงบสติอารมณ์กันซะ"

ทุกอย่างพลันเงียบงัน, มีแค่เพียงเสียงที่มั่นใจและทรงอำนาจที่ดังสะท้อนอยู่

"และก็ไม่ต้องกลัวกัน เหล่านักรบทั้งหลาย, เหนือสิ่งอื่นใด พวกเจ้าอย่าได้ทำให้เหล่าวิญญาณ
ของบรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังต้องผิดหวังเด็ดขาด"

ชาสุริวเดินผ่านกลุ่มลิซาร์ดแมนที่นิ่งเงียบไปหาซาริวสุ

"เจ้าน้องชาย, ศัตรูมันทำอะไรบ้าง?"

"หือ, ท่านพี่, แม้ว่าพวกมันจะเริ่มเคลื่อนไหว......แต่ก็ยังไม่มีทีท่าจะเข้ามาโจมตีเลย"

"อืม......"

สเกเลตั้นห้าร้อยตัวเริ่มขยับจัดขบวนเป็นสิบแถว

"พวกมันจะทำอะไรกันแน่?"

ราวกับกองทัพสเกเลตั้นกำลังรอคำถามนี้อยู่ พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง

ภายใต้คำสั่งที่สมบูรณ์แบบและแม่นยำ กองกำลังแยกออกเป็นสองฝั่งจากศูนย์กลาง
พลันปรากฏบางอย่างขึ้นในช่องว่างขนาดประมาณสเกเลตั้นยี่สิบตัว
มันคือ......รูปร่างของบุคคล

รูปร่างที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรมากมาย แม้ว่าจะห่างออกไปประมาณสองร้อยห้าสิบเมตร
ก็ยังสามารถเห็นได้ว่าคนๆนั้นตัวเล็กซาริวสุ

เขาสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท และแผ่ออร่าที่น่ากลัวออกมา เขาสวมเครื่องแต่งกายคล้ายกับ
ลิคที่แข็งแกร่ง ในการต่อสู้ครั้งก่อน ดังนั้น จึงหมายความว่า ศัตรูเป็นจอมเวทย์

แต่อย่างไรซะ ก็มีความแตกต่างระหว่างทั้งสองคน, นั้นคือความแข็งแกร่ง

เมื่อเห็นบุคคลผู้นั้น ซาริวสุก็เย็นสันหลังวาบ สัญชาตญาณบอกเขาว่าลิคในครั้งก่อน
เทียบไม่ได้เลยแม้เพียงเศษเสี้ยวกับคนผู้นี้ ประหนึ่งนักรบกับเด็กทารกก็มิปาน

แม้ว่าจะอยู่ห่างกันไกลออกไป แต่กลิ่นไอแห่งความน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของเขาคนนั้น
ยังส่งผลมาถึงตรงนี้ได้ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น, อุปกรณ์สวมใส่ของศัตรูยังอยู่คนละระดับอีกด้วย

ราวกับไม่อาจฝืนความตายได้ --- ภาพของความตายเข้าครอบงำพวกเขาโดยสิ้นเชิง

"นั่นคือ......เจ้าเหนือหัวแห่งความตายงั้นหรือ?"

ซาริวสุไม่อาจหาคำพูดใดที่จะเหมาะสมกับบุคคลผู้นั้นได้, และคำๆนี้ก็สื่อได้อย่างตรงจุด

คนผู้นั้นคือ เจ้าเหนือหัวผู้มีอำนาจปกครองอยู่เหนือความตาย

"......โอะ โอ้ว!!"

แสงกระจ่างใสสีน้ำเงินและสีขาวลอยอยู่บนพื้นผิวของแถบเวทมนต์ที่เรียงกันอยู่
พร้อมกับเครื่องหมายกึ่งโปร่งแสงที่ดูเหมือนตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง
บรรดาเครื่องหมายเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และไม่ซ้ำกับแบบเดิมเลยซักครั้ง

เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ซาริวสุจึงรู้สึกสับสนไปหมด

เมื่อจอมเจทย์ทำการร่ายเวทมนต์, มันจะไม่มีภาพอะไรฉายออกมาแบบที่คนผู้นั้นทำ
บัดนี้ การกระทำของศัตรูอยู่นอกเหนือขอบข่ายความรู้ของซาริวสุไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงหันไปหาลิซาร์ดแมนหญิง ที่คุ้นเคยกับเวทมนต์เพื่อถามเธอ

"นี่มันหมายความว่าไง?"

"ขะ-ข้าก็ไม่รู้, ข้าเองก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไรเหมือนกัน"

ครูสช์ตอบกลับมาด้วยท่าทีเกรงกลัวอยู่เล็กน้อย, ดูท่าทางเธอจะยิ่งเสียขวัญมากกว่าเดิม
เพราะความรู้ด้านเวทมนต์ที่เธอมีอยู่ ก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงการกระทำของศัตรูได้

ในตอนนั้นเอง ซาริวสุก็กะว่าจะปลอบใจเธอ......

แต่ไม่ทราบว่าเวทมนต์ร่ายเสร็จแล้วหรืออย่างไร, เส้นแถบเวทมนต์พลัน แตกสลาย
กลายเป็นอนุภาคแสงจำนวนมากลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และทันใดนั้น ก็เหมือนกับมีการระเบิด
อยู่บนท้องฟ้า อนุภาคเหล่านั้นกระจายกันออกไป---

แล้วทั่วทั้งทะเลสาบ......ก็กลายเป็นน้ำแข็ง

ไม่มีใครเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ชาสุริวนั้น เป็นผู้นำเผ่าที่มีคุณสมบัติโดดเด่น, ครูสช์ก็เป็นคนที่มีพลังดรูอิดเหนือล้ำ
ซาริวสุที่เป็นนักเดินทางก็ได้เห็นอะไรมามากมายและมีความรู้กว้างขวาง
บุคคลในประวัติศาสตร์ลิซาร์ดแมนที่นับว่ามีความสามารถมหัศจรรย์เหล่านี้
ก็ยังตามสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ทัน

ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมตอนนี้เท้าของพวกเขาถึงอยู่ในน้ำแข็ง

ก่อนที่สมองจะยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น --- ดวงตาของพวกเขาก็ร้องไห้ออกมาแล้ว

ลิซาร์ดแมนทุกคน --- แน่นอน, ว่าหมายถึงทุกๆคน พวกเขาต่างร้องไห้คร่ำครวญออกมา

แม้แต่ซาริวสุก็เช่นกัน, ทั้งครูสช์ ทั้งชาสุริว หรือแม้แต่คนที่บ้าระห่ำที่สุดอย่างเซนเบรุ
ก็ไม่มีข้อยกเว้น ราวกับความกลัวมันผุดออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดจากวิญญาณของพวกเขา
ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะกรีดร้องออกมา

ความจริงที่อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขา มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเกินไป
ทะเลสาบที่กว้างใหญ่ กลายเป็นทุ่งน้ำแข็งอย่างเฉียบพลัน
ทั้งๆที่ตั้งแต่พวกเขาเกิดมา มันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ตอนนี้กลับเห็นมันถูกแช่แข็งอย่างชัดเจน

เหล่าลิซาร์ดแมนต่างยกเท้าขึ้นมาจากน้ำแข็งกันพัลวัน, โชคดีที่ชั้นของน้ำแข็งไม่ได้หนาและ
แตกได้ทันที, แต่ส่วนที่แตกไปกลับโดนแช่แข็งกลับมาทันที ไอเย็นจากด้านล่างทำให้รู้สึกเจ็บแปลบ
จึงอธิบายได้ชัดเลยนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา

ซาริวสุใจเต้นระส่ำไปหมด เขาปืนขึ้นไปบนกำแพงดิน, เขาสำรวจไปรอบๆทันที
แล้วเขาก็ตะลึงจนนิ่งเงียบเพราะสิ่งที่เขาเห็นในมุมกว้างทันที

ทุกสิ่งทุกอย่างในระยะสายตาของเขา ล้วนถูกแช่แข็ง

อันที่จริง มันไม่น่าเชื่อที่จะนึกภาพว่าทะเลสาบที่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้จะถูกแช่แข็งจนหมด
แต่กระนั้น เรื่องที่ทัศนียภาพของเขาในตอนนี้มีแต่น้ำแข็งแผ่ปกคลุมทั้งหมดก็เป็นความจริง

มุมหนึ่งในจิตใจของซาริวสุก็เป็นห่วงปลาที่เขาเลี้ยงไว้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนั้นแล้ว

"เป็นไปไม่ได้......"

ครูสช์ที่ปีนตามขึ้นมาและมองออกไปรอบๆ ก็หลุดถ้อยคำเดียวกันกับซาริวสุออกมา
เธออ้าปากค้าง ส่งเสียงที่สิ้นหวังออกมา

เช่นเดียวกับซาริวสุ เธอไม่อยากจะเชื่อว่าภาพที่เธอเห็นอยู่ในตอนนี้เป็นเรื่องจริง

"เจ้าปีศาจ"

เธอตะโดนด่าออกมาดังลั่น, ในขณะเดียวกันก็หวังอยู่ในใจว่าการสบถออกไปแบบนี้จะช่วย
บรรเทาความกลัวในใจของเธอได้บ้าง

"ขึ้นมาตรงนี้, เร็วเข้า!!"

ชาริวสุตะโกนเสียงดังออกมา

ลิซาร์ดแมนหลายตัวล้มคว่ำ คะมำหงายลงไป, ส่วนนักรบลิซาร์ดแมนที่ยังยืนได้ ต่างช่วยกันดัง
พวกพ้องขึ้นมาจากพื้นที่เป็นน้ำแข็ง

เหล่าลิซาร์ดแมนที่ถูกช่วยดึงขึ้นมาต่างหน้าซีด ตัวสั่น, ไอเย็นที่พัดผ่านกำลังช่วงชิงพลังชีวิตของ
พวกเขาไป

"ท่านพี่, ข้าจะไปตรวจดูคนอื่นๆ"

ซาริวสุมีฟรอสต์ เพน อยู่ จึงไม่ได้รับผลจากไอเย็นระดับนี้

"ไม่......อย่าไปนะ!!"

"ทำไมละ, ท่านพี่!?"

"ศัตรูอาจจะเริ่มเคลื่อนไหวในอีกไม่นานนี้, เจ้าจะทิ้งตรงนี้ไปไม่ได้!
ต้องเข้าใจสถานการณ์โดยรอบ จะปล่อยให้ข้อมูลใดๆ หลุดลอยไปไม่ได้เด็ดขาด!
หน้าที่นี้มอบหมายให้ได้แต่ผู้ที่ผ่านโลกมามากและมีความรู้สูงอย่างเจ้า"

ชาสุริวละสายตาจากซาริวสุ แล้วหันไปพูดกับเหล่านักรบลิซาร์ดแมนโดยรอบ

"ตอนนี้ ข้าจะร่ายเวทย์ต้านธาตุน้ำแข็งให้พวกเจ้าทุกคน, [โพเทคชั่น อิเนอจี้ ไอซ์](Protection Energy Ice)
รีบไปแจ้งข่าวให้ทุกคนได้รับรู้ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับน้ำแข็งพวกนี้"

"ข้าเองก็จะช่วยร่ายเวทย์ด้วยเช่นกัน"

"รบกวนด้วย! ถ้างั้น ครูสช์ เราแยกกันทำหน้าที่ หากมีใครอาการสาหัส, ให้รีบใช้เวทย์รักษาโดยทันที"

ครูสช์และซาริวสุเริ่มร่ายเวทย์เพื่อป้องกันอันตรายให้เหล่าลิซาร์ดแมน

ซาริวสุยังคงอยู่ด้านบนกำแพงดิน, และเพ่งมองดูท่าทีของศัตรูด้วยสายตาที่แหลมคม
เพื่อให้รู้ทันสถานการณ์ทุกการเคลื่อนไหวของศัตรู มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่
ตามที่พี่ชายของเขามอบหมายมา

"เฮ้ โฮ่"

เซนเบรุปืนขึ้นไปอยู่ข้างๆ ซาริวสุ เขามองไปที่ตำแหน่งของฝ่ายศัตรูอย่างเชื่องช้า

"เจ้าต้องผ่อนคลายลงบ้างนะ พี่ของเจ้ามองเห็นถึงสติปัญญาของเจ้าไม่ใช่หรือ?
แม้ว่าเจ้าจะพลาดอะไรไปบ้างก็ตาม เขาก็ไม่โทษเจ้าหรอก สิ่งสำคัญคืออย่าไป
ยึดติดกับมันมากจนเกินไป และสุดท้ายก็ลดวิศัยทัศน์ของเจ้าลงซะ"

เสียงของเซนเบรุที่ไร้ซึ่งความกังวล เป็นการเตือนที่ชัดเจนแก่ซาริวสุ

เช่นเดียวกับตอนที่สู้กับลิค, ทุกคนควรร่วมมือ และแบ่งหน้าที่กันทำ จากนั้นก็มุ่งเน้นไปยัง
หน้าที่ที่ตัวเองได้รับ ใช้ความสามารถของตัวเองให้ดีที่สุด

ซาริวสุสังเกตการณ์ไปโดยรอบและพบว่ามีนักรบลิซาร์ดแมนปีนขึ้นมาสำรวจศัตรูจากบนกำแพง
เหมือนกับเขา
ถูกต้องแล้ว เขาไม่ได้ต่อสู้อยู่ในสงครามเพียงลำพัง แต่เขาต่อสู่เคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับทุกคน

ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ต่างตกอยู่ในอำนาจของ --- เวทมนต์ ---

ซาริวสุถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ราวกับต้องการกำจัดความกังวลภายในใจของเขาออกไป
ทั้งหมดในทีเดียว

"ขอโทษที"

"ไม่เห็นมีอะไรที่ต้องขอโทษกันเลยนิ"

"......นั้นสินะ, เพราะว่าเจ้า, เซนเบรุ, อยู่ที่นี่ด้วยนี่นา"

"ฮ่า, อย่ามองมาทางข้า กับเรื่องที่ต้องใช้สมองคิดเลย"

ทั้งสองคนหัวเราะกันเฮฮา, จากนั้นก็กลับไปจับตามองการเคลื่อนไหวของศัตรูต่อ

"ยังไงก็ตาม, เจ้านั้นมันปีศาจของจริงเลย"

"ใช่! ระดับมันต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง......"

เจ้าเหนือหัวแห่งความตาย มีท่าทางอังการเยี่ยงราชันย์
เขาจ้องมองมาอย่างผึ่งผายทางซาริวสุและหมู่บ้านของพวกเขา
คาดคะเนกันว่ารูปร่างของเขาเล็กก็จริง แต่มันกลับดูยิ่งใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า

"......เขาคงจะเป็นผู้ที่อ้างตัวเป็น ผู้ปกครองสูงสุด"

"มันควรจะเป็นอย่างนั้นแหละ, นอกจากนี้ ข้ายังหวังว่าจะไม่มีใครที่มีพลังมากพอที่จะ
ร่ายเวทย์ขนาดที่แช่ทะเลสาบให้เป็นน้ำแข็งแบบนี้ได้อีกเลย"

"จริงด้วย, ข้าก็หวังเช่นนั้น, ในสายตาของเจ้าปิศาจที่แช่แข็งทะเลสาบได้แบบนี้
ลิซาร์ดแมนอย่างพวกเราคงไม่ต่างอะไรกับมดนั้นแหละ, อ่า~~ น่าสมเพชอะไรแบบนี้
พวกเราไม่ต่างอะไรกับแมดงตัวเล็กๆเลย พูดแล้วมัน......มันเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว!!"

จอมเวทย์ที่ทำให้ทะเลสาบกลายเป็นน้ำ ยกมือข้างที่ไม่ได้ถือไม้เท้าขึ้น
และสะบัดลงมาทางหมู่บ้าน การกระทำนี้คงจะเป็นคำสั่งให้---
ซาริวสุรู้สึกเช่นนั้น และในเวลาต่อมาความกลัวของเขาก็ได้รับการพิสูจน์

"โอ้ โอ้ โอ้ววว!!"

เสียงดังออกมาจากส่วนต่างๆภายในหมู่บ้าน

"นั่นมัน......อะไรน่ะ!! เกิดอะไรขึ้นกับพื้นดินกันแน่?!"

หลังจากซาริวสุ, ผู้ที่เชื่อในใจลึกๆว่าคงไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาประหลาดใจได้อีก
แต่เมื่อต้องพบกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า, ดวงตาของเขาได้แต่สะท้อนความปวดร้าวร่ำร้องออกมา

สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขาคือยักษ์ใหญ่ที่มีสองแขน สองขา ที่ดูเหมือนจะทำมาจากหินสลัก

ก้อนหินหนาตรงหน้าอก ทอดยาวไปด้วยแสงสีแดงส่องประกายเหมือนกับการเต้นของหัวใจ
พร้อมกับแขนที่หนาใหญ่และขาสั้นๆขนาดใหญ่ รูปร่างกระปุ๊กลุกของมันดูน่ารักนิดหน่อย
ถ้าหากมันไม่สูงกว่าสามสิบเมตรละก็นะ

รูปหินสลักขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาในป่า ถ้าบอกว่านั้นคือภาพลวงตาละก็ คงจะง่ายกว่าที่จะ
ทำใจยอมรับมันได้

เจ้ายักษ์ค่อยๆเริ่มขยับอย่างช้าๆ , มันยกก้อนหินขนาดมโหฬารขึ้นมา

แล้วขว้างมัน......

ซาริวสุเผลอหลับตา,
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่โดนหินนั้นกระแทกใส่นั้นจะเป็นเช่นไร นอกจากจะตายอย่างแน่นอน

ในความมืด ซาริวสุได้ยินเสียงของผู้คนที่กำลังตื่นตกใจ, และเสียงกระทบกับตัวเขา
แม้แต่กำแพงดินของพวกเขาก็เริ่มสั่นไหว

มันคือเสียงที่มาจากฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาอย่างหนัก --- เสียงก้อนกรวดกระเด็นกระดอนตก
ลงไปบนพื้น, และเสียงอุทานของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ดังออกมาจากในหมู่บ้าน

แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับความเป็นความตาย แต่ความสยดสยองแบบนี้มันมากเกินไปที่เขาจะ
จินตนาการได้ บทเรียนอันน่าตกใจที่ผ่านมาทำเอาเหล่าผู้มีชัยในการต่อสู้ครั้งก่อน
พากันกรีดร้องเหมือนกับเด็กตัวเล็กๆ

เขาปลอบใจตัวเองด้วยความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ซาริวสุหายใจเข้าออกเพื่อสงบสติอารมณ์
ให้เย็นลง หลังจากลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาคือกองทัพอันเดด
ที่เริ่มเคลื่อนทัพเข้ามา ส่วนเจ้ายักษ์หินนั้นกลับหายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบได้

พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่ายมีก้อนหินขนาดยักษ์ที่เมื่อครู่ไม่มีอยู่ พลันปรากฏขึ้นมา
กองกำลังอันเดดเข้าใกล้หินก้อนนั้น แล้วยกโล่ของพวกมันขึ้นเหนือหัวก่อนที่คุกเข่าลงไป
สเกเลตั้นตัวอื่นๆ กระโดดขึ้นไปบนโล่ของพวกนั้น พวกมันรักษาสมดุลกันอย่างคล่องแคล่ว
และเหมือนกับสเกเลลตั้นที่อยู่ด้านล่าง พวกมันยกโล่ของตัวเองขึ้นมา

ในตอนนั้นเอง ซาริวสุก็เข้าใจว่าพวกมันต้องการจะทำอะไร
ราวกับเขาถูกสายฟ้าฟาดใส่, เขาสั่นไปหมดทั้งตัว

"หรือว่านั้น.......จะเป็นบันได? เห็นได้ชัดเลยว่าแม้แต่กองทัพที่เหมือนกับออกมาจากในตำนาน
แบบนั้นยังถูกใช้เป็นเพียงบันได!!"

เหล่าสเกเลตั้นเคลื่อนเข้ามาหาก้อนหินด้วยความเร็วที่ผิดปกติ --- และบันไดที่สร้างจาก
กองทัพอันเดดก็เสร็จสมบูรณ์

จากนั้น ทหารอันเดดตัวอื่นๆก็เริ่มเคลื่อนไหว, เหล่าอันเดดชุดนี้กลับน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่า
อันเดดเมื่อครู่นี้อีก จำนวนของพวกมันมีประมาณหนึ่งร้อย ในมือของพวกมันถือหอก
ที่มีผ้าติดเอาไว้ เหมือนกับหอกของอัศวินบนหลังม้า

ผ้าสีแดงสด --- หอกทั้งหมดของพวกมันเป็นธงที่มีสัญลักษณ์เดียวกัน

อันเดดเหล่านั้นสวมเสื้่อคลุมที่พริ้วไหวไปตามสายลม, ก้าวเข้าสู่พื้นที่ชุ่มน้ำพร้อมกันอย่างสมบูรณ์แบบ
พวกมันเดินหน้าเข้ามาอย่างสงบเงียบพร้อมกับน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าของพวกมันที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
ตามมาด้วยสเกเลตั้นอีกกลุ่มหนึ่งที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างพร้อมเพรียงกัน
กลุ่มที่สองรักษาระยะห่างจากกลุ่มแรกก่อนที่จะหยุดและไขว้หอกกัน กับสเกเลตั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

หอกไขว้กันจนเป็นรูปเส้นทาง นำตรงไปสู่หินขนาดยักษ์

"......นั้นคือทางสำหรับ เจ้าเหนือหัวแห่งความตายงั้นหรือ?"

เซนเบรุตอบถูก

จอมเวทย์แห่งความตายก้าวลงบนเล้นทางที่สร้างโดยอันเดด และด้านหลังของเขาก็ตามมาด้วย
ร่างของคนหลายคนที่ไม่ทรายว่ามาจากไหน ปรากฏขึ้นมา

นำหน้าโดยจอมเวทย์ ผู้ที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง อันสุดที่จะหยั่งถึง

ร่างของเขาสวมใส่ชุดคลุมสีดำสนิท, สีดำราวกับความมืดที่ตัดออกมาจากรัตติกาล
ในมือของเขาถือไม้เท้าที่แผ่ออร่าสีดำออกมา, ออร่าที่แผ่ออกมาดูเหมือนจะกลายเป็น
ความทุกข์ทรมานที่มนุษย์แสดงออกมา, ซึ่งพังทลายและหายไป, แม้แต่ภายใต้ชุดคลุมนั้น
ก็ยังเป็นกระโหลกที่มีเบ้าตาอันว่างเปล่า มีเพียงดวงไฟสีแดงขนาดเล็กปรากฏอยู่ภายในเบ้าตาทั้ง
สองข้างเพียงเท่านั้น

ฝ่ายตรงข้ามสวมใส่อุปกรณ์เวทมนต์ที่อยู่เหนือภูมิปัญญาของซาริวสุอยู่นับไม่ถ้วน
เขาก้าวเดินไปด้านหน้าด้วยความองอาจ เช่นผู้มีอำนาจประหนึ่งราชา......

Part 3 B
หญิงสาวในชุดสีขาวเดินตามหลังเจ้าเหนือหัวแห่งความตาย แม้ว่าเธอจะมองดูคล้ายกับมนุษย์
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง นั้นคือปีกที่อยู่ข้างเอวของเธอ

"หรือว่าเธอจะเป็น......อาคุม่า? (Akuma - ปิศาจ)"

อาคุม่า

มารร้ายผู้ใช้ความรุนแรงนำพามาซึ่งการทำลายล้าง อสูรที่มีสติปัญญานำความชั่วร้ายมาให้
พวกมันเหล้านี่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าปีศาจ บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นมอนสเตอร์ที่โหดร้าย
มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อขุดรากถอนโคนของทุกสิ่งมีชีวิตที่รักสันติ ตัวตนของพวกเขามีความหมาย
ตรงกับคำว่า"ความชั่วร้าย"

ซาริวสุเคยได้ยินเรื่องราวของปิศาจพวกนี้ ในระหว่างที่เขาเดินทาง

เขาได้ยินว่ามันเป็นปิศาจที่น่ากลัว ว่ากันว่าเมื่อสองร้อยปีก่อน ตัวตนที่รู้จักกันว่าเป็นราชาของปีศาจ
-- เดม่อน ก็อด -- (Demon God) นำกองกำลังของเขาเข้าโจมตีจนเกือบทำลายโลกได้

แต่เดม่อน ก็อดก็ต้องพบกับจุดจบด้วยน้ำมือของ สิมสามวีรบุรุษ
ตอนนี้ ในบางสถานที่ก็ยังสามารถพบเห็นร่องรอยการต่อสู้ของพวกเขาได้อยู่

หากจะบอกว่าอันเดดมีชีวิตอยู่บนความจงเกลียดจงชัง
เช่นนั้น ปีศาจก็มีชีวิตอยู่เพื่อความทุกข์ทรมาน

คู่แฝดดาร์ก เอลฟ์ ตามหลังปีศาจตนนั้นมา ถัดไปเป็นสาวน้อยผมสีเงิน
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดลอยอยู่กลางอากาศ
และหลังสุดเป็นชายหนุ่มมองดูคล้ายมนุษย์แต่มีหางยาว

แม้ว่าสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดนั้นจะไม่สื่อถึงความแข็งแกร่งออกมา
แต่กับคนอื่น เพียงแค่ชำเลืองมองก็ทำเอาหางสั่นไปหมดแล้ว
สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาร้องเตือนตัวเองอย่างรุนแรง ว่าให้รีบหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด

เส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นเงียบกริบ, ผ่านใต้ธงหอกก้าวขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปสู่ยอดของหินยักษ์
พวกเขาเหยียบลงไปบนทหารอันเดดอย่างไม่ลังเลและถึงยอดของก้อนหินยักษ์ประหนึ่งเจ้าขุนมูลนาย
เจ้าเหนือหัวแห่งความตาย ผู้ที่เดินอยู่หน้าสุด เขายื่นมือออกมาแล้วโบกสะบัด

พลันปรากฏบัลลังก์สีดำที่แจ่มจรัสขึ้นมาด้านหลังเขา
แล้วเจ้าเหนือหัวแห่งความตายก็ประทับลงด้านบนสุดของบัลลังก์

ผู้ที่อยู่ด้านหลัง, ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ ยืนเรียงแถวกัน
และราวกับพวกเขาเฝ้ารออะไรบางอย่าง พวกเขามองตรงมาที่หมู่บ้าน
แต่ก็ยังไม่มีทีท่าอะไรเพิ่มเติมอีก

สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน?

เหล่าลิซาร์ดแมนต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่สบายใจ และสุดท้ายก็ปล่อยให้ผู้ที่ฉลาดที่สุด
เป็นคนตัดสินใจ

"......ชะ-ช่วยบอกพวกเราที, พวกเราควรจะทำอย่างไรดี, ท่านซาริวสุ? เราควรเตรียมตัวหนีงั้นหรือ?"

คำพูดนี้แฝงให้รู้ว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะสู้แล้ว พวกเขาไร้ซึ่งกำลังความสามารถ
หางพวกเขาตกลงบ่งบอกถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ

"ไม่, มันไม่จำเป็นแล้วล่ะ, นึกถึงลิคตัวก่อนหน้านี้ดูสิ แต่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเราแข็งแกร่งกว่า
เจ้านั้นราวฟ้ากับเหว การโจมตีจากระยะห่างขนาดนี้ก็เป็นเรื่องเด็กๆ สำหรับเขา
การข่มขู่ที่น่ากลัวนี้.......คือคำพูดที่เขาส่งมาให้พวกเรา"

ลิซาร์ดแมนแสดงอาการเห็นด้วยออกมา

ในช่วงเวลานี้ ซาริวสุยังคงจ้องมองไปยังแถวของผู้คนที่เดินเข้ามาใกล้
ดั่งสามัญชนที่กำลังมองหาเจ้านาย, เขายังไม่หยุดที่จะเฝ้าสังเกตการณ์ตัวตนสุดแข็งแกร่งที่อยู่
บนก้อนหินยักษ์นั้นด้วย

เพื่อไม่ให้มีอะไรหลุดพ้นสายตาเขาไปได้

เมื่อระยะของทั้งสองฝ่ายกระชั้นกันเข้ามา, เขายิ่งมองเห็นรายละเอียดมากขึ้น
กระชั้นกันเข้ามาใกล้จนสามารถสบตากันได้

เจ้าเหนือหัวแห่งความตายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กำลังมองเหล่าลิซาร์ดแมนอยู่หรือไม่?
ส่วนดาร์กเอลฟ์ทั้งสองก็ไม่แสดงเจตนาร้ายใดๆเลย, สาวน้อยผมสีเงินแสดงท่าทางเย้ยหยันออกมา
ตรงข้ามกับปีศาจสาวผมยาวที่มีท่าทีอ่อนโยน ส่วนสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด ตอนนี้มองไม่เห็นแล้ว
ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่และชายหนุ่มหางยาวผู้ที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆในดวงตาเขา

หลังจากมองกันมาสักพักหนึ่ง, เจ้าเหนือหัวแห่งความตายก็ยกมือที่ไม่ได้ถือไม่เท้า
ไปแถวๆหน้าอกของเขา
ลิซาร์ดแมนหลายคนที่เห็นดังนั้นพากันแตกตื่น ตะหวัดหางไปทั่ว

"---อย่ากลัว!! , อย่าแสดงความน่าอายต่อหน้าศัตรูของเรา !!"

การดุของซาริวสุทำให้เหล่าลิซาร์ดแมนพลันชูหางขึ้นเหนือหัวและยืดหลังตรง

เมฆดำปรากฏขึ้นด้านหน้าของเจ้าเหนือหัวแห่งความตาย จำนวนยี่สิบเห็นจะได้
เมฆสีดำหมุนวนอย่างไม่หยุดยั้ง มันขยายใหญ่ขึ้น แต่ละอันมีขนาดประมาณ 150 เซนติเมตร
ก่อนที่จะปรากฏใบหน้าที่น่ากลัวบนเมฆสีดำนั้น

"พวกนี้มัน......"

ซาริวสุหวนนึกถึงมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวครั้งก่อนที่ในหมู่บ้าน, และยังเป็นมอนสเตอร์ชนิดเดียวกัน
กับที่เขาเจอตอนเขาออกเดินทาง

แม้ว่าเขาจะอธิบายไปแล้วตอนอยู่ที่หมู่บ้านของครูสช์ ว่าถ้าไม่ใช้อาวุธเวทมนต์หรืออาวุธที่สร้าง
จากโลหะชนิดพิเศษ, เวทมนต์หรือศิลปะการต่อสู้แบบพิเศษ ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำร้าย
ทำร้ายมอนสเตอร์เหล่านี้ได้

แม้ว่าลิซาร์ดแมนทั้งหมดจะมารวมกันอยู่ที่นี่แล้ว แต่อาวุธเวทมนต์ของพวกเขานั้นมีจำนวนน้อย
ซึ่งหมายความว่าการจะเอาชนะพวกมันซักตัวได้นั้น มันเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างมาก

ไม่ต้องเอ่ยถึงศัตรูที่เห็นได้ชัดเลยว่าสามารถซัมมอนมอนสเตอร์เหล่านี้ออกมาถึงยี่สิบตัวได้อย่าง
ง่ายดาย

"......แบบนี้มัน, หมายถึงตัวเขาสามารถควบคุมความตายได้"

ซาริวสุสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
เขาคิดกับตัวเองว่าศัตรูแข็งแกร่งอย่างที่สุดจนสามารถทำให้ลิคตัวนั้นสาบาน จงรักภักดีต่อเขา

หลังจากเจ้าเหนือหัวแห่งความตายพูดคำที่ไม่รู้จักออกมา เขาก็ยื่นมือราวกับสั่งการให้ทุกคน
เริ่มการโจมตี, จากนั้น เหล่ามอนเตอร์ที่บินอยู่โดยรอบหมู่บ้านก็เริ่มสวดอะไรบางอย่างขึ้นมา
อย่างพร้อมเพียงกัน

[ท่านเจ้าเหนือหัวถึงข้อความถึงพวกเจ้า]

[ท่านเจ้าเหนือหัวต้องการเจรจา, ตัวแทนของพวกเจ้าจงก้าวออกมาข้างหน้า]

[การทำให้พวกเราเสียเวลา, จะนำมาเพียงซึ่งความโกรธาของเจ้าเหนือหัวเท่านั้น]

หลังจากการประกาศอยู่ฝ่ายเดียวเสร็จ, เจ้ามอนสเตอร์ก็กลับไปฝั่งเจ้านายของมัน

"ห๊ะ?...... ไม่จริงน่า......แบบนี้มัน?"

ซาริวสุตะลึงงันตอนพูดคำเหล่านี้ออกมา

เขาส่งมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมา เพียงเพื่อส่งข้อความเนี่ยนะ?

แต่อย่างไรก็ตาม ก็เกิดสิ่งที่ยากจะเชื่อเมื่อสาวน้อยผมเงิน ผู้ที่รอรับคำสั่งอยู่ด้านหลัง
เธอปรบมือสุดแรงหนึ่งครั้งเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้ปกครองความตาย

ในขณะที่เธอปรบมือ --- อันเดดพวกนั้นก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น

"อะไรกัน!!"

ซาริวสุที่ตกใจถึงขีดสุดจนตะโกนออกมา

พวกเขาไม่ได้เรียกมอนาสเตอร์กลับไป, แต่กำจัดพวกมันจนสิ้น

นักบุญที่จะกำจัดอันเดด ขนาดจะส่งมันกลับไปธรรมดาก็ไม่ง่ายแล้ว
ถ้าหากมีสองคนและมีความแข็งแกร่งที่ต่างกันก็สามารถทำได้มากยิ่งกว่าให้มันถอยไปหรือสามารถ
กำจัดมันโดยตรงได้เลยด้วยซ้ำ แต่กระนั้น การกำจัดทั้งหมดในเวลาเดียวกันแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้

นั้นหมายถึงพลังของสาวน้อยผมเงินมีระดับเทียบเคียงกับเจ้าเหนือหัวแห่งความตายคนนั้น
และถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ คนอื่นๆที่อยู่ด้านข้างก็คงจะน่ากลัวไม่แพ้กัน

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ---"

ซาริวสุไม่สามารถหยุดหัวเราะได้

มันเป็นเรื่องธรรมดา, สถานการณ์ในตอนนี้จะสามารถทำอะไรได้นอกจากหัวเราะ?
ถ้าหากพลังมันต่างกันขนาดนี้---

"น้องชาย"

"--- อ่า, ท่านพี่"

ซาริวสุตอบพร้อมกับเหลือบตาไปยังเสียงที่ดังมาจากด้านล่างของกำแพงดิน
และพบกับชาสุริวกับครูสช์มาอยู่ตรงนี้แล้ว ทั้งสองปีนขึ้นมาบนกำแพงแล้วมองไปยัง
คณะผู้ติดตามของจอมเวทย์

ครูสช์เข้าแทรกตรงกลางระหว่างซาริวสุและเซนเบรุ จนเกือบทำให้เซนเบรุร่วงลงไป
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้แล้ว

"นั้นคือผู้นำของศัตรูงั้นหรือ? บรรยากาศรอบตัวเขารุนแรงถึงขนาดที่เพียงมองไปก็ทำให้
หนาวไปถึงกระดูกแล้ว ถึงเขาจะคล้ายกับลิคที่เจ้าฆ่าไปก็เถอะ แต่พลังของเจ้านั้นกับเขาคนนี้
มันเทียบกันไม่ได้เลย....."

"......พี่ชาย ทางด้านท่านเรียบร้อยแล้วหรือ?"

"อืม, ประมาณนั้น, เวทมนต์สำรองของข้ากับครูสช์ ใช้หมดจนแล้ว
ยิ่งกว่านั้น, พอได้ยินคำพูดนั่นแล้ว......ข้าคิดว่าต้องมาหาวิธีรับมือเรื่องนี้ก่อน
เกี่ยวกับที่เจ้านั้นพูด......ซาริวสุ, เจ้าจะไปด้วยกันไหม?"

ซาริวสุมองไปที่ชาสุริวอย่างเงียบงันก่อนจะพยักหน้าอย่างขึงขัง, ชาสุริวเห็นสีหน้าที่กดดันชั่ววูบหนึ่ง
ของน้องชาที่แสดงออกมาชั่วครู่เดียวจนคนอื่นไม่สังเกตเห็น

"ขอโทษ"

"อย่าคิดมากเลย, พี่ชาย"

ชาสุริวเพียงกล่าวคำขอโทษ ก่อนที่จะกระโดดจากกำแพงดิน ลงไปบนพื้นที่ชุ่มน้ำที่ตอนเคลือบไปด้วย
น้ำแข็งจนเกิดเสียงน้ำกระจายออกมา

"ถ้างั้นข้าไปล่ะ"

"ระวังตัวด้วย"

ซาริวสุกอดครูสช์แน่น จากนั้นก็กระโดดตามพี่ชายไป

ซาริวสุและชาสุริวลุยข้ามน้ำแข็งบางๆบนทะเลสาบ เดินหน้าไปด้วยกัน
หลังจากที่พวกเขาเดินผ่านประตูทางเข้าหลัก ซาริวสุรู้สึกถึงสายตาจากกลุ่ม
ของเจ้าเหนือหัวแห่งความตายจ้องมองมาที่พวกเขาทั้งสองคน
ราวกับสายตาของพวกเขามีความกดดันอย่างหนักหน่วง
เขาหมดท่า, แต่อารมณ์และความรู้สึกของเขาบอกเขาว่าจะหนีไปไม่ได้

ในตอนนั้นเอง, ชาสุริวก็เอ่ยขึ้นมา

"......ขอโทษนะ"

"......ขอโทษอะไรหรือ, พี่ชาย"

"......ถ้าการเจรจาไม่เป็นผล, ศัตรูอาจจะฆ่าพวกเราทั้งสองคนก็เป้นได้"

ซาริวสุได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว, เขาถึงได้กอดครูสช์ก่อนที่จะออกมา

"......หากพิจารณาจากจำนวนของศัตรู, ข้าคงปล่อยให้พี่มาคนเดียวไม่ได้หรอก และถ้าท่านมาคนเดียว
อีกฝ่ายอาจจะคิดว่าพวกเราไม่ให้เกียรติพวกเขามากพอก็เป็นได้"

ในบรรดาลิซาร์ดแมน ซาริวสุนั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นผู้ที่เหมาะอย่างยิ่งในการ
เจรจาต่อรอง แต่ตัวตนของเขานั้นเป็นนักเดินทาง ดังนั้นหากเขาเป็นอะไรไป ก็จะไม่ส่งกระทบต่อ
โครงสร้างโดยรวมของกลุ่ม จากมุมมองนี้ เขาจึงไม่เสียใจอะไร

แม้ว่าวีรบุรุษจะถูกฆ่าไป ตราบใดที่ยังมีเหล่าหัวหน้าเผ่าอยู่ การต่อสู้ก็จะยังดำเนินต่อไป
ความน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือการสูญเสียฟรอสต์ เพน
หากไม่มีมัน จะไม่มีวิธีการที่จะป้องกันลมหนาวจากทะเลสาบที่ถูกแช่แข็ง

พวกเขาทั้งสองก้าวต่อไปอย่างเงียบงัน ก้าวทีละก้าวไปสู่ความตาย

พวกเขามาถึงเบื้องหน้าบันไดอันเดดที่ทอดยาวไปสู่บัลลังก์ และประกาศการมาถึงของพวกเขาเสียงดัง
แม้ว่าบัลลังก์จะตั้งอยู่ไกลออกไป, พวกเขาควรจะก้าวขึ้นไปบนบันไดก่อน แต่ฝ่ายตรงข้ามมายืน
อยู่ตรงขอบบันไดเสียแล้ว สื่อให้รู้ว่าพวกนั้นไม่อนุญาตให้พวกเขาขึ้นไป

ราชาต้องนั่งอยู่ระดับสูงสุด

แม้ว่าลิซาร์ดแมนจะไม่มีกฏอะไรแบบนี้ แต่มีหลายชนเผ่าที่มีนิสัยชอบอยู่ด้านบนแล้วมองลงมา
หาคนที่อยู่ต่ำกว่า
แน่นอนว่าการทำแบบนี้กับคู่เจรจา บอกได้เลยว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น มันจึงแสดงถึงความไม่เป็นธรรมออกมาอย่างโจ๋งครึ่ม
ของสิ่งที่มองอย่างผิวเผินว่าเป็นการเจรจาในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม จะมาเรียกร้องความเป็นธรรมอะไรตอนนี้ก็ออกจะอวดดีเกินไปหน่อย
อันที่จริง ซาริวสุและคนอื่นๆ เป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งก่อน แต่เมื่อได้เห็นแถวของทหาร
ที่อยู่ด้านบนก้อนหินขนาดใหญ่ พวกเขาก็ถูกบังคับให้ตระหนักว่าชัยชนะในครั้งนั้น
มันไม่มีความหมายใดๆเลย แม้ว่าพวกไม่อยากจะเชื่อแบบนั้นก็ตาม
ทั้งหมด มันเป็นเพียงแค่เกมส์เท่านั้น

"ผู้แทนของเรามาถึงแล้ว!! ข้า คือตัวแทนของเหล่าลิซาร์ดแมน ชาสุริว ชาช่า
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลิซาร์ดแมน"

"ส่วนข้า ซาริวสุ ชาช่า!"

แม้กระนั้น เสียงที่ดังสนั่นของพวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดเลยจากอีกฝ่าย พวกเขารู้ดีว่ามันเป็นอะไรที่โง่เง่า
แต่มันเป็นศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่ บางทีการต่อสู้ก่อนหน้านี้คงจะเป็นเพียงแค่เกม
ในสายตาของอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทิ้งเกียรติของผู้ที่เสียสละชีวิตในสงครามครั้งก่อนไปได้

ไม่มีการตอบสนองใดๆ, เจ้าเหนือหัวแห่งความตายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เพียงแค่ชำเลืองสายตาที่รุนแรง
ลงมามองที่พวกเขาสองคนเท่านั้น, พวกเขาเขยิบตัวเข้าหากันมากขึ้น
ไม่มีทางบอกได้เลยว่าพวกนั้นตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

แล้วคนผู้หนึ่งก็ตอบกลับมา ปีศาจหญิงสาวที่มีปีกอยู่ที่เอว

"นายท่านของพวกเราเห็นว่าพวกเจ้า ยังมิได้อยู่ในท่ารับฟังที่แสดงถึงความเคารพ"

"......อะไรนะ?"

เมื่อหญิงสาวได้ยินคำที่แสดงถึงความสับสนออกมา, เธอจึงเรียกชายหนุ่มมีหาง ที่อยู่ด้านข้างออกมา

"--- เดมิเอิร์จ"

"[จงกราบกราน]"

ทันใดนั้น, ซาริวสุและชาสุริวก็คุกเขาลงกับพื้น หัวของพวกเขากดลงไปกับพื้นที่ชุ่มน้ำ
ส่วนพวกนั้นเห็นท่าทางของพวกเขาเป็นเพียงแค่เรื่องธรรมชาติที่ควรทำ

โคลนเย็นๆ เปื้อนร่างกายของทั้งสองคน, และก้อนน้ำแข็งที่แตกไปก็ฟื้นสภาพกลับมาในทันที

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยืนขึ้น, แม้ว่าพวกเขาจะใช้พลังจากทั้งร่างกายก็ตาม
แต่ร่างกายของพวกเขาก็ไม่ขยับเขยื่อนเลย ราวกับมีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังกดพวกเขา
จากด้านบนลงมา ร่างกายของพวกเขาสูญเสียอิสระในการเคลื่อนไหวไปอย่างสมบูรณ์

"[อย่าต่อด้าน]"

เสียงนี้ดังเข้ามาในหัวของพวกเขาอีกครั้ง, ซาริวสุและชาสุริวรู้สึกราวกับมีจิตใจอีกอันหนึ่งเกิดขึ้นมา
แล้วยึดเอาประสาทการควบคุมร่างกายของพวกเขาไป ร่างกายของพวกเขาหันไปปฏิบัติตาม
คำสั่งจากจิตใจที่เกิดมาใหม่แทน

หลังจากเห็นลิซาร์ดแมนที่ไร้เรี่ยวแรงทั้งสองมอบคลานอยู่บนพื้นโคลน
ปีสาจสาวก็ดูท่าทางพอใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะหันไปรายงานกับนายท่านของเธอ

"ท่านไอนซ์เจ้าค่ะ, พวกมันอยู่ในท่าพร้อมที่จะรับฟังแล้วเจ้าค่ะ"

"ขอบใจมากสำหรับความลำบากของเจ้า --- เงยหน้าขึ้นมาซิ"

"[อนุญาตให้เงยหน้าขึ้นมาได้]"

ซาริวสุและชาสุริวขยับหัวของเขา ซึ่งเป้นส่วนเดียวของร่างกายที่สามารถขยับได้อย่างอิสระ
และมองขึ้นไปด้านบนราวกำลังกราบกรานต้อนรับพระราชา

"ข้าคือ......เจ้าผู้ปกครองแห่งมหาสุสานนาซาริค, ไอนซ์ อูล โกวน์
ก่อนอื่น ข้าต้องขอบใจพวกเจ้าที่ช่วยให้การทดลองของข้าสำเร็จไปด้วยดี"

การทดลอง? พรรคพวกของเราต้องสละชีวิตไปมากมาย แต่เขายังกล้าเรียกมันว่าเป็นแค่การทดลอง?

ความชิงชังในหัวใจของพวกเขาลุกโชนขึ้นมาด้วยความโกรธ, แต่พวกเขาก็ยังระงับอารมณ์เอาไว้
เพราะตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะพลิกกลับมาเอาชนะได้เลย

"ถ้างั้นก็ มาเข้าประเด็นหลักกัน......จงยอมรับในอำนาจของข้าซะ"

จอมเวทย์ไอนซ์ยกมือขึ้นมาอย่างนุ่มนวล ชาสุริวที่กำลังจะพูดหยุดชะงักไป

เขารู้ว่าการฝืนที่จะพูดออกไปตอนนี้เป็นสิ่งที่ฉลาด ชาสุริวทำได้เพียงเชื่อฟังอย่างเงียบๆ

"--- แต่อย่างไรซะ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเอาชนะพวกเรา นั้นหมายความว่าพวกเจ้าไม่ยอมรับ
อำนาจของข้า นั้นคือสาเหตุที่พวกเราจะทำการโจมตีพวกเจ้าในอีกสี่ชั่วโมงหลังจากนี้
ถ้าหากว่าเจ้ามาสารถเอาชนะได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้าอีกเป็นอันขาดและรับประกัน
ว่าจะให้ค่าตอบแทนกับพวกเจ้าอย่างเหมาะสม"

"......ข้าขอรบกวนถามอะไรซักอย่างได้หรือไม่?"

"ได้, เชิญว่ามา"

"ผู้ที่จะโจมตี......หรือว่าจะเป็นพลังของคุณ"

สาวน้อยผมสีเงินยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่วนปิศาจสาวยิ้มลึกๆอยู่ข้างใน คงอาจจะเป็นเพราะการใช้
ถ้อยคำของอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ไม่ทำอะไรใดๆ, บางที คงเพราะนายท่านไม่ได้พูดอะไรออกมา

ไอนซ์เมินเฉยสองคนนั้น, และพูดต่อไป

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้, แต่ข้าจะไม่ดำเนินการด้วยตัวเอง หากแต่เป็นผู้ช่วยของข้า......นอกจากนั้น
ข้าจะส่งเขาไปคนเดียว ชื่อของเขาคือ โคไซตัส"

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้, ซาริวสุรู้สึกสิ้นหวังอย่างสุดซึ้งราวโลกถึงกัลปาวสาน

ถ้าหากกองทัพขนาดใหญ่ทำการโจมตี บางทีเหล่าลิซาร์ดแมนอาจจะมีโอกาศเอาชนะอยู่บ้าง
นั้นหมายความว่าตอนแรกเขาเชื่อว่าครั้งนี้ก็เป็นการต่อสู่อันโชคร้ายที่อีกฝ่ายเรียกว่าการทดลอง
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังมีโอกาสเล็กๆที่จะสามารถเอาชนะได้

ถึงกระนั้น กลับไม่ใช่กองทัพขนาดใหญ่ที่จะมาโจมตี

แต่เป็นคน เพียงคนเดียวเท่านั้น

กองทัพที่พ่ายแพ้ในครั้งก่อน นำมาซึ่งการประกาศอันยิ่งใหญ่
แต่ตอนนี้กลับจะส่งคนมาบุกเพียงคนเดียว เว้นแต่นี้จะเป็นการลงโทษคนผู้นั้นหรือไม่ก็มี
ความหมายบางอย่างอยูในคำพูดของเขาละก็ เขาจะต้องมั่นใจกับคนผู้นั้นมากอย่างแน่นอน

คนที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าเหนือหัวแห่งความตาย ผู้ที่มีความแข็งแกร่งอย่างท้วมท้น
เช่นนั้นก็มีเพียวคำตอบเดียว คือคนๆนั้นต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และแข็งแกร่งถึงขนาดที่ว่า
บรรดาลิซาร์ดแมนทั้งหมดจะไม่มีโอกาสชนะได้เลยทีเดียว

"พวกเขาขอยอม......"

"การยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้มันน่าเบื่อ ลองขัดขืนดูซักหน่อยสิ พวกเราจะได้ลิ้มรสชัยชนะเสียบ้าง"

ไอนซ์พูดขัดเข้ามา ไม่ยอมให้ชาสุริวทำอะไร แม้แต่การยอมจำนน

ชัดเจน, เขาอยากให้พวกเราเป็นตัวอย่าง, เจ้าสารเลวนี้

ซาริวสุสาปแช่งอยู่ในใจ

ใช้กำลังลบล้างความอับอายจากความพ่ายแพ้

เป้าหมายของพวกมันคือการเชือดลิซาร์ดแมนให้พวกที่เหลือดู
มันจะเป็นการข่มขู่ที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมากในขจัดลิซาร์ดแมนที่จะก่อกบฏ

"นั้นคือสิ่งที่ข้าอยากจะบอก, เช่นนั้น อีกสี่ชั่วโมงให้หลัง, ขอเชิญสนุกกันให้เต็มที่"

"กรุณารอเดี๋ยว --- แล้วน้ำแข็งพวกนี้จะหายไปหรือไม่?"

ไม่ต้องนึกไปถึงว่าใครจะชนะหรือแพ้ แต่ทุ่งน้ำแข็งนี้ ทำให้ลิซาร์ดแมนอยู่ยากแน่

"......อ่า ข้าเกือบลืมไปเลย"

พูดแบบนี้แสดงว่าเขาลืมไปแล้ว, ท่าทีที่สบายๆของไอนซ์ปรากฏออกมาในตำตอบของเขา

"ข้าแค่ไม่อยากเลอะโคลนจากพื้นแฉะๆของที่นี่ตอนที่ข้าเดินเท่านั้นแหละ พอข้ากลับไป
เดี๋ยวผลของเวทมนต์มันก็หายไปเอง"

"อะไรกัน"

ซาริวสุและชาสุริวตะลึงงัน และถามกับตัวเองว่าพวกเขาฟังไม่ผิดใช่ไหม?

เขาแช่แข็งทั้งทะเลสาบ เพื่อไม่ให้ตัวเองเปื้อนเนี่ยนะ?

นี่มันอยู่เกินกว่าระดับที่จะเชื่อได้แล้ว, ศัตรูแข็งแกร่งเกินจนไป
เขาสามารถเปลี่ยนธรรมชาติได้อย่างงายดายเพื่อเพราะเหตุผลบ้าๆ แบบนี้

และพวกเขาต้องเป็นศัตรูกับคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้
ซาริวสุและชาสุริวรู้สึกกลัวราวกับพวกเขาเด็กตัวเล็กๆที่ต้องอยู่เพียงคนเดียว

"จนถึงครั้งต่อไป, ลิซาร์ดแมน --- [พอร์ทัล] (Portal)"

รู้สึกว่าทุกอย่างที่ต้องการพูดได้พูดออกไปหมดแล้ว, ไอนซ์ก็วาดมือออกมาเบาๆ
พลันปรากฏอุโมงค์มิติสีดำมืดขึ้นมาเบื้องหน้าบัลลังก์
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไป

"แล้วเจอกัน, ลิซาร์ดแมน"

"ลาก่อนนะ, ลิซาร์ดแมน"

"ลาล่ะ, ลิซาร์ดแมน"

สองสาวกับหนึ่งหนุ่มตามเข้าไปในความมืดนั้น หลังจากกล่าวคำอำลาที่ราวกับหมดความสนใจ
ไปแล้ว(ตรงนี้มันนึกว่าออร่าเป็นผู้ชาย)

"อะ-เอ๊ะ, ถะ-ถ้างั้น, ดูแลตัวเองดีๆนะฮะ"

"drows ym fo enob eht ma I" [งั้นก็, ลาล่ะ]

หลังจากนั้น ดาร์กเอลฟ์สาว กับตัวประหลาดก็ตามเข้าไป(ตรงนี้มันนึกว่ามาเร่เป็นผู้หญิง)

"[ได้รับ อิสระภาพ] แล้วก็ สนุกกันให้เต็มที่เลยนะครับ, ลิซาร์ดแมน"

คนสุดท้าย ชายหนุ่มที่มีหางก็เข้าไปในความมืดนั้น เขาพูดจาอย่างสุภาพและพลังบางอย่างที่กด
พวกเขาอยู่ก็หายไป

ซาริวสุและชาสุริวถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ตรงจุดที่พวกเขานอนแผ่หราอยู่บนโคลนและไม่ไหวติง
เพราะพวกเขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะฉุดรั้งตัวเองขึ้นมา

พวกเขาไม่รู้สึกกระทั่งความเจ็ปปวดจากสายลมที่เย็นยะเยือก
เพราะตอนนี้จิตใจของพวกเขามันเจ็บเสียยิ่งกว่ความเจ็บปวดทางร่างกายเสียอีก

"บัดซบ......"

ชาสุริวสบถออกมาเบาๆ อย่างที่ไม่สมกับตัวตนของเขาเลย แบะเป็นเสียงที่ผสมไปด้วย
อารมณ์หลายๆอย่าง

พวกเขาทั้งสองคนได้รับการต้อนรับการกลับมาโดยหัวหน้าเผ่าคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านบนกำแพงดิน
เพื่อหลีกเลี่ยงไอเย็น แต่ไม่มีลิซาร์ดแมนคนอื่นอยู่เลย

บางที, อาจเป็นไปได้ว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะพวกเขาพิจารณาแล้วว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้อง
สนทนากันเป็นการส่วนตัว ชาสุริวคิดว่าคงจะเป็นเช่นนั้น
แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีกแล้ว, จากนั้นเขาก็แจ้งข่าวให้กับทุกคนฟังเกี่ยวกับ
ความคืบหน้าในการพบกันซึ่งยากที่จะเรียกว่าการเจรจาได้

ไม่มีใครแสดงปฏิกิริยาออกมามากนัก, นอกจากตกใจเล็กน้อยกับคำอธิบายของชาสุริว
ที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ที่เป็นเช่นนี้ คงเพราะพวกเขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว

"เข้าใจล่ะ......ถ้างั้น น้ำแข็งนี้ จะละลายใช่ไหม? ถ้ามันไม่ละลายละก็ ถึงอยากจะสู้แต่คงทำไม่ได้แน่"

"ไม่ใช่ปัญหา ศัตรูบอกว่าเวทมนต์จะหายไปแน่นอน"

"นี้เป็นผลที่เกิดจากการเจรจางั้นหรือ?"

ต่อหน้าคำถามที่ออกมาจากหัวหน้าเผ่าสมอล แฟง, ชาสุริวไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มเล็กๆออกมา
เมื่อเห็นอาการเช่นนั้น ก็เข้าใจได้ว่ามันหมายถึงอะไร, หัวหน้าเผ่าสมอล แฟง ส่ายหัวอย่างไม่สบายใจ

"ตอนที่พวกท่านไปเจรจา, และพบเงาของศัตรูที่อยู่ข้างในทะเลสาบ รูปร่างของมันดูเหมือน
ทหารโครงกระดูก เราเกรงว่าพวกเราถูกล้อมไว้หมดแล้ว และพวกมันกำลังรอคำสั่งเท่านั้น"

"ข้าไม่คิดว่า......ศัตรูของพวกเรา......วางแผนที่จะปล่อยให้พวกเราไป"

"ฝ่ายศัตรูค่อนข้างรัดกุม, นั้นก็หมายความว่า......"

"เช่นนั้นก็คิดได้อย่างเดียว"

ทั้งสี่คนที่ไม่ได้เข้าร่วมเจรจาต่างถอนหายใจยาว, สรุปว่าพวกเขาจำเป็นต้องส่งคนออกไปสังเวย

"ถ้างั้นเราจะทำอย่างไรดี?"

"......ระดมลิซาร์ดแมนระดับนักรบทั้งหมด, แล้วก็......อีกหนึ่งวีรบุรุษ"

"พี่ชาย......ท่านจะช่วยอนุญาตให้มีเพียงห้าคนที่จะมีส่วนร่วมในครั้งนี้ได้หรือไม่?"

นอกจากสายที่งุนงงของเขา, ซาริวสุยังเห็นความสับสนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของครูสช์
เขาจึงพูดต่อ ความสนใจทั้งหมดจึงมุ่งมาที่ชายหนุ่มลิซาร์ดแมนและพี่ชายของเขา

"ถ้าหากเป้าหมายของศัตรูแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและทรงพลังของพวกเขาแล้ว
ถ้างั้นลิซาร์ดแมนก็คงจะไม่ถูกกวาดล้างโดยสมบูรณ์ ดังนั้น เราจึงต้องการคนที่จะเป็นผู้นำ
ศูนย์กลางที่จะนำพาผู้ที่ยังรอดชีวิตทุกคนได้, ถ้าหากทุกคนที่อยู่ตรงนี้ตายกันหมด
มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับอนาคตของลิซาร์ดแมนแน่"

"......มันก็มีเหตุผล, แต่มันไม่ถูกต้อง, ใช่ไหมชาสุริว"

"หืมม, ซาริวสุพูดถูกแล้ว"

หัวหน้าเผ่าอีกสองคนมองตัวเลือกของซาริวสุกับครูสช์, แล้วทั้งสองก็ตกลงเห็นด้วย

"--- เรื่องนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่ยอมรับไม่ได้, ข้าเองก็เห็นด้วย"

หลังจากได้รับการอนุมัติจากหัวหน้าเผ่าคนสุดท้าย เซนเบรุ, ชาสุริวเองก็ไม่สามารถหาเหตุผล
ใดๆมาค้านคำขอจากน้องชายได้

"การตัดสินใจของเราเอาเป็นตามนั้น, ข้าเองก็คิดเรื่องนี้อยู่, จะต้องมีใครที่สามารถเป็นผู้นำ
และนำพาทุกเผ่าให้อยู่รอดต่อไป --- ครูสช์ดูท่าจะเหมาะที่สุดที่จะได้รับหน้าที่นี้, แม้ผิวเผือกของเธอ
อาจจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง, แต่ความสามารถดรูอิดของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้"

"เดี๋ยวก่อน, ข้าเองก็อยากออกไปสู้ด้วย"

ครูสช์ตะโกนลั่น, ประท้วงว่าทำไมคราวนี้เธอถึงได้รับการยกเว้น

"ยิ่งกว่านั้น, ถ้าหากเราจะให้ใครอยู่ด้านหลัง, ให้ชาสุริวไม่ดีกว่าหรือ?
เขาเป็นหัวหน้าเผ่าที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว"

"และนั่นก็คือเหตุผลที่เราปล่อยให้เขาอยู่ด้านหลังไม่ได้ เป้าหมายของศัตรูคือการแสดงอำนาจ
เพราะงั้นพวกเราจะยอมจำนนต่ออำนาจของเขาอย่างง่ายดาย ความคาดหวังในตัวพวกเราก็จะสิ้นไป,
ถึงอย่างนั้นแล้ว เหล่าผู้ที่ยังเหลือจะฝากความหวังไว้ที่ใครล่ะ, หือ?"

"และก็......หัวหน้าเผ่าที่มีอยู่ในตอนนี้, คนที่ความนิยมต่ำสุดก็คือ ครูสช์"

ครูสช์พูดไม่ออก, มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะสีผิวของเธอ ทำให้ความนิยมของเธอต่ำสุด

เมื่อรู่ว่าไม่มีอะไรจะโน้มน้าวจิตใจของพวกเขาได้แล้ว, ครูสช์จ้องเขม็งไปที่ซาริวสุ

"ข้าอยากจะไปด้วยเช่นกัน, เมื่อตอนที่เจ้าเรียกข้าให้มาที่นี่ เจ้าก็ให้ข้าได้ตัดสินใจด้วยตัวของตัวเอง
เช่นนี้แล้ว เจ้าจะยังคงพูดแบบนั้นอีกไหม?"

"......เพราะในตอนนั้น ทุกคนมีโอกาสมากที่จะถูกฆ่าตายกันหมด
แต่คราวนี้เรามีคนมีโอกาสมากที่จะคนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่รอดต่อไป"

"อย่ามาล้อข้าเล่นนะ!!"

อากาศสั่นไหวราวกับสะท้อนความโกรธของครูสช์ เพราะอารมณ์กระวนกระวายของเธอ
กำแพงดินถูกตีดังขึ้นมาหลายครั้ง หางของครูสช์สะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง

"--- ซาริวสุ, เจ้าไปเกลี่ยกล่อมเธอซะ, แล้วเจอกันเมื่อถึงเวลาที่ศัตรูกำหนด"

ชาสุริวโยนคำพูดนี้มาให้ก่อนจะแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงน้ำแข็งแตก
และเสียงน้ำกระจาย หัวหน้าเผ่าอีกสามคนกระโดดลงมาจากกำแพงดินแล้วตามชาสุริวไป
เซนเบรุหันมามองด้านหลังพร้อมกับโบกมือเบาๆให้ ด้วยความหวังดี

หลังจากพวกเขาไปกันหมด, ซาริวสุก็หันมามองหน้าครูสช์

"ครูสช์ ช่วยเข้าใจทีเถอะ"

"จะให้เข้าใจได้ยังไง!! แถมมันไม่ได้กำหนดด้วยว่าพวกเราจะแพ้ซักหน่อย ถ้าหากมีพลังดรูอิดของข้า
สนับสนุนด้วยละก็ บางทีเราอาจจะชนะก็ได้!!"

ประโยคนี้มันช่าวงกลวงเปล่า ขนาดคนพูดอย่างครูสช์ยังไม่มั่นใจในตัวเอง

"ข้าไม่อยากให้ผู้หญิงที่ข้ารักต้องถูกฆ่า ขอร้องละ ช่วยสนองความต้องการที่โง่เขลาของลิซาร์ดแมน
คนนี้เถิด"

"ครูสช์แสดงออกถึงความเจ็บปวด, แล้วกอดซาริวสุ"

"เจ้ามันเห็นแก่ตัว!!"

"ขอโทษ......"

"เจ้าอาจจะตายก็ได้นะ"

"อือ อืมม...."

เป็นเรื่องจริง ที่โอกาสรอดกลับมานั้นมันช่างต่ำเตี้ยจนเเทบจะไม่มี
ไม่สิ, ต้องบอกอย่างมั่นใจเลยว่าไม่มีโอกาสแล้วด้วยซ้ำ

"แค่เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์, เจ้าก็คว้าหัวใจของข้าไปแล้ว, แล้วเจ้ายังจะมาบอกให้ข้าดูเจ้าโดนฆ่าตาย
โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยเนี่ยนะ?"

"อืม......"

"การได้มาพบกันเป็นโชคดีของเจ้า แต่มันมันเป็นโชคร้ายของข้า"

ครูสช์ที่กอดซาริวสุอยู่ดึงตัวเขาเข้ามาแน่น ราวกับจะไม่ปล่อยให้เขาจากไป

ซาริวสุไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ

อะไรคือสิ่งที่เขาควรจะพูด?

เขาจะพูดยังไงดี?

ความคิดทั้งหมดของเขามาติดอยู่ที่ปัญหาเดียวกัน

หลังจากผ่านไปซักพัก, ครูสช์ก็เลยหน้าขึ้นมา สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ซาริวสุรู้สึกไม่สบายใจ ในขณะที่เขารู้สึกว่าครูสช์จะยืนกรานที่จะไปด้วย
ในตอนนั้นเอง ครูสช์ก็พูดถ้อยคำไม่ที่คำให้ซาริวสุฟัง

"--- ทำให้ข้าท้องซะ !!"

"--- ห๊ะ?!"

"เร็วเข้า!!"

5 ความคิดเห็น: