หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Overlord Vol.3 Chapter 2

Volume 3 Chapter 2 - True Vampire


Part 1
เงาร่าง 2 ร่างเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงผ่านป่า นั้นคือแวมไพด์หญิงทั้ง 2ตัว ของแชลเทีย แม้ว่าจะเผชิญกับกิ่งไม้ที่ขวางทางแต่เสื้อผ้าสีขาวของแวมไพด์ทั้ง 2 นั้น ไม่มีรอยแม้แต่น้อย ยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
แวมไพร์ที่วิ่งอยู่ข้างหนังหน้าอุ้มแชลเทียอย่างระมัดระวัง ในขณะที่ข้างหลังก็วิ่งตามมา 
ตำแหน่งปัจจุบันของแชลเทียนั้นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่แยกกับเซบาสเตียนนัก แม้ว่าจะไม่สามารถวัดได้ว่าห่างมากไกลขนาดไหนแล้วแต่จุดหมายก็ยังอยู่ข้างหน้า ทันใดนั้นเสียงโลหะดังขึ้นพร้อมกับร่างของแวมไพร์ตัวแรกชะงักลง


เนื่องจากเส้นทางเป็นทางแคบเมื่อแวมไพด์ตัวแรกหยุดส่งผลให้อีกตัวที่ตามหลังก็ต้องหยุดลงเช่นกัน
“ทำไมหยุดกระทันหันเฃ่นนี้ละ”
ขณะที่เธอจะตอบคำนั้นเมื่อพบกับสายตาของเจ้านายที่มองมาเธอรู้สึกตกใจกลัวไม่ได้ เพราะว่าว่าตัวเธอนั้นรู้ดีว่าเจ้านายของเธอไม่ได้ใจดีหรือมีความเมตตา
เจ้านายของเธอซึ่งตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของเธอคล้ายกับเจ้าหญิงดิ้นอย่างไม่พอใจนัก
เหมือนจะเข้าใจแวมไพด์สาวปล่อยแขนของเธอช้าๆ
แชลเทียกระโดดเหมือนนกที่หลุดออกจากกรงก่อนที่รองเท้าส้รสูงที่เธอสวมใส่จะสัมผัสพื้นดิน
แชลเทียปัดผมสีเงินของเธอพร้อมกับมองไปยังลูกน้องของตัวเองก่อนจะถามว่า
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
เหตุผลที่แชลเทียไม่ต้องการวิ่งเพราะว่าเธอขี้เกียจและไม่อยากให้รองเท้าเลอะฝุ่น แต่จริงๆแล้วมันมีเหตุผลหลักๆที่ใครๆก็คาดไม่ถึงอยู่ ถึงแม้ว่าจะรู้ก็ไม่กล้าพูดออกมา แม้กระทั้งในนาซาริคก็มีไม่กี่คนที่กล้าพูดถึงเหตุผลนั้น
ในฐานะข้ารับใช้ แวมไพด์ทั้งสองทำหน้าที่เหมือนกับขาของเธอและไม่ควรหยุดลงถ้าเจ้านายของเธอไม่ได้สั่ง
ขึ้นอยู่กับเหตุผล บางทีการลงโทษอันทารุณอาจจะรออยู่เบื้องหน้าก็เป็นได้
บางทีอาจจะมากกว่านั้น แวมไพด์สาวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากคำถามของเจ้านายของเธอ
นอกจากพวกที่ถูกสร้างจากท่านผู้นำสูงสุดแล้วชีวิตของข้ารับใช้นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเหล่ากาเดี้ยนนั้นๆ การทำให้แชลเทียไม่พอใจบางทีอาจจะหมายถึงความตาย
เมื่อนึกได้ว่าคำพูดต่อไปของเธออาจะเป็นคำพูดสุดท้ายของชีวิต แวมไพด์สาวเอ๋ยปากขอความเมตตา
“ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าเหยียบไปโดนกับดักหมีค่ะ”
แชลเทียกวาดตาไปยังขาของแวมไพด์สาวและพบว่ามีเหล็กที่ดูแข็งแรงจับขาอยู่
กับดักนี้เตรียมการไว้ดักสัตว์ป่าวเช่นหมี ถ้ามนุษย์เหยียบไปโดนเข้าต่อให้ใส่เกราะขาก็อาจจะทะลุไปถึงกระดูกได้ แต่ว่าแวมไพด์นั้นแตกต่างจากมนุษย์ แม้ว่ากับดักนี้จะติดอยู่กับข้อเท้าของเธอแต่ดูเหมือนจะไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย
แวมไพด์นั้นแทบจะแข็งแกร่งต่อการโจมตีกายภาพ นอกจากอาวุธจำพวกเงินหรือว่าแร่บางประเภทที่ทำความเสียหายได้นั้น การโจมตีอื่นๆแทบจะไร้ผล กับดักหมีที่ดูน่ากลัวนั้นไม่มีผลเลยจะเห็นได้ว่าบริเวณข้อเท้าไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่น้อย
แม้ว่ากับดักจะไม่ได้ผลแต่มันก็สามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้
“รีบปลดมันออกสิ”
“รับทราบค่ะ!!”
หลังจากได้ยินคำสั่งของแชลเทีย แวมไพด์สาวขยับแขนที่กลมกลึงทั้งคู่ของเธอง้างออก ด้วยพละกำลังที่แข็งแรงกับดักนั้นถูกง้างออกในทันที
“มีกับดักอยู่แบบนี้ แสดงว่าพวกเราคงไม่ห่างจากจุดหมายแล้วละ”
“ค่ะ ขอเวลาสักครู่”
แวมไพด์ด้านหลังหยิบอะไรบางอย่างที่เธอแบกมาด้วยออกมา
สิ่งของนั้นเป็นศพมนุษย์ แต่ถ้าไม่มีอะไรเป็นพิเศษพวกเธอคงไม่แบกมาด้วย ทันใดนั้น ศพก็ขยับตัวขึ้น
กรงเล็บยาวปรากฏออกมาจากซอกนิ้ว ดวงตาสีแดง และเขี้ยวที่ปรากฏตรงมุมปาก
แวมไพด์ชั้นต่ำ
เป็นโจรที่ถูกดูดเลือดออกจนหมดจากการโจมตีเมื่อครู่
“ข้ามีคำถาม เราใกล้จะถึงรังของพวกเจ้าหรือยัง”
แวมไพด์ชั้นต่ำนั้นมองดูเจ้านายของตัวเอง ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่คล้ายคำราว่า
“ใกล้แล้ว ท่านแชลเทีย”
“อย่างนั้นหรือ ทำไมไม่เห้นมีกับดักอื่นๆเลยละ”
ปกติน่าจะมีกับดักมากกว่านี้ เช่นสัญาณเตือนภัย หรือว่า กับดักประเภทอื่นๆ แต่บริเวณนี้กลับว่างเปล่า
แชลเทียเริ่มกวาดตามองรอบๆ แวมไพด์สาวทั้งสองเข้าใจว่าเธอมองหาคนที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้ จึงทำแบบเดียวกัน
แต่แชลเทียกลับสั่นศรีษะ
“ช่างเถอะ พวกเจ้ายังไงก็ไม่มีสกิลค้นหาอยู่ดี”
หลังจกาได้ยินคำพูดพึมพำของเจ้านาย พวกเธอเข้าใจในทันทีว่าทำไมถึงได้รับการยกเว้นโทษ เจ้านายของเธอตลอดจนพวกเธอเองนั้นไม่มีสกิลค้นหากับดัก การถูกกับดักเมื่อครู่เป็นตัวบ่งชีได้ดี เจ้านายของเธอแม้จะไม่ได้ใจดีนักแต่ก็ไม่ลงโทษแบบปราศจากเหตุผล
“รู้อย่างนี้น่าจะขอโซลูชั่นมาช่วย”
โซลูชั่นนั้นมีมีอาชีพนักฆ่า ด้วยความสามารถของเธอการจะค้นหากับดักนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ
“เอาเถอะ บ่นไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น รีบไปยังรังของพวกโจรกันดีกว่า”
ไม่นานนักทั้งหมดก็มาถึงยังรังของโจร ต้นไม้บริเวณนี้ค่อนข้างเล็ก และมีจำนวนไม่มาก บริเวณที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย แต่แถบนี้นั้นไม่มีก้อนหินซักก้อน
ใจกลางบริเวณของต้นไม้นั้นมีหลุมที่ดูลึกอยู่ แสงไฟลอดผ่านออกมาให้เห็น ดูจากลักษณะแล้ว ข้างในคงจะลึกลงไปอีก
ไม่ต้องสงสัยต้องเป็นการสร้างจากน้ำมือมนุษย์ ข้างหน้านั้นมีแนวกั้นที่ทำจากไม้ตั้งอยู่ ยามสองคนยืนอยู่หลังแนวกั้นดูเหมือนว่าจะทำไว้รับมือกับผู้บุกรุก โดยใช้หลบลูกธนูและส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังข้างใน
ในการต่อสู้ปกติ ถ้าโจมตีจากจุดนี้กำลังเสริมก็คงจะออกมารับมือ ถ้าจะลอบเข้าไปก็เป็นไปไม่ได้เพราะบริเวณนี้ไม่มีจุดกำบังอยู่เลย
นอกจากนี้ระฆังมีอยู่ 2 จุดต่อให้บุกฝ่าเข้าไปได้ยามหนึ่งในสองคนก็คงจะลั่นระฆังเตือนภัยได้ นับว่าเป็นการป้องกันที่รัดกุมมาก
แต่ว่าก็ยังมีทางที่จะบุกเข้าไปในการป้องกันที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ได้อยู่ 
เวทย์มนต์
ร่าย [Silence] จากนั้นฆ่ายาม หรือว่าลอบไปฆ่าด้วย {Invisible] หรือว่าล่อยามออกมาด้วย [Charm Person] จะทำลายระฆังโดยตรงก็ได้
ขณะที่กำลังคำนวณสถานการณ์แชลเทียพบว่าข้อมูลที่เธอมีนั้นน้อยเกินไป
“ทางเข้ามีแค่ตรงนี้ใช่มั้ย”
แวมไพด์ชั่นต่ำผงกศรีษะตอบรับ
แชลเทียยิ้มออกมาอย่างพอใจ ถ้าเป็นเชนนี้ก็ไม่ต้องคิดมาก
การป้องกันนี้อาจจะหยุดการโจมตีแบบกลุ่มหรือว่าผู้บุกรุกที่พอมีฝีมืออยู่บ้างได้ แต่เปรียบกับกลุ่มของแชลเทียแล้วไม่ได้ส่งผลอะไรเลย
ด้วยพละกำลังที่ต่างชั้นกันมาก แค่บุกเข้าไปบดขยี้พวกมันเหมือนแมลงก็เพียงพอแล้ว ที่แชลเทียกังวลคือมีทางออกอื่นที่จะทำให้เหยื่อของเธอหนีไปได้หรือไม่
“เอาละ เราก็เดินทางกันมาไกลแล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบๆซ่อนๆหรอก โดยปกติก็ไม่ใช่นิสัยของข้าอยู่แล้วที่จะมาทำตัวหลบซ่อนแบบนี้”
“สมกับเป็นท่านแชลเทียจริงๆค่ะ”
“เอาเถอะ เลิกยกยอข้าได้แล้ว รีบทำงานกันเถอะ”
ไม่สนใจคำพูดขออภัยของลูกน้อง แชลเทียจับแวมไพด์ชั่นต่ำไว้และกล่าวว่า
“เอาละ ข้าจะมอบหมายภารกิจสำคัญให้เจ้า นั้นก็คือเป็นหน่วยจู่โจมไงละ ไปได้!!!”
แขนบอบบางของเธอเหวี่ยงร่างแวมไพด์ชั่นต่ำออกไปยังทางเข้าเบื้องหน้า เสียงลมฝ่าอากาศดังขึ้น ร่างของแวมไพด์ชนเข้ากับยามคนหนึ่ง ส่งผลให้ร่างของยามระเบิดออกมาคล้ายกับลูกโป่ง เศษสมอง และอวัยวะ กระจายไปทั่วบริเวณพร้อมกับเลือดที่พุ่งย้อมจุดที่ยามคนนั้นยืนอยู่ ในขณะที่ยามอีกคนมองภาพเบื้องหน้าอย่างตะลึง
ในขณะเดียวกัน เจ้าของที่ชว้างแวมไพด์ออกไปยิ้มอย่างดีใจ
“เข้าเป้า”
“ยอดเยี่มมากค่ะ ท่านแชลเทีย”
แวมไพด์สาวทั้งสองตลบมือ ในขณะที่แชลเทียก็ยกมือขึ้นโค้งอย่างสวยงาม แม้ร่างของไวมไพด์ชั่นต่ำจะกองอยู่บริเวณซากของยามแต่พวกเธอก็ไม่สนใจ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องสนใจสิ่งมีชิวิตนอกนาซาริค พวกนี้เผ็นได้แค่ของเล่นเท่านั้น
แชลเทียนั้นไม่ได้สนใจสัญญาที่ให้ไว้กับมนุษย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“หืมม ยังเหลืออีกคนนี่”
แชลเทียมองรอบๆ ก่อนที่แวมไพด์สาวจะเสนอก้อนหินมาให้
“โอ้”
เสียงระฆังดังไปทั่ว แต่ในขณะนั้นแชลเทียก็ขว้างหินในมืออกไป ไม่นานนักเธอก็ยิ้มออกมา
“ นี่เรียกว่า เข้าเป้าอย่างงดงามเลยนะนี่ 2 ครั้งแบบนี้”
กำลังเสริมกรูออกมาจากด้านในตามเสียง แชลเทียยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกล่าวว่า
“เอาละ เจ้า ปีนต้นไม้และคอยดูคนที่จะหลบหนี ส่วนเจ้าไปเคลียทางซะ แต่ถ้าเจอพวกที่แข็งแกร่งๆหน่อยบอกข้า พวกนั้นเป็นเหยื่อของข้า”
“ค่ะ ท่านแชลเทีย”
“เดินทางปลอดภัยนะค่ะ”
แวมไพด์ที่ได้รับคำสั่งเดินนำหน้าแขลเทีย ในขณะที่เดินอยู่นั้น ร่างของเธอกลับหายตัวไป
พื้นบริเวณนั้นยุบตัวลง กับดัก!!!
แชลเทียนั้นสามารถหลบกับดักนี้ได้ แต่แวมไพด์ธรรมดานั้นไม่เร็วพอที่จะหลบกับดักนี้ได้
“อ่า”
แวมไพด์ที่นำมาไม่มีสกิตรวจจับกับดักเธอจึงยอมยกโทษให้ในตอนกับดักหมี แต่มาโดนกับดักซ้ำซ้อนแบบนี้ ทำให้แชลเทียอุทานอย่างอารมณ์เสียไมได้
แต่ที่สุดแล้ว ความจริงที่ว่าข้ารับใช้ของแชลเทีย บลัดฟอลเลน กาเดี้ยนที่รับหน้าที่ดูแลพื้นที่มากมายของนาซาริคมาถูกกับดักน่าสมเพชแบบนี้ทำให้เธอยอมรับมันไม่ได้
น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารดังออกมาจากปากของเธอ
“รีบออกมาซะ ก่อนที่ข้าจะสังหารเจ้า”
“บริเวณพื้นเบื้องหน้าแวมไพด์นั้นค่อยๆโผล่ขึ้นมา ชุดสีขาวของเธอนั้นเปื้อนไปด้วยโคลน แต่ร่างกายของเธอปราศจากบาดแผล
“อย่าให้ข้าต้องผิดหวังไปมากกว่านี้ละ”
“ขออภั..”
“ช่างเถอะ รีบไปได้แล้ว หรือว่าเจ้าอยากจะให้ข้าขว้างเจ้าไปเหมือนกับขยะกองนั้นละ”
มองแชลเทียที่ทำท่าจะจับเธอ แวมไพด์สาวร้องเสียงหลงก่อนที่จะรีบ เข้าไปในถ้ำด้านหน้าก่อนที่แชลเทียจะเดินตามไปช้าๆ



Part 2
ในห้องส่วนตัว ชายคนหึ่งหยุดการซ่อมแวฒอาวุธของตัวเอง และเงื่อหูฟังเสียงจากภายนอก
เสียงฝีเท้าที่วิ่ง และเสียงกรีดร้องแว่วมาจากที่ไกลๆ
เป็นที่แน่นอนว่าตอนนี้คงกำลังถูกโจมตีอยู่ แต่จำนวนหรือว่าข้อมูลของศัตรูยังไม่แน่ชัด แม้ว่าจะถูกฝึกมาเพื่อรับมือสถานการณ์เช่นนี้ แต่สียงกรีดร้องยังคงดังมาให้ได้ยิน
กลุ่มทหารรับจ้าง”การแพร่กระจายแห่งความตาย” มีจำนวน 70 คน แม้ว่าส่วนใหญ่จะแม้แข็งแกร่งเท่าเค้า แต่ก็มีพวกที่มีฝีมือที่รอดตายจากการต่อสู้มากมายอยู่
เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าพวกนั้นจะแพ้ให้กับศัตรูไม่กี่คน นั้นแสดงว่าศัตรูคงมีจำนวนมาก? แต่วัดจากเสียงที่ได้ยินไม่น่าใช่เสียงของการต่อสู้ของคนหมู่มาก และตัวเค้าเองก็สัมผัสถึงศัตรูได้ว่าไม่ได้มีจำนวนมากเช่นกัน
“นักผจญภัยงั้นหรือ”
จำนวนน้อย แต่แข็งแกร่ง คงจะเป็นอย่างนั้น
ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับสะพายอาวุธไว้ที่บริเวณเอว จากนั้นก็สวมใส่เกราะเหล็ก และหยิบถุงใส่ของข้างตัวขึ้นในนั้นมีขวดโพชั่นมากๆมายหลายชนิดอยู่ พร้อมกับหยิบโพชั่นใส่เข็มขัดที่มีรูใส่ของอยู่ หลังจากนั้นก็สวมใส่แหวนและสร้อยคอที่มีผลของเวทย์ในต์ป้องกัน การเตรียมการของชายหนุ่มเสร็จสิ้นลงหลังจากสวมใส่ของทุกชิ้น
ชายหนุ่มกระชากผ้าม่านหน้าห้องออกและเดินไปยังทางเดินหลัก
ตามทางเดินนั้นมีตะเกียงที่มีผลของเวทย์มนต์ [Continual Light] อยู่ทำให้รอบๆบริเวณสว่างแม้จะอยู่ในถ้ำ
จากแสงสว่างเผยให้เห็นรูปร่างของชายหนุ่ม แม้ว่าจะถูกซ่อนอยู่ภายในเสื้อเกราะ แต่กล้ามเนื้อของชายคนนี้ดูแข็งแรง
แต่การเคลื่อนไหวกลับดูมีพลังและสง่างาม 
ขณะชายหนุ่มเดินไปยังทางเข้าหลักที่มีเสียงการต่อสู้อยู่ ชายอีกคนก็วิ่งมายังจุดหมายเดียวกัน ชายหนุ่มคุ้นตากับสหายของเค้า สีหน้าของชายที่วิ่งมาทีหลังดูสดใสราวกับว่าศึกครั้งนี้ชนะไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
“เราถูกโจมตีนะ ไบร”
ชายหนุ่มที่ชื่อไบร หัวเราะออกมา
“ยั้ยข้ารู้แล้ว แต่ว่าถูกโจมตีโดยใครละ”
“มีสองคน เป็นผู้หญิงทั้งคู่”
“ผู้หญิงแค่ 2 คน? บลูโรสงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้”
ไบรสั่นหัวก่อนที่จะเดินไปยังจุดหมายเดิม
กลุ่มนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรนั้น คือบลูโรส ที่มีสมาชิกเป็นผู้หญิงล้วน 5 คน ในอดีตไบรยังเคยพบหญิงสูงอายุคนหนึ่งที่สามารถสู้กับเค้าได้อย่างสูสี การต่อสู้ครั้งนั้นเสมอกัน และยังมีข่าวลือว่ายอดนักฆ่าของจักวรรดิก็เป็นสตรี
ผู้หญิงที่แข็งแกร่งนั้นไม่ใช้เรื่องแปลก อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งด้านกายภาพของผู้ชายและผู้หญิงนั้นก็แก้ไขได้โดยเวทย์มนต์
ไบรรู้สึกว่าเค้าตื่นเต้นที่จะได้พบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
“อ่า เจ้าไม่ต้องไปกับข้าหรอก กลับไปเสริมแนวป้องกันดีกว่า”
หลังจากบอกทหารรับจ้างคนนั้น เค้าก็รีบเดินไปยังทางเข้าของถ้ำ

ไบร อังกลาส
แต่เดิมนั้นเป็นชาวนา เค้ามีพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมอบให้ในด้านดาบ ด้วยความสามารถด้านการเรียนรู้แต่พรสวรรค์นั้น ทำให้เค้าไม่เคยแพ้ใครใรการดวลมาก่อน กระทั้งในสมรภูมิรบยังได้รับบาดแผลแค่รอยข่วนเท่านั้น
ไม่เคยแพ้ให้กับการต่อสู้ด้านการประดาบ ไบรเดินอยู่ในเส้นทางชองชัยชนะเสมอมา
ทุกคนและแม้กระทั้งตัวเค้าเองก็มั่นใจในความสามารถของตัวเองว่ายอดเยี่ยมเหนือใคร อย่างไรก็ตามในทัวนาเม้นการต่อสู้ของอาณาจักรได้เปลี่ยนชีวิตของเค้า
ก็ไม่ใช่ว่าตัวเค้าเองต้องการจะเป็นผู้ชนะเลิศ แต่แค่อยากจะแสดงให้คนในอาณาจักรเห็นว่าเค้าเก่งกาจแค่ไหน แต่ผลลัพธ์กลับน่าตกใจจนไม่น่าเชื่อ
พ่ายแพ้---
การแพ้ครั้งแรกในการต่อสู้ ไม่สิ ครั้งแรกในชีวิตของไบร
ชายที่ชนะเค้าได้ชื่อว่า กาเซฟ สโตรนอฟ ตอนนี้รับตำแหน่งหัวหน้าอัศวินในรีเอสไท และเป็นที่รู้จักดีในอาณาจักรข้างเคียงว่าแข็งแกร่งที่สุด
ในการต่อสู้แรกๆทั้งคู่ต่างชนะแบบง่ายๆ แต่เมื่อมาพบกันการต่อสู้นั้นกินเวลายาวนานราวกับว่านี่ถึงเรียกได้ว่าการต่อสู้ที่แท้จริง
ท้ายที่สุด กาเซฟชนะด้วยทักษะต่อสู้ [ลำแสงดาบสี่สาย] กาต่อสู้ครั้งนั้นกินเวลาแทบจะทั้งวัน ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของทั้งคู่ แม้กระทั้งเหล่าชนชั่นสูงที่ไม่ชอบกาเซฟยังต้องยอมรับว่าหัวหน้าอัศวินนั้นแข็งแกร่ง
ผู้ชนะย่อมได้รับเกียรติยศ สำหรับผู้แพ้นั้น ไบรที่พยายามมาถึงจุดนี้ได้นั้นถึงกับรับไมได้ ไบรรู้สึกสูญเสียความมั่นใจและคิดว่าตัวแองนั้นแข็งแกร่งที่สุดช่างเป็นเรื่องที่โง่เง่า
หนึ่งเดือนเต็มๆที่ไบรจมอยู่กับความอัปยศ บุคคลทั่วไปอาจจะดื่มเหล้าเพื่อที่จะได้ปลอบใจตัวเอง แต่สำหรับไบรแล้วเค้าเลือกที่จะฝึกฝนตัวเองมากขึ้น
ไบรปฎิเสธเค้าชวนของเหล่าชนชั้นสูงมากมายและเริ่มที่จะมองหาหนทางแห่งความแข็งแกร่ง
เพื่อตามหาความแข็งแกร่ง ไบรฝึกฝนร่างกายของตัวเองมากขึ้น
เพื่อตามหาพลังเวทย์มนต์ ไบรเริ่มศึกษาเรียนรู้
เริ่มที่จะพยายามเหมือนบุคคลทั่วไปที่ไม่มีพรสวรรค์
การพ่ายแพ้ในครั้งนี้ช่วยยกระดับและพัฒนาไบรขึ้นไปอีกขั้น
เหตุผลที่ไบรปฎิเสธคำชวนของเหล่าชนชั้นสูงเพราะว่าเค้าไม่ต้องการให้ฝีมือของตัวเองทดถอยลง ในการที่จะพัฒนาตัวเองให้เหนือขีดจำกัดไบรต้องการคู่มือ ต้องการงานที่สามารถพบกับคู่มือที่แข็งแกร่งในขณะเดียวกันก็สามารถทำเงินได้
ถ้าไบรเดินไปในหนทางของนักผจณภัยจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เสียดายที่ทางนี้ไม่เหมาะกับเค้า การเป็นนักผจญภัยมีข้อห้ามว่าห้ามต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง สังหารเหล่าสัตว์ประหลาดก็ไม่เลวแต่เป้ามหายของไบรคือการล้มกาเซฟดังนั้นเค้าต้องการคู่ต่อสู้ที่เป็นมนุษย์
ดังนั้นไบรเลือกที่จะทำงานกับกลุ่มการแพร่กระจายแห่งความตาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว จะเป็นทหารรับจ้างกลุ่มไหนก็ได้ทั้งนั้น
เป้าหมายของไบรมีเพียงอย่างเดียว
ลบอดีตที่น่าอับอายของตัวเองโดนการเปลี่ยนเป็นผู้ชนะ
เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในเป้ามหายเค้าต้องการอาวุธ ไบรยินดีทุ่มทุกอย่างให้กับอาวุธที่แข็งแกร่ง
อาวุธเวทย์มนต์แพงเกินไป แต่อาวุธที่ไบรต้องการก็ไม่ใช่อาวธเวทย์มนต์ทั่วๆไป
ดินแดงทางใต้ที่อยู่เลยอาณาจักรออกไป มีเมืองที่อยู่กลางทะเลทราย มีอาวุธชนิดหนึ่งที่สามารถตัดอาวุธเวทย์มนต์ได้ ราคาของมันแพงมากกระทั้งคนที่เห็นราคาตองตาโตด้วยความตกใจ นั้นคืออาวุธที่ไบรต้องการ
และในที่สุดไบรก็สามารถหามันมาครอบคองได้ [คาตานะ]
ในตอนนี้ความสามารถของไบรนับว่าถึงขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว เค้ามั่นใจว่าอตนนี้เค้าต้องชนะกาเซฟได้แน่นอน แต่ไบรก็ไม่ประมาทให้ความมั่นใจของตัวเองและยังคงฝึกฝนต่อไปไม่หยุด
เมื่อหลับตา กระทั้งตอนนี้ไบรยังคงมอบเห็นภาพของกาเซฟในการดวลครั้งนั้นอย่างชัดเจน
เค้าสามารถหลบการโจมตีของไบรที่ไม่มีใครหลบพ้นมาก่อนและสวนกลับด้วยการโจมตี 4 ครั้ง
ไบรจำไมได้ว่าตัวเองมีสภาพเช่นไรหลังแพ้การดสลครั้งนั้น จำได้แต่ภาพของกาเซฟที่เป็นผู้ชนะ
เมื่อไบรจวนจะมาถึงทางออกนั้นเค้าได้กลิ่นเลือดฟุ้งไปทั่วอากาศ เสียงกรีดร้องนั้นหยุดไปแล้วนั้นหมายถึงว่าพวกที่ต่อสู้นั้นน่าจะตายหมดแล้ว นั้นกินเวลาแค่ 2-3 นาทีเท่านั้น
10 คนที่เฝ้าทางเข้ามีหน้าที่ช่วยซื้อเวลาโดยเน้นการป้องกัน ในการฆ่าพวกนั้นเร็วแบบนี้...
“ถ้ามีแค่ 2 คนจริงๆละก็ พวกนี้ต้องแข็งแกร่งพอๆกับข้าแน่ๆ”
สีหน้าของไบรวิตกกังวลเล็กน้อย
ไบรหยิบโพชั่นบิเวณเข็มขัดดื่มลงไป
ไบรรู้สึกบริเวณท้องมีคลื่นความร้อยกระจายออกจากนั้นก็ลามไปทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อของไบรแข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากผลของของมัน
โพชั่นขวดแรกที่ดื่มไปคือ ยาเสริมความแข็งแกร่ง ขณะที่ขวดที่ สอง คือยาเสริมความแม่นยำ
จริงไม่จำเป็นต้องดื่มแค่ราดตัวก็สามารถแสดงผลได้ แต่ไบรเชื่อว่าการรับไปโดยตรงนั้นจะให้ผลมากกว่า
จากนั้นหยิบน้ำมันราดลงไปบนคาตานะ น้ำมันนี้เป็นไอเท็มที่จะช่วยเสริมความคมให้กับอาวุธในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“แสดงผล 1 และ 2”
คำพูดนั้นส่งผลให้สร้อยคอและแหวนที่สวมอยู่ส่องแสงออกมา
[สร้อยคอแห่งดวงตา] เหมือนชื่อของมัน ไอเท็มนี้จะช่วยปกป้องผู้ใส่จากเวทย์ประเภทที่ทำให้ตาบอด นักรบที่โจมตีไม่ถูกเป้าหมายนั้นไร้ค่า นานมาแล้วไบรเคยแพ้ให้กับนักผจญภัยที่ใช้วิธีแบบนี้
[แหวนต้านทานเวทย์มนต์] แหวนนี้จะช่วยป้องกันเวทย์มนต์ระดับต่ำได้
ถ้าคู่ต่อสู้มีแค่ 2 คนการเตรียมการแค่นี้น่าจะเพียงพอ
--เตรียมการแบบนี้แล้ว หวังว่าคู่ต่อสู้จะมีค่าพอนะ---
ไบรคิดในใจก่อนจะเดินต่อไป
ทุกก้าวที่เดินต่อไป กลิ่นเลือดก็ยิ่งแรงขึ้น ในที่สุดไบรก็เห็นเง่าร่างสองสายข้างหน้า
“เจ้าสองคนดูเหมือนจะสนุกนะ”
“ไม่เลย ข้าคิดว่พวกนี้อ่อนแอไปด้วยซ้ำ เติมสระเลือดของข้ายังไม่เต็มด้วยซ้ำ”
การตอบสนองของทั้งคู่เหมือนรู้อยู่แล้วถึงการคงอยู่ของไบร ทั้งคู่ไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมา แต่ตัวไบรเองก็ไม่ได้ซ่อนจิตของตัวเองแต่แรกดังนั้นเค้าเองก็ไม่แปลกใจเช่นกัน
ไบรสำรวจเง่าร่างทั้ง 2 เบื้องหน้า
“พวกนั้นบอกว่ามีผู้หญิงสองคน แต่หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหรือนี่ แถมใส่ชุดเดรสมาด้วยเนี่ยนะ...”
ไบรปล่อยวางความคิดนั้นทันที เฃด้านบนของหญิงสาวที่สวยงามนั้น มีลูกบอลที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดอยู่
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเวทย์มนต์แบบนี้...เจ้าเป็นนักเวทย์หรือ”
นักเวทย์ไม่จำเป็นต้องสวมเกราะ นั้นเป็นคำอธิบายว่าทำไมทั้งสองจึงแต่งตัเช่นนี้
“นักเวทย์ที่ใช้เวทย์เฉพาะนะ เวทย์ของผู้กัดกินพระเจ้า”
“ผู้กัดกิน? เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เป็นพระเจ้าที่ชั่วร้ายหรือเปล่า?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ก็ถูกกำจัดไปแล้วด้วยฝีมือของท่านผู้ยิ่งใหญ่ จากคำกล่าวของท่านรู้สึกว่า จะเป็น”บอสอีเว้นที่อ่อนแอ” ละนะ”
ละสายตาจากหญิงสาวที่พูดเกี่ยวกับผู้ยิ่งใหญ่หรืออะไรซักอย่าง ไบรมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนด้านหน้าเหมือนกับข้ารับใช้ เธอสวยงามเช่นเดียวกัน หน้าอกอันอวบอัดใหญ่โตนั้นแทบจะทะลักออกมาจากเสื้อ
จากจุดเลือดที่กระเซ็นเลอะชุดที่สวมอยู่ เธอคงเป็นสังหารเหล่าโจรบริเวณนี้
ไบรจับคาตานะของตัวเองไว้
“ช่างเถอะ นั้นก็ไม่สำคัญหรอก ข้าเตรียมพร้อมแล้ว ทางพวกเจ้าละพร้อมหรือยัง ถ้ายังข้าพร้อมที่จะรอ”
หญิงสาวปิดปากหัวเราะและมองมายังไบรด้วยสายเหมือนมองอะไรแปลกประหลาดอยู่
“ช่างกล้าหาญจริง แต่ว่าเจ้าคนเดียวจะไหวหรอ จะเรียกเพื่อนๆของเจ้ามาด้วยก็ได้นะ”
“พวกเราทั้งคู่ก็รู้ดี เรียกพวกอ่อนแอนั้นมาก็ไม่มีประโยชน์ แค่ข้าก็พอแล้ว”
“เจ้าเป็นพวกนั้นหรือเปล่า ประเภทที่ว่าไม่เข้าใจว่าฟ้านั้นสูงเพียงใด คิดว่าแค่เอื้อมมือก็หยิบดาวบนท้องฟ้ามาได้ ถ้าเป็นพวกนั้นละก็เหมาะกับเด็กๆเช่น ออร่ามากกว่า แบบว่าดูไม่เหมือนเป็นผู้ใหญ่อะนะ”
“แล้วผู้ใหญ่แบบนั้นมันไม่ดีตรงไหน บางทีพวกสตรีก็ไม่เข้าใจความโรแมนติคของผู้ชายเอาซะเลย”
ไบรตั้งท่าโจมตี เห็นเช่นนั้น หญิงสาวแสดงท่าทางเบื่อหน่ายออกมาและพูดว่า
“เริ่มได้เลย”
หญิงสาวสั่งให้ผู้ติดตามของเธอโจมตี
ทัดใดนั้นหญิงสาวเบื้องหน้าก็พุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วดังลม ต่ำหรับไบรแล้ว----นั้นยังเร็วไม่พอ
“ฮ่า!!!”
ไบรคำรามพร้อมกับโจมตีออกไปอย่างรุนแรง เป็นการฟันที่สามารถแยกร่างของชายที่สวมเกราะเป็นสองซีกได้อย่างง่ายๆ
“อึก”
“ชิ ตื้นไป”
แวมไพด์สาวกุมไหล่ของตัวเองและถอยหลังออกไป การฟันนี้ทะลุกระดูกไหปลาร้าและทิ้งรอยแผลไว้ที่บริเวณหน้าอก
ไบรเบิ่งตาของเค้าเมื่อมองคู่ต่อสู้
มองข้ามไปว่าการโจมตีของเค้าสังหารค่อต่อสู้ไม่ได้ มีบางอย่างที่กวนใจไบรแผลบริเวณไหล่นั้นไม่มีเลือด
---เวทย์มนต์งั้นหรือ----
ขณะที่คิดอยู่นั้นก็ต้องตกใจมากขึ้น เมื่อเค้าเห็นแผลเริ่มจะสมานตัว
แม้ว่าแผลบริเวณไหลจะไม่หนักมากแต่ฟิ้นตัวเร็วขนาดนี้ ไบรก็ได้ข้อสรุป
สัตว์ประหลาดที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เขี้ยวที่ยืนออกมาจากมุมปาก ดวงตาสีแดง รูปร่างคล้ายมนุษย์
“แวมไพด์งั้นหรือ ความสามารถพิเศษ ฟื้นตัวได้รวดเร็ว,เสน่ห์,ดูดพลังชีวิต,สร้างข้ารับใช้ได้,ทนทานต่ออาวุธและความเย็น รู้สึกจะมีอีกแต่ช่างเถอะ”
ไบรกระชับคาตานะในมือ
-ก็แค่ต้องฟันทิ้งเท่านั้น—
ตาสีแดงของหญิงสาวเบื้องหน้าเบิกกว้าง
ในขณะนั้นไบรรู้สึกว่าจิตของเค้าเหมือนมีหมวกปกคลุม ศัตรูเบื้องหน้าดูคล้ายกับสหายมากกว่า แต่เมื่อไบรสั่นศรีษะหมอกนั้นก็จางหายไป
“เวทย์เสน่ห์หรือ จิตของข้าไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะ”
แม้แต่จิตใจของไบรนั้นก็แหลมคมเหมือนคาตานะ เค้าสามารถสลายเวทย์เสน่ห์ได้ง่ายๆ
แวมไพด์มองไปยังไบรอย่างโกรธแค้นพร้อมกับขยับกรงเล็บ แต่ท่าทางของนั้นมีความกลัวเจือปนอยู่ โดยปกติใครทีมีความมั่นใจในตัวเองจะเป็นผู้เริ่มโจมตี สรุปง่ายๆแวมไพด์เริ่มจะระวังไบร ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ประมาทไมได้
“ฉลาดไม่เบานี่น้า ดูเหมือนว่าสัตว์ระหลาดก็ไม่โง่ซะทีเดียว”
ไบรก้าวขาไปข้างหน้า ในขณะที่แวมไพด์ก้ามถอยไปข้างหลัง
น่าเบื่อจริงๆ
ไบรหัวเราะอย่งดูถูก เหมือนเป็นการยั่วยุ แวมไพด์พุ่งเข้าโจมตีแทนที่จะถอยต่อไป
ระยะห่างของทั้งคู่ตอนนี้อยู่ที่ราวๆ สามเมตร สำหรับแวมไพด์ระยะนี่นับว่าสามารถโจมตีได้ แต่เนื่องจากตระหนักถึงความสามารถของไบรเธอเลือกที่จะนักษาระยะห่างนี้ แวมไพด์เผยยิ้มออกมาพร้อมกับโบกมือ
[Shock Wave]
พื้นแยกออกและมีพุ่งโจมตีไปยังไบร การโจมตีนี่บดทำลายได้แม้แต่นักรบที่ใส่เกราะเหล็กเต็มตัว ไบรที่ใส่แค่เชนเมลนั้นถ้าโดนสกิลนี้คงต้องบาดเจ็บหนัก 
แต่ว่าแวมไพด์เบิ่งตาขึ้นอย่างตกใจ
“ยังเร็วที่จะดีใจไป การจู่โจมของเจ้านั้นอ่านได้ง่ายมาก”
--ไบรไม่ได้รับบาดเจ็บ—
ไบรหลบได้การโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดาย พูดออกมา แวมไพด์กระโดดถอยหลังออกไปอย่างตกใจ และเริ่มจะตระหนกถึงความผิดพลาดของตัวเองที่มองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ
ในทางกลับกันแม้ไบรจะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ตัวเค้าเริ่มคิดวิธีการโจมตีแบบอื่นเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้นั้นสามารถใช้เวทย์มนต์ได้
เป้ามหายของไบรคือกาเซฟและการต่อสู้ของทั้งคู่เน้นการโจมตีกายภาพเป็นหลัก ความสามารถทางเวทย์มนต์ของไบรเมื่อเปรียบเทียบกับเชิงดาบแล้วนับว่าอ่อนแออย่างมาก ประกอบกับตัวเองไมได้ศึกษาทางเวทย์มนต์มากนักการคาดเดาการโจมตีทางเวทย์มนต์ไบรถือว่าไม่ชำนาญอย่างมาก
ผลลัพธ์ออกมาว่าต่างฝ่ายต่างจ้องมองหาจุดอ่อนของกันและกัน
เด็กสาวที่ด้านหลังเมองการต่อสู้เลยเอ้ยออกมา
“เปลี่ยนตัว”
เด็กสาวพูดแทรกขึ้นทำให้แวมไพด์นั้นตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เบื้องหน้าของไบรตอนนี้คู่ต่อสู้เผยให้เห็นจุดอ่อนมากมาย แต่ไบรเลือกที่จะไม่โจมตี และมองไปยังเด็กสาวแทน
ร่างของเด็กสาวดูบอบบางขัดกับหน้าอกอันใหญ่โต แขนของเธอดูเรียวยาวและบอบบางจนไบรอดคิดว่าสามารถหักมันลงได้ง่ายๆ
นักเวทย์ก็มีหลายประเภท เช่น เคริคแข็งแกร่งในการต่อสู้ประชิด ในขณะที่บิชอปและพรีสทีสชำนาญการโจมตีด้วยเวทย์ระยะไกล
ในเมื่อเด็กสาวมั่นใจจนขอเปลี่ยนตัวมาสู้โดยไม่มีผู้คุมกัน
ไบรยิ้ม
--ดูไม่เหมือนพวกที่ต่อสู้ด้วยเวทย์อัญเชิญ แวมไพด์อีกตัวหรือนี่—
ดูจากท่าทางแล้วเด็กสาวนี่คงจะเป็นแวมไพด์ขั้นสูง อย่าตัดสินสัตว์ประหลาดจากรูปร่าง ตัวเธอคงจะแข็งแกร่งมากถึงกล้าขอเปลี่ยนตัวหลังจากเห็นความสามารถของไบร
--แล้วก็ท่าทางของแวมไพด์ตัวแรก...กลัวงั้นสินะ--
--เป็นธรรมดาที่ข้ารับใช้จะเกรงกลัวต่อเจ้านาย แข็งแกร่งแน่นอนเป็นคู่ต่อสู้ที่ข้าจะประมาทไมได้--
ไบรพยายามคิดถึงฐานะแท้จริงของแวมไพด์เบื้องหน้า
--เจ้าแห่งแวมไพด์ในตำนานหรือเปล่า ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะชื่อ แลนฟอล ที่สามารถทำลายอาณาจักรได้สบายๆ ได้ข่าวว่าถูกสังหารไปแล้วด้วยฝีมือของผู้กล้าทั้งสิบสาม..--
--ถ้าผู้กล้าในอดีตทำได้ งั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง--
กำคาตานะในมือ ไบรตั้งท่าเตรียมของตัวเอง
“ข้าชื่อ ไบร อังกลาส”
ประกาศชื่อของตัวเองต่อหน้าคู่ต่อสู้ที่ดูแข็งแกร่ง แต่เด็กสาวเบื้องหน้ากลับมองมาอย่างแปลกใจ
เงียบไปชั่วขณะ ไบรจึงเอ๋ยถาม
“ชื่อของเจ้าละ”
“โอ้ เจ้าถามชื่อของข้างั้นหรือ ถ้าเป็นโคคิวตัสคงจะประกาศนามในทันที แต่ข้าไม่ได้มองว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้เลยไม่ทันคิด โปรดอภัยให้ข้าด้วย จริงๆเจ้าก็น่าจะถามตรงเลยก้ได้นะ”
เด็กสาวจับกระโปรงของเธอแล้วโค้งตัวลงคล้ายกับ หญิงสาวที่ขอชายหนุ่มเต้นรำในงานเลี้ยง
“แชลเทีย บลัดฟอลเลน ช่วยทำให้ข้ารู้สึกสนุกด้วยนะ”

แม้ว่าอาวุธจะจ่อไปยังข้างหน้า แต่เด็กสาวก็ยังก้มตัวโค้ง นี่คิดว่าทางนี้จะไม่โจมตีหรือยังไง บางทีเด็กสาวอาจจะมั่นใจได้ว่าจะป้องกันการโจมตีได้ นี่แสดงว่าไมได้เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยสินะ
---ข้าจะทำลายความอวดดีนั้นลงเสีย---
ไบรจ้องไปยังแชลเทียด้วยสายตาที่แหลมคม ไบรไม่ชอบท่าทางที่ดูสบายๆของคู่ต่อสู้ แต่ลึกๆแล้วไบรกลับเข้าใจ
ความผยองของผู้แข็งแกร่ง
“เจ้าไม่ใช้ทักษะต่อสู้หรือ”
ทักษะต่อสู้—
หลังจากนักรบที่ฝึกฝนตัวเองจนทะลุขีดจำกัด จะสามารถเรียนรู้และใช้งานมันได้ กล่าวได้ว่าเป็นการใช้เวทย์มนต์ผ่านทางอาวุธ
ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง [Fortress] จะช่วยป้องกันการโจมตีทำให้การต่อสู้สูสี
เก็บออร่าไว้ในอาวุธเมื่อปลดปล่อยในครั้งเดียว [Severing Blade] สามารถล้มศัตรูได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ถ้าคู่ต่อสู้สวมเกราะหนัก ใช้ [Heavy Blow] คู่กับอาวุธทำลายจะส่งผลได้ดี
หรือว่าจะเพิ่มพลังด้วย [Ability Boost] สามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น
ทักษะต่อสู้นั้นสามารถทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปได้ นักรบที่เชี่ยวชาญทักษะต่อสู้มากๆย่อมแข็งแกร่ง 
สำหรับไบรนั้น---
“หื คู้ต่อสู้แบบเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้หรอก”
แน่นอนนั้นคือการโกหก ไบรไม่โง่พอที่จะเผยไพ่ตายในทันที 
ไบรค่อยตั้งท่าพร้อมกับก้มตัวลงเล็กน้อย และเก็บคาตานะเข้าฝัก เท้ากดน้ำหนักลงบนพื้น ]พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ
พุ่งความสนใจไปยังจุดๆเดียว และเมื่อถึงจุดนั้นบังคับให้มันกระจายออกเป็นคลื่น และเมื่อนั้นไบรจะสร้างอาณาเขตขึ้นมา เป็นเขตที่สามาถรับรู้การเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่กำหนดขึ้น นี่คือทักษะการต่อสู้อันแรกที่ไบรพัฒนาขึ้นมาได้ [Field]
ระยะของมันกินพื้นที่ราวๆ 3 เมตร แม้ว่าจะเป็นพื้นที่แคบๆ แต่ทักษะต่อสู้นี้จะทำให้รับรู้สิ่งต่างๆในบริเวณที่กำหนดขึ้นสามารถหลบการโจมตีและสวนกลับได้อย่างแม่นยำ เมื่อผสมผสานกับไบรที่ฝึกฝนร่างกายมาอย่างดีแล้ว ทักษะต่อสู้นี้นับกว่าทรงพลังอย่างมาก
แม้ว่าลูกธนูนับพักดอกจะพุ่งมาไบรก็มั่นใจว่าจะสามารถปัดป้องลูกธนูที่จะโดนตัวเองและเดินออกไปแบบไม่มีบาดแผลได้ นอกจากนี้ไบรยังมั่นใจในท่าร่างของตัวเองที่จะสาสามารถประชิดคู่ต่อสู้และจบการต่อสู้ในการโจมตีของตัวเอง
แทนที่จะเรียนรู้ทักษะมากมาย สู้พัฒนาทักษะที่เหมาะสมกับตัวเองจะดีกว่า การโจมตีที่เร็วกว่าคู่ต่อสู้ การโจมตีที่ไม่พลาดเป้า จากแนวคิดนี้ไบรได้พัฒนาทักษะต่อสู้ที่สองขึ้นมา [Instant Slash] 
แม้จะมาถึงจุดนี้ได้ ไบรก็ยังฝึกฝนตัวเองต่อไป เค้าฝึกฝน [Instant Slash] มามากกว่า 1 ล้านครั้ง กระทั้งด้ามจับของคาตานะยังสึกจะเป็นรอยนิ้วของตัวเอง จากการฝีกฝนไม่รู้จบในที่สุด ทักษะการต่อสู้แบบใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น
การโจมตีที่รวดเร็วกระทั้งเลือดของคู่ต่อสู้ไม่เปื้อนลงบนคาตานะ [God Slash] ทักษะที่ไบรภูมิใจ
เมื่อคาตานะออกจากฝักคู่ต่อสู้นั้นไม่มีทางที่จะมองเห็นทัน
ทักษะทั้งคู่คือไพ่ตายของไบร
เป้ามหายที่เล็งนั้นเป็นจุดตาย เช่น ลำคอ ไบรตั้งชื่อว่าทักษะนี่ว่า ลมจากป่าใหญ่
เหตุผลของชื่อนี้เมื่อตัดคอศัตรูแล้ว เลือดจะฉีดพุ่งออกมาจากลำคอพร้อมกับสายลมที่พัดมันกระจายออกไป
แม้ว่าแวมไพด์จะไม่มีเลือดออก แต่ถ้าตัดคอจนขาดก็ต้องชนะแน่นอน
“พร้อมหรือยัง”
เบื้องหน้าไบร ที่ตั้งท่าและจ้องคู่ต่อสู้อย่างไม่กระพริบตา แชลเทียยักไหล่ด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“ถือว่าเจ้าพร้อมแล้วละกัน ถ้ามีอะไรจะพูดก่อนการโจมตีก็เชิญได้เลย”
หลังจากนั้นชั่วขณะ
“ข้าจะทำลายเจ้าละนะ---“
แชลเทียประกาศก่อนที่จะเริ่มเดินไปยังไบร
--พูดในขณะที่เจ้ายังสามารถเถอะ ข้าจะดูสีหน้าของเจ้าหลังจากข้าบั่นคอเจ้าลงมาว่าจะเป็นเช่นไร--
ไบรไม่ได้พูดออกมา ถ้าพูดในตอนนี้ สมาธิที่รวบรวมอยู่อาจจะแตกกระจายได้
แชลเทียเดินต่ออย่างไม่สนใจ ท่าทางของเธอดูเหมือนไม่มีการป้องกันตัวแม้แต่น้อย
มองเห็นคู่ต่อสู้ของเค้ามีแต่จุดอ่อน ไบรอดยิ้มไมได้
โง่เง่า นี้นเป็นคำพูดที่อธิบายท่าทางของแวมไพด์เบื้องหน้า แต่ไบรก็ไม่ยอมให้เธอได้มีโอกาสแก้ตัว
ไบรรอให้แชลเทียเข้ามาในระยะ [Field] เจ้าสัตว์ประหลาดโง่เง่าที่ชอบดูถูกมนุษย์และคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง คิดว่ามนุษย์นั้นเปราะบางและไร้พลัง
--ข้าจะสอนให้รู้เองว่าอันตรายแค่ไหนที่ดูถูกพวกเรา—
ไบรสาบานในใจ ทักษะต่อสู้นั้นมีไว้เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เหนือกว่าตนเอง
--ข้าจะสังหารในการโจมตีครั้งเดียว—
ถ้าปล่อยโอกาสนี้ไปและสังหารแชลเทียไมได้ภายในครั้งเดียวก็มีความเป็นไปได้ที่เธอจะเรียกข้ารับใช้มาช่วยต่อสู้ สถานการณ์จะกลายเป็น 2 รุม 1 ซึ่งแม้แต่ไบรเองก็ไม่แน่ใจว่าจะรับมือไหวมั้ย
สีหน้าของไบรนิ่งสงบ และเฝ้ารอ
แชลเทียเดินเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ 
อีก 3 ก้าว 2 ก้าว...
... 1 ก้าว
....จังหวะนี้ละ
---หัวเจ้าเป็นของข้า!!
ไบรคิดในใจก่อนจะทุ่มสุดตัวในการฟันครั้งนี้
“ย๊า”
ไบรคำรามด้วยเสียงที่แหลมคม คาตานะถูกชักออกจากฝักและพุ่งตรงไปยังบริเวณลำคอของแชลเทีย
ความเร็วของมันเหมือนแสงฟ้าผ่า เร็วถึงขนาดที่ว่าเมื่อมองเห็นแสงหัวก็คงจะหลุดจากบ่า เทียบเคียงได้กัลความเร็วของพระเจ้า
--เสร็จข้าละ---
ไบรคิดอย่างแน่ใจ
---แต่ว่าไบรอดเบิ่งตาออกมาไมได้
การฟันที่ทุ่มสุดตัวของนี้ ถ้าแชลเทียสามารถหลบได้ ไบรคงต้องยอมรับว่าคู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งกว่าเค้า แต่ภาพเบื้องหน้ากลับเกินกว่าจินตนสการของไบร
แชลเทียรับคาตานะด้วยเล็บของเธอ
--การฟันที่แทบจะเร็วเหมือนกับแสง
แถมท่าทางของเธอดูเหมือนกับว่ากำลังคีบปีกของผีเสื้อ
อากาศรอบตัวของไบรดูเหมือนจะเย็นลงอย่างกะทันหัน เค้าหอบหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“เป็...เป็นไปไม่ได้”
เสียงของไบรฟังดูเหมือนเสียงกระซิบ
ร่างของไบรสั่นกลัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ เค้าแทบไม่เชื่อกับภาพตรงหน้า แต่ไม่ต้องสงสัย แชลเทียรับการโจมตีของเค้าด้วยนิ้วเรียวยาวที่ขาวนวลของเธอ
แม้ว่าแชลเทียจะดูเหมือนจับอย่างปกติ แต่ไม่ว่าไบรจะออกแรงแค่ไหน คาตานะของเค้าก็ไม่ขยับเลยสักนิดเดียวเหมือนกับถูกโซ่ล่ามอยู่
ทันใดนั้นแรงที่ยึดจับคาตานะเพิ่มมากขึ้น ไบรแทบจะเสียหลัก
“หืมมม โคคิวตัสก็มีดาบมากมายที่สะสมอยู่นะ แต่ก็ไม่เห็นจะแตกต่างกันเท่าไหร ประเด็นสำคัญอยู่ที่คนใช้สินะ”
แชลเทียดึงอาวุธที่เธอจับอยู่เข้าไปใกล้ๆเพื่อพิจารณา
หัวของไบรนั้นขาวโพลง และไม่เข้าใจว่าแวมไพด์เบื้องหน้าพูดถึงอะไร ไบรอยากจะปฎิเสธว่าภาพเบื้องหน้านี่ไม่เป็นความจริง
แต่อดีตที่พ่ายแพ้นั้นส่งผลให้ไบรเข้มแข็งขึ้น
แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ไบรต้องยอมรับมัน
แวมไพด์เบื้องหน้าสามารถรับการโจมตีที่ไวเทียบเท่าแสงของเค้าอย่างง่ายๆ
สีหน้าของไบรขาวซีด แชลเทียรู้สึกแปลกใจที่เห็นเช่นนั้น จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างผิดหวัง
“เข้าใจแล้วใช่มั้ย ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะชนะได้โดยไม่ใช้ทักษะต่อสู้หรอกนะ ถ้าเข้าใจแล้วก็เริ่มเอาจริงซะที”
ได้ยินคำพูดที่ถากถาง ไบรอดพูดออกมาไมได้
“สัตว์ประหลาด...”
แชลเทียยิ้มอย่างบริสุทธิ์ ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน
“ถูกต้อง เพิ่งจะเข้าใจหรือยังไง ข้านั้นโหดร้าย ไร้เมตตา และเป็นสัตว์ประหลาดท่น่ารักน่าถนอม”
แชเลทียปล่อยคาตานะที่จับไว้ และถอยหลังไป
“เอาละ พร้อมหรือยัง”
แชลเทียยิ้มพร้อมกับกล่าวคำพูดที่ไบรเคยเอ๋ยไปก่อนหน้านี้ ไบรอดโกรธแค้นไม่ได้ นี่เค้ากำลังโดนดูถูกอยู่
แต่ไบรก็เข้าใจว่าคู่ต่อสู้เบื้องหน้านั้นแข็งแกร่งมากพอที่จะถากถางเค้า 
--นี่ข้าควรจะหนีดีมั้ยนะ
ไบรนั้นถือคติว่าการรอดชีวิตนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามองไม่เห็นทางชนะทางที่ดีที่สุดของถอยไปเพื่อตั้งหลัก กระทั้งตอนนี้ไบรก็ยังคิดว่าตัวเค้านั้นสามารถแข็งแกร่งขึ้นไปได้อีก ปราบใดที่เค้ายังรอดชีวิตต้องชนะได้ในท้ายที่สุด
แต่ต่อให้เค้าหนีไปตอนนี้แต่ความต่างชั้นของทั้งคู่นั้นมากมายเหลือเกิน
ระวังไม่ให้แผนการของตัวเองถูกมองออก ไบรเล็งไปที่เป้าหมายใหม่
ขาของศัตรู ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงและหนีไปให้เร็วที่สุด
เล็งไปที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้และมือของแชลเทียเอื้อมไปป้องกันไม่ได้
หลังจกตัดสินใจ ไบรก็เก็บคาตานะเข้าฝักอีกครั้งและเตรียมพร้อมที่จะโจมตีเป้าหมายใหม่
““ข้าจะทำลายเจ้าละนะ---“
แชลเทียกล่าวคำพูดประโยคเดิมก่อนที่จะเดินเข้ามาอีกครั้ง
ในครั้งแรกไบรรอให้เธอเข้ามาในระยะและจู่โจม แต่ครั้งนี้ต่างออกไบรไม่ยอมให้เธอร่นนะยะเข้ามาใกล้เค้าเด็ดขาด
3 ก้าว 2 ก้าว 1 ก้าว 
เมื่อแชลเทียเข้มาในระยะ ตาของไบรจับจ้องอยู่ที่คอของแชลเทียแต่การโจมตีนั้นเล็งไปที่ข้อเท้าด้านขวา
ไบรย่อตัวลงก่อจะชักคาตานะออกจากฝักเพื่อโจมตี 
ต้องได้ผล!!!
ในขณะที่การโจมตรจะทำลายข้อเท้าอันสวยงามนั้น
---คาตานะกระเด็นออกจากมือของไบร
หลังจากตั้งสติได้ ไบรไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น [Field] ที่เค้าภูมิใจนั้นแสดงผลว่าคาตานะของไบรกระเด็นห่างออกไป ในขณะที่รองเท้าส้นสูงของเด็กสาวนั้นเหยียบมันอยู่
ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นเรื่องจริง
เหตุผลที่คาตานะของไบรหลุดออกจากมือนั้น เนื่องจากปะทะเข้ากับรองเท้าส้นสูงที่เหยียบลงมา
เป็นเหตุผลที่ไบรไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่าจะตั้งสมาธิในการรับรู้ แม้กระทั้ง [Field] ที่ตัวเองภูมิใจ ไบรนั้นสัมผัสไม่ได้เลยว่าแชลเทียป้องกันการโจมตีได้เช่นไร
ในระยะที่แค่ยืนแขนออกไปก็สัมผัสได้ แชลเทียก้มลงมองไบรด้วยสายตาที่เย็นชา ไบรนั้นรู้สึกว่าตัวเองแทบจะถูกกดจมลงไปในพื้นดิน
เหงื่อไหลออกมาเต็มร่างกาย ลำคอร้อนราวกับว่าจะอาเจียน 
ไบรนั้นพบกับสถานการณ์ที่ส่งผลให้ร่างกายทำงานเกิดขีดจำกัดมากนับครั้งไม่ถ้วน แต่เทียบกับตอนนี้มันเหมือนกับการเล่นของเด็กๆไปเลย
รองเท้าส้นสูงค่อยๆปล่อยคาตานะออกช้าๆ พร้อมกับแชลเทียที่กระโดดไปด้านหลัง
“เอาละ พร้อมหรือยัง”
“!!!!”
ครั้งที่สามที่ได้ยินคำพูดนี้ ไบรรู้สึกสิ้นหวัง
ไบรแน่ใจว่าคำพูดต่อไปคงจะเป็น –ข้าจะทำลายเจ้าละนะ— แต่กลับไม่ใช่เช่นนั้น
“หรือว่า เจ้านั้นใช้ทักษะต่อสู้ไม่ได้”
หลังจากได้ยินคำพูดที่ฟังแล้วดูเหมือนผิดหวัง ไบรก้มหน้าลง
ไบรไม่มีคำพูดจะกล่าว หรือว่าจะให้พูดว่า –ก็ใช้อยู่แต่มันถูกเจ้าทำลายลงแล้ว— เค้าคงจะดูเหมือนตัวตลก
ขณะที่กัดริมฝีปากตัวเอง ไบรหยิบคาตานะขึ้นมาจากพื้น
“นึกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่ากว่าพวกที่หน้าทางเข้าซะอีก โอ้ ต้องขออภัยด้วยมาตวัดของข้า ไม่ได้ละเอียดมากนัก ช่องว่างระหว่าง 1-2 มิลลิเมตร ข้าคงไม่สามารถจะวัดได้”
ไบรไม่มีคำพูดจะกล่าว
ไบรต่อสู้กับกาเซฟด้วยการยึดติดอยู่กับพรสวรรค์ของตัวเอง ชายที่ไม่ได้ทุ่ทเทพยายามแพ้ให้กับชายที่ทุ่มเท นั้นคือเหตุผลที่ไบรเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แต่ความพยายามทั้งหมดที่ทำมากลับถูกสัคว์ประหลาดเบื้องหน้าดูถูก
--ข้าคงดูน่าสมเพทมาก หลังจากข้าสังหารพวกสัตว์ประหลาดที่ชอบดูถูกข้าและหลงตัวเองว่าแข็งแกร่งมามากมาย—
ไบรตะโกนออกมาก
“อ๊า--------------------------“
ไบรพุ่งเข้าใส่แชเลทียที่มองมาอย่างแปลกใจ และจู่โจมอย่างรุนแรง
การฟันที่รุนแรงจนสามารถแยกร่างชายที่สวมชุดเกราะได้นั้นพุ่งตรงไปยังแชลเทีย แต่เธอกลับมองมันและไม่หลบ
---ครั้งนี้ละมันต้องได้ผลแน่นอน---
แต่ไบรกับตกใจกลัวออกมา
นิ้วก้อยของแชลเทียขยับด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ เล็บที่ยาวออกมาจากนิ้วราว 2 เซ้นติเมตรป้องกันการโจมตีของไบร
ยิ่งกว่านั้นแขนของแชลเทียไม่สั่นเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับยื่นนิ้วไปไปสัมผัสอะไรบางอย่าง
การโจมตีที่สามารถทำลายโล่ ผ่าชุดเกราะได้ถูกรับไว้เช่นนี้---
แขนที่สั่นไหวของไบรกระชับคาตานะไว้แน่น และโจมตีต่อไปเรื่อยๆ – แต่ก็ถูกป้องกันไว้เช่นเดิม
“ฮ้าววววว”
เสียงห้าวที่ฟังเหมือนจงใจ แชลเทียยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ปิดปากตัวเอง การโจมตีของไบรทั้งหมดถูกนิ้วก้อยนั้นต้านรับไว้ได้ทั้งหมด
“ว๊ากกกกก”
เสียงร้องที่ฟังดูเหมือนร้องให้ดังมาจากปากของไบร
การฟันด้านข้าง – ไร้ผล
การฟันทแยงซ้าย – ไร้ผล
การฟันแนวเส้นตรง – ไร้ผล
การฟันทแยงขวา – ไร้ผล
การฟันด้านบน – ไร้ผล
การฟันย้อนกลับ – ไร้ผล
การโจมตีทุกมุมของร่างกายล้วนถูกต้านรับไว้โดยนิ้วก้อยข้างซ้ายนั้น ราวกับว่าคาตานะนั้นถูกผูกติดกับเล็บที่นิ้วก้อย
“อ๊า เจ้าเหนื่อยแล้วหรือ อืม ที่ตัดเล็บของเจ้าก็ไม่เลวนะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของแชลเทีย คาตานะที่โจมตีของไบรก็หยุดลง
ดาบนั้นสามารถตัดภูเขาได้หรือไม่ คำตอบคือไม่สามารถแม้แต่เด็กก็รู้คำตอบนี้ดี งั้นใครจะสามารถชนะแชลเทียได้ คำตอบนี้เหล่านักรบก็คงรู้คำตอบดีเช่นกัน
เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
มนุษย์นั้นไม่สามารถชนะสิ่งที่เหนือจินตรฃนการเช่นนี้ได้ ยกตัวอย่าง คนที่จะสามารถสู้กับแชลเทียได้นั้นก็คงต้องเหนือความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
น่าเสียดาย สำหรับไบรแล้วก็ถือว่าเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งเท่านั้นเอง ต่อให้พยายามมากแค่ไหนเมื่อเป็นแค่มนุษย์คงไม่สามารถชนะสิ่งมีชิวิตเบื้องหน้านี้ได้
“ข้า .... ความพยายามทั้งหมดของข้า....”
“ความพยายาม? ช่างเป็นคำพูดที่ไร้ควาหมายจริง ข้านั้นถูกสร้างมาให้แข็งแกร่งตั้งแต่แรก ความพยายามนั้นไม่จำเป็นเลย”
ไบรอดหัวเราะกับคำพูดของแชลเทียไม่ได้
ความพยายามที่ผ่านมาของเค้าช่างไร้ประโยชน์ คิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่ง เค้าช่างน่าสมเพทจริงๆ
“? ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าร้องให้ทำไม มีเรื่องอะไรน่าเศร้าหรือ”
ไบรแน่ใจว่าแชลเทียพูดอะไรบางอย่างกับเค้า แต่ไบรไม่ได้ยินเสียงของเธอ เหมือนกับว่าตอนนี้เค้าอยู่ในที่ๆห่างไกลออกไป
ความพยายามที่ฝึกฝนมาล้วนไร้ประโยชน์ เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไบรก็ไม่ต่างจากพวกอ่อนแอที่เค้าเคยพบมา
“ข้าช่างโง่จริงๆ”
“...คงพอใจแล้วสินะ งั้นเรามาจบเรื่องกันเถอะ”
แชลเทียยิ้มพร้อมกับยกนิ้วก้อยข้างซ้ายขึ้นมาช้า ไบรที่เห็นเช่นนั้นก็กรีดร้องออกมา ไม่ใช่เสียงของนักรบในสมรภูมิแต่เป็นเสียงร้องที่ฟังดูแล้วเหมือนเด็กร้องหใ
ไบรหนี
หันหลังกลับและหนี
ไบรเข้าใจถึงความต่างชั้นของทั้งคู่ แชลเทียคงจะจับเค้าได้ในทันที
แต่ว่าในใจของไบรตอนนี้ว่างเปล่า ใบหน้าของไบรประดับไปด้วยน้ำตาสองสายที่ไหลออกมาเรื่อยๆ แผ่นหลังที่เคยองอาจตอนนี้เต็มไปด้วยช่องว่างและไบรวิ่งหนีด้วยพละกำลังขาที่มีทั้งหมด
ในตอนนั้นเอง ด้านหลังของไบรนั้นเหมือนจะมีเสียงของเด็กสาวที่ไร้เดียงสาวดังตามมา เสียงลมหายใจนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
“และก็มาถึงการเล่นวิ่งไล่จับกันหรือนี่ เจ้าก็พยายามเต็มที่แล้วสินะ ถ้างั้นข้าก็ขอสนุกมั้งละ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

Part 3
ลมหนาวพัดเข้ามาในห้องโถงหลัก และพัดผ่านแนวกั้นไม้กระทบร่างของสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างที่เหลืออีก 42 คน ห้องนี้นับเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำนี้ 
ตำแหน่งของมันอยู่ภายในลึกสุดของถ้ำนี้ ทางเดินก่อนมาถึงลายล้อมไปด้วยห้องต่างๆมากมาย เช่น ห้องเก็บเสบียง ห้องอาวุธ ห้องอาหาร ถ้าแยกตัวกระจายกันออกไปนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะถูกสังหารทีละคน ดังนั้นการปักหลักที่ห้องโถงหลักถือว่าเป็นการป้องกันขั้นสุดท้าย
แม้วาสถานที่นี้จะใหย่แต่ก็มีการป้องกันเตรียมไว้แล้ว
อย่างแรก โต๊ะสูงทั้งตั้งกันขวางไว้ปและสุ่มกล่องไม้ขึ้นเป็นแนวสูงก่อนจะขึงด้วยเชือกเพื่อป้องกันผู้บุกรุก ด้านหลังมีทหารรับจ้างที่ถือครอสโบวเตรียมพร้อมอยู่หลายคน 
ต่อให้การต่อสู้นั้นเป็นการดวลกันแบบยุติธรรม วัดจากขนาดของห้องโถงและทางเข้า ฝ่ายที่ครองห้องโถงย่อมมีเปรียบกว่า ถ้าศัตรูเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี ก็ต้องโจมตีจากหน้าทางเข้าอยู่ดี รูปแบบการป้องกันแบบนี้เน้นสำเร็จการต่อสู้ระยะยาว
แม้ว่าลมที่พัดเข้ามาจะไมได้หนาวและออกจะเย็นสบายแต่ทุกคนในห้องโถงรู้สึกเย็นยะเยียบ 
ไม่นานมานี่มีเยงหัวเราะดังกังวานมาจากทางเข้า เสียงน่ากลัวดังสะท้อนอยู่ในถ้ำจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เสียงนั้นก็ฝังความกลัวลงไปในจิตใตของทุกคนในตอนนี้
ชายที่แข็งแร่งที่สุดของกลุ่ม เบรน อังกลาส ออกไปดูสถานการณ์แล้ว ทุกคนเชื่อว่าถ้าเบรนออกไปต่อสู้ด้วยตัวเอง การป้องกันในตอนนี้นั้นไร้ค่า แต่ความเชื่อนั้นถูกทำลายลงด้วยเสียงหัวเราะเมื่อสักครู่
ศัตรูที่กำจัดเบรนได้นั้นไม่มีแน่นอน จนถึงตอนนี้ทุกคนเชื่อเช่นนั้น 
ความแข็งแกร่งของเบรนนั้นเหมือนอยู่ในอีกระดับหนึ่ง ด้วยทักษะของเค้าตอนนี้หัวหน้าอัศวินของอาณาจักรก็ยากที่จะชนะได้ ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดก็ไม่มีข้อยกเว้น เบรนสามารถสังหารออคได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว สามารถกระโดดเข้าไปในกลุ่มก๊อบลินและสังหารพวกมันราวกับเด็ดหย้า สามารถสังหารทุกคนในที่นี่ด้วยตัวคนเดียว 
ชายที่มีความสามารถขนาดนั้นไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้
ความจริงที่ว่าคู่ต่อสู้ของเบรนหัวเราะออกมาเช่นนี้ได้มีเพียงอย่างเดียว 
แม้ทุกคนจะเข้าใจแต่ไม่มีใครกล้าพุดออกมา
ทุกคนต่างเงียบและจ้องมองซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างจ้องมองไปยังจุดๆเดียว ทางไปยังทางออก
ในขณะนั้นเสียงฝีเท้าดังแว่วมาให้ได้ยิน
ทุกคนที่ได้ยินเสียงนั้นต่างกลึนน้ำลายตัวเอง เสียงขึ้นสายลูกธนูดังออกมาจากผ่านความเงียบ
ชายคนหนึ่งหอบหายใจวิ่งมาจากทางเข้า ทหารที่ทางเข้าต่างจ้องมองไปยังชายคนนั้น 
“เบรน!!”
หัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างตะโกนออกมา สีหน้าของทุกคนในที่นั้นเต็มไปด้วยความยินดี ทุกคนต่างโห่ร้องให้กับชัยชนะ
ทุกคนต่างตบบ่าสหายที่อยู่ข้างแสดงความยินดี และตะโกนแสดงความยินดีต่อเบรน
ชื่อของเบรนดังก้องไปทั่วบริเวณด้วยเสียงชื่นชม แต่ตัวเบรนเองนั้นกลับยืนจับคาตานะด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ทันใดนั้นเบรนเริ่มมองสีหน้าของทหารรับจ้างรอบข้าง
ไม่ ตัวเค้าเหมือนมองหาอะไรบางอย่างอยู่
ทุกคนมองมายังเบรนที่ทำตัวผิดปกติไปจากทุกทีพร้อมๆกับเสียงที่เงียบลง
เบรนวิ่งมายังที่กั้นด้านหน้า
“เฮ้ย รอแปปสิเดี้ยวจะเปิดให้เข้ามา”
เหมือนกับเบรนจะไมได้ยินคำพูดนั้น เค้ากระโดดข้ามที่กั้นเหมือนไม่อยากรอแม้ซักวินาทีและวิ่งต่อไป
สายตารอบข้างมองเบรนที่วิ่งเข้าไปยังห้องเก็บของ
“เบรนเป็นอะไร ลืมของไว้ในนั้นหรือ”
“ใครจะไปรู้ เจ้านั้นทำตัวแปลกๆเหมือนกับจะร้องให้อยู่ ไม่จริงหรอกมั้ง”
แม้ประตูห้องเก็บของจะปิดลง แต่เหล่าทหารรับจ้างยังพูดคุยถึงท่าทางแปลกๆของเบรนไม่หยุด
ท่ามกลางกลุ่มคน สีหน้าของชายคนหนึ่งเปลี่ยนไป ชายคนนั้นเข้าใจถึงสถานการณ์ตอนนี้ เพียงคนเดียว ไม่สิ 2 คน ถ้านับเบรนไปด้วย ผุ้บุกรุก 2 คน ....แต่ว่าชายคนนั้นก็ไม่มีเวลาที่จะบอกคนอื่นๆ
คลิก เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในความเงียบ ที่มาของเสียงมาจากทางเข้า
ทุกคนในห้องโถงต่างเงียบ ใบหน้าของผู้ที่ปรากฎตัวนั้นทุกคนต่างไม่คุ้นเคย แสดวงว่านี่คือผู้บุกรุก 
แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ดูจากท่าทางของเบรนแล้ว แสดงว่าเค้าแพ้และหนีเอาไปตัวรอดมา
ผู้บุกรุกมีแค่คนเดียว แต่รูปร่างท่าทางนั้นกลับน่าสยดสยองมาก
ร่างเล็กๆนั้น ดูเหมือนเด็กสาว มือของเธอปล่อยห้อยอยู่ข้างลำตัว และคางโค้งลงมาด้านล่าง ที่แปลกคือส่วนที่นับว่าเป็นหัวที่ยึดอยู่กับคอ คอของเธอนั้นถ้าเปรียบเทียบกับคนทั่วไปแล้วนั้นยาวกว่า 3 เท่าเลยทีเดียว
ด้วยรูปลักษณ์ที่กล่าวมานั้น ยังไม่รวมถึงถึงผมยาวสีเงินที่ยาวจนระพื้น ตอนนี้ตัวเธอกำลังเดินมายังห้องดถงหลัก เสื้อยาวสีดำที่สวมใส่ดูแล้วทำให้เธอเหมือนปกคลุมไปด้วยความมืด
ไม่มีใครกล้าเอ๋ยปาก ทุกคนต่างสยองกับภาพเบื้องหน้า
ช้าๆ หัวของเด็กสาวผงกขึ้น ผมยาวสยายที่ปกคลุมใบหน้านั้นค่อยๆแหวกออกเผยให้เห็นตาสีแดงที่แหลมคมเหมือนเข็ม
ทุกคนในที่นั้นต่างเข้าใจว่าเธอกำลังหัวเราะอยู่
เธอเงยหน้าที่งดงามขึ้น ทุกคนเหมือนทุกสะกดด้วยใบหน้าที่เหมือนถูกสร้างสรรจากช่างฝีมือชั้นหนึ่ง
“สวัสดีทุกท่าน ข้ามีนามว่าแชลเทีย บลัดฟอลเลน นี่คือด่านสุดท้ายแล้วหรือ เกมนี้มันกำลังจะจบแล้วสินะ”
เด็กสาวพูดออกมาโดยที่ทุกคนต่างไม่ทราบความหมาย แชลเทียมองสำรวจไปยังรอบข้าง แต่มองไม่เห็นเป้าหมายที่เธอต้องการ สีหน้าของเธอไม่พอใจเล็กน้อย อีกครั้งที่ไม่มีคนขัดจังหวะ เสียงของเอดังไปทั่วห้องโถง
“ได้เวลาเล่นซ่อนแอบแล้วววววววววววววววว”
แชลเทียหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และก้มลงมองเหล่าผู้คนในห้องโถง ขณะที่ผมของเธอก็ปิดใบหน้าอันงดงามนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า~~~~”
แชลเทียยังคงหัวเราะต่อไป เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เหล่าทหารรับจ้างกลับตกใจกลัวออกมา
ใบหน้านั้นไม่มีความงดงามเหลืออยู่แม้แต่น้อย ม่านตาของเธอขยายขึ้นและเต็มไปด้วยสีแดงดังเลือด ฟันที่ดูขาวสะอาดสวยงามเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยฟันที่คมคล้ายปลาฉลาม ริมฝีปากที่ดูยั่วยวนตอนนี้ขยายกว้างออกและลิ้นที่ยาวเหยียดแลบออกมาจากปากนั้น พร้อมกับน้ำลายที่หยดลง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า !!!!!”
ปากของแชลเทียเหยียดยาวออกแทบจรดหู
อากาศตอนนี้เหมือนกับจะกรีดร้องกับภาพเบื้องหน้า
เด็กสาว – สัตว์ประหลาด – สัตว์ป่า
เธอดุไม่เหมาะกับคำพวกนี้ ถ้าจะจำกัดความลักษณะของแชลเทียในตอนนี้คล้ายกับ ร่างอวตารของความหวาดกลัว
ลมหายใจที่มีกลิ่นเลือดโชยไปในอากาศแม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังได้กลิ่น
‘ว๊ากกกกกกกกกกกกกก”
เหล่าทหารรับจ้างต่างกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและยิ่งลูกธนูออกไป
เสียงลูกธนูฝ่าอากาศออกไปยังร่างของแชลเทีย แรงกระแทกนั้นส่งผลให้ร่างของเธอกระตุกเล็กน้อย
“—ยิงงงงงง”
เสียงจากหัวหน้าทหารรับจ้างดังขึ้น ทุกคนในห้องโถงต่างยิงลูกธนูออกจากครอสโบวที่ตัวเองถือ ห่าลูกธนูพุ่งไปยังร่างของแชลเทียไม่หยุดหย่อน
ลูกธนู 31 ลูกจากราวๆ 40 ลูกต่างเข้าเป้าและปักอยู่บนร่างของแชลเทียด้วยระยะขนาดนี้ต่อให้เป็นเกราะเหล้กลูกธนูเหล่านี้ก็สามารถทะลุได้ นอกจากนี้ 4 ลุกยังปักอยู่บริเวรศรีษะของแชลเทีย ถ้าเป็นมนุษยืปกติด้วยผลลัพธ์ขนาดนี้คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“สำเร็จ...”
ใครบางคนพึมพำขึ้น
แม้แชลเทียจะยังยืนอยู่แต่ตอนนี้สภาพของเธอนั้นดูเหมือนตัวเม่น ทหารรับจ้างบางคนที่มีลางสังหรณ์กลับบรรจุลูกธนูชุดใหม่เข้าไป
และ—แชลเทียก็ขยับตัว
เหมือนกับคนที่ควบคุมวงดุริยาง แชลเทียยกสองมือของเธอขึ้นและลูกธนูที่ปักติดตามร่างกายก็หลุดร่วงลงบนพื้น ไม่ปรากฎเลือดออกมาจากบาดแผลเหมือนกับว่าลูกธนูไมได้กระทบเป้าหมายมาก่อน
แชลเทียหัวเราะออกมาอีกครั้ง ในขณะที่เหล่าทหารรับจ้างยิงลูกธนูชุดใหม่ออกไป
ลูกธนูปักไปยังดวงตา ท้อง ไหล่ คอ ลูกธนูปักไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แต่แชลเทีลกัลบแสดงอาการคล้ายกับถูกน้ำฝนซัดใส่ร่าง
“น้นไมได้ผลลลหรอกกกกก พยายามกันได้ดีมากกกกกกก”
ก้าวต่อไปเรื่อยๆ
ระยะห่างระหว่างแนวกั้นและแชลเทียตอนนี้ถูกร่นระยะเหลือประมาณ 5 เมตร และกระโดดข้ามแนวกั้นไป เสียงฝีเท้าของแชลเทียกระทบพื้นภายในห้องโถง และเหลือบมองเหล่าทหารรับจ้างต่างบรรจุลูกธนูชุดใหม่อีกรอบ
แชลเทียก้าวต่อไปอีกก้าวพร้อมกับโจมตี
การโจมตีที่คล้ายไมได้ใส่น้ำหนัก เหมือนเป็นการต่อยธรรมดาๆจนคล้ายกับยืนกำปั้นไปกระทบคู่ต่อสู้ แต่ว่าความเร็วและพลังทำลายนั้นกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
หมัดของแชลเทียผ่านร่างทหารรับจ้างคนหนึ่งก่อนที่จะทะลุไปยังแนวกั้นด้านหลัง ส่งผลให้แนวกั้นที่ทำจากไม้แตกกระจายไปทั่วบริเวณ
เหล่าทหารรับจ้างรอบข้างต่างมองแชลเทียอย่างตกตะลึง และหยุดการบรรจุลูกธนูไปโดยปริยาย
แชลเทียยืนนิ้วชี้ของเอไปยังลุกบอลเลือดด้านบนและดึงนิ้วออกมาช้าๆ เส้นเลือดค่อยๆก่อตัวเป็นสาย แชลเทียวาดนิ้วเป็นอักขระคล้ายกับการร่ายเวทย์
นี่คือสกิล [Blood Pool] จาก 1 ใน คราสของแชลเทีย [Blood Drinker] เป็นการกักเก็บเลือดของศัตรูเป็นลูกบอลและใช้มันได้ในหลายๆทาง และมันยังมีผลทำให้ใช้สกิลได้โดยไม่เสีย MP แต่จะเสียเลือดในลูกบอลแทน
[Penetrate Magic: Implosion]
เวทย์มนต์ระดับ 10 ซึ่งนับเป็นเวทย์ที่รุนแรงที่สุดได้ถูกร่ายออกไป ทันใดนั้นร่างของทหารรับจ้าง 10 คนก็ระเบิดออกทันที 
พวกทหารรับจ้างกระทั้งเสียงร้องก่อนตายก็ไม่มีโอกาสได้เอ๋ย เหล่าคนที่เหลือต่างจ้องมองกันและกันสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และเสียงคล้ายกับลุกโป่งระเบิดก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างของเหยื่อผู้โชคร้ายระเบิดออก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ระเบิดดดดดดด ช่างสวยงามจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
แชลเทียมองไปยังหมอกเลือดที่กระจายไปทั่วบริเวณ พร้อมกับขยับมือไปมาอย่างมีความสุข
“ว๊ากกกก”
เสียงร้องดังขึ้น ดาบสั้นเล่มหนึ่งก็แทงทะลุด้านหลังของแชลเทีย ตำแหน่งที่เสียบคือที่ตั้งของหัวใจ ปลายดาบยังหมุนเหมือนกับจะทำให้บาดแผลใหญ่ขึ้น
“ตายยย”
ดาบใหญ่เล่มหนึงผ่าลงกลางร่างของแชลเทีย คมดาบปักลงไปในศรีษะของเธอลึกไปจนถึงตาว้าย 
“พวกเราโจมตีต่อไปเรื่อยๆ”
เสียงร้องปนเสียงคำราม เหล่าทหารรับจ้างต่างชะกอาวุธระดมโจมตีแชลเทีย
ครั้งแล้วครั้งเล่า อาวุธต่างๆล้วนโจมตีใส่แชลเทีย แต่ตัวเธอกลับยืนอยู่นิ่งแม้ว่าดาบใหญ่เล่มนั้นจะยังคงคาอยู่ที่ศรีษะ ราวกบัว่าการโจมตีทั้งหมดนั้นเหมือนกับขนนกที่ลูบไล้ไปทั่วร่างกาย
หลังจากการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนผ่านไป เหล่าทหารรับจ้างต่างเหนื่อยจากการโจมตีและปล่อยอาวุธที่กระชับในมือออก ทหารรับจ้างบางคนต่างร้องออกมาและระดมโจมตีด้วยหมัดและเท้าของตัวเองแม้ว่าขนาดร่างกายจะต่างกันมากแต่ร่างเล็กๆของแชลเทียนั้นกับไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
แชลเทียมองการโจมตีเหล่านั้นเหมือนกับว่าครุ่นคิดอะไรซักอย่างอยู่และเหมือนกับว่าจะคิดอะไรออกเธอตรบมือทั้งสองเข้าหากัน
“ฮ่า”
แชลเทียถอนหายใจออกมายาวๆ และดึงดาบใหญ่ที่ปักอยู่ที่ศรีษะของตัวเองออกมาช้าๆ
ในขณะที่แชลเทียจะกวาดดาบใหญ่นั้นออกมือของเธอก็ค้างอยู่กลางอากาศ ดาบใหญ่นั้นแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในจิตใจรู้สึกเหมือนจะต้องการเลือดมากกว่านี้ แชลเทียนึกถึงข้อเสียของ 1 ในคราสของเธอ [Cursed Knight] และเหวี่ยงด้าบดาบในมือออกไปและกวาดมือออกเป็นวงกว้าง
ศรีษะ 3 หัวตกลงบนพื้น
“ร..รีบหนีเร็ว”
“พวกเราฆ่าสัตว์ประหลาดแบบนี้ไมได้หรอก”
เหล่าทหารรับจ้างเริ่มคิดที่จะหนี
หนึ่งนั้น สูญเสียจิตใจที่จะต่อสู้และหันหลังหนีรู้สึกว่ามือของแชลเทียจับศรีษะด้านหลังของตัวเอง แครก เสียงดังที่คล้ายบีบอะไรบางอย่างแตกออก สมองของทหารรับจ้างคนนั้นกระจายไปทั่วบริเวณพร้อมกับศรีษะที่ระเบิดออก
“อะฮาฮ่าฮ่า ศรีษะนี่มันอะไรกันเนี่ยยยยยยยยย น่ากลัวจังเลยยยยยยยยย ทุกคนนนนนน รอก่อนนนนนน”
เหล่าทหารรับจ้างต่างรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันร้าย และสัตว์อะไรบางอย่างกำลังออกล่าพวกเค้าอยู่
ทหารรับจ้างคนหนึ่งสะดุดล้มและพยามยามจะคลานหนีไป
“อย่าฆ่าข้าเลย ข้าจะไม่ทำเรื่องไม่ดีอีกแล้ว”
ทหารรับจ้างคนนั้นร้องให้ออกมา พร้อมกับจับขาของแชลเทียไว้และร้องขอความเมตตา แชลเทียจ้องมองและยิ้มอย่างชั่วร้าย ทหารรับจ้างคนนั้นเหมือนจะเข้าใจรอยยิ้มนั้น สีหน้าของเค้าขาวซีด
“โหววววววว บินนนนนนน”
“ม่ายยยยยย”
แชลเทียจับหลังของทหารรับจ้างที่ขอความเมาตตานั้น และเหวี่ยงไปยังหลังคาด้านบน
ด้วยพละกำลังมหาศาลทหารรับจ้างคนนั้นถูกโยนขึ้นไปด้านบน พร้อมกับเสียงกรีดร้องก่อนที่แรงโน้มถ่วงจะดึงร่างเค้าลงมากระทบพื้น
“อ๊า”
ทหารรับจ้างคนนั้นปิดตาก่อนที่ยอมรับชะตะกรรมของตัวเองแต่ทันใดนั้นรู้สึกเหมือนร่างของเค้ายังไมได้กระทบพื้น เมื่อลืตาขึ้นกลับพบว่าแชลเทียจับร่างของเค้าก่อยที่จะกระทบพื้น
“อะฮ่าฮาฮ่า สนุกจังเลยยยยยย คิดว่าจะได้ตายแบบสบายยยยยยยๆหรือออออออ”
“อ..อย่าฆ่า....”
“ไม่ได้หรอกกกกกก นานแล้วที่ข้าไมได้กินนนนนนนน”ปาก
ของแชลเทียเปิดกว้างออกจนถึงใบหู กว้างจนถึงขนาดที่ว่าสามารถสอดศรีษะของคนเข้าไปได้
ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น
โดยความจริงแล้วในยัคดราซิล สัตว์ประหลาดที่ชื่อว่าแวมไพด์ที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
ฟันของพวกมันยาวและแขนแกร่งราวกับดาบ เขี้ยวของพวกมันยาวจนถึงแก้ม ดวงตาสีแดงของพวกมันเป็นสีของเลือด
เท้าและมือนั้นมีกรงเล็บที่ยาวและแข็งแกร่ง ที่ยาวกว่า 12 เซ้นติเมตร นั้นคือคำจำกัดความของแวมไพด์ที่แท้จริง
แวมไพด์ทั่วๆไปนั้นมีทั้งที่เป็นมนุษย์และค้างคาว แต่แวมไพด์ที่แท้จริงกลับคล้ายสัตว์ประหลาดมากกว่า
ในบรรดาแวมไพด์ชนิดต่างๆทีเป็นลูกน้องของแชลเทีย มีเพียงชนิดเดียวที่จัดว่าสวยงามได้แก่ เจ้าสาวแวมไพด์
เหตุผลที่แชลเทียซึ่งเป็นแวมไพด์ที่แท้จริงดูสวยงามนั้น เพราะว่ามาจากการออกแบบและใช้กราฟฟิก 3D ของสมาชิกกิลที่ส้รางเธอ
แชลเทียในตอนนี้คือร่างที่แท้จริงของแวมไพด์หรือกลาวได้ว่า รูปลักษณ์ปกติของเธอนั้นคือสิ่งหลอกหลวง
เหมือนกับของเล่น แชลเทียทาบปากที่มีฟันที่แหลมคมของเอเข้ากับต้นคอของทหารรับจ้างคนนั้น
รู้สึกเหมือนกับว่ามีเข็มมากมายทิ่มลงไปในเนื้อ ทหารรับจ้างคนนั้นได้ยินเสียงที่เหมือนกับว่าของเหลวในร่างกายถูกดูดออกไปความรู้สึกนั้นเค้าไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ไม่นานสติของเค้าก็เลือนหายไป
หลังจากดูดเลือดหมดแล้วแชลเทียก็เหวี่ยงร่างที่แห้งกรังนั้นออกไป และแลบลิ้นที่ยาวเลียหยดเลือดที่ริมฝีปาก เธอมองเหล้าทหารรับจ้างที่วิ่งหนีตายอย่างอลหม่าน พร้อมกับยิ้มออกมา
“ยังเหลือ เหยื่อออออ อีกตั้งเยอะ”
เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วห้องโถง

เสียงกรีดร้องเงียบลง แชลเทียกวาดมองรอบห้องโถงยังพึงพอใจ ลูกบอลเลือดบนศรีษะของเธอตอนนี้หดเล็กลงจนแทบจะเท่ากับศรีษะของคน
“นี่มันสนุกกกกกกกกกกกก จริงงงงงงงงงง”
ได้ยินแชลเทียตะโกนอย่างดีใจ เจ้าสาวแวมไพด์ที่ยืนป้องกันทางออกโน้มตัวลงกล่าวว่า
“แค่มองท่านมีความสุข ข้าก็ยินดีไปด้วยค่ะ”
“อาหารรรรรจานนนหลักกกกกกกก”
แชลเทียพุ่งตรงไปยังประตูที่เบรนเคยเข้าไป และกระชากประตูออกมา
ภายในห้องค่อนข้างเล็กและเต็มไปด้วยกล่องมากมาย
แชลเทียได้กลิ่นของอากาศบริสุทธิ์ที่ปนอยู่กับกลิ่นอับภายในห้อง และประสาทรับรู้ของเธอที่มีต่อเบรนก็เบาบางลง แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งแต่แชลเทียก็ยังไม่เคยลืมถึงคำสั่งที่ได้รับมา
“กว๊ากกกกกกกกกกกกกก”
แชลเทียตะโกนอย่างโกรธแค้น และมองไปยังต้นเหตุของอากาศบริสุทธิ์ที่ถุกปิดบังอยู่หลังกล่องไม้ และทำลายมันลงด้านหลังนั้นมีรูอยู่
“ทางออกฉุกเฉินนนนนนนนนนนนนนน”
เบรนหนีรอดไปได้
แชลเทียรู้ตัวในที่สุดภารกิจของเธอล้มเหลวลงเสียแล้ว
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ทำไมกัน เจ้าพวกแมงชั้นต่ำพวกนี้ถึงไม่เต้นไปตามแผนที่เธอวางไว้
เธอกำลังจะให้โอกาศเบรนได้ใช้ชิวิตที่ไร้ค่าเพื่อนาซาริค ทำไมถึงไม่เข้าใจความน่ายินดีนี้
ในขณะที่แชลเทียกัดฟันด้วยความแค้น เจ้าสาวแวมไพด์ที่ด้านหลังก็เรียกขึ้น
“ท่านแชลเทีย”
อารมณ์ของเอพุ่งไปยังข้ารับใช้ด้านหลัง อารมณ์พลุ่งพล่านจนแทบอยากจะทำลายทิ้งซะ แต่แชลเทียก็พยายามควบคุมตัวเองให้เย็นลง บางที่อาจจะได้ยินข้อมูลที่มีค่าก้ได้
“มีอะไรรรรรรร”
“มีมนุษย์กลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ค่ะ”
“เอ๋ออ ผู้รอดชีวิตตตตตตงั้นเหรืออออออ งั้นไปต้อนนนนรับพวกกกนั้นนนนกันเถอะ”

Part 4
แชลเทียกระโดดไปตามทางคล้ายกับนกที่บินในความมืด และทิ้งตั้วลงบนแนวกั้นด้านหน้าทางเข้า เจ้าสาวแวมไพด์ทั้งสองตน ตามหลังเธอมาติดๆ
แชลเทียยิ้มและมองไปยังเป้าหมายใหม่ 
เบื้องหน้ามีชายที่ดูคล้ายนักรบ 3 คน เครื่องแต่งกายของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป แต่ทุกคนนั้นสวมใส่เกราะเหล้ก และมีโล่สะพายอยู่กลางหลัง
ด้านหลังมีนักรบหญิงที่สวมใส่เกราะหนัง และด้านหลังสุดมี่ชายที่สวมใส่ผ้าคลุมและถือไม้เท้า น่าจะเป็นนักเวทย์ ข้างนักเวทย์มีชายอีกคนหนึ่งที่แต่งชุดคล้ายบาทหลวง น่าจะเป็นนักเวทย์สายสนับสนุน
ทั้ง 6 คน แม้จะพบแชลเทียแต่ก็ไม่ตกใจจนเสียขบวน นั้นคือประสบการณ์ของนักผจญภัย
“ไม่เลววววววววว”
แม้ว่าการฆ่ามนุษยืที่ดูอ่อนแอราวกับเต้าหูนั้นจะไม่เลว แต่การสังหารมนุษย์ที่ดูจะแข็งแกร่งอยู่บ้างนั้นก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เลว
“พูดได้ด้วย...”
นักเวทย์ในกลุ่มนั้นอุทานออกมา แต่เค้าก็เรียกสติกลับคืนมาได้และกล่าวกับทุกคนในทีม
“ศัตรูคือแวมไพด์ อาวุธเวทย์มนต์หรืออาวุธทำด้วยเงินเท่านั้นจึงจะได้ผล พวกเราไม่มีทางชนะได้ด้วยกำลังแค่นี้ เตรียมพร้อมหลบหนี อย่าจ้องตาศัตรูเข้าละ”
นักเวทย์คนนี้นับว่าไม่เลวกล่าวแต่ข้อมูลสำคัญให้กับทีมตัวเอง ช่วงเวลาๆไม่นานทีมก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบ นักรบ 3 คนแถวหน้า หยิบโล่มาตั้งป้องกันสายตาของทั้งหมดหลีกเลี่ยงจ้องมองดวงตาของแชลเทียและมองไปยังหน้าอกหรือท้องแทน ในขณะที่นักรบหญิงหยิบขวดอะไรบางอย่างและเทวัตถุสีเงินลงบนอาวุธของตัวเอง แชลเทียได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยออกมาจากขวดนั้น
ขวดเงินสังเคราะห์
วัตถุพิเศษที่ถูกสร้างด้วยนักปรุงยา เมื่อเคลือบมาเข้ากับอาวุธจะให้ผลคล้ายกับอาวุธที่ทำด้วยเงิน
อวุธที่ทำด้วยเงินนั้นมีราคาแพงและเสียหายง่ายกว่าอาวุธที่ทำด้วยเหล็กมาก นั้นคือเหตุผลที่ว่านักผจญภัยส่วนมากนิยมใช้เงินสังเคราะห์แทนอาวุธด้วยเงินจริงๆ
เมื่อการเตรียมการเสร็จสิ้น ทั้งหลุ้มก็ค่อยๆล่าถอยช้าๆ
การล่าถอยของทั้งกลุ่มเต็มไปด้วยความพร้อมเพรียง
“เทพเจ้าแห่งเพลิง เอ๋ย”
“ไม่ได้ผลหรอก ปรับรูปแบบเป็นเน้นเวทย์ป้องกันแทน”
นักเวทย์หยุดบาทหลวงที่กำลังร่ายเวทย์โจมตีและเปลี่ยนเป็นเวทย์ป้องกันนักรบทั้ง 3 แทน 
แม้ว่าอาชีพจะแตกต่างกันแต่โดยทั่วไปแล้ว บาทหลวงจะใช้พลังของพระเจ้าหรือเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ในการโจมตีพวกอันเดธเป็นหลักแต่จะได้ผลก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามนั้นอ่อนแอกว่าผู้ร่าย เมื่อนักเวทย์เห็นบาทหลวงกำลังจะร่ายเวทย์โจมตจึงหยุดทันทีเพราะว่าเข้าใจถึงความแข็งแกร่งและแตกต่างของแวมไพด์เบื้องหน้ากับบาทหลวง การถนอมพลังเวทย์ไปทางป้องกันจะช่วยเพิ่มทางรอดมากขึ้น
แชลเทียมองนักเวทยืซึ่งเป็นผู้สั่งการทั้งหมดด้วยความชื่นชมและตั้งใจจะจับกลับไป แต่ในขณะเดียวกันจิตใจของเธอก็ต้องการฆ่ามากกว่านี้ ต้องการเห็นเลือดมากยิ่งขึ้น
เธอต้องการสังหารพวกมัน ดื่มเลือดพวกทัน ฉีกกระฉากร่างของพวกมันเป็นชิ้นๆ และในที่สุดแชลเทียก็ทนไม่ไหว ลมหายใจของธอกระชั้นขึ้น
?Anti Evil Protection??Lesser Mind Protection?
ขณะเดียวกันนักเวทย์และบาทหลวงต่างร่ายเวทย์ป้องกันแก่นักรบในแถวหน้า
แม้แชลเทียที่ตอนนี้ตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่นั้นก็อดชื่นชมเวทย์มนต์ไมได้ แม้ว่าเวทย์ที่ร่ายจะเป็นแค่เวทย์มนต์ขั้น 1 แต่การร่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ต่างกับเหล่าทหารรับจ้างที่มีดีแค่โจมตีแบบไร้การวางแผน 
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่มันก็ไร้ค่าเมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า
แชลเทียที่เห็นการต่อต้านที่น่ารักเช่นนี้ ในที่สุดสติของเธอก็ขาดลง
“ไม่ไหวแล้ววววววว ทนไม่ไหวแล้วววววววววว”
แชลเทียขยับร่าง แม้ว่าจะเป็นการก้าวเล็กๆ แต่ทุกคนในที่นี้กลับรู้สึกว่ารวดเร็วมาก จากนั้นแชลเทียก็โจมตีออกไป
ทะลุผ่านโล่ ทะลวงเกราะที่สวมใส่ เวทย์มนต์ที่ร่ายคุ้มกันไร้ผล มือของแชลเทียแทงผ่านทุกอย่างที่ป้องกันจากนั้นชำแหละเข้าไปในร่างกายของนักรบแถวหน้า ทะลุผ่านเนื้อหนัง กระดูก ในที่สุดก็ไปถึงหัวใจและกระชากมันออกมา นักรบหญิงถึงกับกรีดร้อง บาทหลวงก็มีสีหน้าขาวซีด
แชลเทียพึงพอใจกับการแสดงออกของเหล่ามนุษย์เบื้องหน้า เธอหัวเราะอย่างตื่นเต้น
[Animate Dead]
นักรบที่สูญเสียหัวใจนั้นลุกขึ้นยืนมาทั้งที เค้ากลายเป็นซอมบี้ในทันที แต่มันยังไม่จบแค่นั้น
แขลเทียเลียหัวใจที่อยู่ในมือก่อนที่จะโยนมันเข้าไปในลูกบอดเลือดด้านบน ก่อนที่จะดึงมันออกมาอีกครั้ง และโยนหัวใจที่ชุ่มไปด้วยเลือดนั้นไปยังร่างซอมบี้
เหมือนกับปรสิตหัวใจชุ่มเลือดก้อนนั้นแทรกเข้าไปในร่างของซอมบี้ ร่างนั้นสั้นสะท้านหลายครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นแวมไพด์ขั้นต่ำ
นักรบคนหนึ่งตะโกนออกมา
“เป็นไปไมได้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแวมไพด์ที่สามารถใช้เวทย์มนต์ระดับสูงแบบนี้ได้”
“ก็อยู่เบื้องหน้านี่แล้วไงละ ใจเย็นลงก่อน อย่าได้แตกตื่น”
“แต่ว่า!!”
“—หลบหนีไม่สำเร็จแน่นอน คงต้องสู้แล้ว”
“เข้าใจแล้ว”
ในขณะที่บาทหลวงยังตื่นตกใจอยู่ นักรบคนหนึ่งหยิบอาวุธและพุ่งเข้าโจมตีแชลเทีย ในขณะที่นักรบอีกคนพุ่งไปโจมตีแวมไพด์ขั้นต่ำที่เมื่อก่อนเป็นสหายร่วมรบของตัวเอง
“เทพเจ้าแห่งเพลิง เอ๋ย โปรดจงทำลายล้างศัตรูเบื้องหน้าด้วยเถิด”
บาทหลวงร่ายเวทย์ศักสิทธิ์เพื่อโจมตีเป็นวงกว้าง แต่เมื่อสัมผัสแชลเทียกลับไร้ผล
“อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ในขณะที่ดาบของนักรบแทงทะลุแวมไพด์ขั้นต่ำนั้น เนื่องจากเพิ่งจะกลายสภาพประกอบกับเวทย์ศักสิทธิ์ของบาทหลวงพอจะมีอานุภาพอยู่บ้าง ทำให้แวมไพด์นั้นเสียเปรียบ แต่แค่นี้ก็พอจะทำให้แชลเทียไม่พอใจได้แล้ว
ขณะที่ใช้เล็บปัดดาบของนักรบที่เข้ามาโจมตี แชลเทียมองไปยังบาทหลวงที่อยู่ด้านหลังอย่างไม่พอใจ
“ถอยปายยยยยยยยยยยย”
แชลเทียสะบีดมือขวาเล็กน้อย การโจมตีง่ายๆนี้กลับบั่นคอของนักรบที่อยู่เบื้องหน้า เลือดฉีดพุ่งจากบาดแผลก่อนที่ศรีษะของนักรบจะตกลงเบื้อพื้น
[Lesser Strength Increase]
เวทย์สนับสนุนถูกร่ายใส่นักรบคนสุดท้ายที่ต่อสู้อยู่กับแวมไพด์ขั้นต่ำ ด้วยผลของเวทย์สนับสนุนนักรบเริ่มจะมีเปรียบขึ้น
--ดูเหมือนจะสนุกกันอยู่ ไปขัดความสนุกก็คงจะไม่ดี ยังไงก็มีเหยื่อให้เลือกอีก---
แชลเทียคิดก่อนที่จะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังบาทหลวง
ในขณะนั้นเอง นักรบหญิงก็มายืนขวางหน้าแชลเทียไว้
ท่าทางน่ารัก จากการสั่นกลัวแม้จะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังคงขวางหน้าแชลเทียไว้เหมือนกับสัตว์ตัวน้อย ท่าทางนี้ทำให้ท้องของแชลเทียร้อนผ่าวอย่างมีความสุข
ถ้ากัดนิ้วของเธอออกมาเสียงร้องจะเป็นอย่างไรน้า? หรือว่าจะตัดหูออกมาข้างนึงแล้วยัดใส่ปากของเธอดี? ไม่สิก่อนหน้านั้นขอดื่มเลือดก่อนดีกว่า นี่นับเป็นเหยื่อผู้หญิงรายแรกตั้งแต่ที่ข้าออกมาจากนาซาริค
“ของงงงงงงหวานนนนนนน”
แชลเทียคำรามก่อนจะกระโดดข้ามศรีษะนักรบหญิงไปและไปหยุดอยู่หน้านักเวทย์และบาทหลวง
ก่อนที่บาทหลวงจะได้ขยับ แชลเทียจับมือของบาทหลวงไว้ก่อนจะบีบเบาๆ เสียงกระดูกแตกดังลั้นไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงร้องของบาทหลวง
แชลเทียรู้สึกพอใจกับเสียงร้องนี้จึงให้รางวัลบาทหลวง เพื่อที่เค้าจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป 
แชลเมียสะบัดมือออกทันใดนั้นร่างที่ไร้ศรีษะของบาทหลวงก็ล้มลง เลือดฉีดพุ่งไปรวมที่ลูกบอลบนศรีษะแชลเทีย
ทันใดนั้นดาบเล่มหนึ่งก็แทงเข้าทีด้านหลังของแชลเทีย แต่เธอไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ไม่จริง....ไม่ได้ผล แต่ว่าก็เคลือบด้วยเงินแล้วนี่น้า”
นักรบหญิงตั่วสั่นระริกหลังจากมองดูดาบของตัวเองแทงทะลุแวมไพด์เบื้องหน้าแต่ดูเหมือนจะไม่บาดเจ็บเลย
ข้อมูลของนักเวทญืก็ไม่ได้ผิดพลาดเพียงแต่มันไมได้ผลกับแชลเทียก็เท่านั้นเอง แชลเทียไม่สนใจนักรบหญิงแต่กลับจ้องไปยังนักเวทย์ที่ตกตะลึงอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นนักเวทย์ก็ร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว
[Magic Arrow]
ลูกศรเวทย์ 2 ดอกพุ่งไปยังแชลเทียแต่ก็สลายไปก่อนถึงตัว
สกิลของแชลเทียทำงานทันที – ความสามารถป้องกันเวทย์มนต์ – แม้ว่าจะไม่ใช้เป็นสกิลที่ต้านทานเวทย์ระดับสูงได้ แต่ด้วยเวทย์มนต์ระดับแค่นี้แชลเทียสามารถสลายได้อย่าง่ายๆ
นักเวทย์นั้นไม่มีทางต่อกรกับแชลเทียได้เลย 
“น่าเบื่ออออออออ”
แชลเทียบ่นออกมาก่อนที่จะตัดศรีษะของนักเวทย์ลงมาอีกคน
เมื่อสำรวจรอบข้าง พบว่านักรบคนสุดท้ายกับแวมไพด์ขั้นต่ำนั้นยังต่อสู้ติดพันกันอยู่
แชลเทียหยิบศรีษะของนักเวทย์และบาทหลวงบนพื้นขึ้นมาก่อนจะขว้างไปยังวงต่อสู้ ผลลัพธ์คือศรีษะของนักรบและแวมไพด์ขั้นต่ำนั้นระเบิดออกพร้อมกับร่างที่ล้มลง
ตลอดเวลาที่แชลเทียไม่สนใจของหวานของตัวเองนั้น นักรบหญิงคนนั้นก็โจมตีใส่เธอไม่หยุด แต่ก็ไร้ผล
การโจมตีของเธอทำได้แค่ทำให้เสื้อของแชลเทียเป็นรู แต่วว่าด้วยชุดของแชลเทียมีเวทย์มนต์เคลือบอยู่การจะซ่อมแซมให้เป็นเหมือนเดิมก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
“ได้เวลากินนนนนนของงงงงหวานนนนแล้ววววว”
เสียงหัวเราะของเด็กที่ชอบเก็บของอร่อยไว้ตอนสุดท้าย แชลเทียหันมาเผชิญหน้ากับนักรบกญิงในที่สุด
ในที่สุดนักรบหญิงก็รู้สึกตัวว่าตอนนี้เธอเป็นสุดท้ายที่ยังเหลือรอดอยู่ น้ำตาหลั่งไหลออกมา เธอถอยหลังไปทีละก้าวก่อนที่ล้วงมือไปในกระเปษเหมือนกับค้นหาอะไรบางอย่างอยู่
ทันใดนั้นนักรบหญิงก็ขว้างขวดใบหนึ่งไปยังแชลเทีย
แชลเทียกลับจับขวดนั้นอย่างง่ายๆ 
แม้ว่านักรบหญิงจะขว้างอย่างสุดแรงแต่สำหรับแชลเทียแล้วมันช่างเชื่องช้าเหลือเกิน จะหลบก็ไม่ยากแต่ด้วยความโอหังต่อความแข็งแกร่งของตัวเองแชลเทียเลือกที่จะจับมันซะ และมองสีหน้าของนักรบหญิงเพื่อสังเกตว่าจะเป็นเช่นใดเมื่ออาวุธลับของธอถูกทำลายลง
เธออยากฆ่าเหลือเกิน แต่ต้องอดทนไว้ ยิ่งอดทนเท่าไหรของหวานก็จะมีรสชาติมากขึ้นเท่านั้น
แชลเทียมองน้ำในขวดนั้น น้ำมนต์?หรือว่าของเหลวที่ก่อให้เกิดไฟ? ช่างเถอะ ยังไงก็ไม่มีผลกับข้าอยู่แล้ว ก่อนอื่นข้าจะดูดเลือดก่อนแต่ไม่ทำให้ถึงตาย ถ้าผู้หญิงคนนี้ยังบริสุทธิ์อยู่ก็จะดูดเลือดให้หมดตัว แต่ถ้าไม่ข้าจะเล่นสนุกกับเธอซักพัก
หลังจากตัดสินใจแชลเทียก็ค่อยเดินไปหานักรบหญิงเบื้องหน้า พร้อมกับการขยับของเหลวที่อยู่ในขวดกลับแตกออกใส่มือของเธอ
ทันใดนั้น---แชลเทียรู้สึกเจ็บปวด
จิตใจของแชลเทียขาวโพลง ความรู้สึกกระหายเลือดจางหายไปหมด
แชลเทียจ้องไปยังแขนที่ถูกของเหลวกระทบใสตอนนี้กำลังมีควันขึ้นอยู่ จากนั้นจ้องไปยังของเหลวที่กระจายออกมาจากขวดบนพื้นกลิ่นของมันนั้นเธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี
นี่คือขวดโพชั่นที่ใช้กันในมหาสุสานนาซาริค
ที่จริงแล้วมันให้ผลฟื้นฟูแต่กลับอันเดทแล้วก็สามารถสร้างความเสียหายได้ นั้นคือเหตุผลว่าทำไมเนื้อของแชลเทียที่ถูกของเหลวนี้จะละลายได้
“ไม่จริง”
แชลเทียอุทานอย่างโกรธแค้น
“นำผู้หญิงคนนั้นมานี่”
ตอบรับคำสั่งของแชลเทีย เจ้าสาวแวมไพด์ที่ยืนอยู่ด้านข้างมาตลอดเคลื่อนไหวในทันที ในขณะที่แชลเทียกำลังคิดนั้นนักรบหญิงคนนั้นกำลังหลบหนี แต่ก็ถูกจับกลับมาด้วยฝีมือของเจ้าสาวแวมไพด์
แม้ว่านักรบหญิงจะดิ้นรนแต่ด้วยพละกำลังของมนุษย์และแวมไพด์นั้นต่างกันหมดในที่สุดเธอก็ถูกลากมาเบื้องหน้าของแชลเทีย
“มองตาข้า”
แชลเทียจับคางของนักรบหญิงให้หันมาทางเธอโดยพยายามไม่ใช้กำลังมากเพราะว่ากลัวจะกระชากคางของเธอหลุดออกมา
นักรบหญิงที่ถูกบังคับให้มองตาของแชลเทียเลิกขัดขืนนี่เป็นผบของสกิล [Demon Eyes of Attraction] เมื่อแชลเทียเห็นว่าเธอตกอยู่ภายใต้เวทย์มนต์แล้วก็ปล่อยคางออก
แชลเทียมีคำถามมากมายต้องการจะสอบถาม แต่มีอย่างแรกที่ต้องถามก่อน
แชลเทียหยิบขวดโพชั้นขึ้นมาและถามว่า
“ได้ขวดนี้มาจากใครและที่ไหน!!!”
“ในผับ นักรบในชุดเกราะสีดำมอบให้กับข้า”
แชลเทียตัวสั่นยะเยือกเมื่อได้ยินคำตอบ
“ไม่จริง....เป็นไปไม่ได้... ผับที่เมืองไหน...”
“เมืองรีลันเทีย”
เหมือนโลกทั้งใบสั้นสะเทือน แชลเทียตกใจกับคำตอบที่ได้รับเพราะทราบดีว่านักรบในชุดเกราะสีดำคือใคร
ปัญหาต่อมาคือเหตุผลที่ผู้หญิงคนนี้ได้รับมา ต้องมีเหตุผลที่เธอได้รับมาแน่นอน
“ไม่จริง....”
หรือว่าผู้หญิงคนนี้ได้รับคำสั่งลับ หรือว่าบางที่เพราะว่าต้องการสร้างความสัมพันธ์ 
“เหตุผลที่เจ้ามาที่นี้ละ!!!!”
“เป้าหมายหลักคือลาดตระเวนตามทางเดิน แต่ได้รับข้อมูลว่ามีรังโจรอยู่บริเวณนี้ ดังนั้นจึงมาสำรวจ เหมือนกับว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น พวกเราจึงแบ่งเป็น 2 ทีม และทีมของเรามายังจุดนี้เพื่อสำรวจต่อไป”
“เจ้าแบ่งเป็น 2 ทีม!!!!”
“ใช่แล้ว เนื่องจากเราไม่ทราบจำนวนของโจร เป้าหมายของทีมเราคือล่อโจรไปยังกับดักที่อีกทีมเตรียมเอาไว้”
“ที่แท้มีอีกทีมนี่เอง”
แชลเทียเดาะลิ้นของเธออย่างไม่พอใจ
“แล้วจำนวนของทีมเจ้าละทั้งหมดกี่คน”
“รวมข้าด้วยก็เป็น 7 คนและ----“
“อะไรนั้น เดี้ยวก่อน 7 .. ไม่ใช้ 6 หรือ”
แชลเทียกวาดตาไปยังศพรอบๆบริเวณ นักรบ 3 บาทหลวง 1 นักเวทย์ 1 รวมผู้หญิงคนนี้ก็ 6 พอดี
“ใช่แล้ว เราให้แรนเจอร์อยู่ด้านหลังออกไปอีก ในกรณีที่เลวร้ายให้สละทีมไปตามกำลังเสริมที่เมืองรีลันเทีย”
“อะไรกันนนนนนน”
แชลเทียรีบกระโดดขึ้นไปยังยอดของต้นไม้บริเวณและสำรวจรอบป่า ที่ได้ยินคือเสียงลมเท่านั้น ตัวแชลเทียนั้นไม่มีสกิลสำรวจตรวจสอบการค้นหามนุษย์ในป่าเช่นนี้เธอไม่สามารถทำได้
“บ้าที่สุดดดดดดดด”
แชลเทียตะโกนอย่างโกรธแค้น
เธอพลาดอีกแล้ว รวมเรื่องของเบรนนี่ถือว่า 2 ครั้งแล้ว แชลเทียกัดฟัน
“จงมา ข้ารับใช้ของข้า”
ใต้เท้าของแชลเทีย เงาต่างก่อตัวเป็นรูปหมาป่า แน่นอนไม่ใช้หมาป่าธรรมดา ขนของมันมีสีดำและตาสีแดง
สัตว์ประหลาดเลวล 7 หมาป่าแวมไพด์
แม้ว่าแชลเทียจะสามารถเรียกสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้ แต่หมาป่าที่สามารถค้นหาศัตรูได้เหมาะกับงานนี้ที่สุด
“จงสังหารมนุษย์ทุกคนในป่านี้!!!”
คำรามตอบรับ หมาป่าทั้ง 10 ตัวต่างวิ่งเข้าไปในป่า
แชลเทียเริ่มนึกถึงออร่าที่เป็นแรนเจอร์แม้ว่าแชลเทียจะแข็งแกร่งกว่าแต่ออร่านั้นมีสกิลที่หลากหลายกว่าเธอซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์นี้
แชลเทียพุ่งไปยังนักรบหญิงเพื่อสอบถามข้อมูลต่อไป ท่าทางเร่งรีบของเธอดูเหมือนจะเข้าไปโจมตีมากกว่า
“อย่างแรก นอกจากเจ้ามีใครได้รับขวดแบบนี้อีกมั้ย”
“ไม่มี”
“เยี่ยมมาก ต่อไปมีโอกาสมั้ยที่แรนเจอร์จะกลับมาร่วมกลุ่ม”
“ไม่ ในกรณีทีมของเราถูกจัดการ แรนเจอร์จะสละพวกเราทั้งหมดและกลับเมืองเพื่อไปขอกำลังเสริมในทันที”
“เจ้าพวกมนุษย์บัดซบ ช่างมีกลสกปรกมากมายเหลือเกิน นี่ถ้าข้าได้รับอนุญาตให้จัดการกับเผ่าพันธุ์ของเจ้าละก็จะสังหารไม่ให้เหลือเลย!!!!”
แม้ว่าแชลเทียจะสาปแช่งเช่นไร ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นแม้แต่น้อย
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าข่าวของแวมไพด์ต้องกระจายไปยังเมืองที่ว่าแน่นอน
“บ้าที่สุดดดดดดดดด”
แชลเทียตะโกนอีกครั้งพร้อมกับนึกถึงคำสั่งของท่านไอซ์
--เป้ามหายของเจ้าครั้งนี้เป็นพวกนอกกฎหมาย เป็นพวกที่ว่าแม้จะหายไปก็ไม่มีใครสนใจ—
--ถ้าพบโจรที่สามารถใช้ทักษะต่อสู้หรือเวทย์มนต์ได้ ต้องจับตัวมาให้ได้ แม้ว่าจะดูดเลือดพวกมันและทำให้กลายเป็นทาศ หรือว่าถ้าเจอพวกที่มีความรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้หรือพวกที่มีทักษะการวางแผนก็ให้จับตัวมาเช่นกัน แต่ต้องทำอย่างลับๆ ถ้าตัวตนของนาซาริคถูกเปิดเผยในตอนนี้จะกระทบถึงแผนการของเราในอนาคต—
----แต่แล้ว สิ่งที่ข้าทำกลับตรงกันข้ามกันหมด
แชลเทียจับศรีษะของตัวเองราวกับว่าจะดึงเส้นผมสีเงินนั้นลงมา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
แชลเทียย้ำกล่าวราวกับว่าจะสะกดจิตตัวเอง
แม้ว่าข่าวแวมไพด์จะหลุดไปถึงเมืองแต่ชื่อของเธอและนาซาริคยังไม่มีใครล่วงรู้ ในเมืองก็คงคิดว่าเหล่าโจรถูกสังหารด้วยฝีมือของแวมไพด์
ปัญหาต่อไปคือจะจัดการกับนักรบหญิงเช่นไร
แม้ว่าจะถูกมนต์สะกดแต่ความทรงจำก็จะไม่หายไป ทางที่ดีที่สุดคือฆ่าทิ้งซะ แต่ปัญหาหลักก็คือแชลเทียไม่แน่ใจว่าเจ้นายของเธอมีคำสั่งอะไรกับผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า ถ้าสังหารซะแล้วกระทบแผนของท่านไอซ์นั้นเปนเรื่องที่อันตรายที่สุด
แต่ถ้าปล่อยไปรปร่างลักษณะของแชลเทียต้องเป็นที่ล่วงรู้แน่นอนแม้จะไม่ใช้ปัญหาใหญ่ แต่ในอนาคตจะส่งผลกระทบหรือไม่ก็ไม่รู้
ทางที่ดีที่สุดคือติดต่อกับท่านไอซ์ แต่แชลเทียก็ไม่มีสกิล [Message] เธอจะทำอย่างไรดี
“อ๊า ท่านไอซ์ต้องดุข้าแน่อนน”
แชลเทียกุมหัวของเธอและสั่นศรีษะไปมา
“ถ้าข้าไม่ใช้ทักษะ [Blood Frenzy] ไม่สิคิดแบบนั้นมันเสียมารยาทต่อท่านผู้สร้างของข้า ท่านเพอโรรอนชิโน่ ถ้าข้าสามารถควบคุมตัวเองได้...”
แชลเทียหันไปถามนักรบหญิง
“ชื่อของเจ้าละ”
“บริต้า”
“ข้าจะจำไว้”
แชลเทียเรียกข้ารับใช้ทั้งสองของตัวเองมาและกล่าวว่า
“ เอาละเตรียมถอยออกจากพื้นที่นี้ได้”
“ท่านแชลเทียเอายังไงกับผู้หญิงดีค่ะ”
“ปล่อยไว้ยังงี้ละ”
“ปล่าวค่ะ ข้าหมายถึงผู้หญิงคนอื่น”
“ผู้หญิงคนอื่น?”
“ใช่แล้วค่ะ ท่านแชลเทียในรังโจรเมื่อครู่ข้าพบว่ามีผู้หญิงจำนวนมากที่ถูกจับมารองรับความต้องการของพวกโจร เราจะทำอย่างไรดีค่ะ"
สีหน้าของแชลเทียเปลี่ยนไป 
---อะไรกันนักกันหนา---
พวกนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าข้าจะปล่อยไปก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าข้าทิ้งซะก็ดีตัดปัญหา
แชลเทียตัดสินใจไม่ถูก
“ทำอย่างไรดีค่ะ”
“โอ๊ยยยย ข้าจะไปรู้หรืออ”
มาถามอะไรงี่เง่าๆแบบนี้เนี่ย
“พอแค่นี้ละ เอาบรีต้าไปรวมไว้กับผู้หญิงพวกนั้น”
เจ้าสาวแวมไพด์โค้งศรีษะรับคำสั่ง
แชลเทียยังคงกุมศรีษะของตัวเอง
“ต้องถูกดุแน่เลย ข้าจะทำย่างไรดี เอ๋?”
แชลเทียพบว่าหมาป่าที่ส่งออกไปถูกสังหาร หรือว่าพวกนั้นพบอะไรเข้า
“พวกเจ้าจัดการให้เรียบร้อยและตามข้ามาทีหลัง!!!”
แชลเทียพุ่งไปยังบริเวณที่หมาป่าถูกกำจัด ที่นั้นเธอพบกับมนุษย์ 12 คน อุปกรณ์ของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป อุปกรณ์เหล่านั้นไม่ธรรมดาดูเหมือนมีการเสริมพลังมาอย่างดี นี่คือข้อสังเกตของแชลเทียเพราะว่าเธอไม่มีสกิลสำรวจ แต่แชลเทียแน่ใจว่าอย่างน้อยๆต้องเป็นอุปกรณ์ระดับ legend เช่นเดียวกับที่เธอใส่อยู่
นอกจากนี้กลุ่มมนุษย์เบื้องหน้าดูแข็งแกร่งต่างจากมนุษย์คนอื่นๆที่แชลเทียเคยพบมา ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับหนูและราชห์สี
แชลเทียกวาดสายตามองและไปสะดุดที่ชายคนหนึ่ง 
--เจ้านี่---แข็งแกร่ง!!—
แม้ว่าจะวัดไมได้ว่าขนาดไหนแต่ต้องเก่งกว่าข้ารับใช้ของเธอเจ้าสาวแวมไพด์ กระทั้งยังแข็งแกร่งกว่าเมดนักรบเช่นโซลูชั่นเสียอีก
แชลเทียมองว่าเป็นผู้ชายเนื่องจากอุปกรณ์ของเค้า แต่จากใบหน้าก็ยากจะคาดเดาเพศได้
ไม่ว่าจะเรียกเผ็นชายหรือหญิงก็ดูเหมือนจะได้ทั้งนั้น ใบหน้าที่หล่อเหลา อายุกำลังอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม
ผมยาวสีดำของชายคนนี้แทบจะยาวจนถึงพื้น ดวงจารูปทับทิมตอนนี้ฉายแววระวังภัยอย่างเต็มเปี่ยมเมื่อมองมายังแชลเทีย ในมือถือหอกที่ดูธรรมดาๆไม่คล้ายกับชุดเกราะที่สวมใส่อยู่ ชายคนนี้พุ่งเข้ามาโจมตีพร้อมกับกล่าวว่า
“ใช้มันเลย”
เสียงที่นุ่มราวกับทะเลสาบ สังการอะไรบางอย่างที่แชลเทียไม่เข้าใจ 
ขณะนั้นมนุษย์ที่เหลือก็กระจายกำลังออก แชลเทียไม่สนใจตอนนี้เธอกำลังพุ่งความสนใจไปยังชายที่ถือหอกคนนี้ที่กำลังพุ่งเข้ามา
ตรงกลางของกลุ่มมีผู้หญิงที่แต่งชุดประหลาดอยู่
เหมือนเป็นชุดประโกรงแบบชิ้นเดียว และแหวกข้างตรงด้านข้างออกได้
ชุดนั้นมีสีขาว และมีรูปมังกรกางเล็บเป็นสีทองประดับอยู่บนชุด
ในโลกของไอซ์ ชุดแบบนี้เรียกว่า กี่เพ้า
แต่ว่าใบหน้าของผู้หญิงที่ใส่ชุดนี้กลับเหี่ยวย่น ขาที่คล้ายกับมันฝรั่งตากแห้งเผยออกมาจากเสื้อที่แหวกข้างได้ ชุดนี้ไมเหมาะกับลักษณะของหญิงแก่นิ้อย่างมาก 
บางสิ่งบางอย่างก็มีการประจวบเหมาะ 
บางครั้งสิ่งเล็กๆที่ทำก็ส่งผลได้
ถ้าไอซ์ไมได้จับนิแกน ถ้าไอซ์ไม่ป้องกันเวทย์สังเกตการณ์ของสาธารณรัฐสเลน ถ้าสาธารณรัฐสเลนไม่ได้เชื่อว่า “มังกรแห่งการทำลายล้างได้จุติขึ้นมาใหม่” ถ้าแชลเทียไม่ได้มายังที่แห่งนี้ ทุกอย่างก็คงจะแตกต่างกันออกไป
ชื่อของชุดนี้คือ “‘Bewitching Calamity, Kei Seke Koku”
เป็นไอเท็มที่พระเจ้าซึ่งเคยช่วยเหลือมนุษย์ได้ทิ้งเอาไว้ เป็นวัตถุที่ควรเคารพบูชา มันทรงพลังมากถึงขนาดแชลเทียก็ไม่สามารถต้านทานได้
กระทั้งกาเดี้ยนของนาซาริคเช่น แชลเทียยังสั่นกลัว เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง
สัญชาติญาณของแชลเทียบ่งบอกให้เธอระวังหญิงแก่คนนี้
เป็นมนุษย์ที่ไม่ว่าอย่างไรเธอต้องสังหารให้ได้
แชลเทียพุ่งไปยังหญิงแก่คนนี้ทันที แต่ชายทืถือหอกก็เข้ามาขัดขวาง
“ถอยไป!!”
แชลเทียโจมตีใส่อย่างรุนแรง ถ้าเป็นมนุษย์ปกติคงต้องกระจายเป็นชิ้นๆ แต่ชายที่ถือหอกแค่ถอยหลังไปเท่านั้น
แชลเทียหันไปหาหญิงแก่พร้อมกับร่ายเวทย์
[Mass Hold Species]
ในกลุ่มมนุษย์บางคนก็ถูกเวทย์นี้ตรึงการเคลื่อนไหวไว้ แชลเทียตั้งใจจะแก้ไขความผิดพลาดของเธอ
แต่ขณะนั้นเองแชลเทียรู้สึกจิตใจของตัวเองเริ่มขาวโพลนขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกของเธอค่อยๆหายไป แชลเทียไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเริ่มรู้สึกกลัว
ควบคุมจิตใจ
เธอ,อันเดธซึ่งปกติควรจะไร้ผลจากเวทย์ประเภทควบคุมจิตใจ กลับได้รัลผลกระทบ
“ว๊ากกกกกกกกกกกก”
แชลเทีนตะโกนและพยายามจะเรียกสติ เวทย์ควบคุมจิตใจนี้กำลังจะทำให้เธอซึ่งเป็นกาเดี้ยนของนาซาริคต้องแปดเปื้อน แชลเทียพยายามต่อต้าน
แต่แม้ว่าเธอจะดิ้นรนยังไง จิตใจของแชลเทียก็ค่อยขาวสว่างและเลือนหายไปเรื่อยๆ แชลเทียเริ่มร่ายสกิล [Purifying Javelin]
หอกสีขาวขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้น มันสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมาก และถ้าเพิ่ม MP ในการใช้เข้าไปด้วยโอกาศพลาดเป้าแทบจะไม่มี
แชลเทียพยายามขัดขืนต่อไปและจ้องไปยังหญิงแก่ที่เป็นต้นเหตุ
ในสายตาของแขลเทียตอนนี้ไม่ได้สนใจชายที่ถือโล่ยักขนาดใหญ่ที่ป้องกันหญิงแก่อยู่เลย
แชลเทีย ขว้างหอกออกไป
หอกพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงและพุ่งทะลุผ่านโล่และชายที่ถือมันไว้ และพุ่งไปปักยังร่างของหญิงแก่ในที่สุด 
เป้าหมายทั้งสองกระอักเลือดออกมา นั้นคือภาพสุดท้ายที่แชลเทียมองเห็น

Interlude
ณ เมืองหลวงของอาณาจักร เมือง รีเอสไท
ในส่วนลึกของเมือง อาคารขนาดใหญ่กว่า 20 อาคารถูกสร้างโดยเว้นขนาดเท่ากันๆและถูกเชื่อมต่อโดยกำแพง
มันถูกเรียกว่าเมืองแห่งปราสาทลาวเรทีน พระราชวังวาเลนเซียนั้นก็ถูกสร้างขึ้นตรงนี้
ข้างในพระราชวัง มีห้องที่ถุกประดับด้วยเครื่องตกแต่งที่ดูหรูหรามากมาย ขุนนางและพวกู้ดีมากมายต่างมารวมตัวกันเพื่อเตรียมประชุม
หนึ่งในนั้นมี กาเซฟ สเตรนอฟ หัวหน้าอัศวินรวมอยู่ด้วย ตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่หน้ากษัตริย์รันพอซซ่าที่ 3 ที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ และถวายคำสาบายว่าจะจงรักภักดี
--ดูเหมือนท่านจะดูแก่ลงเล็กน้อย—
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ครึ่งเดือน หลังจากกาเซฟออกไปปฎิบัติภารกิจ แต่รูปลักของกัติรย์ก็เปลี่ยนแปลงไป ร่างกายที่ดูทรุดโทรม ใบหน้าที่แฝงแววอิดโดย ท่อนแขนที่ถือคทานั้นผอมแห้งราวกับกิ่งไม้ มงกุฎบนศรีษะนั้นก็ดูหนักสำหรับท่าน
หลังจากครองราชมา 39 ปี ตอนนี้กัตริย์รันพอซซาที่ 3 มีอายุ 60 ปีแล้ว โดยปกติถึงเวลาที่ต้องสละราชสมบัติให้กับผู้สืบทอด แต่ปัญหาก็คือยังไม่มีผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอจะสืบทอดบัลลังได้
กษัตริย์รันพอซซ่าที่ 3 ไม่ใช้ว่าจะไม่มีผู้สืบทอด ท่านมีองค์ชาย 2 คน ที่พร้อมจะสืบทอดบัลลังแต่น่าเสียดายที่ล้วนไม่เหมาะสม ถ้าปล่อยไปในอนาคตองค์ชายที่สืบทอดอำนาจก็คงไม่พ้นตกเป็นหุ่นเชิดให้กับพวกขุนนางที่มีอำนาจ
กษัติรย์รันพอซซ่ากล่าวด้วยเสียงที่อ่อนล้าว่า
“ท่านหัวหน้าอัศวิน ช่างน่ายินดีที่ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
“ขอบพระคุณมากขอรับ”
กาเซฟก้มหัวลงอย่างอ่อนน้อมหลังได้ยินคำกล่าวนั้น
“อ้อ เราได้รับรายงานของท่านแล้ว แต่ก็ยังต้องการฟังข้อมูลบางอย่างจากปากของท่านเองเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น”
“ตามประสงค์ของท่าน”
กาเซฟอธิบายถึงเหตุการณืที่หมู่บ้านคาเน่ หลังจากที่ออกจาเมืองหลวงแล้ว เค้าได้พบกับนักเวทย์ลึกลับที่มีนามว่า ไอซ์ อูล โกรว แต่กาเซฟไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ถูกสาธารณรัฐสเลนโจมตี นี่เนื่องเพราะกาเซฟคิดว่าเรื่องเช่นนี้ยิ่งรู้กันน้อยกะยิ่งดี 
ประเด็นหลักที่กล่าวคือเรื่องของผู้กล้าที่เค้าพบที่หมู่บ้านและผู้กล้าท่านนั้นช่วยปกป้องหมู่บ้านอย่างกล้าหาญ
“ช่างเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ยิ่งนักที่ผู้แข็งแกร่งเช่นนั้นยอมสละเวลาช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า”
ตำพูดของกษัตริย์รันพอซซ่าเต็มไปด้วยความชื่นชม เหล่าขุนนางที่รอบข้างต่างซุบซิบกันถึงที่มา ของไอซ์ อูล โกรว
ส่วนใหญ่ตั้งข้องสงสัยและไม่เชื่อถือ
ชายที่ซ่อนใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากและไม่เปิดเผยตัวเอง
นักเวทย์ที่มีชื่อแปลกประหลาด
บางคนยังตั้งข้อสังเกตุว่าทำไปเพราะต้องการให้ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหรือเปล่า
กาเซฟต้องยั้บยั้งตัวเองอย่างมากทีจะไม่เผยให้เห็นความโกรธออกมา เค้ารู้สึกสมเพชรตัวเองที่ทำไม่ได้แม้แต่จะเอ๋ยปากปกป้องผู้ที่ช่วยเหลือเค้า
แน่นอนนี่ย่อมมีเหตุผล เนื่องจากเหล่าขุนนางก็ไม่ได้ชื่นชอบกาเซฟมากนัก และส่วนใหญ่ขุนนางพวกนี้จะอยู่ในกลุ่มที่กุมอำนาจไว้และรู้จักกันในชื่อ กลุ่มขุนนางขั้นสูง
อาณาจักร์รีเอสไทตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สมดุล กษัตริย์รันพอซซ่าที่ 3 กุ่มอำนาจราวๆ 30 % เหล่าขุนนางขั้นสูงกุมอำนาจราวๆ 30% ในขณะที่ 40% ที่เหลือเป็นของกลุ่มอื่นๆ ซึ่งตอนนี้กลุ่มผู้ภักดีต่อกษัตริย์และกลุ่มของขุนนางขั้นสูงต่างตั้งประจันหน้ากันอยู่
นั้นคือเหตุผลที่กาเซฟต้องระวังตัว การผืดพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจจะส่งผลเลวร้ายได้
---หน่วยจู่โจมพิเศษของสาธารณรัฐสเลนมาได้ประจวบเหมาะเกินไป ต้องมีหนอนบ่อนใส้แน่ๆ อาจจะเป็นหนึ่งในหกขุนนางขั้นสูงก้เป็นได้—
สายตาของกาเซฟหยุดลงที่ขุนนางขั้นสูงคนหนึ่งอย่างเย็นชา
ชายคนนั้นมีผมสีบลอนแซมด้วยสีดำและมีดวงตาสีน้ำเงิน
สีผิวขาวซีดราวกับว่าไม่ค่อยได้โดนแสงอาทิตย์ แม้ว่าอายุจะของชายคนนี้จะยังไม่ถึง 40 ก็ตาม แต่จากผิวสีขาวซีดทำให้ดูมีอายุมากกว่านั้น
ชายคนนี้เป็นหนึ่งใน 6 ขุนนางขั้นสูงที่กุมอำนาจ ชื่อว่า ราเวน เป็นชายที่สลับฝ่ายไปมาระหว่าง กลุ่มกษัตริย์และกลุ่มขุนนางขั้นสูงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และยังเป็นขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายลำดับที่ 2 อีกด้วย
--ถ้าจะมีคนทรยศละก็ จะต้องเป็นชายคนนี้อย่างแน่นอน—
เหมือนกับว่าจะรับรู้ถึงสายตาของกาเซฟ ราเวนยิ้มเหยียดที่ริมฝีปาก การกระทำนั้นส่งผลให้กาเซฟยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม
“เอาละ รายงานของหัวหน้าอัศวินก็จบลงแล้ว เราจะย้ายไปยังหัวข้อสำคัญอีกเรื่อง”
เนื่องจากกษัตริย์รันพอซซ่าที่ 3 รู้สึกเหนื่อยจึงประกาศขอพักการประชุมสักครู่และให้เหล่าขุนนางล่าออกไปก่อน กาเซฟเดินไปยังข้างกายของกษัตริย์และมองเหล่าขุนนางรอบข้าง ด้วยว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายกษัตริย์เหล่าขุนนางต่างมองมายังกาเซฟด้วยสายตาไม่พอใจ
หลังจากพักชั่วครู่ กษัตริย์รันพอซซ่าก็กล่าวต่อว่า
“เอาละ เราจะมีสงครามกับจักรวรรดิ์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ท่านราเวนอธิบายให้ทุกท่านทราบที”
“รับทราบขอรับ”
ราเวนเดินมาอย่างเงียบเชียบและอธิบายให้ทุกคนในที่นี้ฟัง
ทุกคนในที่นี้ต่างเงียบและฟัง ไม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรุกับชายคนนี้ที่แทบจะมีอำนาจมากที่สุดในขุนนางขั้นสูงทั้ง 6 
หลังจากอธิบายว่าต้องระดมกำลังทหารเท่าไหร ราเวนก้มศรีษะให้กับกษัตริย์รันพอซว่าพร้อมกับกล่าวว่า
“ขอจบรายงานสงครามแต่เพียงเท่านี้ขอรับ”
“ขอบคุณมากท่านราเวน มีใครในที่นี้ต้องการจะรายงานอะไรอีกมั้ย”
ทันใดนั้น ภายในห้องโถงก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้นทันที
“รอบนี้เราควรจะโต้กลับฝ่ายจักวรรดิ์บ้างนะ”
“ถูกต้องมัวแต่เป็นฝ่ายตั้งรับคงจะไมไหวหรอก”
“เห็นด้วย ควรจะให้เจ้าพวกโง่เง่านั้นรับทราบถึงพละกำลังของเราบ้าง”
“จริงอย่างที่ท่านเอิร์ลกล่าว”
เป็นที่รู้กันว่า จักวรรดิ์และอาณาจักรนั้นทำสงครามกันเป็นประจำทุกปีที่ทุ่งหญ้าคาเซ่ 
จนถึงทุกวันนี้ต่างฝ่ายก็ไมได้รับความเสียหายมากนัก นั้นเพราะว่า ฝ่ายจักวรรดิ์นั้นไม่ได้ทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ ถ้าฝั่งนั้นต้องการที่ล้มล้างอาณาจักรจริงๆละก็ การตั้งแค้มที่ทุ่งหญ้าคาเซ่เพื่อรอทัพของอาณาจักรนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง
กาเซฟและเหล่าขุนนางบางคนที่พอจะมีหัวคิดอยู่บ้างต่างทราบดีว่าจักวรรดิ์ทำเช่นนี้เพื่อตัดกำลังของอาณาจักร
อาณาจักรนั้นมีกำลังทหารมาก แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายจักวรรดิ์ก็มีทหารที่มีความสามารถและอัศวินที่เก่งกาจมากมาย
ฝ่ายไหนที่มีทหารเก่งกว่าแค่มองดูก็รู้ อาณาจักรต้องเกณฑ์กำลังคนเกือบสองเท่าของฝั่งจักวรรดิ์ การทำเช่นนี้สิ้นเปลืองเสบียงอาหารเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงกำลังคนที่ถูกเกณฑ์ไปรบทำให้ไม่มีคนพอที่จะทำไร่ไถ่นาส่งผลให้เสบียงไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ช่วงเวลาที่สู้รบกันนั้นก้เป็นช่วงที่เก็บเกี่ยวผลผลิตพอดีการขาดกำลังคนทำให้การเก็บผลผลิตช้าตามออกไปอีก
นั้นคือเหตุผลที่ทำให้อาณาจักรอ่อนแอลงเรื่อยๆ และส่งผลให้ราชวงค์อ่อนแอลงเช่นเดียวกัน
นั้นคือเหตุผลที่ทำให้กลุ่มขุนนางขั้นสูงไปสนใจสถานการณ์ในตอนนี้ เพราะการเสื่อมถอยลงของราชวงศ์หมายถึงอำนาจของฝ่ายขุนนางขั้นสูงนั้นเพิ่มขึ้น 
--ถ้าวันใดกำลังของอาณาจักรตกต่ำลงจนถึงขีดสุด จักวรรดิ์ต้องบุกมาแน่นอน คิดว่าทางฝั่งนั้นพอใจกับสภาพเช่นนี้หรือยังไง ทำไมไม่ใช้หัวคิดกันบ้าง—
กาเซฟสาปแช่งเหล่าขุนนางขั้นสูงที่พอใจแค่สภาพความเป็นอยู่และอำนาจของตัวเองเป็นใหญ่
“หรือว่านักเวทย์ลึกลับที่ช่วยหัวหน้าอัศวินจะเป็นคนของฝ่ายจักวรรดิ์ที่พยายามแทรกซึมเข้ามาในอาณาจักรของเรา”
“เป็นไปได้มากที่เดียว ได้ยินมาว่าที่จักวรรดิ์มีโรงเรียนที่สอนเวทย์มนต์เป็นหลักด้วย”
“พวกเราต้องหาทางรับมือกับนักเวทย์คนนี้หรือเปล่า”
“บางทีควรจะวางแผนจับกุมไว้ดีกว่า”
“ถูกต้องคุมตัวมาขังที่นี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
ในที่สุดกาเซฟก็ไม่อาจอดมนอยู่เฉยๆได้ เค้าไม่อาจทนฟังคนให้ร้ายผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเค้าและชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นได้
“ได้โปรดไตร่ตรองก่อนเถอะทุกท่าน การแสดงออกของนักเวทย์คนนี้นั้นเป็นมิตรต่ออาณาจักรของเราการจับตัวเค้ามาเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย”
เหล่าขุนนางต่างแสดงสีหน้าไม่พอใจต่อคำพูดของกาเซฟ
กาเซฟที่ไต่เต้าขึ้นมาจนถึงตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะว่าความสามารถด้านเชิงดาบเพียงเท่านั้น ไม่ได้มาจาดสายเลือดขุนนางนั้นคือเหตุผลที่เหล่าขุนนางต่างรังเกียจเค้า
เหล่าขุนนางต่างเริ่มต่อว่ากาเซฟมากขึ้น
ทันใดนั้นกษัตริย์รันพอซซ่าที่นั่งอย่บนบัคคลังก็กล่าวว่า
“พอแล้ว....เราคิดว่าความคิดของท่านหัวหน้าอัศวินกไม่ผิดหรอกนะ”
“ถ้าฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น...”
เหล่าขุนนางต่างหยุดพูดและยิ้มออกมา
กาเซฟหันไปมองกษัตริย์ที่ตัวเองสาบานว่าจะจงรักภักดีอย่างขอบคุณ ในขณะที่กษัตริย์รันพอซซ่าก็ยิ้มและผงกศรีษะให้กับกาเซฟ

แม้ว่าจะเหฯดเหนื่อยจากการถูกถากถางแต่กาเซฟก้ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อยและเดินตามกษัตริย์ไปตามทางเดิน
กษัตริย์รันพอซซ่าเดินไปตามทางเดินด้วยไม้เท้าที่ถืออยู่ ท่านได้บาดแผลที่ข้อเท้ามาจากสงครามในอดีตและแม้กระทั้งตอนนี้แผลนั้นก็ยังส่งผลให้เดินไม่สะดวก แม้เป็นเช่นนั้นกาเซฟก็ไม่เข้าไปพยุงแม้แต่น้อย ถ้ากษัตริย์รันพอซซ่าต้องมีผู้ช่วยพยุงเหล่ากลุ่มขุนนางขั้นสูงคงจะใช้เป็นข้ออ้างให้ท่านสละราชสมบัติให้กับองค์ชายที่ต้องกลายเป็นหุ่นเชิดให้กับเหล่าขุนนางขั้นสูงในอนาคตแน่นอน
แม้ว่ากาเซฟจะรู้สึกหดหู่ใจ แต่กัตริย์รันพอซว่ากลับเดินไปด้วยพลังกำลังของตัวเอง ในขณะที่จะถึงห้องบรรทมกัตริย์รันพอซซ่าก็พูดขึ้นมา
“....อำนาจของเหล่าขุนนางขั้นสูงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อการต่อต้านการบุกรุกของจักวรรดิ์ ถ้าเราปฎิเสธคำขอของพวกนั้นอาณาจักรนี้คงแตกเป็นเสี่ยงๆก่อนที่จักวรรดิ์จะบุกมาถึงแน่นอน”
กาเซฟซึ่งเข้าใจดีว่ากษัตริย์ของตัวเองต้องการจะสื่ออะไร ก้มศรีษะลงและกัดรีมฝีปากตัวเอง
“ข้าช่างอิจฉาจักวรรดิ์เหลือเกิน”
กาเซฟไม่แน่ใจว่าคำพุดของตัวเองจะปลอบโยนกษัตรย์ของตัวเองได้หรือไม่
สามชั่วคนที่แล้ว จักวรรดิ์นั้นอ่อนแอมาก แต่อำนาจของขุนนางก้ไม่ได้สูงมากเช่นกัน แต่เมื่อราชาคนปัจจุบันขึ้นครองราชย์จักวรรดิ์ก็เปลี่ยนไป
ราชาคนปัจจุบัน – เซอคุนิฟ รุน ฟารอด เอล นิก
ระหว่างการขึ้นครองราช มีการสังหารหมู่เกิดขึ้น ว่ากันว่าเลือดนั้นแทบจะมากเท่กับแม่น้ำสายหนึ่ง ทำให้ราชาคนนี้ได้รับฉายาว่า ราชาแห่งเลือด กาเซฟเคยพบกับราชาคนนี้ในสนามรบและราชาที่ว่าก็ชักชวนเค้าให้รับใช้จักวรรดิ์แทน
ราชาคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครองโดนแท้จริง
“เพราะว่าด้วยแนวคิดเช่นนี้ของเรา ทำให้ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้นอกจากนี้ยังส่งเจ้าไปปฎิบัติภารกิจที่อันตราย เรายังไม่สามารถมอบอุปกรณ์ที่ดีๆให้กับเจ้าได้ และคนของเจ้าก็เสียชีวิตไปเพราะคำสั่งของเรา ได้โปรดอภัยให้กับเราด้วยเถอะ”
“ได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย”
“กาเซฟนี่คงจะแทนคำขอโทษไมได้ แต่เราอยากจะชดเชยให้กับผู้เสียชีวิต โปรดมอบเงินส่วนนี้ให้กับครอบครัวของพวกเค้าและเราอยากจะกล่าวขอบคุณท่านโกรวที่ช่วยเหลือบุคคลที่เราเชื่อใจมากที่สุดด้วยตัวเอง”
“ข้าเชื่อว่าท่านโกรวต้องพึงพอใจต่อคำกล่าวของฝ่าบาทอย่างแน่นอน”
‘เช่นนั้นหรือ โอ...”
เงาร่าง 2 ร่างเดินมาตามทางเดิน 1 ในนั้นเป็นหญิงสาวที่สวยงาม 
กษัตริย์รันพอซซ่ายิ้มให้กับลูกสาวของตัวเองอย่างอบอุ่น
เรนเนอร์ เทียเร่ ชาเดลอน ไร ไวเซฟ
เจ้าหญิงลำดับที่ 3 ที่บุคคลทั่วไปเรียกว่า เจ้าหญิงทองคำ
อายุของเจ้าหญิงเพิ่งครบ 16 ปี และถึงวัยที่จะต้องแต่งงาน แต่กระนั้นเหล่าขุนนางก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างโจ้งแจ้งว่าต้องการตัวเธอ
ฉายาของเจ้าหญิงสีทองนั้นมาจาก ผมสีทองที่นุ่มราวกับไหมชั้นดีที่ยาวจนถึงกลางหลัง รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นพร้อมกับเรียวปากสีชมพู ดองตาสีแซฟไฟร์ที่ดูจริงใจ
ชุดสีขาวยาวคลุมข้อเท้าขับเน้นให้เธอดูบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ที่คอสวมใส่สร้อยสีทองที่เหมาะกับฉายาของเธอ
ด้านหลังของเธอนั้นมีเด็กหนุ่มที่กำลังจะเติบโตเป็นชายหนุ่มในไม่ช้า เค้าสวมใส่ด้วยเกราะสีขาวและมีดวงตาสีแหลมคม
สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นคล้ายกับหล่อหลอมจากเหล็กกล้า ผมของเค้าสั้นเกรียนและมีสีบลอน
เด็กหนุ่มมีนามว่า แคลม เป็นหนึ่งในคนที่กาเซฟไม่รู้ว่าจะเข้าหาได้เช่นไร ท่าท่างของแคลมนั้นจำแนกไม่ออกว่าชื่นชอบหรือว่ารังเกียจกาเซฟ
อย่างไรก็ตามกาเซฟไม่ค่อนชอบบรรยากาศรอบตัวแคลมมากนัก กาเซฟไม่ได้รังเกียจคนที่มีท่าทางจริงจังตลอดเวลา แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีเวลาที่ผ่อนคลายบ้าง
แต่กาเซฟก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของแคลมอยู่บ้าง
แคลมนั้นมักจะอยู่ข้างกายของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในอาณาจักรเสมอ และนั้นก็เป็นเหตุผลที่คนอื่นอิจฉาและไม่ชอบหน้าเเคลมเช่นกัน และภูมิหลังของแคลมก็เหมือนกับกาเซฟ---ไม่สิต้องเรียกว่าแย่กว่ากาเซฟซะอีก แต่แคลมก็ไม่เคยแสดงถึงจุดอ่อนของตัวเองหรือว่าทำให้เจ้าหญิงต้องดูเสื่อมเสียเลยซักครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านหัวหน้าอัศวิน”
กษัตริย์รันพอซซ่ายิ้มให้กับลูกสาวของตัวเองอย่างอบอุ่นและผงกหัวรับทราบการเคารพของแคลม
“ประชุมเสร็จแล้วหรือค่ะ”
“ถูกต้อง มีหัวข้อหลายเรื่องที่ต้องพูดคุยพอสมควร”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้ามีเรื่องที่จะปรึกษากับท่านพ่อเลยมารออยู่ตรงนี้ค่ะ”
“โอ้ ต้องขอโทษเจ้าด้วยนะ”
ความคิดของเจ้าหญิงก็ดูถูกไมได้เช่นกัน
อีกสาเหตุหนึ่งที่เธอได้รับฉายาเจ้าหญิงสีทองนั้นมาจากจิตใตที่ดีงามและเอาใจใส่ผู้อื่นอยู่เสมอ
นโยบายของเจ้าหญิงมักจะช่วยเหลือบุคคลระดับล่างของสังคมอยู่เสมอๆ เช่นจัดเตรียมอาหารเลี้ยงคนยากจน เหลือช่วยเหลือบุคคลที่ไม่มีงานทำให้ดูแลตัวเองได้ นอกจากนั้นยังพยายามทำให้กลุ่มราชางศ์มีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมภายนอกอีกด้วย
แม้เหล่าขุนนางจะไม่ค่อยชอบมากนักแต่ก็ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าความคิดของเจ้าหญิงนั้นทำเพื่ออาณาจักรอย่างแท้จริง
“งั้นไปฟังข้อคิดกันที่ห้องของเจ้าดีมั้ย”
“ตอนนี้ถึงเวลาที่ลูกสาวของท่านต้องไปเดินเล่นแล้ว ข้ากับแคลมจะเดินแถวนี้ซักพักจากนั้นจะไปหาท่านพอ่ที่ห้องค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าการเดินเล่นของเจ้าหญิงนั้นสำคัญกว่าการปรึกษากับกษัตริย์สีหน้าของแคลมเปลี่ยนไปเล็กน้อย กาเซฟอดสงสารแคลมไม่ได้
--เจ้าหญิงแรนเนอร์มักจะมีแนวทางของตัวเอง การเป็นผู้ติดตามก็คงจะช่วยไมได้---
“อย่างนั้นหรือ งั้นไปเถอะ มาหาข้าเมื่อพร้อมก็แล้วกัน”
“เข้าใจแล้วค่ะ ท่านพ่อ ไปกันเถอะแคลม”
“ขออภัยขอรับ”
กาเซฟพูดกับแคลมในขณะที่เค้าก้มหัวลงแสดงความเคารพ
“แคลมเจ้ายังต้องพัฒนาเชิงดาบของเจ้า เพื่อปกป้องเจ้าหญิงแรนเนอร์จากเรื่องไม่คาดคิด”
“ครับผม!”
แคลมผงกศรีษะรับทราบ แต่เจ้าหญิงแรนเนอร์กับถอนหายใจออกมา
“แคลมก็ไม่เลวอยู่แล้ว เค้าต้องปกป้องข้าได้แน่นอน ไปกันเถอะแคลม”
“ครับ เจ้าหญิง”
แม้แคลมจะเดินตามเจ้าหญิงไปแต่ภายในดวงตาของเค้าปรากฏแววเสียใจให้เห็น
แม้ว่าทั้งคู่จะลืมทำความเคารพกษัตริย์ก่อนไป แต่กษัตริย์รันพอซซ่ากลับไปถือและมองทั้งคู่จากไป
“ในฐานะกษัตริย์แล้วการแสดงออกเห็นใจต่อคนอื่นบางครั้งก็เป็นเรื่องไม่ดี”
แคลมนั้นไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเอง เค้าเป็นเด็กกำพร้าที่แรนเนอร์เก็บมาหลังจากออกไปเดินเล่นนอกพระราชวัง
ในตอนนั้นแคลมผอมจนเหลือเนื้อติดกระดูกและกำลังจะตายจากความหิวโหยนั้นคือเหตุผลที่แคลมพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อตอบสนองเจ้าหญิงแรนเนอร์
แคลมไม่มีความสามารถทางเดินเชิงดาบหรือว่าเวทย์มนต์ ไม่มีแม้กระทั้งความสามารถพิเศษอื่นๆ 
แต่ถึงกระนั้นแคลมก็ไม่ค่อยย้อท้อต่อการฝึกฝน แม้ว่าความสามารถของเค้าจะไม่เท่ากาเซฟไม่มีทางแม้กระทั้งเข้าสู่ขอบเขตของผู้กล้าได้ แต่ผลจากการฝึกฝนอย่างหนักความสามารถของแคลมนั้นอยู่เหนือกว่าทหารทั่วๆไปมาก แต่กระนั้นก็แคลมก็ยังๆไม่สามารถก้าวข้ามขอบเขตของตัวเองไปได้
นั้นคือสถานะทางสังคม ความแข็งแกร่ง และคุณค่าของสิ่งที่เรียกวว่าผู้ชาย
คนที่จะยืนเคียงข้างเจ้าหญิงแรนเนอร์ได้นั้นต้องมีสถานะพวกนี้สูงมาก และแน่นอนแคลมไม่มีเลยซักอย่าง
“หัวใจของฝ่าบาทช่างเปิดกว้างยิ่งนัก”
“ถึงจะเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าโง่เง่าก็เถอะ ความหวังของเราก็คือให้ลูกสาวของเราได้มีอิสระ... ไม่สิแบบนั้นลูกสาวคนอื่นๆต้องบ่นเราแน่นอน นี่เราแก่ไปแล้วสินะถึงนึกเรื่องเช่นนี้”
“บางที่แม้กระทั้งลูกสาวของเราก็คงจะพบกับความโชคร้ายเช่นกัน”
ถ้าเจ้าหญิงต้องแต่งงาน เจ้าบ่าวก็คงไม่พ้นเครือญาติของเหล่าขุนนางขั้นสูง
กาเซฟซึ่งคิดเช่นนั้นก็ไม่พูดออกมา เพราะกระทั้งตัวเองก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไร บุคคลที่จะเข้าใจความรู้สึกของกษัตริย์ตอนนี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งกาเซฟนั้นไม่ใข่
ความเงียบปกคลุมไปทั่วบรรยากาศอีกครั้ง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น