หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Re:Monster : DAY : 93-95

DAY 93
เส้นทางที่เราเดินทางผ่านมาส่วนใหญ่เป็นทางเดินบนภูเขา มีบางช่วงที่เป็นทางแคบ และเส้นทางส่วนใหญ่ก็ถูกปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็น ในที่แห่งนี้ดูเหมือนมีเส้นทางหลักๆอยู่สามสายที่ผู้คนในสมัยก่อนได้สร้างและใช้เดินทางมานาน และท้ายที่สุดผมก็พาขบวนเดินทางของเราลงจากเขามาตามเส้นทางริมแม่น้ำ แม้จะดูว่าเป็นเส้นทางที่เดินทางยากลำบากที่สุด แต่ในแง่ความปลอดภัยของการของการขนส่งก็ดูดีที่สุดเช่นกัน มอนเสตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในระแวกนี้คือ Hind Bear เจ้าหมีน้อยเพื่อนยากเหมือนในป่าของเรา และดูเหมือนแถวนี้ก็มีหัวหน้าหมีประจำถิ่นคล้ายๆกับเจ้าตัวหมีที่เป็น Lord of the Forest เจ้าแห่งผืนป่า ที่ผมเคยปราบมันไปแล้วเหมือนกัน





ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งของบอสมอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่บนหน้าผาของภูเขาที่เราผ่านมานั้น แข็งแกร่งกว่าชนิดที่ Lord of the Forest เทียบไม่ติดเลยทีเดียว บนภูเขานอกจากจะมีมอนเสตอร์ประเภท hind bear ยังมีมอนสเตอร์ประเภทนกอีกด้วย รูปร่างมันเหมือนเหยี่ยว มีขนสีน้ำตาล และมีสี่ปีก พวกมันถูกเรียกว่า Falaise Eagle ฟาลลีสอีเกิ้ล* พวกมันมีขนาดราวๆสองเมตร และขนาดของมันจะใหญ่มากขึ้นอีกเท่าหนึ่งเมื่อมันสยายปีกออก แค่ขนาดของพวกมันก็เพียงพอที่จะใช้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ที่มีขนาดเล็กกว่าพวกมันได้แล้ว และดูเหมือนพวกมันยังมีอาวุธลับเป็นกรงเล็บที่สามารถทำให้ศัตรูเป็นอัมพาตด้วยพิษจากกรงเล็บได้อีก

ไม่ว่าจะพูดยังไง พวกมันนับเป็นศัตรูตัวแสบที่ร้ายกาจที่สุดถ้าพวกคุณต้องเดินทางไปตามหน้าผาล่ะนะ ผมได้รับรายงานมาว่าบนภูเขาแห่งนี้มีพวกมันไม่มากนัก ซึ่งก็ยังพอนับเป็นเรื่องดีได้บ้าง ใช่แล้ว พวกมันเองก็มีสายพันธ์พิเศษที่เป็น บอส-คลาส เช่นกัน หัวหน้าของพวก ฟาลลีสอีเกิ้ลถูกเรียกว่า Jade Eagle เจดอีเกิ้ล มันสามารถสร้างทอนาโดขนาดเล็กออกมาจากปากของมันได้ ซึ่งสามารถเป่าเหยื่อของมันให้ตกลงไปตายจากหน้าผาได้ง่ายๆ อาจกล่าวได้ว่าทอนาโดนั้นสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นพายุคมดาบที่จะเฉือดเฉือนศัตรู และเป็นโชคร้ายที่สุดสำหรับนักเดินทางที่ต้องมาเจอพวกมัน โชคดีที่มนุษย์คนหนึ่งที่ผมนำมาด้วยค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณภูเขานี้เป็นอย่างดี

เขารายงานผมว่าตัวเขาเคยอาศัยอยู่บริเวณนี้ และได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมอนสเตอร์บนภูเขา หมีแดงบนภูเขานั้นแข็งแกร่งแต่มันมักจะอยู่ตัวเดียว แม้จะเกิดการปะทะกันก็จะไม่มีปัญหาถ้าพวกเราเดินทางกันเป็นกลุ่ม ถึงแม้ว่าในตอนนี้พวกหมีจะไม่นับเป็นประเด็นที่น่ากังวลสำหรับพวกเรา แต่การเดินทางเป็นกลุ่มก็ดีที่สุดอยู่ดีน่ะนะ

พวกเราเคลื่อนขบวนเดินทางไปชิดชิดกัน ถ้าพวก ฟาลลีสอีเกิ้ล ปรากฏตัวออกมาเราก็น่าจะปลอดภัยล่ะนะ พวกมันบินเร็วมากและยากที่การโจมตีจะถูกตัวมัน พวกมันมักจะชิงเข้าโจมตีจากจุดบอดก่อนที่การต่อสู้จะเกิดขึ้นเสมอ การต่อสู้บริเวณหน้าผายิ่งทำให้ยากต่อการรับมือกับพวกมัน อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณอาวุธและทักษะต่างๆของผม ที่ทำให้ผมสามารถโจมตีพวกมันจากระยะไกลได้ บวกกับทักษะ [Presence Sensor] ตรวจจับการมีอยู่ การที่พวกมันคิดว่าเข้าโจมตีจากจุดบอดใส่ผมก็เหมือนเป็นการวิ่งเข้าหาความตายของเจ้านกเหล่านั้น และจากเหตุนี้ผมจึงรับหน้าที่เดินนำหน้าขบวนเดินทางห่างๆอยู่คนเดียว เพื่อล่อให้พวกมันเล็งการโจมตีส่วนใหญ่มาที่ผม

การโจมตีของพวกมันเป็นไปตามสัญชาติญาณและเมื่อจับทางได้แล้วว่าการโจมตีของพวกมันมีรูปแบบอย่างไร ผมก็สามารถรับมือกับพวกมันได้ง่ายจนน่าประหลาดใจ ในท้ายที่สุดผมให้พวกเราเก็บวัตถุดิบที่ได้จากการกำจัดพวกมันและผมก็สามารถจับพวกมันได้อีกสิบแปดตัว ทันทีที่เดินทางมาถึงพื้นที่โล่งพวกเราก็ย่างและกินพวกมัน เนื่องจากพวกมันมีขนาดใหญ่ดังนั้นอาหารมื้อนี้พวกเราสามารถกินกันได้อย่างจุใจเลย

รสชาติของเนื้อก็อร่อยเหาะ จนผมอยากจะกินมากกว่านี้อีก แต่เนื่องจากพวกมันก็มีไม่มากนักบนภูเขาแห่งนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมควรจะหลีกเลี่ยงที่จะฆ่าพวกมันมากเกินไป ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเสี่ยงกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์กันเลยทีเดียว


Ability unlocked [Panic Voice] เสียงทำให้ตื่นตกใจ

Ability unlocked [Wing Growth] สยายปีก

Ability unlocked [High-Speed Flight] การบินด้วยความเร็วสูง

Ability unlocked [Wind Reading] การอ่านทิศทางลม

Ability unlocked [Paralysis Claw] กรงเล็บอัมพาต

Ability unlocked [Paralysis Resistance] ความต้านทานอัมพาต




เวลาประมาณบ่ายสองพวกเราก็ผ่านทางแคบที่หน้าผา มาถึงถนนที่มีพื้นที่กว้างมากขึ้น นี่ค่อยทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยจากความเสี่ยงที่อาจจะหล่นลงหน้าผาหรือเส้นทางอาจถล่มลงไปหน่อย แต่สิ่งที่น่ากังวลในตอนนี้คือ กองกระดูกของสัตว์นานาชนิดที่กระจายอยู่เต็มบริเวณไปหมด ที่นี่อาจจะมีรังของมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งบางชนิดอยู่ใกล้ๆก็เป็นได้ เราเดินทางต่อสักพักจนผ่านกองกระดูกมนุษย์ มีชุดเกราะและอาวุธกระจัดกระจายอยู่จำนวนมาก นี่จะต้องเป็นเศษซากร่องรอยของเหล่ามนุษย์ที่ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดในเส้นทางนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเอง ผมก็ได้ยินเสียงลมและเสียงกระพือปีก ทักษะการรับรู้ของผมแจ้งเตือนถึงอันตราย ในพริบตานั้นผิวหนังของผมก็ปะทะเข้ากับลมที่พัดมาอย่างรุนแรง ผมรู้สึกราวกับโดนสายฟ้านับร้อยฟาดผ่านเข้ากับเนื้อหนังของผมพร้อมๆกัน แหงนหน้าขึ้นไปในท้องฟ้าผมมองเห็น ฟาลลีสอีเกิลห้าตัว และ สายพันธ์พิเศษที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัดอีกหนึ่งตัวปรากฏอยู่ท่ามกลางพวกมัน Jade Eagle เจ้ดอีเกิ้ล พวกมันรวมกลุ่มกันและปรากฎตัวอยู่บนท้องฟ้าอย่างน่าเกรงขาม


ความรู้สึกนี่มันรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ผมเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งป่า Lord of the Forest เสียอีก เมื่อสายตาของเราปะทะกัน ผมรู้สึกเสียวสันหลังถึงต้นคอขึ้นมาในทันที มันเหมือนว่ามันได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า มันมาที่นี่เพื่อจะ "ฆ่า"


ขนนกสีเขียวเหมือนสีของหยกของเจ้าสายพันธ์พิเศษนั้นแหลมคม และส่องประกายเหมือนดาบที่กำลังสะท้อนกับแสงดวงอาทิตย์ รูปร่างของขนนกนั้นดูเหมือนว่ามันสามารถตัดทุกสิ่งให้ขาดได้ จะงอยปากและกรงเล็บของมันก็แข็งแกร่งดั่งเพชร มันเคลื่อนไหวรวดเร็วมากกว่าฟาลลีสอีเกิ้ลตัวอื่นๆ และมันเข้าโจมตีจากทุกทิศทางแทนที่โจมตีจากด้านหลัง ทำให้ศัตรูของมันรับมือได้ยากและประเมินทิศทางการโจมตีได้ลำบากมากขึ้น


ผมจ้องเข้าไปในดวงตาขนาดใหญ่ทั้งคู่ของมัน แววตาที่แสดงถึงสติปัญญาของมันได้มองลงมายังผม นักฆ่าที่อยู่บนจุดสุดยอดแห่งภูเขาแห่งนี้ จากการมองมันเพียงครั้งเดียว ตามร่างกายปรากฎให้เห็นถึงร่องรอยการต่อสู้และนั่นแสดงให้เห็นถึงความสง่างามอันน่าชื่นชมที่ได้รับจากชัยชนะจากการสู้โดยมีชีวิตเป็นเดิมพันมานับครั้งไม่ถ้วน จากรูปร่างและสีของมันทำให้รับรู้ได้ว่ามันได้รับ [Divine Protection] การปกป้องศักสิทธ์ ถือครองความสามารถและทักษะพิเศษเฉพาะเป็นของตัวเอง เหมือนๆกับ เจ้าแห่งป่า ผมยอมรับจากใจเลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกต้องการที่จะจับและจะต้องกินสิ่งมีชีวิตตัวนี้ให้จงได้


หลังจากสั่งให้สมาชิกปาตี้คนอื่นๆทำหน้าที่คอยป้องกันตัวเอง ผมงอกปีกที่คล้ายกับปีกแมลงออกมาและใช้สกิล [Elytron Generation] ผลิตอิเล็คตรอน ทำการระเบิดและพุ่งเข้าหาศัตรูที่จ้องมองผมอยู่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ฮาลเบิร์ตที่กำแน่นอยู่ในมือผมนั้นเล็งตรงไปยังหัวใจของศัตรู



หนึ่งชั่วโมงผ่านไป การต่อสู้บนท้องฟ้าของผมกับคู่ต่อสู้ยังดำเนินอยู่ ศัตรูของผมนั้นมีพลังมหาศาลอย่างมากแถมยังได้เปรียบในการต่อสู้บนท้องฟ้า มันเคลื่อนที่รวดเร็วดุจสายฟ้า ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะอันล่าสุดของผม [High-Speed Flight]-การบินอย่างรวดเร็ว ผมอาจจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดในการรบครั้งนี้ได้เลย จากการปะทะกับสัตว์ร้ายตัวนี้ผมรับรู้ได้ว่า มันผ่านประสปการณ์การต่อสู้มามากมายเท่าไหร่ กว่าจะกลายมาเป็นสัตว์ร้ายอย่างที่มันเป็นอยู่ในตอนนี้ มันมีการโจมตีหลายรูปแบบ รวมถึงสร้างทอโนขนาดเล็กจำนวนมากเข้าโจมตีและทำลายสมดุลกลางอากาศของผม ด้วยความด้อยประสปการในการใช้ปีกของผม การที่ต้องต่อสู้กับศัตรูบนท้องฟ้าต่อเนื่องเป็นเวลานานนั้นเป็นเรื่องยากมาก ผมเริ่มจะนับไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้งแล้วที่ร่างกายผมถูกกัดจากปากของมันและกี่ครั้งที่กรงเล็บมหึมาของมันที่เคลือบไปด้วยพิษอัมพาตเสียบเข้าเนื้อหนังและอวัยวะของผม

การต่อสู้ในครั้งนี้ ทั่วทั้งร่างกายของผมเต็มไปด้วยเลือด ผมเสียเลือดและของเหลวจากร่างกายไปจำนวนมาก เนื่องจากขนนกของมันนั้นคมเหมือนดาบ ดังนั้นแม้จะหลบการโจมตีจากกรงเล็บมันได้แต่ก็ไม่สามารถหลบหลีกได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยอยู่ดี อย่างไรก็ตามเมื่อไหร่ที่ผมไม่สามารถหลบการโจมตีได้ ผมใช้สกิลแขนเหล็กเป็นโล่ในการป้องกันการโจมตีจากกรงเล็บของมัน ถ้าผมไม่มีทักษะนี้ ผมคงจะได้รับการโจมตีมากกว่าสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้อีกนับพันครั้ง และดูเหมือนว่าผลกระทบจากน้ำลายของมันมีผลยับยั้งความเร็วในการฟื้นฟูสภาพของผม เมื่อใดก็ตามที่ผมถูกมันกัดผมต้องเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อหยุดไม่ให้เลือดไหลบริเวณที่เป็นแผล จนกว่าร่างกายผมจะคลายพิษออกได้ทักษะฟื้นฟูบาดแผลผมถึงจะเริ่มทำงาน ส่วนพวกมอนเสตอร์ที่ติดตามเจ้าตัวสายพันธ์พิเศษนั้นถูกจัดการเรียบร้อยตั้งแต่สิบนาทีแรกของการต่อสู้ เป็นประสปการณ์ราคาแพงสำหรับผมที่ผมคิดไปว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ต้องระวังแค่จำนวนของคู่ต่อสู้



โชคยังดี ด้วยสกิล [Severe Pain Tolerance] ความอดทนต่อความเจ็บปวดทั้ง 7 และสกิล [Desensitizing] บรรเทาความรู้สึก ถึงแม้บาดแผลของผมจะมีอาการสาหัสแต่ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ในความเป็นจริงแล้วแล้วบาดแผลพวกนี้ยังควรที่จะต้องได้รับการรักษาอยู่ ศิลปการต่อสู้ทั้งหลายไร้ประโยชน์เมื่อเป็นการต่อสู้บนท้องฟ้า และเวทมนต์ทั้งหลายของผมก็ไม่มีจังหวะแม้แต่การรวมสมาธิเพื่อใช้มัน ในเมื่อผมต้องจดจ่ออยู่กับการหลบการโจมตีอันรวดเร็วจากทุกทิศทางบนท้องฟ้าอยู่อย่างนี้



อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างที่ผมพูดไปแล้ว ฟาลลีสอีเกิ้ลทั้งห้าตัวได้ถูกกำจัดไปตั้งแต่ตอนเริ่มต่อสู้ สำหรับเจ้าตัวสายพันธ์พิเศษผมก็สามารถตัดขามันไปได้หนึ่งข้าง และฮาลเบิร์ตของผมก็แทงร่างของมันเป็นรูไปทั่วร่างเช่นกัน ปีกของ เจดอีเกิ้ล นั้นชุ่มไปด้วยเลือด และผมมั่นใจมากว่าถ้าเป็นบนพื้นดินผมไม่มีทางแพ้มันแน่นอน



แต่ก็นั่นแหละ สำหรับการต่อสู้บนท้องฟ้าอันไม่คุ้นเคย สกิลหลักๆส่วนใหญ่ของผมถูกพันธนาการใว้โดยสภาพการต่อสู้และอีกมากก็ไม่สามารถใช้ในการต่อสู้บนฟ้าได้ ความสามารถในการต้านทานหลายอย่างของผมไม่มีประโยชน์ถ้าหากผมต้องการจะรักษาการบินบนท้องฟ้าใว้ และอีกอย่าง ผมไม่สามารถใช้สกิลระยะประชิดตัวเพราะผมไม่สามารถเข้าใกล้ เจ้ดอีเกิ้ล ได้นานเกินกว่าเสี้ยววินาที ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้ด้วยทักษะการโจมตีระยะไกล แม้การต่อสู้จะผ่านมาเป็นชั่วโมงเราทั้งคู่ก็ยังไม่มีใครแสดงอาการและลดความเร็วในการต่อสู้ลงเลย

ในจังหวะที่การต่อสู้กำลังเข้มข้น ฮาลเบิร์ตของผมถูกมันชนปัดตกลงไปยังหน้าผา โชคดีที่มันหล่นไปปักอยู่บนถนน ดังนั้นมันจึงยังสามารถเอากลับมาได้ไม่ยาก แต่สถานการณ์ของผมในตอนนี้ การจะไปเอามันกลับมาในระหว่างการต่อสู้มันไม่น่าจะเป็นไปได้น่ะสิ



ไม่แน่ใจว่าเจ้า เจ้ดอีเกิ้ล ที่เห็นว่าผมสูญเสียอาวุธไปนั้นเป็นโอกาศหรือเปล่า มันสูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่และถอยห่างทิ้งจังหวะออกจากผมเล็กน้อย จนเกิดเป็นระยะห่างระหว่างผมกับมันพอสมควร และในพริบตาผมถูกจะงอยปากของ เจ้ดอีเกิ้ล ปักเข้ากลางอกพร้อมกับหมุนควงสว่านประหนึ่งพายุที่บ้าคลั่ง

ด้วยแรงของ เจ้ดอีเกิ้ล ได้สร้างสายลมคลั่งขนาดใหญ่และบินพุ่งตรงมายังร่างกายผมด้วยความเร็วเหลือเชื่อจนผมไม่สามารถมองตามทันได้ ความเร็วนี้ต้องมาจากพลัง [Divine Protection] ของมันแน่แน่ ร่างกายของมันเองก็เต็มไปด้วยบาดแผลและร่องรอยการบาดเจ็บ ดังนั้นท่าไม้ตายนี้ต้องเป็นเฮือกสุดท้ายของมันแน่นอน ในตอนนั้นผมถึงกับกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก แม้ผมจะมีทักษะป้องกันและลดการบาดเจ็บอยู่หลายอย่าง แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับก็ยังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ในจุดที่ได้รับการโจมตีนั้นทะลุตัวผมไป รู้สึกอย่างกับกระดูกสันหลังของผมจะโดนตัดขาด และอวัยวะภายในของผมก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง... นี่มันแย่จริงๆล่ะ.... เสียงกรี้ดร้องดังมาจากสาวน้อยผมแดง แดมมิจัง และพรรคพวกทั้งหมด แม้แต่ออก้าคิจิคุงก็ตะโกนด้วยสีหน้าอย่างน่าเป็นห่วง



ด้วยเหตุนี้ เจ้ดอีเกิ้ล เริ่มแน่ใจว่าจะเป็นชัยชนะของมันและเข้ามาเพื่อจะกินผมซะ



ทันทีที่มันเข้าระยะโจมตี ในจังหวะนี้เองทักษะที่ผมกำลังจะใช้ต่อไปนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อเจ้ดอีเกิ้ลชะล่าใจและลดการป้องกันลง มันก็เป็นโอกาศของผมที่จะจบการต่อสู้นี้ลงในท่วงท่าเดียวเช่นกัน ร่างกายของผมนั้นแข็งแกร่งกว่าโอเกอร์ปรกติหลายๆเท่า ถึงแม้บาดแผลนี้จะสาหัสแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะฆ่าผมได้ ในเสี้ยววินาที ผมคิดถึงรางวัลที่ผมจะได้หลังจากที่ผมกำราบเจ้านกบ้าตัวนี้และตัดสินใจใส่ทุกแรงที่มีลงไปในการโจมตีนี้ ผมใช้แขนเหล็กข้างขวาตัดขาอีกข้างของ เจ้ดอีเกิ้ลออก ซึ่งทำให้มันหมดพิษสงลงไปทันที

ช่วงเวลาการโจมตีสุดท้ายนั้น ภายในเวลาน้อยกว่าเสี้ยวของเสี้ยววินาที ผมเปิดใช้สกิลที่ผมไม่ได้ใช้มานานแล้วรวมถึงทุกครั้งในการต่อสู้ที่ผ่านมา เพราะผมต้องการดื่มด่ำกับความสนุกในการต่อสู้และต้องการให้คู่ต่อสู้ได้สู้อย่างทัดเทียม

แขนเหล็กข้างขวาของผมมีเลือดไหลออกมา แต่จริงๆแล้วมันคือความลับ ผมใช้แขนข้างขวานี้เป็นที่เก็บเลือดและผลิตเลือดเพิ่มจากทักษะที่ผมได้มาจากการ สังเคราะห์สกิล [Synthesis] ที่เรียกว่า [Fluid Restoration] การฟื้นฟูของเหลว โดยใช้สกิลนี้เสริมให้แขนข้างขวาทำหน้าที่เก็บเลือดและพลังชีวิต ทันทีที่ผมเรียกใช้ผมได้รับเลือดที่สูญเสียไปทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต่อสู้กลับคืนมาในทันที เม่ื่อใช้ควบคู่ไปกับสกิล [High-Speed Playback] ย้อนกลับอย่างรวดเร็ว และ [High Speed Healing] การรักษาอย่างรวดเร็ว ร่างกายทั้งหมดของผมฟื้นฟูกลับมาในทันที

ต่อด้วย [Exoskeleton Equip] ผมใช้สกิล ทักษะเกราะกระดูกชีวภาพ ที่เปลี่ยนเลือดเนื้อของผมให้เป็นอะไรที่คล้ายๆกับตัวเต่าทอง เพื่อเพิ่มความแข็งของเปลือก ผมเสริมทักษะ [Black Ogre's Strong Body] ร่างแกร่งของแบล็คออร์คลงไปเสริมพลังด้วย [Solid Armored Dragon Scales] เกราะแกร่งเกล็ดมังกร ซึ่งเพิ่มพลังป้องกันของผมอย่างมาก เปลือกของเต่าทองตอบสนองทันทีด้วยการเปลี่ยนเป็นสีดำ และเกล็ดแบบเกราะมังกรก็ปรากฏขึ้นทั่วร่างเกราะกระดูกชีวภาพ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีแบบไหนของ เจ้ดอีเกิ้ล ก็แทบจะไม่สามารถแทงทะลุเกราะป้องกันของร่างกายของผมได้

[tn: สิบกว่าบรรทัดข้างบนใช้เวลาเสี้ยวของเสี้ยววินาทีตามที่มันบอกน่ะคับ]


ในอีกวินาทีต่อมารูปร่างของเกราะผมเปิดออก ผมพ่นใยสีทองแบบอย่างหนาพันรอบปีกเหยี่ยวของมันและใช้ทักษะควบคุมแรงโน้มถ่วงเพิ่มน้ำหนักใส่เส้นใยและถ่วงน้ำหนักปีกของมันใว้ ผมเสริมพลังด้วยทักษะต้านทานหลายอย่างใว้ในใยสีทองก่อนจะตัดใยออกจากแขนผม แต่หลังจากผมเสริมพลังมันด้วยความต้านทานพลังทำลายทางกายภาพเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่มีอะไรฉีกมันขาดได้แล้วล่ะ

เจ้ดอีกเกิ้ล ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ดูจากความเร็วในการร่วงหล่น แต่ร่องรอยหลุมที่เกิดขึ้นบนพื้นดินกลับมีเพียงเล็กน้อย มีเพียงสัตว์ตัวเล็กๆทั่วไปที่แตกตื่นกระเจิงออกหลังจากได้รับแรงสั่นสะเทือนจากการร่วงหล่น ซึ่งดูเหมือนว่ามันลดแรงกระแทงด้วยการสละปีกสองข้างของมันเพื่อรับแรงกระแทก ถึงกระนั้นก็ตาม ช่างน่าตกใจนักที่มันยังไม่ตาย

หลังจากที่ผมเก็บฮาลเบิร์ตกลับมา ผมก็มาปลิดชีพ เจ้ดอีกเกิ้ล ที่ถูกเส้นใยพันธนาการอยู่ให้หายเจ็บปวดซะ ผมเก็บอัญมณีจากตรงกลางหัวของมันและมีของเหลวจำนวนมากไหลออกมาจากร่างของมัน หลังจากเก็บอัญมณีและของเหลวเสร็จแล้ว ผมก็เริ่มที่จะแยกชิ้นส่วนทั่วทั้งร่างมันออกอย่างระมัดระวัง (Tn:นึกถึง dr.k ใว้นะ) ค่อยๆฉีกเอาหนังมันออกโดยไม่ให้ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย เมื่อผมผ่ามาถึงหัวใจ ทันทีที่ผมเห็นผมนึกถึงหินสีหยกที่มีลวดลายเหมือนหินอ่อน

ผมใช้สกิลตรวจสอบกับมัน [Item Appraisal] และพบว่า ไอเท็มชิ้นนั้นเรียกว่า [Lord's Spirit Stone of a Falaise Eagle] หินวิญญาณของเจ้าแห่งฟาลลีสอีเกิ้้ล



ทันใดนั้นผมก็ยกมันขึ้นมาเพื่อแสดงให้ทุกคนดูการค้นพบล่าสุด พวกเราระลึกได้ทันทีว่า นั่นคือหินชนิดเดียวกันเหมือนๆกับพวกเราที่ได้แรงค์อัพเลื่อนมาเป็น "Lord" คลาส

เมื่อผมจ้องมองไปยังหิน เหมือนกับว่ามันเป็นไอเท็มชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในหมวดของ สปิริตสโตน แต่เป็นระดับความหายากขั้น ตำนาน [Legendary]

ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้จะสามารถพบได้ในมอนสเตอร์ระดับ-บอส สำหรับมอนเสตอร์ทั่วไปแม้แต่ในมอนสเตอร์ที่มีพลังมาก ไอเท็มชิ้นนี้ก็ยังหาพบได้ยากมาก และยิ่งมอนสเตอร์มีพลังมากเท่าไหร่พวกมันก็จะมีหินวิญญาณขนาดใหญ่ขึ้นมากเทา่นั้น

โดยสามารถพูดได้ว่า ในความเป็นจริงที่จะสามารถพบเจอมอนสเตอร์ระดับ-บอส ที่มีหินสปิริตสโตนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในประวัติศาสตร์ของโลกนี้ได้บันทึกใว้ว่า สปิริตสโตนเหล่านี้ถูกเรียกว่า [Lord Stones] ที่ในอดีตถึงกับต้องยกกองทัพทั้งกองเพื่อที่จะท้าทายกับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งพอที่เป็นผู้ครอบครอง ลอร์ดสโตน ในบางครั้งประวัติศาสตร์ก็ได้พูดถึงเหล่ากองทัพที่รวบรวมมาต่อสู้กับมอนสเตอร์เหล่านั้นถูกจัดการราบเรียบเป็นหน้ากลอง โครงกระดูกมนุษย์มากมายบริเวณก็น่าจะยืนยันหลักฐานของคำบอกเล่าในอดีตได้ดี

เพราะฉะนั้น อะไรที่หาได้ยากยิ่งอย่าง ลอร์ดสโตน จึงมีมูลค่ามหาศาลถึงขนาดที่ว่าสามารถขายแล้วสามารถนำเงินไปซื้อประเทศเล็กๆประเทศนึงได้เลย อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่จะมีเงินมากพอที่จะซื้อมัน เช่นตระกูลกษัตริย์ในประเทศขนาดใหญ่ พ่อค้าที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ที่ครอบครองการค้าแต่เพียงผู้เดียวในหลายประเทศ หินเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์เวทมนต์ที่ไม่สามารถเทียบเคียงได้ด้วยอาณุภาพอันมหัศจรรย์และมันมักจะถูกนำไปใช้ในการทำสงคราม



จากการค้นพบนี้ ผมก็ยังตัดสินใจที่จะกินมัน.... แต่คนอื่นๆคิดว่ามันน่าจะเป็นการดีที่สุดถ้าเราจะถือและเก็บมันใว้เพื่อขายในวันหลัง เงินทองที่ได้ย่อมมหาศาล ด้วยเสียงยืนกรานจากทุกทุกคน ผมตัดสินใจเอาลอร์ดสโตนและวัตถุดิบอื่นๆที่ได้จาก เจ้ดอีเกิ้ล เก็บลงในไอเท็มบ๊อกของผม

ระหว่างการถลกหนังแยกชิ้นส่วนเพื่อเก็บวัตถุดิบจาก เจ้ดอีเกิ้ล ในขณะที่ผมกำลังดึงขนสีหยกออก เกราะกระดูกชีวภาพของผมก็คลายสภาพลง ผมก็มีความรู้สึกอยากลองอะไรแปลกๆ จากนั้นผมกินขนสีหยกไปจำนวนมาก แล้วผมเปิดใช้งานสกิลเกราะกระดูกชีวภาพใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้รูปร่างของเปลืองเต่าทองของผมมีลักษณะคล้ายนกมากขึ้น นี่ต้องเป็นอิทธิพลจากขนนกของเจ้ดอีเกิ้ลแน่นอน เมื่อผมทดลองบินปรากฏว่ามันเปลี่ยนให้การบินของผมง่ายขึ้นมากกว่าก่อนและเพิ่มความเร็วให้กับการบินอย่างมากด้วย








เมื่อการต่อสู้เสร็จสิ้น ผมตัดสินใจเช่นทุกครั้ง ปาตี้รับประทาน เจ้ดอีเกิ้ล จ้า... ตอนนี้ผมแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว และกินมันทั้งดิบๆแบบนั้นเลย หลังจากกัดมันเข้าไป ผมถึงกับร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ

โอ้ มาย คอม บุ


Ability unlocked [Feather Arrow] ธนูขนนก

Ability unlocked [Predator of the Sky] นักล่าแห่งท้องฟ้า

Ability unlocked [Divine Protection of the Storm God] พลังพิทักษ์ของเทพเจ้าแห่งพายุ

Ability unlocked [Complete Wind Resistance] ความต้านทานลมอย่างสมบูรณ์

Ability unlocked [Adamantine Claw] กรงเล็บแกร่ง

Ability unlocked [Sonic Flight] บินความเร็วเสียง


ได้ทักษะพวกนี้มาเพิ่ม ผมนี่พึงพอใจยินดีปรีดามหาเปรมปรียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดทั้งมวลโนโลกหล้าฮานาก้า ยะฮู้ [tn:บรรยายเสริมไปเยอะ] ทักษะหลายๆอย่างดูเหมือนจะมีประโยชน์มาก หลังจากนั้นผมก็เอาเนื้อทั้งหมดมาทำอาหาร และแบ่งปันให้กับทุกทุกคน

มองดูไปรอบๆบริเวณนี้มีโครงกระดูกมากมายเต็มไปหมด ผมตัดสินใจว่าอย่างน้อยผมจะจัดพิธี เผาส่งโครงกระดูกพวกนี้ไปให้ตามสมควร เพราะร่างกายของพวกเขาไม่มีอะไรเหลือเลยผมจึงไม่ได้กินหรือได้รับทักษะใดๆ แต่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยทำพิธี ผมจึงเก็บอุปกรณ์ที่พวกเขาเหลือทิ้งใว้ไปทั้งหมด มันมีไอเท็มหลายอย่างทั้งโพชั่นและสารเคมีบางประเภท เหนือไปกว่านั้นยังมีถุงทองจำนวนมากและอุปกรณ์อื่นๆอีก ผมนี่ยินดีที่จะรับมันใว้ทั้งหมด แม้สภาพอุปกรณ์มันจะผุผุพังพังไปสักหน่อย

[น โม อมิ ตา พูทธ]

หลังจากสงบนิ่งหลังจากการสวด พวกเราก็ออกเดินทางต่อไป

DAY 94

ในขณะที่เรากำลังจะออกเดินทาง ผมรู้สึกถึงความรู้สึกผสมปนเป ส่วนมากเป็นความรู้สึกที่น่าหวาดหวั่นชวนขนหัวลุก ดังนั้นผมจึงเปิดใช้ทักษะในการตรวจจับระดับสูงสุด และเพิ่มความระมัดระวังตัว ใครจะรู้มันอาจจะมีใครโจมตีเข้ามาอีกก็ได้ ผมสามารถพูดได้เพียงว่า ผมรู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมองมาเหมือนต้องการจะกินเลือดกินเนื้อผมอยู่

วันนี้เป็นวันที่ฝนเริ่มตกหนักมาก การเดินทางของเรายากลำบากมากขึ้นเพราะลมและสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ผมตัดสินว่าการหยุดพักที่ไหนสักแห่งมันจะเป็นการดีที่สุด หลังจากที่เราเดินลุยฝนมาสักพัก นับว่าเป็นโชคของเรา ผมมองเห็นสถาณีหยุดพักของนักเดินทางอยู่ข้างทางข้างหน้าอีกแค่ประมาณ 30 เมตร พวกเราลงจากรถม้าจอดรถลากเอาใว้และเข้าไปยังข้างใน กลุ่มพ่อค้าเร่และนักผจญภัยที่ดูเหมือนจะเป็นพวกระดับกลางทั่วๆไปรู้สึกตกใจทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา พวกเขาเปล่งรังสีอำมหิตออกมา ส่วนผมก็ทำเพียงแค่หยิบลังออกมาสองใบและส่งให้ทุกๆคนในที่แห่งนั้นดูโดยรอบ

นั่นทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายและทุกคนก็ลดอาวุธลง ผมขายวัตถุดิบที่พวกเราเก็บรวบรวมมาตลอดการเดินทาง เช่นกระดองของงูเต่า และอาวุธส่วนตัวจากที่ผมไปเก็บมาจากพวกโครงกระดูกบนภูเขา ผมเริ่มทำการค้าเล็กๆน้อยๆณที่แห่งนี้

ในตอนแรกพวกมนุษย์ยังเกรงกลัวตัวผมอยู่ แต่หลังจากที่แบล็คสมิธซังเดินตามเข้ามา พวกเขาก็เริ่มสงบสติอารมณ์ลงและเริ่มเปิดใจ ทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าสัตว์ในสถาณีพักผ่อนของนักเดินทางล้วนประหลาดใจเมื่อพบเจอผม แต่ก็ไม่ได้ทำการโจมตีเพราะพวกเขาพออ่านบรรยากาศออกว่าผมไม่ได้จะทำอันตรายพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาเข้ามาโจมตีผม ผมก็คิดว่าจะจับกินให้เรียบล่ะนะ มันก็น่าเสียดายนิดนึงนะที่พวกเขาไม่ทำอย่างนั้น

ช่วงสายของวันสองเชฟสาวพี่น้องกับพวกมนุษย์ที่เดินทางมาในขบวนเดินทางของเราก็เริ่มจัดเตรียมอาหารกลางวัน หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเราถูกเชื้อเชิญให้เข้าไปเล่นเกมส์พนันกับพวกนักเดินทาง ผมเองก็เห็นว่ามันยังมีเวลาว่างจึงตัดสินใจเข้าเล่นกับพวกเขา หารายได้พิเศษก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่นะ อิอิ

เกมส์ที่พวกเขาเล่นมีลักษณะคล้ายๆกับแบล็คแจ็ค หลังจากพวกเขาอธิบายกฏการเล่น ผมตัดสินใจว่าจะเล่นพนันด้วยเงินทั้งหมดที่ผมได้มาจากการลูทบนภูเขาน่ะนะ ผลลัพที่ออกมาคือเป็นชัยชนะของผมอยู่ฝ่ายเดียว นี่ก็น่าจะเป็นผลมาจากสกิล [Golden Rule] และ [Luck] ของผมน่ะนะ พวกพ่อค้าเล่นเกมส์ต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นว่าผมลอกคราบพวกเขาซะจนแทบจะหมดตัว หลังจากที่ผมเรียงสิ่งที่ผมได้รับมาจากการชนะพนัน ผมคืนเสื้อผ้าให้พวกเขา เพราะผมต้องการแค่ไอเท็มบางอย่างที่มีค่าเท่านั้น

ผมไม่ได้คืนเสบียงหรือเงินคืนให้พวกเขา ผมแค่รู้สึกไม่สบายตาน่ะถ้าจะต้องเห็นผู้ชายยืนเปลือยต่อหน้าผม ก็รู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยล่ะนะการใช้สกิลในเกมส์พนันมันก็เหมือนๆกับการโกงนั่นแหละ

ผมใช้เวลาเกือบทั้งวันในสถาณีหยุดพักนักเดินทาง เพราะฝนเองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้ผมจะสามารถเดินทางได้เพราะรถลากก็มีหลังคาและม้าโครงกระดูกของผมก็ไม่มีปัญหาเรื่องความเหน็ดเหนื่อย แต่เนื่องจากผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรผมจึงตัดสินใจว่าดีที่สุดคือรอจนกว่าฝนจะหยุด

ผมฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้เล็กๆน้อยๆกับ แดมมิจัง และ สาวน้อยผมแดง บริเวณมุมของสถาณีหยุดพักนักเดินทางเพื่อฆ่าเวลาเล่น ผมคิดว่าพวกเธอต้องทำการฝึกฝนค้นหารูปแบบการต่อสู้ที่เป็นรูปแบบเฉพาะตัว ปัจจุบันนี้รูปแบบการต่อสู้ของพวกเธอค่อนข้างพื้นๆและพึ่งพาสกิลมากเกินไป ผมคิดว่าพวกเธอยังต้องฝึกอีกเยอะน่ะ

ตั้งแต่เรก ผมตัดสินใจที่จะสั่งสอนให้พวกเธอขัดเกลาฝีมือเพื่อที่จะมีสกิลเฉพาะตัวเป็นของพวกเธอเอง ต่อจากนั้นผมก็ฝึกซ้อมสกิลส่วนตัวบางอย่างบ้าง เช่น [Wind Demon's Gale] ลมพายุปิศาจ and [Burning Demon's Flame] เพลิงเผาไหม้ปิศาจ

ต้องขอบคุณความรู้จากชีวิตในชาติก่อน ผมจดจำศิลปะป้องกันตัวที่ผมได้เรียนมาได้ทุกอย่าง และด้วยสกิล [Arts] ทำให้ผมสามารถถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้พวกเธอได้ยากนัก

ในระหว่างการฝึกซ้อมกับ แดมมิจัง กับ สาวน้อยผมแดง มีนักผจญภัยบางคนมุงดูและอยู่ๆก็เดินเข้ามา พวกเขาสนใจที่จะเข้าร่วมการฝึกซ้อมด้วย ในกลุ่มพวกนั้นแต่ละคนมีทั้ง [Job-Boxer] อาชีพนักมวย [Job-Swordsman] นักดาบ และ[Job-Warrior] นักรบ ผมจึงหยิบเอาดาบไม้ หอกไม้ ออกมาจากไอเท็มบ๊อกและยื่นให้พวกเขา

ถึงแม้ว่าผมจะพยายามอย่างดีที่สุดในการควบคุมพลังและใช้มันน้อยที่สุด และผมเป็นฝ่ายถูกรุม เพียงไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาทั้งหมดก็นอนแน่นิ่งหมดสติกองอยู่บนพื้น ผมคงแค่จะแข็งแกร่งเกินไปสำหรับพวกเขาเท่านั้นแหละ มันก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีนะ เพียงแต่ว่าเวลาที่ได้ออกกำลังมันสั้นไปหน่อยแค่นั้นเอง หลังจากนั้นผู้คนที่มุงดูอยู่ก็แยกย้ายกลับไปทำธุระของตัวเองในทันที

ผมนี่สงสัยเหมือนกันว่าทำไม......

DAY 95

ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง สภาพถนนในตอนนี้ก็น้ำท่วมและเต็มไปด้วยโคลน แถมดูเหมือนว่าจำนวนนักเดินทางที่มาหยุดพักที่สถานีก็เพิ่มขึ้นด้วย

รองผู้จัดการสาขาจากเมือง Trient เดินออกมาจากห้องพักในสถานีพร้อมกับกลุ่มนักผจญภัยชายฉกรรย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตาม เพื่อมาถกกันและหาวิธีซ่อมแซมสถานีพักนักเดินทางที่กำลังได้รับปัญหาจากน้ำท่วมนิดหน่อย

จะว่าไป ทำไมรองผู้จัดการสาขาถึงมาเตร็ดเตร่อยู่แุถวนี้ ผู้ชายวัยกลางคนตัวอ้วนๆหัวล้านๆท่าทางไม่มีมารยาทคนนี้ ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับคนที่ร่วมเล่นในวงพนันกับผม ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ชอบการพนันแบบเข้ากระดูกดำ และจบลงด้วยการเสียเงินที่มีทั้งหมดที่มีและเอาสินค้าเกือบทั้งหมดของเขามาใช้เป็นหลักประกันในการเล่นพนัน

ผู้ชายที่เป็นรองผู้จัดการสาขาและเสียพนันด้วยทรัพย์สินที่มีทั้งหมดทิ้งไป ถ้าไม่นับปัญหาในเรื่องการเล่นพนันของเขา เขาก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา เขาใช้ทักษะที่มีในการจัดการซ่อมแซมสถานีหยุดพักนักเดินทางได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ดูจากที่ผมกวาดทรัพสินของเขาจนเรียบ เขาก็ยังมีเหตุผลมากพอที่จะไม่ทำกิริยากับผมเหมือนผมเป็นวายร้ายล่ะนะ


เนื่องจากการออกเดินทางท่ามกลางสายฝนในตอนนี้ เสี่ยงที่จะทำให้รถลากเสียหาย ผมจึงตัดสินใจที่อยู่ที่นี่เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารและสภาพเหตุการต่างๆในปัจจุบัน

ในเวลาไม่นานผมก็ได้ข่าวสารจากรองผู้จัดการสาขามาว่า องหญิงแห่งอาณาจักรได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว จากยาอายุวัฒนที่เจ้าชายจากจักรวรรดิคิริกะ Kirika Empire นำกลับไป (elixir)

นี่เป็นครั้งแรกที่คนที่เป็นโรค "Undead Disease" ถูกรักษาหาย และดูเหมือนว่าทางอาณาจักรเองก็กำลังทำการวิจัยจากหยด elixir ที่เหลืออยู่เพื่อหาวิธีการผลิตมันขึ้นมา

เอาล่ะผมไม่อยากจะพูดถึงว่าทำไมพวกเขาถึงได้ครอบครอง elixir ได้ทั้งที่ไม่ได้พิชิตพวกเอลฟ์ และผมก็ตัดสินใจจะไม่กล่าวถึงมันอีกในอนาคต

ในท้ายที่สุด ดูเหมือนพวกมนุษย์ก็ไม่มีท่าทีที่จะเข้าไปบุกรุกพวกเอลฟ์อีก เนื่องจากความสูญเสียมากมายระหว่างสงคราม ความคิดที่จะกลับไปกำราบพวกเอลฟ์นั้นจึงไม่ได้รับการสนับสนุน โดยมีพวกชนชั้นสูงที่รอดชีวิตจากสงครามและพวกที่ได้รับการปล่อยตัวกลับไปเป็นแกนนำในการคัดค้าน

ดูเหมือนว่าเร็วๆนี้ผมคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปปกป้องอาณาจักรเอลฟ์อีก

นอกเหนือจากการพูดคุยกับผู้คนทั่วๆสถานี วันนี้ทั้งวันก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไรมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น