หน้าเว็บ

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Re:Monster : DAY : 79-81

DAY79

วันนี้ผมได้รับสารเชิญจาก ท่านพ่อเอลฟ์ (Farther Elf) ผ่านทางอุปกรสื่อสารที่ผมให้ใว้กับเขา ว่าเขามีความต้องการจะพูดคุยกับผมอย่างเร่งด่วน ผมตัดสินใจพา สาวน้อยผมแดง และ อัศวินหญิง ที่เพิ่งฝึกซ้อมกับผมเสร็จออกเดินทางไปกับผมในฐานะผู้ติดตาม ในขณะที่คนอื่นๆกำลังติดพันอยู่กับการฝึกซ้อม ออกล่า และเล่าเรียนอยู่
ผมขึ้นควบคุมะจิโร่ (ไฮด์แบร์ ที่ผ่านการเลื่อนชั้นแล้ว 3 รอบ) โดยให้น้องผมแดงซ้อนไปด้วย ส่วนอัศวินหญิงขึ้นขี่ คุโรซาบุโร่ (dark wolf ที่ผ่านการเลื่อนชั้นแล้ว 3 รอบ) เอาล่ะพวกเราออกเดินไปสู่หมู่บ้านเอลฟ์





เพราะว่าพวกเราทำการออกเดินทางทันทีที่ได้รับสารเชิญ จึงตัดความเสี่ยงเรื่องที่ข้อมูลจะรั่วไหลไปได้ และเป็นไปตามคาดไม่มีอุปสรรคใดๆเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของเรา ทันทีที่มาถึงผมสัมผัสได้ถึงสายตาของเอลฟ์ที่จ้องมองมายังพวกเรา สายตาที่มองพวกเราในระดับที่พวกเรามองไปยังพวกสัตว์เลี้ยง (ปศุสัตว์,หมู ,วัว) เมื่อผมจ้องตากลับไปพวกเขาก็หลบสายตาออกไป (เอลฟ์มองมนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ว่าต้อยต่ำกว่าตน และตอนนี้ก็อยู่ระหว่างทำสงครามกับมนุษย์ด้วย)

พวกเราถูกเชิญให้เข้าไปยังแมนชั่นของท่านพ่อเอลฟ์ ผมปล่อยผ่านให้สายตาดูหมิ่นนั้นไป ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้นไม่มีการพูดคุยใดใดเกิดขึ้นจนกระทั่งน้ำชาได้ถูกเสิร์ฟ สาวผมแดงกับอัศวินหญิงได้รับเครื่องดื่มที่มีลักษณะเหมือนน้ำโกโก้ พวกเธอตื่นตาตื่นใจมองไปรอบๆห้อง มันเป็นครั้งแรกที่มนุษย์อย่างพวกเธอได้เข้ามายังหมู่บ้านเอลฟ์

นอกจากสายตาที่มองมาพวกเขาก็ไม่ได้แสดงกิริยาหยาบคายหรือท่าทีรังเกียจ ดังนั้นผมจึงปล่อยผ่านมันไป

อ่าซ์... ในที่สุดก็เสริฟเหล้า... แอลกอฮอร์ มานี่แร๊ว เยี่ยมไปเลย ผมดื่มไปเล็กน้อย จึงเพิ่งสังเกตุเห็นว่าในครั้งนี้ลูกสาวสุดสวยของท่านพ่อเอลฟ์ก็อยู่ด้วย เธอยืนอยู่ข้างหลังท่านพ่อของเธอ

พวกเราเริ่มต้นด้วยการสนทนาเล็กน้อยเกี่ยวกับความคืบหน้าในสภาณการสงครามครั้งนี้ โดยที่ลูกสาวสุดสวยคอยรินเหล้าให้ผมและท่านพ่อเอลฟ์ จะว่าไปก็เหมือนผมหมดแก้วรัวๆและแทบจะเป็นคนกินมันทั้งหมดเลยล่ะนะ บรรยากาศในขณะนั้น่คอยๆร่าเริงมากขึ้น

หลังจากบรรยากาศที่ตึงเครียดลดลงและการพูดคุยเล็กๆน้อยๆเสร็จสิ้น เราก็พูดคุยประเด็นหลักกัน จากการสนทนาเห็นได้ชัดเลยว่าท่านพ่อเอลฟ์จะกลายเป็นผู้ปกครองผืนป่าแห่งหมู่บ้านเอลฟ์แห่งนี้คนถัดไป เขาเริ่มต้นด้วยการเจาะประเด็นไปยังกองกำลังรบหลักของเหล่ามนุษย์ โดยแผนการที่เขาจะเข้าโจมตีด้วยกองกำลังผสมระหว่างกองทัพนักรบแห่งเอลฟ์และกองสนับสนุนเต็มรูปแบบ เหตุผลนั้นมาจาก กองกำลังหลัก ของมนุษย์นั้นกำลังย่างกรายเข้าใกล้ขึ้นทุกที หางปล่อยไปเช่นนี้อีกไม่นานจะต้องล้อมรอบป่าเอลฟ์แห่งนี้ใว้โดยรอบภายในไม่กี่วันข้างหน้า จากที่ผมสังเกตุจากรูปแบบการรบนี้ แสดงว่าการสู้รบยืดเยื้อนั้นไม่เป็นที่ต้องการของกองกำลังทั้งสองฝ่าย

จากการพ่ายแพ้ให้แก่การรบที่ผ่านมาของเรา สถานการในปัจจุบันของกองทัพมนษย์ไม่ค่อยสู้ดีนัก ผมสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมกองทัพมนุษย์ต้องเร่งรีบที่จะเข้าโจมตีเอลฟ์ ซึ่งถ้าหากว่าหมู่บ้านเอลฟ์พ่ายแพ้และถูกยึดครองสำเร็จ มันจะไม่เพียงเป็นปัญหาสำหรับเหล่าเอลฟ์แต่มันยังรบกวนจิตใจผมด้วย มันมีความเสี่ยงในอนาคตที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นในผืนป่าทั้งหมด หากหมู่บ้านเอลฟ์ถูกจักรวรรด์ิเข้ามาปกครอง

แต่จากทหารจำนวนมากของกองทัพย์มนุษย์ได้ถูกพวกเราสังหารไปในช่วงสัปดาห์ก่อน ผมคิดได้แต่ว่ากองทัพมนุษย์นั้นจะเปลี่ยนท่าทีเป็นต้องการสงบศึกและยุติปัญหาระหว่างสองชนชาติขึ้นมากกว่า ในทำนองเดียวกันฝั่งเอลฟ์เองก็น่าจะต้องการที่จะจบปัญหาความขัดแย้งนี้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ดูเหมือนสงครามจะเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการอย่างเห็นได้ชัด ดูอย่างในตอนนี้ที่ผลจากสงครามได้เข้ามาคุกคามจนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความอยู่รอดของทั้งหมู่บ้าน

อย่างไรก็ดีระหว่างปัญหาความขัดแย้งนี้พวกเราก็เป็นเพียงกองกำลังทหารรับจ้าง เราไม่สามารถละเลยคำขอจากผู้ว่าจ้างได้ ท่านพ่อเอลฟ์ได้ให้คำมั่นใว้อย่างชัดเจนว่าจะให้ค่าตอบแทนอย่างงามจากการต่อสู้เพื่อปกป้องหมู่บ้านและเอลฟ์ ถึงแม้ท่านพ่อเอลฟ์จะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้เกิดความคิดที่จะอยากเข้าไปรบแบบเผชิญหน้าตรงตรงกับกองทัพมนุษย์ เพราะรูปแบบการรบของเราเป็นแบบกองโจร แต่ด้วยเหตุว่าช่วงเวลาสนทนาสั้นๆทำให้ผมไม่มีเวลาพอจะต่อรองอะไรได้มาก ผมจึงเริ่มเจรจาตามแผนการที่คิดใว้และได้รับคำอณุญาติให้ใช้ Elixir ได้ตามความสถานการณ์และความเหมาะสม

หลังจากการพูดคุยและวางแผนอันยาวนานจบลง กลุ่มของผมเตรียมตัวเพื่อเดินทางกลับ ในระหว่างทางผมพูดคุยกับอัศวินหญิง ว่าเขามี Elixir อยู่ในเลือดของเขา ถ้าหากว่าสถานการณ์เลวร้ายของเลวร้ายที่สุด เขาจะเตรียม Elixir จากเลือดของเขาเพื่อนำไปรักษาองหญิง โดยวางแผนจะให้อัศวินหญิงทำหน้าที่เป็นทูตเจรจาสงบศึกระหว่างสองเผ่าพันธ์ เพราะเธอเป็นลูกสาวของชนชั้นสูงจึงเหมาะสมที่จะทำหน้าที่การเป็นทูตมากกว่าให้ Orge อย่าง โรว เดินเข้าไปในเมือง มันเป็นความคิดที่ไม่เลว.. ได้รับความดีความชอบจากอาณาจักรในขณะที่ทำให้เอลฟ์ติดหนี้บุญคุญเราครั้งใหญ่ซึ่งเราสามารถเรียกร้องขอได้ในภายหลัง

ผมไตร่ตรองความคิดนี้ระหว่างที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่

แต่มันอาจจะยุ่งยากสักหน่อยในเมื่อพวกเรามีทาสจำนวนมากที่มาจากกองกำลังของอาณาจักร มนุษย์เป็นเผ่าที่มีความเชื่อทางศาสนาสูงในขณะสิ่งที่เราทำต่อผู้คนของเขาเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อศาสนาที่เขานับถือ ดูเหมือนว่าองค์ราชินีเองก็มีความเชื่ออย่างแรงกล้าใน [The Fifth Ogami Juda] ที่ตอนนี้เป็นศาสนาที่แพร่หลายและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้ การเจรจากับคนแบบนี้มันอาจจะมีปัญหาและอาจจบลงด้วยการปฎิเสธที่จะรับยารักษาก็เป็นได้ ถึงอย่างไรมันก็ยังพอมีช่องว่างที่พอจะทำการเจรการกันได้อยู่

มาคิดดูแล้วถ้าเราสามารควบคุมทิศทางการรบขั้นแตกหักครั้งนี้และมี Elixir อยู่ในครอบครอง ยิ่งทำให้โอกาศในการเจรจานั้นสำเร็จมากขึ้น

เอาล่ะเมื่อการไตร่ตรองจบลง ผมเริ่มการเตรียมพร้อมสำหรับการรบขั้นแตกหักในวันพรุ้งนี้

DAY 80

4.00 am พวกเราออกเดินทางไปยังที่ตั้งกองกำลังศัตรู แม่ทัพของศัตรู เป็นองชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ (อายุ 24) ก็ปรากฎตัวอยู่ในค่ายด้วยเช่นกัน จำนวนทหารของกองทัพศัตรูมีประมาณ 2000 คน กองกำลังประกอบไปด้วยหน่วยทาสที่ถูกเกณมาอยู่ติดกับหน่วยทหารชั้นยอด บริเวณค่ายของแม่ทัพมีทหารคอยป้องกันอยู่อย่างหนาแน่นเพื่อป้องกันผู้บุกรุก จนดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสามารถตีฝ่าเข้าไปได้ ศัตรูเองก็เรียนรู้จากการรบกับเราที่ผ่านมาเช่นกัน

กองกำลังฝั่งเรามีจำนวนทั้งหมด 650 นาย นำโดยท่านพ่อเอลฟ์คมกองกำลังทหารเอลฟ์ชั้นยอด 500 นาย

รอบนี้พวกเราไม่พาพวกทาสสงครามเข้าร่วมต่อสู้ การรบครั้งนี้จะเป็นการเผชิญหน้ากันตรงตรง แน่นอนว่าคราวนี้อาจจะต้องมีการสูญเสียกันบ้าง

ขั้นแรก พวกเรารอคอยเวลาที่เหมาะสม สถาณการในปัจจุบันยังมืดพอที่ผมจะสามารถซัมม่อนแบล็คสเกลตันไนท์ได้ มันจะช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับการบุกระรอกแรกได้ เนื่องจากผมสามารถซึมซับพลังเวทย์จากความมืดได้จึงไม่เป็นการเปลืองพลังเวทย์ของผม ซึ่งในตอนนี้แสงที่มีอยู่มีเพียงแสงของกองไฟบริเวณค่ายศัตรูเท่านั้น
พิจารณาแล้วทางเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

ดูเหมือนฝั่งแม่ทัพรัชทายาทแห่งจักรวรรดิจะมีรสนิยมคล้ายๆกับผมอยู่เหมือนกัน สังเกตุจากมีการเกณทาสมาเป็นไพร่พลมีและมีสภาพเหมือนผ่านการถูกทารุณกรรมต่างๆนาๆมา ผมตัดสินใจว่าจะส่งสเกลตันแอซซาซินลอบเข้าไปสังหารผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมทาส ทันที่ที่เราสังหารเขาแล้วเราสามารถใช้หน่วยทหารทาสสร้างความปั่นป่วนขึ้นในกองทัพได้ เราจะใช้ประโยชน์จากการที่ผู้ที่ควบคุมปลอกคอทาสตาย เหล่าทาส และ คิเมร่า ก็จะเป็นอิสระและก่อความวุ่นวาย ในจุดนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่ทักษะปลอกคอทาสจะเหมือนกับที่ผมใช้ นอกจากเราไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายคิเมร่า บางทีผมอาจจะเป็นผู้ควบคุมคิเมร่าเองก็ได้

คิเมร่ามีส่วนสูง 6 เมตร เป็นสัตว์ผสมมีรูปร่างคล้ายระหว่าง ช้าง เสือ งู และ ปู ผสมกัน ทันทีที่มันสัมผัสได้ว่าผู้ที่เป็นนายของมันตายไปมันอาจจะคุ้มคลั่งจากการไม่มีคนควบคุมและทำร้ายทุกคนที่อยู่ใกล้

และก็ถึงเวลาลงมือจริง ผมส่งสเกลตันแอซซาซินลอบสังหารผู้คุมทาสสำเร็จ แต่น่าเสียดายที่ คิเมร่า ที่หลุดจากการควบคุมนั้นแค่ทำการหลบหนีออกจากบริเวณไป ผมยอมรับว่ามันสร้างความงุดหงิดให้ผมมากทีเดียว แต่เหล่าทาสที่เป็นอิสระก็เริ่มสร้างความวุ่นวายขึ้น แม้จะถูกสังหารอย่างรวดเร็วเพราะทาสจะถูกจัดให้อยู่ใกล้ๆกับหน่วยทหารชั้นยอดแต่ละนาย ผลจากการโจมตีระรอกแรกโดยสเกลตันแอซซาซินส่งผลให้จำนวนและกำลังรบของศัตรูลดลงไปอย่างมาก ระหว่างที่ทาสกำลังก่อการกบฎภายในค่าย สเกลตันแอซซาซินของผมก็จัดการทหารชั้นยอดไปได้อีกหลายสิบคนโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว สักพักนึงผมจึงตัดสินใจว่าเพียงพอแล้วสำหรับกลยุทธ์นี้ และตัดสินใจบุกเข้าโจมตี ค่ายศัตรูกลายเป็นสนามรบเต็มรูปแบบ

ดวงอาทิตย์ค่อยๆพ้นขอบฟ้าขึ้นมาอัศวินโครงกระดูกดำที่ซัมม่อนมาเริ่มอ่อนแรงลง ไม่นานนักอัศวินโครงกระดูกดำเริ่มถูกทำลายลงมากขึ้น อัศวินมนุษย์ผู้โง่เขลาคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาถึงสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนไป ช่วยกระตุ้นขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร ทันทีที่พระอาทิตย์สาดแสงเด่นอยู่บนฟ้าเหล่าอัศวินโครงกระดูกดำก็สูญเสียประสิทธิภาพลงไปเยอะมาก แต่ผมยังต้องการใช้พวกมันมายันกับศัตรูจนกว่าจะเจอจังหวะเหมาะๆถูกเปิดออกมา

เพราะในขณะที่แสงของดวงอาทิตย์กำลังขึ้นสาดส่องมาผมยังสามารถดูดซึมพลังเวทย์จากความมืดในป่าได้อยู่ จากศพจำนวนมากในสนามรบทำให้ง่ายต่อการสร้างนักรบโครงกระดูกใหม่ขึ้นมา แม้ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันจะเชื่องช้าจากแสงอาทิตย์ แต่พลังโจมตีของมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะประมาทได้ แม้จำนวนนักรบโครงกระดูกที่ผมสร้างขึ้นมาจะช้าลง แต่มันก็ช่วยตัดกำลังศัตรูได้อยู่จำนวนไม่น้อย

ในเมื่อนักรบโครงกระดูกยังใช้งานได้ดีอยู่ เพื่อเพิ่มระยะเวลาต่อสู้ให้ตายยากขึ้นเพื่อผมสามารถเพิ่มจำนวนมันในสนามรบ ผมตัดสินใจใช้พลังเวทย์มากขึ้นในการซัมม่อนมันแต่ละตัวขึ้นมา เสริมพลังความต้านทานแสงอาทิตย์เข้าไป ผลก็คือประสิทธิภาพการรบของมันเพิ่มขึ้นอ่ยางมาก เสียงโอดครวญของเหล่ามนุษย์ดังขึ้นพวกเขารับรู้ได้ว่านักรบโครงกระดูกเหล่านี้อยู่ๆก็ต้านทานต่อแสงอาทิตย์ขึ้นมา ผลเป็นที่น่าพอใจรอยยิ้มกริ่มปรากฎอยู่บนใบหน้าของผม ไ่ม่มีอะไรต้องพูดมาก นักรบโครงกระดูกที่แข็งแกร่งขึ้นลดทอนกำลังใจของทหารศัตรูลงอย่างมาก ลองจินตนาการถึงการรบที่ดำเนินไป โดยมีโครงกระดูกจากศพหลั่งไหลเพิ่มขึ้นมาไม่หยุดหย่อยย่อมสั่นคลอนขวัญทหารเป็นอย่างมาก

น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถวางใจใช้นักรบโครงกระดูกไปได้ตลอด ดวงอาทิตย์ค่อยๆเลื่อนสูงขึ้นต่อไป จำนวนของนักรบโครงกระดูกค่อยๆถูกกำจัดลงในที่สุด จากแผนการโจมตีผมออกคำสั่งให้กองกำลังของทุกหน่วยเข้าโจมตีจากหลากหลายตำแหน่ง ออก้าคิจิเข้าโจมตีจากด้านหน้าที่ซึ่งกำลังรบกันอย่างดุเดือด ในขณะที่คนอื่นๆก็เข้าโจมตีตามตำแหน่งต่างๆตามแผน สนามรบเต็มไปด้วยบรรยากาศซับซ้อน ในขณะที่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเราปรากฎตัวบุกโจมตีจากด้านข้าง ในตอนแรกพวกทหารศัตรูก็ตกใจกลัวกันแต่ไม่นานด้วยอะไรบางอย่างพวกเขาก็กลับมาต่อสู้ได้อย่างแข็งแกร่งเหมือนเดิม การรบกับกองทหารชั้นยอดครั้งนี้นั้นไม่ง่ายเลย ผมสำรวจสนามรบไปรอบๆ เห็นโคบอลสองตัวตายจากการต่อสู้กับมนุษย์ที่แกร่งกว่า

หืม... ผมคิดว่าผมเพิ่งเห็นฮ๊อบก๊อบบลินจำนวนหนึ่งของพวกเราจัดการคิเมร่าลงได้ ไม่เลวสำหรับพวกเขา เอาใว้ผมจะกลับมากินมันหลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้

ในขณะที่ผมกำลังมองสถานการรบอยู่ เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียวผมมองไปยังฐานบัญชาการของศัตรู มันเป็นที่เดียวทีี่ไม่ได้รับการคุกคามจากการบุกในครั้งนี้ จากการสังเกตุศัตรูนั่นต่อสู้ได้ดีจนผิดปรกติ ผมใช้ [job-Sorcerer] เพื่อลบตัวตนไม่ให้เป็นที่สนใจจากศัตรู [job-Assassin] สกิล [Recognition Prevention] (หลบเลี่ยงการรับรู้) การเปิดใช้สกิลหลายๆอย่างพร้อมกันต้องการค่าความแข็งแกร่งอย่างมาก และเพื่อความแน่ใจ ผมใช้เมจิคไอเท็ม [Hermit's Robe] ผ้าคลุมฤาษี คลุมตัวเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับได้

สถานการรบทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น การต่อสู้รอบด้านทั้งหมดนั้นมีจุดประสงค์เพื่อผมจะได้แทรกซึมตัวเข้าถึง องค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ แม่ทัพของกองกำลังการโจมตีของมนุษย์ เขาสวมใส่ชุดเกราะชั้นยอดและมีบรรยากาศรอบตัวคล้ายๆกับตัวผมเอง อย่างไรก็ตามการลอบเข้ามาของผมไม่ได้แสดงถึงเจตนาการฆ่าฟัน หากมันจะกลายเป็นความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างจักรวรรดิหากผมฆ่าองค์ชายรัชทายาทและจะนำมาซึ่งการตามล้างแค้นของจักรวรรดิที่สูญเสียรัชทายาท สถานการทั้งหมดจะแย่มากขึ้นแม้กระทั้งเผ่าเอลฟ์เองก็อาจจะสูญสิ้นตามกันไปในที่สุด ผมต้องหลีกเลี่ยงการฆ่ารัชทายาท ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันไม่ให้หมู่บ้านเอลฟ์ถูกจักรวรรดิเข้ายึดในทุกวิถีทาง

ผมชอบที่จะให้ป่าแห่งนี้อยุ่ในความดูแลของเอลฟ์มากกว่าอีกทั้งเรายังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เป็นอีกเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่ากันเองในป่าแห่งนี้

เมื่อทุกอย่างถูกตัดสินแล้ว ผมเข้าถึงตัวรัชทายาทอย่างรวดเร็วและเงียบที่สุด กระซิบที่ข้างหูของรัชทายาท ใขขณะที่หย่อนขวดที่บรรจุของเหลวสีแดงใส่กระเป๋าของเขา ผมบอกเขาว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นยาที่สามารถรักษาโรคภัยได้ทุกอย่าง หลังจากพูดเสร็จผมก็ผละตัวออกจากเขา รัชทายาทพยักหน้าและก้มหัวลงเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจเจตนารมของผม จากนั้นเราก็แยกออกจากกัน

เมื่อธุระทั้งหมดเสร็จสิ้นก็มาถึงบทสรุป ผมให้อสุเอะจังสร้างกำแพงดินขนาดใหญ่แยกกองกำลังทั้งสองออกจากกัน มันน่าจะทำให้เรามีเวลามากพอในขณะหนึ่ง

ก่อนที่พวกมนุษย์จะทะลวงกำแพงมาได้ ทุกคนรวมถึงร่างของคิเมร่าถูกรวบรวม ผู้บาดเจ็บและรอดชีวิต พวกที่เคยเป็นหน่วยทหารทาส ถูกรวมมาและถอยทัพออกอย่างรวดเร็ว จริงจริงแล้วผมนี่อยากจะรวบรวมเนื้อทั้งหมดกลับบ้านให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นอาหาร แต่่ในเวลานี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญกว่า โชคดีที่ระหว่างการรบผมกินไปหลายอย่างอยู่บ้าง สำหรับพวกเรามันเป็นรางวัลของการทำสงคราม รวมถึงเนื้อของคิเมร่าด้วย

พวกเราถอยทัพกลับมาที่ถ้ำเพื่อพักฟื้นและรักษาบาดแผล ตอนถอยทัพเราบอกท่านพ่อเอลฟ์ว่าเราต้องการหน่วยพยาบาล ดังนั้นเมื่อเรากลับมาถึงที่ถ้ำหน่วยพยาบาลก็เดินทางมาถึงทันทีเพื่อทำการรักษาบาดแผลให้นักสู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการรบ ถึงเราจะโชคร้ายที่ไม่มีเวลามากพอจะเก็บรวบรวมเนื้อกลับมา แต่เหล่าทหารทาส 100 คนกลับมาแทน ถึงแม้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ก่อความวุ่นวายอะไรแล้ว แต่ผมยังให้พวกเขาใ่สปลอกคาทาสและควลคุมด้วยสกิลควบคุมทาสอยู่ การป้องกันใว้ก่อนย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง

จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในสงครามนี้มี 20 นาย: 3 ฮ๊อบก๊อบบลิน , 2 ฮ๊อบก๊อบบลินเมจ , 5 ก๊อบบลิน , 6 โคบอล และ 4 เอลฟ์ชาย :เสียชีวิต ... มันเป็นการต่อสู้ที่ชุลมุลทีเดียว และศัตรูก็แข็งแกร่งดูถูกไม่ได้เชียว ผมสามารถพูดได้ว่าพวกเราดวงดีที่มีผุ้เสียชีวิตในการรบเพียงเท่านี้ ร่างของผู้เสียชีวิตที่สามารถนำกลับมาได้ถูกจัดพิธีศพให้และเผาอย่างเหมาะสม มีนักบวชมาทำพิธี (คิดว่าเป็นเอลฟ์) บรรยากาศของการสูญเสียวันนี้น้ำตาหลายคนไหลออกมา

ในขณะที่บรรยากาศแห่งความโศกเศร้าดำเนินไป ผมไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าผมรู้สึกเศร้า มันไม่มีน้ำตาสักหยดออกมาจากตาเขา มันเป็นเรื่องปรกติในชีวิตเขาที่ตั้งแต่เกิดมามีชีวิตอยู่โดยการต่อสู้ และกินเหยื่อที่เขาล่าได้ ผมจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจมันนัก

มาถึงส่วนของเนื้อคิเมร่า ผมกินมัน แม้จะมีบางส่วนเล็กๆที่ตกไปบ้างในระหว่างเดินทางกลับถ้ำ แต่มันก็เปล่าประโยชน์ที่จะกลับไปเก็บพวกมันกลับมา

Ability unlocked [Composition] ส่วนประกอบ องค์ประกอบ (คิดว่าเป็นทักษะที่ประกอบหลายๆสิ่งเข้ากับสิ่งเดิมแบบที่คิเมร่ามีส่วนประกอบของทั้งหมูหมากาไก่)

หืม... นี่เป็นความสามารถที่น่าสนใจที่ผมได้รับจากคิเมร่า มันคล้ายกับความสามารถที่ผมเพิ่งได้รับมาก่อนหน้านี้ ผมสงสัยว่ามันจะสามารถประยุคใช้ร่วมกับทักษะอื่นของผมได้หรือเปล่านะ เอาล่าทีนี้ก็ไปจัดหาที่พักเท่าที่จำเป็นให้เหล่าทหารทาสซะก่อน หลังจากนั้นผมก็เข้าไปแช่ในบ่อน้ำร้อนสักพัก ก่อนจะเข้านอน

อืมมม ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สงครามคงจะจบลง และการติดต่อกับท่านพ่อเอลฟ์เช่นกัน ในขณะที่คิดๆไป ผมก็หลับสนิททันที

DAY 81

ผลจากการรบเมื่อวานเราได้ค่าประสปการณ์ทั้งคุณภาพและปริมาณจำนวนมาก ดังนั้นวันนี้พวกเรามีหลายคนที่เลื่อนระดับ (Rank-UP) !

ฮ๊อบจิคุง , ที่เป็นฮ๊อบก๊อบบลินคลิริคเลื่อนขั้นเป็น ฮาฟ-เซนท์ลอร์ด (อาชีพสาย นักบุญ)
รูปลักษณะหลักจากเลื่อนขั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก ตอนนี้เขาสูงเกือบ 170cm แขนขาเล็กเรียวแต่แลดูแข็งแกร่ง ผิวขาวซีดและมีลวดลายแทททูอยู่หลังมือ ผมสีเงินยาวเลยไหล่และมีดวงตาสีทอง

เหมือนกับ ซุปเซซัง (ก๊อบเซ) เขามี ออร์ป ฝังอยู่กลางหน้าผาก และมีเขายาว 5cm ขนาบอยู่ข้างๆ
ค่าสเตตัสก็คล้ายกับ ซุปเซซัง เช่นกันเขาเป็นขั้นต้นของคลาส ลอร์ด (ตอนนี้เป็น ฮาร์ฟลอร์ด) สายพันธ์ที่เชี่ยวชาญ การปกป้อง และ การรักษา ผมทดสอบให้เขาลองฮีลแผลของสมุนทาสดู พลังการรักษานั้นก้าวกระโดดเหนือขอบเขตเหนือกว่าก่อนที่เขาจะเลื่อนขั้นอย่างมาก

นอกจากนั้นยังมีทักษะใหม่เป็นพลังแห่งแสงตามธรรมชาติของสายพระคอยคุ้มครองติดตัวมา ผมลองทดสอบด้วยการโจมตีด้วยพลังเพียวๆไม่เสริมสกิล เขาสามารถอดทนต่อการโจมตีปรกติได้กว่า 20 ครั้ง ไม่เลวๆ..... เขามีพลังป้องกันตามธรรมชาติอันแข็งแกร่ง ผมต้องยอมรับว่าผิดหวังเล็กน้อยที่เขาทนการโจมตีของผมได้มากขนาดนี้

นอกจากนั้นตอนนี้เราต้องเรียกเขาว่า เซย์จิคุง แทนที ฮ๊อบจิคุง หลังจากการเลื่อนขั้นของเขา (ตอนนี้เป็นคลาส เซนท์ ชื่อนำหน้าเลยเปลี่ยนเป็น เซย์ ตามด้วยชื่อเดิม จิ)

คนต่อไปที่เลื่อนขั้นคือ ฮ๊อบฟุจัง ที่เปลี่ยนจาก ฮ๊อบก๊อบบลินเมจ กลายเป็น Ghoul (มอนสเตอร์ กินเนื้อจากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วหรือกินศพเป็นอาหาร)
ร่างกายของเธอเป็นเนื้อหนังของคนตาย และมีแทททูสีดำอยู่บนผิวซีดๆของเธอบนใบหน้า เธอมีผมสีดำและใบหน้าคล้ายมนุษย์หากมองผ่านๆจะไม่รู้เลยว่านี่เป็นพวก กูล
และเธอมีบรรยากาศที่แลดูอันตรายอยู่รอบรอบตัว

ผมยอมรับว่าผมลองชิมเนื้อที่หลุดแผละของจากร่างกายผุพังของเธอ รสชาติมันละมุนละไม จนสร้างความประหลาดใจให้ผมมากทีเดียว

ชื่อของเธอเปลี่ยนจาก ฮ๊อบฟุจัง เป็น กูลฟุจัง เนื่องจากเธอสามารถควบคุมเนื้อหนังของตัวเองให้คงสภาพอยู่ในสภาพปัจจุบันได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่ามันจะเน่าไปมากกว่านี้...

ฮ๊อบเมะจัง เลื่อนขั้นเป็น Dodomeki (ปีศาจของญี่ปุ่นที่มีดวงตานับร้อยอยู่บนร่าง ลองค้นรูปจาก google ดูเพิ่มเติมได้คับ)
เธอมีส่วนสูง 160cm และมีร่างกายที่เย้ายวน ผมสีดำยาวจนถึงเอว พูดตรงๆว่าการมองเธอทำให้รู้สึกเคลิ้มไปเลย เธออยู่ในชุดกิโมโนสีขาว และชุดกิโมโนนี้ก็เป็นเหมือน อาวุธชีวภาพที่ติดตัวมากับพวกโคบอล แต่นี่เป็นเกราะชีวภาพที่จะมีติดตัวมาหลังจากการเลื่อนขั้น

เผ่าพันธ์ภูตผี Dodomeki ใช้คาถาและเวทย์มนต์เสน่ได้หลากหลาย และมีร่างกายที่อ่อนแอ การที่จะนำความสามารถของเธอมาใช้ได้เต็มที่นั้นจะต้องทำการทดสอบและฝึกฝน มันก็ไม่เลวที่จะมีเผ่าพันธ์ที่หลากหลายเพื่อที่จะนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ต่างๆในสงคราม

ชื่อของเธอเปลี่ยนจาก ฮ๊อบเมะจัง เป็น โดโดเมะจัง

ผมและออก้าคิจิค่อนข้างพอใจมากกับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วของพรรคพวกของเรา ด้วยอะไรบางอย่างดูเหมือนจะมีแสงส่องมายังผมในขณะที่กำลังทำท่าปลาบปลื้มใจอยู่นั้น

ในวันเดียวกันยังมีก๊อบบลินอีก 5 ตัวเลเวลอัพเลื่อนขั้นเป็น ฮ๊อบก๊อบบลิน

และในจำนวนฮ๊อบก๊อบบลินมีอีก 7 ตัวเลื่อนขั้น ในพวกนั้นส่วนมากไม่จำเป็นต้องพูดถึงแต่มีสองตัวที่กลายเป็น ออคเมจ พวกมันสูงขึ้นและแข็งแกร่งมาก ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามและแทททูสีดำตามลำตัว ส่วนสูงนั้นพอพอกับผม กลุ่มของพวกฮ๊อบก๊อบบลินที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาจับกลุ่มหัวเราะอย่างร่าเริง ดูเหมือนพวกเขานี่แหละเหมาะที่สุดสำหรับสนามรบ

พวกเขาแต่ละตัวได้รับอาวุธและชุดเกราะใหม่จากผม ในตอนนี้ถ้าคุณเจอพวกเขาในสนามรบคุณต้องเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากแน่นอน แน่นอนว่าพวกเขาแต่ละตัวได้รับชื่อใหม่ที่เหมาะกับตัวเอง

ในส่วนของพวกโคบอล โคบอล 6 ตัวเลื่อนขั้นเป็น โคบอลฟูตแมน หัวหน้าโคบอลที่เป็นตัวแรกที่เลื่อนขั้นเป็นโคบอลฟูตแมนตอนนี้เลื่อนขั้นเป็น โคบอลซามูไร รูปร่าง...อย่างเท่

โคบอลซามูไรสวมใส่ชุดกิโมโนที่มีลวดลายสีสรรงดงามในโทนของสีดำ ลักษณะของเขาคล้ายกับผู้ชายอายวุยสามสิบกว่า พกดาบอยู่ข้างเอว มีหูและหางของสุนัข

ดูเหมือนว่ายิ่งโคบอลเลเวลอัพและเลื่อนขั้นมากเท่าไหร่ยิ่งมีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์มากเท่านั้น อา.. หัวหน้าโคบอลนั้นช่างเหมือนลุงแก่ในการ์ตูนอนิเมะจิงจิง อะจึ๋ย...

ผมเรียกเขาว่า หัวหน้าซามูไร แทนชื่อเดิม หัวหน้าโคบอล และดูเหมือนว่าเขาสามารถใช้ มานา ที่เป็นพลังอย่างหนึ่งในโลกแห่งนี้ได้ด้วย โดยใช้มานากับเพลงดาบ [Noriyuki Tsuji Akikazenotsuji]

จะว่าไปผมก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามานาคืออะไรและถ้าผมไปถามมันจากคนอื่นผมคงถูกมองว่าโง่น่าดู

โดยทั่วไปแล้วจากข้อมูลที่ผมประมวลได้ มานา คือพลังงานที่อยู่ในร่างกายหรือในอาวุธเวทย์มนต์ รวบรวมพลังเพื่อใช้ในการโจมตีหรือเพื่อใช้ทักษะต่างๆ

ความเข้าใจเกี่ยวกับมานาค่อนข้างรบกวนจิตใจผมนิดหน่อย แต่เนื่องจากผมสามารถใช้มันได้โดยธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นผมเลยไม่กังวลกับมันนัก

หลังจากจัดการกับเหล่าลูกน้องในกองกำลังรบหลักเสร็จสิ้น ผมให้ทุกคนหยุดพักผ่อนเพื่อฉลองชัยชนะของสงคราม

------------

สำหรับผม ผมรู้สึกว่าถึงเวลาไปพูดคุยกับเหล่าทาสสงครามที่รอดชีวิตติดตามพวกเรากลับมายังถ้ำ มากกว่าครึ่งพวกเขาต้องการเดินทางกลับบ้านอันเป็นที่รัก พวกเขาไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายในการเดินทางมีเพียงเสบียงเล็กน้อยที่เอาติดตัวไปเท่านั้น

หลังจากส่งพวกเขาจากไปแล้ว ผมกลับมาจัดการหลายๆสิ่งในถ้ำให้เรียบร้อยเช่น ขยายถ้ำเพิ่มพื้นที่อยู่อาศัยให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ประมาณ 1/4 และขยายพื้นที่บริเวณสนามฝึกซ้อม ผมสำรวจเสบียงอาหารและแจกจ่ายอุปกรณ์เครื่องครัวที่ได้จากการปล้นสะดมกองทัพมนุษย์ในการรบหลายครั้งที่ผ่านมาให้กับหน่วยห้องครัว ในตอนนี้ทุกคนไม่ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างในการทำงาน แต่ผมคิดว่าเมื่อกองทัพเรามีขนาดใหญ่ขึ้น อาจจะมีใครบางคนที่จะเรียกร้องค่าแรงในอนาคต

หลังจากการใครครวญแล้ว ผมตัดสินใจจ่ายค่าแรงจำนวนหนึ่งเพื่อชักจูงให้เหล่าอดีตทาสที่ติดตามมาหลังการรบ มาเข้าร่วมเป็นกองกำลังทหารรับจ้างของเรา พวกเขาเหล่านั้นหลายคนไม่มีบ้านที่จะกลับไป และอีกหลายคนเป็นทาสมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นการเข้าร่วมกองกำลังกับพวกเราย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแต่แรกอยู่แล้ว ในขณะที่การจ่ายค่าแรงเป็นรายชั่วโมงนั้นจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ผมจึงจัดการเปลี่ยนแปลงการจ่ายค่าตอบแทนพวกเขานิดหน่อยเช่น จ่ายเป็นส่วนแบ่งสำหรับการทำภารกิจหรือส่วนแบ่งในการรบ การจ่ายค่าตอบแทนแบบนี้จะทำให้ไม่กระทบเงินทุนที่พวกเรามีอยู่ ผมไม่ปฎิเสธว่าผมค่อนข้างขีี้เหนียวในเรื่องนี้

เกือบ 50 คนเข้าร่วมกองกำลังทหารรับจ้างของผม

Lord 3 ลอรฺ์ด

็Half-Lord 5 ฮาร์ฟลอร์ด

Drago-newts 4 (เผ่าพันธ์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์+จิ้กจก+มังกร)

Half Drago-newts 6 (เหมือนข้างบนแต่เป็นขั้นต่ำกว่า)

Ogres 10 (เผ่าที่คล้ายกับออคร่างกายจะมีผิวสีเนื้อ ส่วนพวกออคจะผิวสีเขียวเน้นๆ)

Troll 1 โทรล

Lizardmen 5 มนุษย์กิ้งก่า

Dwarves 5 ดวาฟ

Dullahan 1 ดูลลาฮาน (อัศวินเกราะปีศาจไม่มีหัว)

Ape-men 3 มนุษย์วานร

Dhampir 1 แดมไพร์ (ชื่อเรียกของเผ่าพันธ์ที่ไม่ใช่แวมไพร์แท้ เช่นลูกครึ่งมนุษย์+แวมไพร์)

Redcaps 3 เผ่าปีศาจตัวเตี้ยใส่หมวกสีแดงเป็นเอกลักษณ์

Tigerman 2 มนุษย์เสือ

Centaur 1 มนุษย์ครึ่งล่างม้าครึ่งบนเป็นคน

แม้ในจำนวนพรรคพวกใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ผมก็ยังตัดสินให้หน่วยฮ๊อบก๊อบบลินของพวกเราเป็นหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดวัดจากด้านความสมดุลของกำลังรบ แต่ไม่ได้หมายความว่าพรรคพวกใหม่ของเรามีกำลังรบน้อยกว่า ในจำนวนนั้น ลอร์ด และ ดราโกนิวท์ มีกำลังรบเทียบเท่า 1 หน่วยฮ๊อบก๊อบบลินเลยทีเดียว

แม้การที่สมาชิกที่มาใหม่จะมาจากหลายเผ่าพันธ์และไม่มีความผูกพันธ์กันมาก่อนจะไม่เป็นปัญหาในการเข้าร่วมกลุ่มกับเรา แต่ผมก็ต้องทำหน้าที่อย่างหนักในการทำให้พวกเขารวมเข้าเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกเรา ด้วยการสลายแรงต่อต้านของแต่ละตนที่อาจจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต เพราะอย่างนั้นผมที่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพจึงเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง สำหรับตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่สูญเสียการควบคุมให้ทุกกลุ่มทำงานร่วมกันได้ในอนาคต

----

ในรอบฝึกซ้อมแข่งขันกัน หมวกแดง มนุษย์กิ้งก่า มนุษย์ครึ่งม้า คนแคระ และ ลอร์ด สามารถเอาชนะสมาชิกระดับต่ำของกลุ่มเราอย่างฮ๊อบก๊อบบลินได้ แต่เมื่อมาต่อสู้กับสมาชิกระดับสูงขึ้นของเราก็กลายเป็นแมทที่สูสีกัน จุดประสงค์ของการจัดการแข่งขันก็เพื่อเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในกลุ่ม ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะมีการแบ่งฝ่ายกันภายในกลุ่ม ผมต้องทำหลายอย่างเพื่อระวังเอาใว้ไม่ให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน

ผมใช้เวลาบางช่วงในการฝึกซ้อมร่วมกับเหล่าสมาชิกใหม่ แม้ผมจะคิดว่าการเอาเวลาไปทำอย่างอื่นจะมีประสิทธิภาพต่อผมมากกว่า ผมยังต้องทำอีกหลายอย่างให้แน่ใจว่าเหล่าฮ๊อบก๊อบบลินจะกลายเป็นกองกำลังหลักและมีบทบาทสำคัญในอนาคต แต่สำหรับจุดประสงค์หลักในตอนนี้เป็นการทำให้เหล่านักรบใหม่ปรับตัวเข้ากับพวกเราได้ ในลำดับชั้นของกองกำลังของเราในตอนนี้ ก๊อบบลิ้น จัดอยู่ในลำดับล่างสุดในเรื่องพลังการต่อสู้ ซึ่งถูกปฎิบัติให้เป็นเหล่านักรบฝึกหัดจนกว่าที่พวกเขาจะเลเวลอัพและเลื่อนขั้น

ต่อจากนั้น ผมได้รับข้อเรียกร้องจากกองกำลังทาสเดิมที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกในกองทหารรับจ้างของผม แน่นอนว่าผมใช้เวลาของผมรับฟังข้อเรียกร้อง แต่มันกลายเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากมากขึ้น เมื่อพวกเขาต้องการตำแหน่งและบทบาทที่สูงขึ้นในกลุ่ม "ผมต้องการที่จะเป็นหัวหน้าของกลุ่ม" ลอร์ด และ ดราโกนิวท์ เรียกร้องและพวก ฮาร์ฟลอร์ด และ ฮาร์ฟ ดราโกนิวท์ ก็มีเสียงบ่นมาบ้าง จำนวนคนที่มีข้อเรียกร้องทั้งหมดมี 14 คน หลังจากการเจรจาและแย่งกันเป็นเป็นผู้นำของกลุ่มก็เริ่มมีเสียงโห่และส่งเสียงดังกันมากขึ้น ในเมื่อพวกเขามาจากคนละที่คนละทางสิ่งที่เขาต้องการคืออำนาจเพื่อตัวเอง

สำหรับ มนุษย์เสือ และ ดูลาฮาน พวกเขาแสดงออกถึงความรู้สึกเหมือนกันว่า การที่ไม่พวกเขาจะไม่ตอบแทนที่ได้รับอิสระจากการเป็นทาสนั้นจะเป็นการเสียเกียรติต่อตนเอง ผมสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของนักรบในตัวพวกเขา ผมชอบคนที่มีทัศนคติแบบนี้พวกเขารับมือง่ายกว่านักรบมืออาชีพ ที่มีลักษณะเหมือนหมาป่าเดียวดาย

ผมตัดสินใจจัดประลองระหว่าง สมาชิกที่มีเลเวลและระดับขั้นสูงในกลุ่มเดิมของเราและกลุ่มใหม่เพื่อพิสูจน์และแสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงสำหรับการจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มกองทหารรับจ้าง เริ่มต้น ผมจัด ลอร์ด และ ฮาร์ฟลอร์ดสองคน ต่อสู้กับ อัศวินเกราะสนิม เหตุผลที่ผมจับคู่อัศวินเกราะสนิมกับพวกลอร์ดเพราะว่าเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีึความสามารถทนทานต่อความเสียหายจากไฟได้

พวกลอร์ดและฮาร์ฟลอร์ดครอบครองคุณสมบัติ [Wind Lord's Gale] ลอร์ดแห่งลมพายุ [Fire Lord Inferno] ลอร์ดแห่งไฟนรก ทั้งคู่สามารถสร้างปริมาณความเสียหายได้อย่างมาก.. เป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับระดับของ อัศวินเกราะสนิมพอดี ผมเกือบจะติดสินใจให้พวกที่มีปากเสียงทั้งหมดสิบสี่คนนั้นต่อสู้กับอัศวินเกราะสนิมพร้อมกันทีเดียวแล้วเชียว แต่คิดอีกทีแค่สามคนนี้ก็น่าจะเพียงพอ

การต่อสู้นั้นสนุกสนานน่าดู และผลสุดท้ายผู้ชนะก็ตกเป็นของอัศวินเกราะสนิม นั่นทำให้เสียงบ่นเรียกร้องของพวกที่มาใหม่นั้นจบลง แม้จะยังมีคนสองคนยังพูดถึงเรื่องนั้นอยู่แต่ก็แค่ส่วนน้อยดังนั้นจึงไม่เป็นประเด็น

จากนั้นเพื่อเป็นการลงโทษ ผมก็จัดเต็มให้กับลอร์ดแห่งลมพายุและลอร์ดแห่งไฟนรกอีกสองตน ผมไม่ได้ทำอะไรรุนแรงถึงขนาดจะฆ่าพวกนั้นแต่เพื่อเป็นการลงโทษและห้ามปรามพวกเขาแต่ละตนถูกอัดยับจนแทบจะเกือบตายอยู่หลายครั้ง ต้องขอบคุณสกิลในการรักษาของผม และในท้ายที่สุดแรงขัดขืนในการก่อกบฎของพวกเขาก็เหมือนจะหายไป

"เยี่ยม" ผมคิดในใจ การสกัดแนวโน้มของการก่อกบฎภายในกลุ่มด้วยจำนวนผู้บาดเจ๊บเพีัยงเล็กน้อยเท่าที่เป็นไปได้เป็นสิ่งที่ผมคาดหวังอยู่

ทันทีที่ผมคว่ำพวกลอร์ดลงอย่างราบคาบ ผมโดนพุ่งเข้าใส่ด้วยทักษะจากด้านหลัง ผมไม่ได้วิตกมากนักเพราะผมมีทักษะในการรักษาอยู่แล้ว ผมหันหลังกลับมาและเห็นพวก ดราโกนิวท์ โจมตีต่อเนื่องด้วย [Thunder Dragon Strike] เป็นการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหมือนสายฟ้าและร่างกายห่อหุ้มด้วยพลังสายฟ้าจำนวนมาก พวกมันแต่ละตัวพุ่งโจมตีถูกผมอย่างทันที ต่อเนื่องด้วยท่า [Breath of Lighting and Thunder] ลมหายใจสายฟ้า แน่นอนผมสามารถพูดได้ว่าทีนมาเต็มไปหมด แต่ในทันใดนั้นก็มีเวลาเพียงพอผมเรียกใช้ความสามารถในการต่อต้านพลังโจมตีธาตุหลายๆอย่างที่มีเพื่อเตรียมรับการโจมตีธาตุของพวกมัน หลังจากผมรับการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของพวกมันไป ดูเหมือนพวกมันทั้งหมดจะหอบนิดหน่อยแต่ทั้งหมดก็ยังพร้อมต่อสู้อยู่ ผมเตรียมพร้อมทำการโจมตีสวน ในเสี้ยวนาทีที่การโจมตีใส่ผมของพวกมันเสร็จสิ้น ผมล้มพวกมันทั้งหมดลงไปกองอยู่บนพื้น ความโอหังและเลือดสาดกระเซ็นกระจายไปทั่วโดยที่พวกมันแต่ละตัวหมดสภาพจนสิ้นสติไป

ในขณะที่ผมทำการรักษาพวกมันเพื่อไม่ให้มันตายคาที่จากฝีมือของผม ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บบริเวณลำคอ ปรากฎว่ามอนเสตอร์สาวห้าวเป้งตัวใหม่แดมไพร์กัดหมับเข้าที่ลำคอเพื่อที่ดูดพลังชีวิตของผม ด้วยทักษะการควบคุมของเหลวของผมเธอไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้ผมได้ และด้วยแรงเหวี่ยงสะบัดเพียงครั้งเดียวโดยสกิล [Great Strike] และ [Great Swing] ผมส่งเธอปลิวไปกระแทกกับกำแพง การตอบโต้การโจมตีเมื่อกี้เป็นเพียงการตอบสนองตามสัญชาติญาณของผมเท่านั้น บางทีถ้ามันไปโดนพวกเดียวกันมันอาจะทำให้พรรคพวกกว่าครึ่งของเราโดนลูกหลงไปด้วยแม้กระทั่งอัศวินเกราะสนิมก็อาจล้มลงไปกองได้ เมื่อผมหันไปมอง ร่างของเธอประทับบนกำแพงโดยเห็นเป็นหลุมรูปร่างของเธอบนกำแพงเลยทีเดียว แขนของเธอติดอยู่ในหลุมนั้น มีเลือดกระจายไปทั่ว ผมดึงเธอออกมา ซ่อมแซมกระดูกที่หัก จากแรงหมุนกระโหลกของเธอแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ โชคดีที่เป็นแดมไพร์พลังชีวิตของเธอนั้นเหนือกว่าธรรมดา ผมกัดเข้าที่ลำคอของเธอและใช้ทักษะแวมไพร์ของผม แชร์เลือดนิดหน่อยของผมให้เธอ ด้วยการที่เลือดของผมมีคุณสมบัติของ Elixir (ยารักษาขั้นเทพที่เห็นใน RPG) สภาพร่างกายของเธอแทบจะฟื้นคืนกลับมาอยุ่ในสภาพสมบูรณ์แทบจะทันที เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาเหมือนกับสัตว์เลี้ยงที่หลงทาง ผมเอามือลูบลงบนหัวของเธอแบบไม่ทันคิด ใบหน้าของเธอเริ่มแดงเธอผละออกและวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ

อีกครั้ง.... ผมรู้สึกจะโดนแทงเข้าข้างหลัง.. ต้นเหตุมาจาก ดราโกนิวท์ ตัวสุดท้ายที่ซึ่งเฝ้ารอโอกาศและแทงเข้าทีคอผมอีกที ด้วยความที่ความสามารถในการป้องกันของผมทุกอย่างถูกเรียกใช้อยู่ มันจึงทำได้แค่แทบจะสะกิดผิวผมนิดหน่อยเท่านั้น ผมเอื้อมแขนกลับไปและคว้าเอาคอของดราโกนิวท์ตัวนั้นมา มันร้องขอชีวิตและชี้นิ้วไปยังเอปแมนโดยบอกว่ามันเป็นคนวางแผนชักชวนทุกคนให้รุมโจมตีเพื่อกำราบผม ไม่ทันถึงวินาทีที่ผมฟังดราโกนิวท์พูดเสร็จผมส่งตัวเองลอยขึ้นไป เหตุมาจากเอปแมนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อจะกระแทกผม ผมลอยขึ้นมาครึ่งวินาทีและชนกับเพดานที่อยู่สูงไปประมาณ 50 เมตร ในขณะที่ผมกำลังจะกลับลงมา เอปแมนรัวกลองทุบลงบนหน้าอกตนอย่างกับคนบ้า ผมประชิดตัวจากระยะห่างนั้นด้วยเวลาครึ่งวินาทีและนำเสนอเข่าของผมเข้าที่หน้าท้องของมันเป็นรางวัล ใช้หยดเลือดของผมเพื่อป้องกันมันจากความตาย แต่สำหรับเอปแมนตัวนี้ ผมจะทำให้มันทุกทรมาณไปอีกนาน

ไม่ต้องมีคำพูด ผมเอาปลอกคอทาสใส่ให้หน้าใหม่ที่เข้าโจมตีผม จบเรื่องนี้ไปจากนั้นพวกเราก็เข้าสู่การฝึกซ้อมกันตามปรกติ
เพื่อให้เหมาะสมกับเลเวลปัจจุบันของทุกคน นักสู้ที่เลเวลสูงกว่าก็จะได้รับการฝึกซ้อมที่มีความยากเพิ่มขึ้น



หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ผมตัดสินใจทดลองอะไรบ้างสิ่งที่ผมอยากจะลองมานานแล้วแต่เพิ่งจะมีเวลาทดลอง มันคือทักษะที่มีชื่อว่า [Synthesis] ( การสังเคราะห์ ) ผมหยิบเอา ออร์คออร์บ และ สเฟียร์ (ลูกทรงกลม) ที่ผมยึดมาจาก ดราโกนิวท์ และ ลอร์ด หลังจากที่ผมส่งพวกมันไปอยู่ในที่ที่มันควรอยู่

ไอเท็มทั้งสองอันนี้เป็นแรร์ไอเท็มที่มีมูลค่าค่อนข้างมาก ผมนั่งย่อเอาเข่าแตะพื้นและใช้ทักษะ [Synthesis]

ผลลัพท์ที่ได้.. สำเร็จ ..

ผมสามารถจัดการผสมรวม ออร์บ เข้ากับทักษะ [Wind Lord's Gale] ได้สำเร็จ ผมใช้ทักษะ [synthesis] นี้กับอุปกรณ์เครื่องป้องกันและไอเท็มอื่นๆของผมอีกนิดหน่อย ในตอนนี้มันไม่มีผลอะไรมาก แต่ใครจะรู้การทดลองมันอาจจะสร้างผลตอบแทนในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น